ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 616 – 2 เจ้ากล้าจุมพิตข้าหรือไม่?

Now you are reading ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ Chapter 616 - 2 เจ้ากล้าจุมพิตข้าหรือไม่? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลมทะเลทรายพัดอย่างบ้าคลั่งส่งเสียงดังซ่าๆ กวาดม้วนผ่านทะเลทรายและทุ่งหญ้า หมุนวนขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นก็ปลิวกระจายไปทั่วจนเกิดเป็นฝนทราย เป็นภาพอันแสนจะยิ่งใหญ่นัก  

 

 

อาชาพ่วงพีหลายตัววิ่งห้อตะบึงมาแล้วหยุดนอกปะรำยาว สวีจื่อฉิงกระโดดลงจากม้าศึก สะบัดฝุ่นดินบนตัว ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร พายุทะเลทรายรุนแรงขนาดนี้ไม่เคยเห็นที่ชายแดนมานานหลายปีแล้ว”  

 

 

“เมื่อเทียบกับพายุหมุนในทะเลแห่งความตาย ทรายแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้?!” เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังข้างใบหูนาง ไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่เร็วไม่ช้า คล้ายเสียงที่ลอยล่องมาจากสรวงสวรรค์  

 

 

คุณหนูสวีหันหน้ากลับมา เห็นว่าข่านใหญ่ดาบทองผู้งดงามคนนั้นหยุดม้าแล้วยืนชดช้อยอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ กำลังทอดสายตามองทรายที่ปลิวอยู่เต็มท้องฟ้า ดวงตาบัดเดี๋ยวเปล่งประกาย บัดเดี๋ยวหมองหม่น บัดเดี๋ยวเอียงอาย บัดเดี๋ยวเศร้าโศก ประหนึ่งภาพเขียนอันล้ำลึกภาพหนึ่ง ใบหน้าด้านข้างของนางสูงสง่างามยวนเย้าอ่อนโยน เปล่งประกายเรืองรองเบาบาง สูงส่งสะดุดตาราวกับดอกเหมยอันบริสุทธิ์ผุดผ่องท่ามกลางลมทะเลทรายอันบ้าคลั่ง   

 

 

สวีจื่อฉิงประสานมือเล็กน้อย กล่าวเสียงเจื้อยแจ้วออกมาว่า “ข่านใหญ่ช่างมาเช้าเสียจริง!”  

 

 

“คุณหนูสวีก็เหมือนกันมิใช่หรือ?!” อวี้เจียสายตาเรียบเฉย กวาดตามองด้านหลังคราหนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าเล็กน้อย “แม่ทัพเฒ่าหลี่ไม่ได้มา คุณหนูสวีเองก็พาผู้ติดตามมาไม่กี่คน ต้าหัวไม่ให้ความสำคัญเช่นนี้ ดูท่าการเจรจาวันนี้เหมือนจะไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่นะ!”  

 

 

“ข่านใหญ่กล่าวเร็วเกินไป” คุณหนูสวีแค่นเสียง “สองฝ่ายเจรจาไม่เกี่ยวว่าจะมีจำนวนคนมากเท่าใด จอมทัพหลี่ไม่ได้มาด้วยตนเองเพราะท่านมอบหมายทุกสิ่งให้ข้าแล้ว ขอเพียงข่านใหญ่มีความจริงใจ จื่อฉิงจะเป็นตัวแทนต้าหัวอย่างเต็มที่ พวกเราคุยได้ทุกเรื่อง”  

 

 

อวี้เจียแหงนหน้ามองทรายที่มีอยู่เต็มท้องฟ้า เงียบงันอยู่นาน จากนั้นถึงถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “เอาเถอะ ถือว่าสวรรค์ประทานโอกาสในการเจรจาครั้งสุดท้ายให้พวกเราสองฝ่าย หวังว่าคุณหนูสวีจะรักษาไว้ด้วยดี สองแคว้นของเราจะประสบสันติสุขหรือว่าประหัตประหาร บางทีอาจอยู่ที่ความคิดชั่ววูบของคุณหนูสวีแล้ว”  

 

 

สวีจื่อฉิงยิ้มหยัน “คำกล่าวนี้น่าจะเป็นข้าที่กล่าวกับข่านใหญ่!”  

 

 

อวี้เจียหรี่ดวงตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อยพร้อมตวาดเบาๆ “ลู่ตงจ้าน!”  

 

 

ราชครูทูเจวี๋ยใช้มือแตะหน้าอก กล่าวด้วยความเคารพ “ท่านข่านใหญ่มีรับสั่งอันใดพ่ะย่ะค่ะ?”  

 

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์กล่าวเรียบๆ “ให้ราชครูทูเจวี๋ยของเราเจรจากับกุนซือสวีคิดว่าคงไม่ได้ผิดต่อต้าหัวที่มาเป็นแขก ราชครู เงื่อนไขที่ข้าเสนอเจ้าเข้าใจแจ้มชัดแล้วใช่หรือไม่?! นั่นคือขีดจำกัดที่ทูเจวี๋ยเราจะทนได้แล้ว ห้ามถอยแม้แต่ก้าวเดียว”  

 

 

ลู่ตงจ้านผงกศีรษะเล็กน้อย ท่าทางมั่นอกมั่นใจ สวีจื่อฉิงเข้าใจ ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยกำหนดเงื่อนไขแน่นอนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว การเจรจากับลู่ตงจ้านก็แค่พอเป็นพิธีเท่านั้น เห็นชัดว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน ความแข็งกร้าวของอวี้เจียกับความกล้าที่ยอมตายของนาง ต้าหัวกับทูเจวี๋ยยากจะบรรลุข้อตกลงได้ตลอดกาล   

 

 

การเจรจาจะสิ้นสุดกันไปแบบนี้หรือ?! เขาไม่มาจริงหรือ? เขาละทิ้งสตรีผู้ยอดเยีย่มเช่นนี้ได้จริงหรือ? ต้าหัวกับทูเจวี๋ยจะรบกันไปตลอดกาลเช่นนี้หรือ? สวีจื่อฉิงถอนหายใจอย่างเงียบงันคราหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรยินดีหรือกลัดกลุ้ม ความรู้สึกประเดประดังเข้ามาภายในจิตใจ   

 

 

“คุณหนูสวี เจ้าคิดว่าสองแคว้นของเรายังมีความจำเป็นต้องเจรจากันต่อไปอีกหรือ?” อวี้เจียสายตาสงบนิ่ง จ้องดวงตาสวีจื่อฉิงเขม็ง คล้ายมีแรงกดดันมหาศาลที่ยากจะบรรยายได้กดทับจิตใจคุณหนูสวีอย่างรุนแรง  

 

 

สตรีแห่งทุ่งหญ้าซึ่งเป็นเจ้าผู้ปกครองแห่งยุคผู้นี้ บารมีหาใช่ธรรมดา สวีจื่อฉิงสงบลมหายใจ ขณะกำลังจะเอ่ยวาจาพลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังกระหึ่ม มีม้าห้อตะบึงท่ามกลางฝุ่นทรายจากสถานที่อันห่างไกล กลับเป็นทหารต้าหัวนายหนึ่ง  

 

 

ทหารผู้นั้นเดินตรงไปเบื้องหน้าคุณหนูสวีพร้อมคุกเข่า “เรียนกุนซือสวี ท่านแม่ทัพแจ้งว่าชาวทูเจวี๋ยชอบเช่นการกดดันเช่นนี้! พวกเรากับทูเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องเจรจากันอีกต่อไป ขอท่านกุนซือโปรดกลับค่ายโดยเร็วขอรับ”  

 

 

ท่านแม่ทัพ? ท่านแม่ทัพคนไหน? สวีจื่อฉิงอึ้งเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกล่าวด้วยความตื่นเต้นยินดี “เขา เขามาแล้ว?!”  

 

 

“ขอรับ! ท่านแม่ทัพเชิญกุนซือสวีกลับค่ายโดยเร็ว!”  

 

 

สวีจื่อฉิงหมุนกายด้วยความยินดี ทอดสายตามองทะเลทรายอันห่างไกล รถม้าคันหนึ่งจอดสงบนิ่ง ผ้าม่านรถขยับวูบไหวเล็กน้อย ทรายเหลืองปลิวว่อนจนแทบจะกลบมิด จากสถานที่ที่จอดอยู่ ห่างจากปะรำแค่ไม่กี่ลี้ ทว่ารถม้ากลับไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว  

 

 

คุณหนูสวีหัวเราะพลางผงกศีรษะ เอ่ยกับอวี้เจียด้วยท่าทีหยิ่งผยอง “ในเมื่อข่านใหญ่คิดว่าพวกเราสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องเจรจากันอีก เช่นนั้นก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว พบกันบนสนามรบวันหน้าก็แล้วกัน จื่อฉิงขอลา!”  

 

 

นางพลิกตัวขึ้นม้า หวดแส้อย่างเร็วรี่ อาชาพ่วงพีตัวนั้นร้องยาวๆ คราหนึ่ง สะบัดกีบเท้าแล้วมุดเข้าไปท่ามกลางลมทะเลทราย วิ่งห้อตะบึงไปยังสถานที่อันห่างไกล  

 

 

เหตุการณ์นี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคน ความเร็วในการถอนตัวออกจากการเจรจาของต้าหัวกลับรวดเร็วกว่าที่ชาวทูเจวี๋ยคิดเอาไว้มาก บอกจะมาก็มา บอกจะไปก็ไป ปราศจากการชักช้าแม้แต่น้อย  

 

 

ราชครูทูเจวี๋ยอึ้งอยู่นาน ผ่านไปเนิ่นนานถึงพูดด้วยความสงสัยเสียงแผ่วเบา “ท่านข่านใหญ่ ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?! หรือว่าจะเปิดศึกกับต้าหัวตอนนี้จริง? ท่านข่านใหญ่ ท่านข่านใหญ่!”  

 

 

เขาเอ่ยถามต่อเนื่องหลายครั้ง ทว่าอวี้เจียกลับไร้ปฏิกิริยาแม้แต่น้อย แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังไม่ได้ยิน  

 

 

ลู่ตงจ้านรีบเงยหน้า เห็นว่าสายตาของข่านใหญ่ดาบทองกำลังจ้องมองสถานที่อันห่างไกลอย่างลึกซึ้ง ส่วนมือน้อยที่กุมดาบทองกลับสั่นเทาเล็กน้อย  

 

 

“ท่านข่านใหญ่…”  

 

 

“เตรียมม้า!” อวี้เจียร้องเรียกเบาๆ น้ำเสียงยืนกรานอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

มีทหารม้าทูเจวี๋ยส่งอาชาเหล็กมาให้ อวี้เจียมองรถม้าที่จอดนิ่งอยู่ไกลๆ คันนั้น ใจเต้นรัวดังตึกตักในบัดดล นางพยายามสงบลมหายใจอย่างเต็มที่ กระโดดขึ้นคร่อมม้าอย่างรวดเร็ว พร้อมตวาดว่า “ไป!” เสียงดังเจื้อยแจ้ว โถมกายพุ่งทะยานไปยังสถานที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าสีทอง  

 

 

ลู่ตงจ้านเห็นแล้วก็ตื่นตระหนก รีบโบกมือ “ท่านข่านใหญ่ นั่นคือเขตแดนต้าหัว มิอาจไปได้ มิอาจไปได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”  

 

 

อวี้เจียท่าร่างแข็งแรง เคลื่อนที่รวดเร็วดั่งสายลม ไหนเลยจะได้ยินเสียงตะโกนร้องเรียกของมัน เมื่อเห็นสวีจื่อฉิงไปถึงหน้ารถม้าคันนั้น กำลังยื่นศีรษะเข้าไปด้านในพร้อมเอ่ยวาจา รอยยิ้มบนใบหน้างดงามยวนเย้ายิ่งกว่าบุปผา รถม้าคันนั้นก็หมุนเปลี่ยนทิศทาง กำลังจะเคลื่อนที่กลับไป  

 

 

“ไป!” ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยตวาดอย่างรุนแรง เล็งรถม้าที่เริ่มเคลื่อนที่อย่างแช่มช้าคันนั้น ใช้ฝีมือการขี่ม้าออกมาจนถึงขีดสุด อาชาใต้ร่างพุ่งปราดออกไปดั่งดาวตก ทรายส่งเสียงหวีดหวิวข้างใบหูนางดั่งห่าธนู  

 

 

สามร้อยจั้ง สองร้อยจั้ง เมื่อเห็นว่ารถม้าคันนั้นใกล้ตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ ผ้าม่านที่ขยับวูบไหวมองเห็นอย่างชัดเจน อวี้เจียกัดฟันกรอดทันที หวดแส้ดังขวับ อาชาใต้ร่างแหงนหน้าส่งเสียงร้อง พุ่งไปถึงราวกับสายฟ้าฟาด  

 

 

“หยุด!” ม้าแหงนหน้ากู่ร้อง เงาร่างสีทองสายหนึ่งหยุดอยู่หน้สรถม้าราวกับสายอสุนีบาตกรีดท้องนภา ม้าศึกของทั้งสองฝ่ายหยุดฝีเท้าพร้อมกัน กู่ร้องยาวดังกึกก้องไม่หยุด  

 

 

สวีจื่อฉิงตกใจยิ่งนัก เอ่ยด้วยโทสะออกมาว่า “ข่านใหญ่ทูเจวี๋ย เจ้ารุกล้ำเขตแดนต้าหัวโดยพลการ คิดจะทำสิ่งใด?!”  

 

 

อวี้เจียส่ายหน้าอย่างเงียบงัน กระโดดลงจากม้าเบาๆ เดินไปข้างหน้าอย่าแช่มช้าทีละก้าว ทีละก้าว ยิ่งเข้าไปใกล้ ใจก็เต้นรุนแรงมากยิ่งขึ้น แทบจะสะกดกลั้นลมหายใจตนเองไม่อยู่แล้ว  

 

 

ร่างกายนางสั่นเทาเล็กน้อย พิงเพลารถอย่างหมดแรง ยื่นมืองามอันเรียวยาวออกไปลูบไล้ผ้าม่านรถอย่างอ่อนโยน น้ำตาทำให้สองตาพร่าเลือนในบัดดล “คนที่อยู่ในรถ เจ้ากล้าจุมพิตข้าหรือไม่?!”  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด