ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 569 – 1 วางยาพิษเจ้าให้ตาย

Now you are reading ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ Chapter 569 - 1 วางยาพิษเจ้าให้ตาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อกำลังพลขบวนใหญ่เดินทางล่วงเข้าสู่ทะเลทรายอันเวิ้งว้างต่อไป อากาศก็ยิ่งร้อนระอุมากขึ้นเรื่อยๆ สภาพภูมิอากาศแห้งแล้งมากยิ่งขึ้น ลมทะเลทรายอันรุนแรงพัดเสียจนไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้ 

 

 

สิ่งที่ทำให้คนกังวลหาใช่เพียงเท่านี้ ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางทะเลแห่งความตายมากขึ้นเรื่อยๆ ลมทะเลทรายก็ทวีความรุนแรงตาม ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวันหรือว่ากลางคืน ลมทะเลทรายอันรุนแรงบ้าคลั่งก็จะกลบท้องฟ้าจนเป็นสีเหลืองแดงไปจนหมดสิ้น กำแพงทรายสูงตระหง่านประหนึ่งลูกข่างที่กำลังหมุนวน ส่งเสียงหวีดหวิว คำรามเสียงดังลั่น พุ่งปะทะเข้าหาขบวน ฝังทุกคนอยู่ท่ามกลางทรายสีเหลือง แม้แต่การหายใจก็ยากลำบากเหลือแสน ยิ่งเดินมุ่งหน้าไปมากเท่าไหร่ ทะเลแห่งความตายก็ยิ่งเผยโฉมหน้าอันบิดเบี้ยวของมันมากขึ้นเท่านั้น  

 

 

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่แค่ความเร็วในการเดินทางจะลดทอนช้าลงไปมากเท่านั้น เรื่องอาหารการกินก็ทวีความยากลำบากมากขึ้นเช่นกัน ทุกวันจะต้องมีม้าศึกจำนวนหลายสิบตัวที่ล้มแดดิ้นอยู่กลางทะเลทราย เหล่านายทหารเองก็ค่อยๆ เกิดอาการขาดน้ำ 

 

 

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าต้องอับจนกลายเป็นมนุษย์แห้งแล้วแน่ๆ” เกาฉิวแลบลิ้นหอบ น้ำลายที่ถ่มออกมาล้วนเป็นสีเหลือง เต็มไปด้วยดินทราย “ทะเลแห่งความตายมารดามันแห่งนี้ช่างไม่ใช่สถานที่ที่คนจะอยู่ได้เลยจริงๆ พวกเราจะออกไปได้เมื่อไหร่กันแน่นะ?!” 

 

 

หลินหว่านหรงลำคอแห้งผากจนพ่นควัน เขากลืนน้ำลายอย่างแรง รู้สึกเจ็บลำคอเล็กน้อย นี่คืออาการของการขาดน้ำ 

 

 

“เมื่อดูจากทิศทางในตอนนี้ พวกเราน่าจะเดินทางได้ประมาณครึ่งทางแล้ว” หน้าผากของเขาร้อนระอุ ขณะที่ใช้แขนเสื้อยกขึ้นไปเช็ดกลับไม่พบเม็ดเหงื่อสักเท่าไหร่ “พี่เกา ท่านอย่าร้อนใจไป เมื่อดูจากโครงกระดูกที่พบระหว่างทางแล้ว เส้นทางที่พวกเรากำลังเดินทางอยู่นั้นไม่ผิด ต้องเคยมีคนรุ่นก่อนเดินทางตัดทะลุผ่านหลัวปู้ปั๋วจนเคยไปถึงแถบเกาชางและเทียนซานแน่นอน”  

 

 

พอเอ่ยถึงโครงกระดูกขาว เกาฉิวก็ขนลุกไปทั้งร่าง นับตั้งแต่วันนั้นที่ค้นพบกระดูกท่อนแรก สองวันที่ผ่านมานี้ไม่รู้ว่าพวกเขาเห็นวิญญาณอนาถาที่ล่วงลับไปแล้วมากเท่าใด หากพูดอย่างไม่เกินเลยไปนัก เส้นทางสายไหมแห่งนี้ก็คือสถานที่ที่เกิดจากกองโครงกระดูก เมื่อเทียบกับผู้บุกเบิกเส้นทางเหล่านี้ พวกเขานอกจากมีจำนวนมากกว่าสักหน่อย ก็ไม่เห็นมีข้อได้เปรียบมากกว่านี้แล้วจริงๆ  

 

 

“เกาชาง เทียนซาน?!” หูปู้กุยขมวดคิ้วมุ่น “สถานที่หลายแห่งนี้ข้าเคยได้ยินมาก่อน แต่เหมือนว่าพวกเราจะมีน้อยคนยิ่งที่เคยไปถึงสถานที่เหล่านี้นะขอรับ” 

 

 

หลินหว่านหรงผงกศีรษะส่งเสียงอืม “เช่นนั้นพวกเราก็มาเป็นคนกลุ่มแรกที่ไปถึงก็ได้ เทียนซานเป็นสถานที่ที่ดีงาม สกุณาขับขานบุปผาหอมจรุง ทัศนียภาพประดุจภาพเขียน บนยอดเขามีหิมะและสระน้ำแห่งสรวงสวรรค์ ตามตำนานเล่าว่าเป็นสถานที่ลงสรงของเหล่าองค์หญิงของเง็กเซียนฮ่องเต้ เมื่อข้ามผ่านเทือกเขาเทียนซานก็จะบรรลุถึงภูเขาอาเอ่อร์ไท่ พวกเราจะเข้าสู่ทุ่งหญ้าอาลาซ่านอีกครั้งจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือของภูเขาอาเอ่อร์ไท่ เมื่อเดินทางตัดผ่านเคอปู้ตัวกับทะเลสาบอู้ซูปู้รั่วเอ่อร์ก็จะไปถึงเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของทูเจวี๋ย”  

 

 

เส้นทางสายนี้คนทั้งหลายต่างรู้อยู่แก่ใจตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้ว ครั้นเดินทางตัดผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่เข้าสู่ทุ่งหญ้า นั่นจะเป็นสถานที่ที่พวกเขาได้แสดงฝีไม้ลายมือ แต่ที่เดินทางยากลำบากมากที่สุดก็คือเส้นทางจากทะเลแห่งความตายไปจนถึงเทียนซานแห่งนี้ 

 

 

“ใช่แล้วล่ะ ท่านแม่ทัพ หลี่อู่หลิงเป็นอย่างไรบ้างแล้วขอรับ?” หูปู้กุยเคยถามด้วยความกังวลอย่างยิ่ง “อวี้เจียบอกว่าภายในสามวันเขาก็จะฟื้นขึ้นมา? แต่วันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้วนะขอรับ!” 

 

 

หลินหว่านหรงผงกศีรษะ นี่เป็นปัญหาที่เขากังวลมาตลอดเช่นกัน นับตั้งแต่ส่งถุงน้ำให้ อวี้เจียก็ทำเหมือนมองไม่เห็นเขา หลายวันมานี้นางกลับไม่พูดจากับเขาแม้แต่ประโยคเดียว 

 

 

“ข้าจะลองไปดูก็แล้วกัน” หลินหว่านหรงโบกมือ เดินมุ่งตรงไปยังรถมาของหลี่อู่หลิง เพิ่งจะเลิกผ้าม่านครึ่งก็ได้กลิ่นหอมจางๆ ลอยเตะจมูก เมื่อเพ่งมองอย่างถ้วนถี่กลับเห็นว่าสาวน้อยทูเจวี๋ยมือถือครกตำยา กำลังตำยาเบาๆ อยู่ กลิ่นหอมนั้นลอยมาจากภาชนะที่บรรจุยาเอาไว้ 

 

 

หลินหว่านหรงมุดร่างขึ้นไป นำจมูกเข้าไปใกล้แล้วดม จากนั้นจึงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นี่มันยาอะไรกัน หอมจังเลยนะ!”  

 

 

อวี้เจียเหลือบมองเขาคราหนึ่ง จากนั้นจึงเบือนหน้าไป เหมือนไม่อยากสนทนากับเขา 

 

 

แม่หนูคนนี้เป็นอะไรไปอีกแล้ว?! หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะแห้งๆ สองครา “คุณหนูอวี้เจียลำบากแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเส้นตายสามวัน ไม่ทราบว่าพี่น้องของข้าคนนี้จะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่” 

 

 

“ไม่ต้องให้เจ้ามาเตือนข้า” สีหน้าของอวี้เจียเย็นชา ผลักครกตำยาใส่มือเขา “เจ้ามาได้พอดี ตำสมุนไพรนี้ให้แหลกละเอียด!” 

 

 

น้ำเสียงของนางเย็นชา ออกคำสั่งอย่างไม่เกรงใจ ในเมื่อเป็นการตำยาให้เสี่ยวหลี่จื่อ หลินหว่านหรงย่อมยินดีสั่งนางเรียกใช้อย่างเต็มใจ สากตำยาราวกับโบยบินได้ กระแทกภาชนะไม้นั้นเสียงดังปังๆ ผ่านไปไม่นานก็บดสมุนไพรนั้นจนเป็นผง ที่นางใช้ไม่รู้ว่าเป็นสมุนไพรใดเช่นกัน ดมแล้วรู้สึกหอมมาก เมื่อสัมผัสถูกผิวหนังเพียงนิดเดียวกลับเย็นยิ่งนัก  

 

 

“น้ำ!” เมื่อเห็นว่าผงยาบดได้พอสมควรแล้ว อวี้เจียก็หยิบชามไม้มาชามหนึ่ง ออกคำสั่งอย่างเย็นชาว่า 

 

 

หลินหว่านหรงรีบหยิบถุงน้ำมาจากเอวแล้วเปิดฝาออกพร้อมเทน้ำลงไป อวี้เจียเห็นรอยริมฝีปากสีแดงที่แห้งแข็งอยู่บนปากถุงก็เบือนหน้าไปพร้อมแค่นเสียง “เหตุใดถึงยังมีมากขนาดนี้ เจ้าไม่ได้ดื่มเลยหรือ?!”  

 

 

“เสียดาย…” หลินหว่านหรงปิดจุกถุงน้ำนั้นอย่างระมัดระวัง หัวเราะพร้อมตอบกลับมา 

 

 

สองแก้มของสาวน้อยทูเจวี๋ยร้อนลวกเล็กน้อย ก้มหน้าแล้วเทผงยาลงไปในชามพร้อมคนเบาๆ “เสียดายอะไรกัน ชาวต้าหัวเช่นพวกเจ้าก็รู้จักแต่หลอกลวงคน!”  

 

 

หลินหว่านหรงรีบโบกมือ “ข้าหมายความว่าทรัพยากรน้ำล้ำค่า ดังนั้นถึงเสียดายที่จะดื่ม! ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอื่น เจ้าอย่าคิดเตลิดไป!” 

 

 

“เจ้าน่ะสิถึงคิดเตลิด! ถือไว้!” อวี้เจียเอ่ยปากด้วยความหงุดหงิดรำคาญ ส่งชามไม้ให้เขา หลินหว่านหรงจึงทำได้แค่ถือประคองไว้อย่างระมัดระวังเท่านั้น 

 

 

อวี้เจียควักสมุนไพรแห้งท่อนหนึ่งออกมาจากอก มาพร้อมกลิ่นที่ทำให้สำลัก นางหักสมุนไพรนี้ออกเป็น สองท่อนอย่างระมัดระวัง ส่วนที่เหลือก็เก็บกลับเข้าไปในอก หลินหว่านหรงลองดมดู สีหน้าอดแปรเปลี่ยนไม่ได้ “นี่คือ…หญ้าแสบจมูก?!” 

 

 

“นับว่าเจ้ายังพอมีความรู้อยู่บ้าง!” สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียงออกมา ฉีกยาแสบจมูกให้เป็นชิ้นๆ แล้วโยนลงไปในชามยา ชามยาซึ่งเดิมทีส่งกลิ่นหอมออกมาก็มีกลิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปทันที กลิ่นฉุนแสบจมูกกลิ่นหนึ่งลอยเข้ามา ช่างเหม็นยิ่งนัก 

 

 

ใช้ใบยาสูบเป็นตัวยา นี่ก็ไม่ใช่ตำรับยาของการแพทย์แผนจีนแน่นอน ที่แท้เยวี่ยหยาเอ๋อร์กำลังเล่นพิเรนทร์อะไรกันอยู่นะ? เมื่อได้กลิ่นฉุนแสบจมูกนั้น หลินหว่านหรงจึงพูดออกมาเบาๆ “หมอเทวดาอวี้เจีย ที่แท้นี่มันคือยาอะไรกันแน่ กลิ่นมันช่าง…ช่างพิเศษเสียจริงนะ!” 

 

 

“พิเศษอย่างนั้นหรือ?!” อวี้เจียยิ้มเล็กน้อย ยกชามยาไปที่ริมฝีปากเขาแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “เจ้าลองชิมดูสิ!” 

 

 

“ให้ข้าชิม?!” หลินหว่านหรงตะกุกตะกัก “ไม่ต้องจะดีกว่า ข้าไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย จะกินยาทำไมกันเล่า” 

 

 

อวี้เจียผงกศีรษะ “เจ้าไม่ชิม? ถ้าเช่นนั้นก็ป้อนให้ผู้ได้รับบาดเจ็บผู้นี้เลยก็แล้วกันนะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่อยู่แล้ว!” 

 

 

“หมายความว่าอย่างไร?” หลินหว่านหรงเบิกตาขึ้นโพลง กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง 

 

 

อวี้เจียมองเขาแวบหนึ่ง ตอบอย่างไม่เร็วไม่ช้า “นี่คือสมุนไพรที่ค่อนข้างพิเศษอย่างหนึ่ง อยากให้คนที่ค่อนข้างหน้าหนามาลองยา ก็ง่ายๆ เช่นนี้ล่ะ!” 

 

 

คนหน้าหนามาลองฤทธิ์ยา? นังหนูคนนี้ด่าข้าอีกแล้ว! หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครั้ง “คงไม่มีพิษหรอกนะ…” 

 

 

“เจ้าเลือกที่จะไม่ดื่มก็ได้…” อวี้เจียมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา 

 

 

ถ้าบอกว่าวางยาพิษ นางก็สามารถเล่นตุกติกในถุงน้ำได้เลยทันที ไหนเลยจะต้องเติมลงไปในตัวยาด้วย 

 

 

หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะออกมาหลายครั้ง มองน้ำยาที่ผสมคลุกเคล้านั้น เขากลั้นใจ บีบจมูกแล้วชิมคำเล็กๆ คำหนึ่ง 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด