ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 558 – 2 สวรรค์ของพวกเรา

Now you are reading ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ Chapter 558 - 2 สวรรค์ของพวกเรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ปากดี” นางจิ้งจอกอันค้อนเขาคราหนึ่ง หว่างคิ้วแดงซ่าน นางขบริมฝีปากสีชาดงามสดใสพร้อมหัวเราะคิกคักเบาๆ ถามเสียงค่อยออกมาว่า “น้องชาย ช่วงที่ข้าจากไปนี้เจ้าเคยคิดถึงข้าหรือไม่?!” 

 

 

“คิดถึง คิดถึงแน่นอน!” หลินหว่านหรงตอบอย่างหนักแน่น “คืนนั้นพี่สาวจากไปโดยไม่บอกกล่าว จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าข้าเป็นคนที่โง่ที่สุดบนโลกนี้ ไม่เข้าใจว่าใครเป็นผู้ที่รักใคร่ข้าจากใจจริง ข้าเคยสาบานว่าพอรบเสร็จแล้ว ขอแค่ยังมีชีวิตรอดกลับไปได้ ข้าจะต้องไปที่เสฉวน ไปตามหาพี่สาวที่ดินแดนเผ่าแม้ว ใครกล้ามาสู่ขอท่าน ข้าจะฆ่ามันคนนั้น!” 

 

 

อันปี้หรูอึ้ง พลันกะพริบตาเบาๆ ใส่เขา กล่าวด้วยสีหน้ายวนเย้า “เจ้าคนนี้กลับไม่รู้จักแยกแยะ คนที่มาสู่ขอนั่นเจ้าจะฆ่าให้หมดเลยหรือ? ข้าขอบอกเจ้า ข้าถูกใจบุรุษเก้าสิบเก้าคนที่เผ่าแม้ว รอให้กลับไปแล้วข้าจะไปโปรดปรานพวกเขา เจ้าจะทำอะไรได้?!” 

 

 

“เช่นนั้นข้าจะโปรดปรานท่านก่อน!” หลินหว่านหรงตวาดคำราม บุกไปช้างหน้าราวกับหมาป่าตัวผู้ที่ติดสัด 

 

 

“เช่นนั้นเจ้าก็มาเหรอ?!” นางจิ้งจอกอันหัวเราะคิกคัก คล้ายอายคล้ายตำหนิ ร่างงามยวนเย้าหลบหลีกจากรงเล็บมารของเขา ชักเท้าแล้ววิ่งเข้าสู่ส่วนลึกของทุ่งหญ้า หลินหว่านหรงไล่ตามอยู่ข้างหลังนาง สองคนวิ่งไล่ตามราวกับเด็กน้อย หัวเราะเฮฮา ภายใต้แสงดาราอันเจิดจรัส ท่ามกล่างทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้าง ปราศจากสายตาจากชาวโลก ปราศจากการผูกมัดจากทางโลก พวกเขาลืมเลือนความกลัดกลุ้มและความหงุดหงิดทั้งหลาย กระเซ้าเย้าแหย่อย่างเต็มที่ ไล่ตามหาสวรรค์ที่เป็นของตนเอง 

 

 

ไม่รู้ว่าวิ่งไปนานเท่าไหร่ เบื้องหน้ามองไปเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีอันอ่อนนุ่มไร้ขอบเขต อันปี้หรูหัวเราะยวนเย้า คล้ายเด็กน้อยผู้ซุกซนคนหนึ่ง ล้มอ่อนยวบลงไป นางพลันสงบนิ่ง หายใจอยู่นิ่งๆ ดวงตาทั้งสองดุจวารี ทอดสายตามองนภากาศที่เต็มไปด้วยดวงดาราอันล้ำลึกนั้น อกงามอันอวบอิ่มขยับขึ้นลงเบาๆ มองใบหน้านางจากด้านข้าง งามราวกับภาพลวงตา ประหนึ่งหมอกฝนขุนเขายามฤดูสารท ระลอกคลื่นแห่งซีหู งามจนทำให้คนไม่กล้าสบตามอง  

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาเคยเห็นแต่พี่สาวอันงดงามประดุจบุปผา เจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอก ถึงกระนั้นไหนเลยจะเคยเห็นด้านที่งดงามสง่าและอ่อนโยนประดุจวารีของนางนี้?! หลินหว่านหรงนอนตะแคงอยู่ข้างอันปี้หรู มองดวงหน้างามดุจเซียนของนาง ลืมเลือนแม้แต่หายใจไปในบัดดล 

 

 

“เจ้ามองอะไร?!” เสียงของพี่สาวอันดังขึ้นเบาๆ นางยิ้มแย้มพลางมองหลินหว่านหรง สองตาสุกสกาวดั่งดวงดารา 

 

 

“พี่สาว ท่านช่างงามเหลือเกิน!” หลินหว่านหรงเบิกตากว้าง พึมพำราวกับเป็นบื้อไปแล้ว 

 

 

ใบหน้าอันปี้หรูซับสีแดงซ่าน กลับก้มหน้าลงไปด้วยความอาย ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา การยิ้มนี้ขอนางราวกับดอกโบตั๋นที่ผลิบานกลางคิมหันต์อันหนาวเหน็บ ดวงดาราบนท้องนภาพลันอับแสง หัวใจหลินหว่านหรงพลันหยุดเต้น พี่สาวอันผู้งดงามยวนเย้าดั่งเซียนกลับมีช่วงที่เอียงอายด้วย? เกือบจะพรากชีวิตคนไปแล้วจริงๆ 

 

 

ใจของเขาเต้นรัวดังตึกตัก เอื้อมมือไปจับมือน้อยของอันปี้หรู นางจิ้งจอกอันหน้าแดงสดใส พลันถอนหายใจพร้อมเอ่ยเสียงเบาออกมา “เจ้าเห็นหรือไม่ ดวงดารางดงามเพียงใด!” 

 

 

หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้นมองหมู่ดวงดาราอันเงียบเหงาที่สาดกะพริบดั่งมุกล้ำค่า สาดส่องไปทั่วท้องนภายามราตรีอันเวิ้งว้าง หมู่ดาวระยิบระยับอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ เหมือนท้องฟ้ากับผืนดินหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 

 

 

“ดวงดาราแม้จะงดงาม แต่กลับทำได้แค่สาดแสงกะพริบยามราตรีเท่านั้น” อันปี้หรูหยุดครู่หนึ่ง พูดเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอยต่อไป น้ำเสียงลอยล่องราวกับมาจากท้องฟ้า หากไม่ใช่ว่าอยู่ใกล้นางยิ่งนัก ก็แทบจะไม่ได้ยินนางพูด 

 

 

หลินหว่านหรงตกใจ รีบมองนาง “พี่สาวอาจารย์ ท่านกำลังพูดอะไร? ดวงดาราอะไร ท้องฟ้ายามราตรีอะไร?!” 

 

 

“ข้ากำลังพูดว่าเจ้าหน้าโง่” อันปี้หรูหัวเราะคิกคัก จิ้มจมูกเขาคราหนึ่ง “คำพูดเมื่อครู่ยังพูดไม่จบ ข้ายังมีเรื่องจะถามต่อ” 

 

 

หากบอกว่าบนโลกนี้ยังมีดาวข่มคนแซ่หลินอยู่ล่ะก็ จะต้องเป็นนางจิ้งจอกอันคนนี้อย่างไร้ข้อกังขา อันปี้หรูคล้ายกลัดกลุ้มคล้ายยิ้มแย้ม คล้ายตำหนิคล้ายยวนเย้า ความคิดพร่าเลือนดั่งหมอกควัน แทบจะไร้ร่องรอย เสียทีที่เขาได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาดอันดับหนึ่งในแผ่นดิน เมื่ออยู่หน้าพี่สาวอันกลับถูกนางมัดมือมัดเท้าเอาไว้เช่นกัน ไม่อาจใช้พลังทั่วทั้งร่างได้เลย 

 

 

มองดูอันปี้หรูซึ่งหวนคืนสู่ความพราวเสน่ห์ เขาก็รีบผงกศีรษะ “พี่สาวรีบถามมาเร็ว ทางที่ดีที่สุดให้ถามครั้งเดียวจนจบ พวกเราจะได้ประหยัดเรี่ยวแรงบ้างเพื่อไปทำเรื่องอย่างอื่นกัน” 

 

 

อันปี้หรูมองค้อนเขาคราหนึ่ง ใบหน้าซับสีชมพูบางๆ พูดเสียงเบาออกมาว่า “คราวนี้ห้ามแกล้งเลอะเลือนอีก…ข้ากับศิษย์พี่ข้า เจ้าคิดถึงคนไหนมากกว่ากันแน่?!” 

 

 

หลินหว่านหรงนิ่งอึ้งไปทันที นี่เป็นคำถามที่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ก่อนหน้านี้เซียนเอ๋อร์เคยถามมาก่อน คิดไม่ถึงว่าคราวนี้เรื่องเก่าจะบังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แถมอีกฝ่ายกลับเปลี่ยนเป็นพี่สาวอัน ความยากของคำถามนี้ไม่ธรรมดา ฝีมือในการหลอกเอาใจเซียนเอ๋อร์พวกนั้นก่อนหน้านี้ไม่มีประโยชน์ในการรับมือนางจิ้งจอกอันแม้แต่น้อย กระทั่งว่ายังจะย้อนศรอีกด้วย 

 

 

“เอ่อ…” เขาอึกอัก ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากเช่นไร 

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” อันปี้หรูผงกศีรษะเล็กน้อย หัวเราะขึ้นมา “เจ้าคิดถึงนางมากกว่าสักหน่อยก็สมควร เป็นข้าที่ใช้ให้เจ้าไปล่อลวงนาง เจ้าชนะแล้ว เจ้าคิดถึงนางก็เท่ากับคิดถึงข้า ข้าดีใจเช่นกัน” 

 

 

นางหัวเราะคิกคัก อกงามกระเพื่อมไหวเล็กน้อยไม่หยุด เสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ หัวเราะไปหัวเราะมาเบ้าตาก็เปียกชื้น นางแอบหมุนกายไป น้ำตาค่อยๆ เอ่อคลออย่างแช่มช้า ภายใต้แสงจันทราอันสุกสกาว สะอาดบริสุทธิ์ดังผลึกแก้ว 

 

 

เหตุผลนี้ของพี่สาวอันช่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนทำให้คนอยากจะร้องไห้เสียเหลือเกิน หลินหว่านหรงถอนหายใจด้วยความอับจนปัญญา “ท่านจะเชื่อก็ดี ไม่เชื่อก็ดี พี่สาวอัน นับตั้งแต่จากลากันที่จวนเฉิงอ๋อง ข้าก็คิดถึงท่านทุกวัน คิดจนนอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน” 

 

 

“พูดจาเหลวไหล เจ้าคิดถึงพี่สาวนางเซียนของเจ้าถึงจะเป็นเรื่องจริง” อันปี้หรูใบหน้าดั่งแต่งแต้มชาด ตำหนิเบาๆ พร้อมกล่าวระคนหัวเราะ 

 

 

หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยท่าทีอันหนักแน่น “ท่านพูดไม่ผิด ข้าคิดถึงพี่สาวนางเซียนมาก มากรักเดิมทีก็เป็นโรคที่รักษาไม่หายของข้าอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่มีทางรักษา แต่นางเซียนกับท่านคือคนสองคน ข้าคิดถึงนางเซียน ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้คิดถึงพี่สาวเช่นท่าน ที่จริงแล้วความรู้สึกที่ข้ามีต่อพี่สาวนั้นซับซ้อนมาก ไม่ใช่ไม่คิดถึง แต่ข้าไม่กล้าคิด” 

 

 

อันปี้หรูอึ้งเล็กน้อย ส่งเสียงเหอะออกมาเบาๆ ทันที “มาหลอกเอาใจข้าอีกแล้ว ด้วยความกล้าของเจ้า ยังมีเรื่องอะไรที่ไม่กล้าคิดอีก?!” 

 

 

หลินหว่านหรงทอดถอนใจคราหนึ่ง “ข้าหลอกเอาใจฟ้าหลอกเอาใจดินหลอกเอาใจฮ่องเต้ แต่ไม่มีวันหลอกเอาใจพี่สาวท่านแน่ นับตั้งแต่วันที่จากกันที่จวนเฉิงอ๋องวันนั้น พี่สาวอาจารย์จากไปด้วยความเสียใจ ใจข้าว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ข้ารู้ว่าพี่สาวอาจารย์ต้องไม่ให้อภัยข้าแน่นอน ตอนทัพใหญ่ออกเดินทางจากเมืองหลวง เซียนเอ๋อร์บอกข้าว่าจะมอบความตื่นเต้นยินดีให้ข้าอย่างหนึ่ง ข้าไม่กล้าคิดเลยว่านั่นคืออะไร ต่อมาตอนอยู่ที่เมืองซิงชิ่ง มีคนใช้เข็มเงินช่วยเหลือ ที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อข้าใช้ดาบฟันลาปู้หลี่ ต่างมีคนเล่นลูกไม้ แต่ข้าไม่กล้าคิดว่านั่นคือพี่สาว เพราะข้ารู้ว่าท่านกำลังโกรธข้าอยู่ ตอนนี้ไม่มีทางปรากฏต่อหน้าข้าแน่ ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าคิดว่าพี่สาวอาจารย์จะตามติดอยู่ข้างกายข้า ไมตรีอันล้ำลึกเช่นนี้จะยิ่งทำให้ข้าละอายใจมากยิ่งขึ้น ไม่กล้าเผชิญหน้าพี่สาวอาจารย์มากยิ่งขึ้น มีคำพูดโบราณประโยคหนึ่งพูดว่าอย่างไรนะ ระดับสูงสุดของความรักก็คือไม่กล้าเผชิญหน้ากับคนที่รัก เพราะทุกครั้งที่นางมองกลับมาจะทำให้ข้ามีความสุขจนตาย ข้าไม่กลัวตาย แต่ข้ากลัวว่าหลังจากตายแล้วจะไม่มีใครรักท่านเช่นข้าอีก!” 

 

 

อันปี้หรูเหม่อลอยนิ่งอึ้ง นางก้มหน้าลงอย่างเงียบงัน มือน้อยสั่นเทาเบาๆ สีแดงซ่านบนใบหน้าแผ่ขยายไปจนถึงซอกคอขาวกระจ่างใส 

 

 

พี่สาวอันต่อกรได้ยากจริงๆ แต่ฝีมือของคนแซ่หลินนั่นเกิดจากประสบการณ์ที่มีมานาน ความหนาของหนังหน้าเขาบนโลกนี้มีน้อยมาก ต่อให้เจ้าเป็นนางเซียนจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า นางจิ้งจอกอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ไม่ว่าใครก็รับลูกระเบิดน้ำตาลอันตรงไปตรงมาเช่นนี้ของเขาไม่ได้  

 

 

แอบมองประเมินพี่สาวอัน เห็นเพียงนางก้มหน้าอยู่ หน้าแดงสดใส คล้ายตำหนิคล้ายยินดี รอยยิ้มบริเวณมุมปากมองเห็นได้ชัดเจน หลินหว่านหรงก็เช็ดหางตาเบาๆ ลุกยืนขึ้นมาอย่างเงียบงัน “ช่างเถอะ ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร ทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างแห่งนี้มีแต่ชนเผ่านอกด่านเต็มไปหมด ข้าไม่รู้เหมือนกันว่ายังจะมีชีวิตรอดกลับไปได้หรือไม่ วันนี้ได้พบพี่สาวอันอีกครั้งข้าก็พึงพอใจแล้ว ปราศจากความถวิลหาอีก ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว” 

 

 

เขาชักเท้าแล้วเดินไป ปราศจากการรั้งรอแม้แต่น้อย ท่าทางแน่วแน่ยิ่งนัก อันปี้หรูจ้องมองเขา รอยยิ้มบริเวณุมปากงามยวนเย้ามากยิ่งขึ้น 

 

 

หนึ่ง สอง สาม หยุดเร็วสิ พี่สาวอัน! เขานับในใจอย่างเงียบๆ พลางเดินไปหลายก้าว ถึงกระนั้นกลับไม่ได้ยินเสียงของอันปี้หรู หน้าผากพลันหลั่งเหงื่อเย็น หรือว่าข้าจะย้ายหินมาทับเท้าตัวเอง? รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่สาวจิ้งจอกคนนี้ไม่ได้รับมือง่ายดายขนาดนั้น 

 

 

ระหว่างที่กำลังกลุ้มใจอยู่นั้นก้นพลันเย็นวาบ เขากระเด้งขวับขึ้นมา หมุนกายแล้วร้องเสียงดังด้วยความยินดี “พี่สาว ท่านมาทิ่มก้นข้าอีกทำไม? เข็มเงินมันแพงมากเลยนะ!” 

 

 

“คิกๆ” อันปี้หรูป้องปากน้อยพลางหัวเราะเบาๆ เรือนร่างอันงามล้ำแกว่งไกวสั่นไหวมีชีวิตชีวา ก็เกิดเป็นระลอกคลื่นเป็นระยะ “ที่ข้ามีก็คือเข็มเงิน ที่ข้ามีก็คือฝีมือ ข้าชอบทิ่มเจ้า เจ้าจะทำอะไรข้าได้?!” 

 

 

หลินหว่านหรงอึ้งไปเช่นกัน ฝีมือของพี่สาวอันสูงกว่าข้า ตั๋วเงินมากกว่าข้า แม้แต่ฝีมือในการจัดการคนยังไม่ด้อยไปกว่าข้าอีก นางอยากจะทิ่มข้าก็ทำอะไรนางไม่ได้จริง ๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ข้าถึงจะทิ่มกลับไปได้บ้าง 

 

 

“ทำไม กลัวหรือ?!” อันปี้หรูเยื้องย่างปทุมาแกว่งไกวเบาๆ เดินอย่างแช่มช้ามาข้างกายเขา กล่าวพลางยิ้มงามยวนเย้า 

 

 

“มะ ไม่กลัว!” หลินหว่านหรงปาดเหงื่อบนหน้าผาก พูดติดอ่าง 

 

 

อันปี้หรูสะบัดชายเสื้อยาว เช็ดเหงื่อให้เขาอย่างอ่อนโยน กล่าวระคนหัวเราะเสียงต่ำข้างใบหูเขา “ของพวกนี้จะทำให้เจ้ารู้จักจำ พูดกันไว้แล้วว่าห้ามหลอกข้า เหตุใดหลังจากนั้นถึงพูดคำพูดคำจาน่าฟังพวกนั้นมาหลอกให้ข้าดีใจอีก เจ้าเห็นข้าเป็นสาวน้อยอ่อนต่อโลกเช่นเซียนเอ๋อร์หรือไง” 

 

 

หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเดือดดาล “พี่สาว นี่ท่านพูดอะไรกัน ข้าพูดจริงทุกถ้อยคำ ทุกประโยคล้วนมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แล้วนี่จะไปหลอกให้ท่านดีใจได้อย่างไร? หากชอบคนหนึ่งแล้วเป็นความผิด ข้ายินดีที่จะผิดแล้วผิดเล่า” 

 

 

“ไม่ได้หลอกให้ข้าดีใจ?” พี่สาวอันหน้าแดงด้วยความอาย ก้มหน้าลงพร้อมพูดเสียงเบา “เช่นนั้นเจ้าพูดอีกรอบสิ ข้าชอบฟังเจ้าพูดหลอกให้ข้าดีใจ!” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด