ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 588 – 1 ไม่มีทางแพ้แก่เจ้า

Now you are reading ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ Chapter 588 - 1 ไม่มีทางแพ้แก่เจ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นายทหารที่มาร่างสวมชุดชนเผ่านอกด่านตัวหลวมกว้าง ควบม้าดุจโผบิน ห้อตะบึงมุ่งตรงมายังพวกของหูปู้กุย หลินหว่านหรงมองเห็นอย่างชัดเจน นี่คือหนึ่งในหน่วยลาดตระเวนที่ติดตามสวี่เจิ้นไปสืบความเคลื่อนไหวของชนเผ่านอกด่าน เพื่อความปลอดภัย คนจำนวนยี่สิบสามสิบคนนี้จึงปลอมแปลงแต่งกายเป็นชาวทูเจวี๋ยทั้งหมด 

 

 

ทหารผู้นั้นมาถึงเบื้องหน้าหลินหว่านหรง รีบพลิกตัวลงจากม้า ไม่สนใจที่จะเช็ดฝุ่นดินที่อยู่บนใบหน้าประสานมือคารวะด้วยความเคารพนบนอบพร้อมพูดว่า “เรียนท่านแม่ทัพ เบื้องหน้ามีรายงานด่วนขอรับ” 

 

 

“พูด!” หลินหว่านหรงโบกมือพูดเสียงทุ้มหนัก 

 

 

“ท่านแม่ทัพสวี่สั่งการให้ข้าน้อยกลับมารายงาน วันนี้ยามเช้าตรู่ ชาวทูเจวี๋ยซึ่งอยู่รอบนอกเค่อจือเอ่อร์ โดยมีทหารชั้นยอดจำนวนหนึ่งแสน หญ้าเสบียงหนึ่งหมื่นคัน นำทัพโดยลู่ตงจ้านราชครูทูเจวี๋ย กำลังเคลื่อนที่ลงใต้อย่างรวดเร็วขอรับ” 

 

 

คราวนี้ลู่ตงจ้านรู้จักฉลาดแล้ว ไม่ทำพลาดครั้งใหญ่เช่นปาเยี่ยนเฮ่าเท่ออีก หญ้าเสบียงเหล่านี้มีทหารชั้นยอดจำนวนหนึ่งแสนนายคุมส่งด้วยตนเอง ย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องแน่นอน หลินหว่านหรงผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ชาวทูเจวี๋ยหนึ่งแสนนี้ ตอนนี้เดินทางถึงที่ใดแล้ว?” 

 

 

หน่วยลาดตระเวนรีบตอบ “ขณะที่ท่านแม่ทัพสวี่สั่งให้ข้าน้อยกลับมารายงาน ชาวทูเจวี๋ยเดินทางได้ร้อยลี้แล้วขอรับ” 

 

 

หน่วยลาดตระเวนย้อนกลับมาจำเป็นต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม เมื่อคำนวณเช่นนี้ ทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนหนึ่งแสนนั้นยามนี้น่าจะอยู่ห่างจากเค่อจือเอ่อร์ได้เกือบสองร้อยลี้แล้ว ความเร็วในการมุ่งหน้าของลู่ตงจ้านช่างรวดเร็วเสียจริง 

 

 

“ลู่ตงจ้านเหลือทหารม้าไว้ที่เค่อจือเอ่อร์เท่าใด?” หลินหว่านหรงถามเสียงทุ้มหนัก คำถามนี้เป้นสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด และเป็นสิ่งที่กำชับสวี่เจิ้นก่อนจากไปครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องสืบให้แน่ชัด 

 

 

นายทหารผู้นั้นผงกศีรษะ “ตามการคาดคะเนของพวกเรา ลู่ตงจ้านเลือกเฟ้นทหารม้าจำนวนหลายหมื่นนายให้รั้งอยู่ที่เค่อจือเอ่อร์ บวกกับกองกำลังรักษาเมืองที่มีอยู่เดิมของเค่อจือเอ่อร์ อย่างน้อยก็มีสองหมื่นนายขอรับ” 

 

 

เป็นอย่างที่หูปู้กุยคาดไว้จริงด้วย ลู่ตงจ้านทิ้งคนไว้สองหมื่นจริงๆ ทหารม้าทูเจวี๋ยสองหมื่นนี้วิ่งห้อตะบึงอยู่บนทุ่งหญ้าก็แทบจะเหมือนลมสลาตันอันไร้เทียมทานหอบหนึ่ง ณ ส่วนลึกของทุ่งหญ้าอาลาซ่าน ดินแดนใหญ่เบื้องหลังชาวทูเจวี๋ย ลู่ตงจ้านกลับเตรียมกองกำลังอย่างเต็มที่ จะเห็นความละเอียดรอบคอบระมัดระวังของมันได้ 

 

 

“พี่หู ท่านเห็นเป็นเช่นไร” หลินหว่านหรงมองเหล่าหูแวบหนึ่งพร้อมไต่ถามความเห็นของเขา 

 

 

หูปู้กุยครุ่นคิดครู่หนึ่ง ผงกศีรษะอย่างแช่มช้า “ทหารชั้นยอดจำนวนสองแสนเฝ้ารักษาเค่อจือเอ่อร์ถือว่าเพียงพอแล้วจริงๆ หากฝืนบุกโจมตีราชธานีทูเจวี๋ย อย่างน้อยก็ต้องมีสี่ถึงห้าหมื่นคน และบนทุ่งหญ้าจะมีผู้ใดที่มีกำลังกล้าแกร่งถึงเพียงนี้? ลู่ตงจ้านวางแผนคำนวณไว้อย่างล้ำลึกจริงขอรับ!” 

 

 

ความปราดเปรื่องของราชครูทูเจวี๋ยย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง เมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน หากต้องการบุกยึดเค่อจือเอ่อร์นั้นไม่อาจใช้กำลังโจมตี ทำได้เพียงใช้สติปัญญาเท่านั้น 

 

 

“โชคยังดีที่มีงานแข่งขันชิงแพะ ถือว่าพวกเรามาถูกเวลาเช่นกัน” เกาฉิวกล่าวพลางหัวเราะร่าอยู่ด้านข้าง 

 

 

ใช่แล้วล่ะ ยังมีงานแข่งขันชิงแพะอยู่ หลินหว่านหรงทอดถอนคราหนึ่ง “ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ใช้ความไม่เปลี่ยนแปลงรับความเปลี่ยนแปลงจะดีกว่า เมื่อดูจากความเร็วในการเคลื่อนทัพของชนเผ่านอกด่านตอนนี้ พรุ่งนี้เที่ยงพวกมันก็น่าจะออกห่างจากเค่อจือเอ่อร์สามร้อยลี้แล้ว ก่อนพรุ่งนี้เที่ยงสวี่เจิ้นต้องรายงานอีกครั้งหนึ่ง ถึงเวลาหากไม่มีเหตุไม่คาดฝัน พวกเราจะเพิ่มความเร็วในการเดิน มุ่งไปยังเค่อจือเอ่อร์ได้ทันที” 

 

 

“ดี!” ทุกคนส่งเสียงตะโกนดังลั่นด้วยความเชื่อมั่นเปี่ยมล้น เมื่อได้ยินว่าลู่ตงจ้านนำทัพลงใต้ไปแล้ว ในที่สุดก้อนหินขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ในใจก็ร่วงหล่น ทุกคนต่างบังเกิดความคึกคัก ตัดผ่านทะเลทราย ข้ามภูเขาหิมะ เดินทางรอนแรมนับพันลี้ก็เพื่อช่วงเวลานี้นี่เอง 

 

 

“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยยังมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้รายงานขอรับ” เมื่อทุกคนสลายตัวไปแล้ว หูปู้กุยก็ดึงตัวหลินหว่านหรงเอาไว้พร้อมพูดเสียงเบา 

 

 

เมื่อเห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ ของเขา หลินหว่านหรงจึงหัวเราะแล้วพูดว่า “พี่หูมีเรื่องอะไรก็ว่ามาตามตรง เหตุใดต้องทำตัวลึกลับขนาดนี้ด้วย” 

 

 

เหล่าหูหัวเราะหลายครา “…เกี่ยวกับอวี้เจียผู้นั้นขอรับ!” 

 

 

“อวี้เจีย? อวี้เจียเป็นอะไรอีก” หลินหว่านหรงถามด้วยความประหลาดใจ 

 

 

หูปู้กุยถอนหายใจ “ท่านแม่ทัพ หลังจากท่านสนทนากับนางเมื่อวาน แม่หนูคนนี้ก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่พูดจาไม่ยิ้มแย้ม แม้แต่น้ำและอาหารแห้งก็ไม่ดื่มกิน นี่ก็ตั้งสิบสองชั่วยามแล้วนะขอรับ!” 

 

 

“อดอาหาร?!” ดวงตาของหลินหว่านหรงกระจ่างวูบ คิดถึงสภาพอันอิดโรยของนางเซียนเมื่อคืนก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที เขาแค่นเสียงพูดออกมาด้วยโทสะ “หากนางอยากอดอาหาร เช่นนั้นก็ให้นางทำไปเถอะ ขอไม่มีเวลาไปปรนนิบัตินาง” 

 

 

หูปู้กุยกล่าวด้วยความระมัดระวัง “สตรีชนเผ่านอกด่านคนนี้เป็นเชลยของพวกเรา และเป็นศัตรูของพวกเราด้วย เดิมทีข้าน้อยก็ไม่อยากจะยุ่ง เพียงแต่หากต้องการบุกโจมตียึดราชธานีทูเจวี๋ย ไม่ใช้นางก็คงไม่ได้ ท่านแม่ทัพอย่าลืมสิว่างานแข่งขันชิงแพะก็จะจัดขึ้นสามวันหลังจากนี้แล้ว ตัวละครเด่นนั้นก็คืออวี้เจีย หากถึงเวลานางหายใจรวยริน พวกเราไม่ใช่เสียงานตั้งแต่ไม่เริ่มหรอกหรือขอรับ?!” 

 

 

ไม่ว่าหลินหว่านหรงจะยอมรับหรือไม่ สิ่งที่เหล่าหูพูดมานั้นก็มีเหตุผลจริง อวี้เจียตอนนี้มีความสำคัญต่อการบุกโจมตีเค่อจือเอ่อร์ของพวกเขามาก หากตอนนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมา นั่นถึงเป็นเรื่องได้ไม่คุ้มเสีย 

 

 

“พี่หู ท่านอยากให้ข้าทำอะไรก็ว่ามาตามตรงเถอะ” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง 

 

 

เหล่าหูหัวเราะแห้งๆ หลายครั้ง พูดกดเสียงต่ำออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ขอเชิญท่านเสียสละเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อยจะดีกว่านะขอรับ…ข้าว่าอวี้เจียผู้นั้นจะต้องฟังท่านแน่ ขอให้ท่านไปคุยกับนางสักหน่อย ถึงแม้นางจะอยากอดอาหาร แต่ก็ต้องรอให้พวกเราบุกยึดเค่อจือเอ่อร์แล้วค่อยทำนะขอรับ!” 

 

 

หลินหว่านหรงเบิกตาโพลง เสียสละเล็กๆ น้อยๆ? พูดจาเสียน่าฟัง นี่มันแค่การเสียสละเล็กๆ น้อยๆ หรือ?! เห็นชัดๆ ว่าพวกเจ้าจะเสียสละความบริสุทธิ์ของข้าเพื่อใช้แผนชายงามนี่นา! 

 

 

“ใช่แล้วล่ะ น้องหลิน” เจ้าเหล่าเกาคนนี้เห็นได้ชัดว่าได้รับการบอกเป็นนัยจากหูปู้กุยมาตั้งแต่แรก พูดพัดโหมกระพืออยู่ข้างกาย “พวกเราต่างรู้ว่าเจ้าเปี่ยมล้นด้วยความเที่ยงธรรม ไม่เคยกระทำเรื่องเลวร้ายผิดทำนองคลองธรรมมาก่อน เพียงแต่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เพื่อต้าหัว เพื่อกุนซือสวี เพื่อพี่น้องนับไม่ถ้วนของพวกเรา ขอเชิญน้องหลินกระทำเพื่อสถานการณ์โดยรวม แสดงความรักและเอาใจใส่ต่ออวี้เจีย…อ้อ ไม่ใช่ แค่ปลอบใจ ขอเพียงผ่านสามวันนี้ไปได้อะไรก็ง่ายแล้ว เจ้าจงวางใจอย่างเต็มที่ เรื่องนี้มีแค่ข้ากับเหล่าหูสองคนที่รู้ ข้าเกาฉิวขอรับรองด้วยความเป็นคน พวกเราจะไม่บอกใครเด็ดขาด” 

 

 

“ใช่ๆ ไม่บอกใครเด็ดขาดขอรับ” หูปู้กุยรีบผงกศีรษะ สีหน้าเคร่งขรึมมาก 

 

 

เจ้าตัวลามกสองตัวนี้นี่! หลินหว่านหรงลอบแค่นเสียง ช่วงเวลาสำคัญคิดแต่จะเสียสละความบริสุทธิ์ของข้า เห็นข้าเป็นคนใจง่ายมากขนาดนั้นเลยหรือ?! เพียงแต่หากอวี้เจียอดอาหารขึ้นมา จะเป็นเรื่องที่จัดการยากมากจริงๆ ไม่รู้ว่าเจ้าอ๋องขวาทูเจวี๋ยถูสั่วจั่วนั่นพอเห็นอวี้เจียที่หายใจรวยรินจะชิงแพะด้วยความคึกคักดีอกดีใจหรือว่ามาสู้ศึกตัดสินกับข้าด้วยเพลิงโทสะลุกโชนกันแน่? ลำบากใจจริงๆ เลยนะ! 

 

 

เหล่าเกากะพริบตาปริบๆ ประชิดเบื้องหน้าเขา “น้องหลิน พิจารณาแล้วเป็นเช่นไร? ยามนี้เป็นช่วงที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะคับขันความหวังของเหล่าพี่น้องอยู่ที่ตัวเจ้าทั้งหมดแล้ว” 

 

 

“พูดไร้สาระให้น้อยลงหน่อยเถอะ” หลินหว่านหรงใช้เท้าถีบก้นเขา หัวเราะพร้อมพูดว่า “เรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้ก็ให้ข้าไปทำได้? ช่างผิดต่อมโนธรรมของพวกท่านเสียจริงนะ!” 

 

 

เกาฉิวส่ายหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “อวี้เจียชอบสนทนากับน้องหลิน นี่เจ้าไปโน้มน้าวนาง ไปช่วยชีวิตนาง แล้วนี่จะเรียกว่าไร้คุณธรรมได้อีกหรือ?! หรือว่าพอเห็นนางอดอาหารแล้วพวกเราต้องเห็นความตายแล้วไม่ช่วยเหลือ เช่นนั้นคือมีคุณธรรม?…เหล่าหู เจ้าว่าใช่หรือไม่?” 

 

 

ทั้งสองคนยักคิ้วหลิ่วตา ส่งสายตาให้กัน หลินหว่านหรงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ตายไม่ได้เด็ดขาด นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัย เขาโบกมือด้วยความจนใจ “นังหนูนั่นอยู่ที่ใด?!” 

 

 

“อยู่นี่ๆ ท่านแม่ทัพ เชิญตามข้ามาขอรับ!” หูปู้กุยยินดียิ่งนัก รีบนำทางอยู่ข้างหน้า 

 

 

พูดตามความจริง เมื่อได้เห็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์ แม้แต่หลินหว่านหรงเองก็ต้องตกใจสะดุ้งโหยง นี่ยังใช่สาวน้อยทูเจวี๋ยที่ดวงตาสุกใสฟันขาวสะอาด งดงามดั่งดวงจันทร์แรกขึ้นอีกหรือ? 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด