ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 545.2

Now you are reading ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ Chapter 545.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
 ให้ชนเผ่านอกด่านจดจำความเจ็บปวด

 

 

 

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์อึ้ง ด้วยความโมโหและเสียใจ มือน้อยกำลังจะลงมือ จู่ๆ ก็ได้ยินเจ้าโจรคนนั้นพูดพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “…พอเจ้าฆ่าตัวตายเสร็จ ข้าจะแก้ผ้าเจ้าล่อนจ้อน ส่งไปที่ต๋าหลานจา ดูสิว่าจะมีคนรู้จักเจ้าหรือไม่…เฮ้อ รอให้ช่วงเวลานั้นมาถึงจริงๆ เลยนะ!” 

 

 

คำพูดประโยคนี้ทำให้อวี้เจียหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะร้องไห้ทันที ครั้นเห็นท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของเจ้าโจรคนนั้น ดวงตานางก็ฉายแววเสียใจออกมาอย่างรุนแรง 

 

 

“อย่ามองตนเองสูงส่งเกินไป หากข้าต้องการเอารัดเอาเปรียบเจ้าคงลงมือไปตั้งนานแล้ว เหตุใดจะต้องรอมาจนถึงตอนนี้ด้วย” หลินหว่านหรงกล่าวเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่ใช่คนอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ…เชื่อว่าเจ้าก็รู้ พวกเราชาวต้าหัวมีวิญญูชนที่แม้จะล้มลงบนอ้อมอกสตรีก็ไม่ทำเรื่องวุ่นวาย ชื่อว่าหลิวเซี่ยฮุ่ย ที่จริงแล้วข้าไม่เคยบอกเจ้า ข้าเป็นเปี่ยวเกอของหลิวเซี่ยฮุ่ย…หากเจ้าไม่เชื่อ รอให้พวกเรานอนด้วยกันสักหลายคืน เจ้าก็จะเข้าใจ” 

 

 

เขาทิ้งคำพูดหลายประโยค จากนั้นก็ไม่เหลือบแลความรู้สึกของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ จากไป 

 

 

อวี้เจียดวงตาวูบวาบอยู่นาน ผ่านไปเนิ่นนานถึงกัดฟันกรอดแค่นเสียงออกมา กล่าวพึมพำว่า “ชาวต้าหัวไร้ยางอาย ข้าต้องรบชนะเจ้าแน่ ทำให้เจ้าคุกเข่าอยู่ตรงหน้าข้า” 

 

 

เกาฉิวเงี่ยหูแอบฟังอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นหลินหว่านหรงเดินมาอย่างรีบร้อนจึงรีบดึงแขนเสื้อเขา กล่าวด้วยความจริงใจ “น้องหลิน มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ขอคำชี้แนะ…เปี่ยวเกอของหลิวเซี่ยฮุ่ยคือผู้ใด เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?!” 

 

 

“นี่ท่านไม่รู้หรือ? พี่เกากลายเป็นคนซื่อแล้วจริงๆ ด้วย!” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางมองเขา “เปี่ยวเกอของหลิวเซี่ยฮุ่ย ก็ฮุ่ยเซี่ยหลิวไง!” 

 

 

เหล่าเกาอึ้งอยู่นาน ในที่สุดก็ได้สติกลับมา อดหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังไม่ได้ น้องหลินช่างมีความสามารถเสียจริง เปี่ยวเกอของหลิวเซี่ฮุ่ย ก็คือ ‘ฮุ่ยเซี่ยหลิว’ (ทำต่ำช้า)! 

 

 

เจ้าลามกคนนี้คิดบ้าบออีกแล้ว เห็นท่าทางลามกของเหล่าเกา หลินหว่านหรงก็อดส่ายหน้าพร้อมถอนใจไม่ได้ ข้าถูกคนเข้าใจผิดง่ายมากขนาดนั้นเลยหรือ?! 

 

 

พระอาทิตย์ทางตะวันตกค่อยๆ ลาลับไป เผยดวงหน้าออกมาแค่เกือบครึ่งหนึ่ง ลำแสงสีทองที่เหลือสาดส่องไปทั่วทุ่งหญ้า ส่องกระทบต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ไกลๆ แสงอาทิตย์อัสดงค่อยๆ เลือนหาย สายลมยามวสันต์อันเย็นเยียบเล็กน้อยพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้าเบาๆ เกิดประระลอกคลื่นบางๆ  

 

 

ใต้ท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ กระโจมขนาดมหึมาจำนวนนับไม่ถ้วนประหนึ่งดอกไม้สีขาวไร้ขอบเขตที่กำลังแกว่งไกว มองไปไม่เห็นขอบฝั่ง ฝูงวัวฝูงแกะซึ่งเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่บนพื้นหญ้าค่อยๆ เข้าไปใกล้กระโจม เสียงเพลงสดใสซึ่งดังขึ้นมาเป็นบางครั้งลอยเข้ามา เสียงและท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของชาวทูเจวี๋ยตัดผ่านทุ่งหญ้า อาณาเขตของชนเผ่านอกด่านขนาดยักษ์นี้ดูสงบสุขเป้นพิเศษใต้แสงอาทิตย์อัสดง 

 

 

“พี่หู เป็นอย่างไรบ้าง?!” เงาร่างของคนผู้หนึ่งมุดเข้าไปในพุ่มหญ้าที่หูปู้กุยซุ่มตัวอยู่ หมอบอยู่ข้างกายเขาพร้อมถามเสียงเบา  

 

 

หูปู้กุยหันกลับมา ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยหนวดเคราของหลินหว่านหรงปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ทุกคนต่างไม่สนใจการแต่งองค์ทรงเครื่อง ดินทรายเต็มใบหน้า ผมเผ้าหนวดเครายาวเฟื้อย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่รูปโฉมของหลินหว่านหรงก็ดูไม่ค่อยออกอยู่บ้าง มีแค่ผิวสุขภาพดีสีน้ำตาลอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาเท่านั้น เมื่อมีเหงื่อบางเกาะอยู่ก็ส่องประกายสีทองระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์ยามสนธยา 

 

 

“ท่านแม่ทัพช่างคาดคำนวณแม่นยำดั่งเทพเซียนเสียจริง ข้างหน้าก็คือต๋าหลานจาแล้ว ท่านดู!” มือใหญ่ของหูปู้กุยชี้ออกไป ประกายตื่นเต้นฉายวาบบนใบหน้า เขานำหน่วยลาดตระเวนหลายหน่วยรีบรุดมาถึงที่นี่ ซุ่มมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพหลินกลับมาสืบข้าศึกด้วยตัวเอง ดินแดนของชาวทูเจวี๋ยที่อยู่ในระยะการมองใกล้ขนาดนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของต้าหัว เมื่อนึกถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หูปู้กุยก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นล้นพ้นขึ้นมาทันที 

 

 

หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ทอดสายตามองไปข้างหน้า ภายใต้ท้องฟ้าที่ไกลห่างออกไป กระโจมสีขาวเชื่อมต่อไปเรื่อยๆ จวบจนจมหายไปกับขอบฟ้า ควันในการประกอบอาหารลอยเอื่อยขึ้นมา อาชาพ่วงพีที่กลับมาจากการปล่อยออกไปหากิน เสียงฝีเท้าดังกุบกับเหยียบย่ำทุ่งหญ้าเบาๆ บทเพลงของคนเลี้ยงสัตว์อันไพเราะน่าฟังของชาวทูเจวี๋ยลอยมาตามสายลม คงอยู่เนิ่นนานไม่จางหาย 

 

 

ต๋าหลานจาดินแดนของทูเจวี๋ยคล้ายกับหมู่บ้านอันเงียบสงบจำนวนนับไม่ถ้วนของต้าหัว อาบไล้อยู่ใต้แสงตะวันยามเย็นอันเจิดจ้า เงียบสงบและสงบสุข 

 

 

“ข้าน้อยคำนวณคร่าวๆ ต๋าหลานจานี้มีชาวทูเจวี๋ยทั้งหมดแปดพันกว่าคน นอกจากชายฉกรรจ์หนึ่งพันห้าร้อยคนแล้ว ที่เหลือก็มีสตรีสองพันคน เด็กน้อยอีกสองพันคน ที่เหลือคือคนชราคนป่วยคนพิการขอรับ” หูปู้กุยถูฝ่ามือไปมา กล่าวด้วยความตื่นเต้น ดินแดนทูเจวี๋ยที่มีคนเกือบหมื่นคนเช่นนี้ ยามรุ่งโรจน์ต้องมีชายฉกรรจ์อย่างน้อยห้าหกพันคน เพียงแต่ตอนนี้ทูเจวี๋ยมีศึกครั้งใหญ่กับต้าหัว ชายฉกรรจ์ส่วนใหญ่ในดินแดนถูกสูบไปแนวหน้า ดินแดนที่เหลือชนเผ่านอกด่านซึ่งแทบจะป้องกันตัวเองไม่ได้เช่นนี้ สำหรับหูปู้กุยกับนายทหารต้าหัวห้าพันใต้บังคับบัญชาเขา นี่คือเนื้ออ้วนที่เกือบจะส่งเข้าปากก้อนหนึ่ง  

 

 

หลินหว่านหรงอืมคราหนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ “ถ้าไม่ใช่กระโจมสีขาว แกะที่มีราวกับก้อนเมฆนั่น ข้ายังนึกว่ากลับมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ อันเงียบสงบของต้าหัวเราแล้ว” 

 

 

“ใครว่าไม่ใช่ล่ะขอรับ” หูปู้กุยรู้สึกอย่างยิ่งเช่นกัน “ดินแดนของชนเผ่านอกด่านนี้แทบไม่ต่างจากหมู่บ้านของต้าหัวเรา หากไม่ใช่เห็นพวกมันรุกรานต้าหัว เข่าฆ่าสังหารญาติของพวกเรากับตา ข้าก็แทบไม่กล้าจินตนาการว่าดินแดนทูเจวี๋ยอันเงียบสงบที่อยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นหมาป่าชั่วร้ายที่กินคนไม่แม้แต่จะคายกระดูกออกมาภายในชั่วพริบตานั้นได้” 

 

 

คนเราก็น่าจะมีสองด้านกระมัง ภายใต้เงื่อนไขอันสุดโต่ง ใครๆ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นหมาป่าชั่วร้าย หลินหว่านหรงถอนหายใจบาง “พี่หู คนในเผ่าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่ปล่อยตัวไปพวกนั้นล่ะ ท่านจัดการเช่นไร?!” 

 

 

หูปู้กุยหัวเราะด้วยความละอาย “พวกเราลอบติดตามพวกมัน พออยู่ห่างจากต๋าหลานจาไม่ไกล เพื่อไม่ให้พวกมันส่งข่าว ดังนั้นจึงไม่อาจ…” เขาทำท่าปาดคออย่างโหดเ**้ยมคราหนึ่ง ความหมายชัดเจนโดยไม่ต้องพูด  

 

 

หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “นี่ก็ ไม่ค่อยดีกระมัง ข้ารับปากเยวี่ยหยาเอ๋อร์ว่าจะปล่อยพวกมันนะ” 

 

 

“ท่านแม่ทัพ ท่านปล่อยพวกมันไปแล้วจริงๆ นี่นา” หูปู้กุยตอบพร้อมหัวเราะแปลกประหลาด “เพียงแต่พวกมันโชคไม่ค่อยดี เจอพวกเราอีกครั้งก็เท่านั้นเอง คุณหนูอวี้เจียจะโทษท่านไม่ได้ ถ้าจะโทษ ก็ได้แต่โทษคนในเผ่าของนางที่ไม่เอาไหน ตอนหลบหนีไม่ยอมใช้สมอง” 

 

 

เหล่าหูเลียนแบบความสามารถของเกาฉิวคนนั้นแล้วเช่นกัน หนังหน้าหนาขึ้นเรื่อยๆ หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง ไม่เอ่ยวาจา 

 

 

หลังจากชาวทูเจวี๋ยรวบรวมทุ่งหญ้าเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ชนเผ่าอื่นที่ยอมสวามิภักดิ์ก็สวามิภักดิ์ไป ที่ไม่ยอมก็เข่นฆ่า ทั่วทั้งทุ่งหญ้าไม่มีผู้ใดสร้างการข่มขวัญแก่ชาวทูเจวี๋ยได้ ที่นี่คือแผ่นดินของพวกมันทั้งหมด ดินแดนของชนเผ่านอกด่านที่ต๋าหลานจาน่าจะกระทำการฮึกเหิมมาจนเคยชิน ไม่คิดคิดมาก่อนว่าชาวต้าหัวกลับกล้าเดินทัพเดี่ยวล่วงลึกมุ่งตรงมายังส่วนลึกในทุ่งหญ้าได้ ป้อมยามของพวกมันแค่ตั้งห่างออกไปแค่สองลี้ รูปแบบหลวมๆ การป้องกันอันหละหลวมเช่นนี้ สำหรับหลินหว่านหรงแล้วก็ช่างเหมือนสวรรค์ช่วยเสียจริง 

 

 

เมื่อเห็นว่าฟ้าค่อยๆ มืดลงไปเรื่อยๆ ไพร่พลที่ตามหลังมาก็ตามทันแล้ว เขาสวมที่คาดปากม้าทูเจวี๋ย ทหารห้าพันนายผ่อนความเร็ว มุ่งหน้าอย่างไร้เสียง 

 

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์กับคนในเผ่าที่เหลืออีกสิบกว่าคนของนางถูกหลินหว่านหรงจงใจเอาไว้ด้านท้ายสุดโดยเฉพาะ ทุกคนถูกมัดอย่างแน่นหนา ปากยัดเศษผ้าเอาไว้ ไม่อาจดิ้นรนขัดขืน และยิ่งไม่อาจร้องตะโกน แม้แต่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้นก็ปราศจากข้อยกเว้น 

 

 

แม้จะบอกว่าตอนที่ควบคุมแม่หมาป่าน้อยตัวนี้จะกินแรงไปบ้าง ใบหน้าถูกข่วนจนเป็นแผล ร่างกายก็ถูกนางทุบตีไปหลายครั้ง ถึงกระนั้นแม่ทัพหลินย่อมมีหนทางเอาความลำบากที่เคยได้รับแอบชดเชยกลับไปแน่นอน 

 

 

ในเมื่อกินอยู่ทำงานร่วมกัน หลินหว่านหรงย่อมมุดเข้าไปในรถม้าอันหอมกรุ่นของเยวี่ยหยาเอ๋อร์อย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ทั้งยังเหมือนแสดงอำนาจ พยายามสูดลมอากาศบริสุทธิ์เข้าไปอย่างเต็มที่ อวี้เจียถูกมัดจนกลายเป็นบ๊ะจ่าง ปากตะโกนอะไรงึมงำไม่รู้ ใบหน้าอันงดงามแดงก่ำ ดวงตาพ่นเพลิงโทสะอันร้อนแรง คล้ายต้องการแผดเผาเจ้าโจรหน้าดำคนนี้ให้กลายเป็นธุลี 

 

 

“คุณหนูอวี้เจีย ขอบอกข่าวดีกับเจ้า ถึงต๋าหลานจาแล้ว!” หลินหว่านหรงหัวเราะ เสียงดังขึ้นอย่างแช่มช้าสบายอารมณ์ ร่างของอวี้เจียชะงักงันทันที ขยับบิดเร่าอย่างบ้าคลั่ง สองขาเตะเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาส่องประกายความเจ็บปวดอย่างรุนแรง 

 

 

โจรไม่แยแสร่างกายอันน่าลุ่มหลงซึ่งกำลังบิดเราราวกับงูของนาง ตบไหล่งามอันนุ่มนิ่มของนางเบาๆ พูดโดยยิ้มแต่เปลือกนอกออกมาว่า “ครั้งแรกล่ะนะ จะเจ็บก็เลี่ยงไม่ได้ ทำช้าๆ เดี๋ยวก็ชินแล้ว” 

 

 

สาวน้อยทูเจวี๋ยตวาดด้วยโทสะดังอึ๊อ๊ะ ถึงกระนั้นกลับพูดอะไรออกมาไม่ได้ 

 

 

เดินก้าวลงจากรถ ดาบศึกในมือหลินหว่านหรงชูขึ้นสูงออกจากฝัก คำรามด้วยเสียงเดือดดาลดังก้องไปทั่วทุ่งหญ้า “พี่น้องทั้งหลาย ให้ชนเผ่านอกด่านจดจำความเจ็บปวดนี้ไปตลอดกาล ฆ่า!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด