ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 558 – 1 สวรรค์ของพวกเรา

Now you are reading ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ Chapter 558 - 1 สวรรค์ของพวกเรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลินหว่านหรงนิ่งอึ้งตะลึงงัน ค่อยๆ หันร่างกลับมา เห็นว่าตรงหน้ามีสตรียืนอยู่นางหนึ่ง ริมฝีปากแต้มสีชาด ดวงหน้างามเฉิดฉัน ผิวพรรณขาวอันนุ่มนิ่มเรียบลื่นแฝงสีเลือดฝาด นัยน์ตาเรียวยาวคิ้วโก่ง บั้นท้ายงามงอนเอวคอดกิ่ว ร่างกายซึ่งถูกขับเด่นภายใต้ชุดกระโปรงสีขาวอวบอัดเป็นผู้ใหญ่ ส่วนโค้งส่วนเว้าล้ำเลิศ ก่อเป็นเส้นสายอันงดงาม 

 

 

นางมองประเมินหลินหว่านหรงอย่างถ้วนถี่ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม มืองามทัดปอยผมข้างหูเบาๆ การเคลื่อนไหวแผ่วเบานุ่มนวล การยกมือย่างเท้าเผยท่วงท่าอันงามหยาดเยิ้มเกียจคร้านออกมา ราวกับสตรีที่แต่งงานแล้วผู้งดงามสูงศักดิ์ที่กำลังพร่ำบ่นตัดพ้อ ยวนเสน่ห์ยิ่งนัก น่าลุ่มหลงยิ่งนัก 

 

 

“ท่าน…ข้า…” หลินหว่านหรงมองจนแน่นิ่งเป็นบื้อใบ้ ฝีปากที่ปกติแคล่วคล่องช่างเจรจาขมุบขมิบอยู่นาน ทว่ากลับพูดไม่ออกสักคำเดียว 

 

 

สตรีผู้งดงามเฉิดฉันยวนเสน่ห์ผู้นี้มุมปากอมยิ้ม เยื้องยุรยาตรเบาๆ กระแสคลื่นความอบอุ่นยามวสันต์ไหลเวียน ยามชม้ายชายตามีชีวิตชีวา นางเดินเข้ามาพลางหัวเราะคิกคักเบาๆ ค้อนเขาอย่างยวนเย้าคราหนึ่ง “ท่านอะไร ข้าอะไร? ทำไมหรือน้องชาย เห็นข้าแล้วแม้แต่พูดจาก็ทำไม่ได้แล้วหรือ?!” 

 

 

หลินหว่านหรงเบ้าตาแดงในบัดดล กางแขนอ้าอ้อมอกเข้าไปต้อนรับทันที “พี่สาวอาจารย์ ท่านมาได้อย่างไร?! น้องชายคิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว กอดๆ ข้าต้องการกอดๆ!” 

 

 

พี่สาวอาจารย์หัวเราะคิกคัก ดวงตาฉายประกายเจ้าเล่ห์ ร่างอันยวนเสน่ห์ขยับบิดราวกับงู ทำให้สองมือเขากอดอากาศทันที 

 

 

“พอเห็นหน้าก็คิดจะเอาเปรียบข้าแล้วหรือ? ข้าไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะ” อันปี้หรูกะพริบตาปริบๆ กล่าวพลางยิ้มแย้มเล็กน้อย “จะกอดก็ไปกอดพี่สาวนางเซียนของเจ้านั่นไป เจ้าคิดถึงแต่นางตลอด ข้าได้ยินชัดเจน” 

 

 

นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ประหนึ่งเป็นประโยคล้อเล่น หลินหว่านหรงกลับหน้าร้อน ลอบรู้สึกละอายใจ เหตุใดข้าถึงกลายเป็นคนความรู้สึกช้าแบบนี้นะ คนที่ทิ่มเข็มที่ก้นข้าได้ ทั้งยังหยามเหยียดอย่างรุนแรงกับอวี้เจียมากขนาดนั้น นอกจากพี่สาวอันที่เป็นนางจิ้งจอกคนนี้แล้วยังจะมีใครทำได้อีก? นางเตือนสติข้ามาสองครั้งแล้ว แต่น่าแค้นใจที่ข้ากลับคิดไปเองก่อน คิดว่าต้องเป็นนางเซียนหนิงมาแน่นอน ดังนั้นถึงได้เข้าใจผิดมากขนาดนี้ ช่างละอายใจต่อความห่วงใยของพี่สาวอันเสียจริง  

 

 

“เหตุใดถึงไม่พูดแล้วล่ะ?” เมื่อเห็นเขาก้มหน้าลงเงียบงันไม่เอ่ยวาจา สงบนิ่งอย่างน้อยครั้งจะมีได้นับตั้งแต่รู้จักมา อันปี้หรูกะพริบตา ค่อยเดินเข้าไปใกล้เขา กล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “หรือว่าน้องชายเจ้าเห็นข้าแล้วไม่มีความสุข ไม่ดีใจ?!” 

 

 

“ไม่ใช่นะ” หลินหว่านหรงส่ายหน้า สองตาแดงก่ำ กล่าวพึมพำ “พี่สาวอาจารย์ ท่านไม่รู้ น้องชายไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เคียดแค้นโรคหลายใจของข้านี้” 

 

 

อันปี้หรูครุ่นคิด จากนั้นก็เข้าใจความหมายของเขา นางอดหัวร่องอหายไม่ได้ อกงามอันอวบอิ่มสั่นสะเทือนราวกิ่งบุปผาที่แกว่งไกว กรีดเป็นระลอกคลื่นอันแสนจะงดงาม 

 

 

หลินหว่านหรงมองจนดวงตาพร่าพราย อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ยื่นมือมาจับมือนาง “พี่สาว ท่านหัวเราะอะไร?” 

 

 

อันปี้หรูหลบกรงเล็บมารเขาโดยปราศจากพิรุธ มองค้อนเขาคราหนึ่ง กล่าวระคนหัวเราะออกมา “ข้าก็ว่าคืออะไร เรื่องเล็กน้อยขนาดนี้เจ้าก็ต้องมาโทษตัวเองขนาดนี้ด้วยหรือ? น้องชาย เจ้าลืมที่ข้าเคยพูดกับเจ้าแล้วหรือ เจ้ายิ่งคิดถึงศิษย์พี่ข้ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งดีใจมากขึ้นเท่านั้น” 

 

 

หลินหว่านหรงอึ้ง เมื่ออยู่ต่อหน้านางจิ้งจอกอันคนนี้ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นคนทึ่ม “เพราะอะไร พี่สาวอาจารย์ ท่านไม่หึงหรือ?” 

 

 

“หึงกับผีเจ้าน่ะสิ!” อันปี้หรูปรางแก้มขาวสะอาดแดงเล็กน้อย จิ้มหน้าผากเขาเบาๆ คราหนึ่ง กล่าวพลางหัวเราะฮิๆ “หนังหน้าของเจ้านี้กลับหนานักนะ เห็นว่าข้าหลอกง่ายหรืออย่างไร? ตอนแรกให้เจ้าเข้าเมืองหลวงไปล่อลวงศิษย์พี่ข้า เจ้ากลับแกล้งทำเป็นหน้าบาง จะเป็นจะตายก็ไม่ยอม ตอนนี้กลับดีนักนะ ความรักเป็นชู้สุกงอม แต่กลับยังมาทำไขสือต่อหน้าข้าอีก น้องชาย เจ้าว่าข้าควรชอบเจ้าหรือว่าหงุดหงิดเจ้าดี? คิกๆ…” 

 

 

นางจิ้งจอกอันหัวเราะเบาๆ ประชิดใบหน้าอันพราวเสน่ห์นั้นมาอยู่ข้างหน้าเขา แววตาเปล่งประกาย มองพินิจเขาอย่างถ้วนถี่ 

 

 

ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้ยิ่งนัก รู้สึกถึงลมหายใจของทั้งสองฝ่ายได้รางๆ สายลมอุ่นอันอ่อนนุ่มนั้นพัดผ่านใบหน้า อดทำให้เขาหายใจติดขัดไม่ได้ 

 

 

นับตั้งแต่จากลากันที่จวนเฉิงอ๋องในกาลก่อน ทั้งสองคนก็ไม่ได้พบหน้ากันนานแล้ว เมื่อคิดถึงความรักใคร่สุดซึ้งที่ไม่อาจแยกจากกัน เสียงหัวเราะอันพราวเสน่ห์ของพี่สาวอัน เสียงร้องครางเบาๆ ราวกับจิ้งจอกในคืนนั้น แม้จะแค่แสดงละคร แต่กลับไม่มีใครเสแสร้ง ยังล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำและเงินแท้เสียงอีก 

 

 

ไม่พบกันนาน ร่างอันยวนเย้าของอันปี้หรูก็ยิ่งสมบูรณ์เป็นผู้ใหญ่ประดุจเปลวเพลิง ทำให้คนไม่อาจหักใจเคลื่อนสายตาออกไปได้ รูปโฉมของนางงามพิลาสทรงเสน่ห์ เหนือล้ำกว่ากาลก่อน เสียงหัวเราะดังไม่หยุด ความสนุกสนานบังเกิดไม่ขาดสาย เพียงแต่ใบหน้าที่อิดโรยเล็กน้อย หางตาซึ่งผุดความรู้สึกตัดพ้อเสียใจเป็นบางครั้งนั้น กลับเปิดเผยอะไรบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัว 

 

 

“พี่สาวอาจารย์ ท่านผอมลง!” จ้องใบหน้านาง หลินหว่านหรงก็พึมพำพลางถอนหายใจคราหนึ่ง 

 

 

“อย่างนั้นหรือ?!” อันปี้หรูลมหายใจชะงักงัน ปีกจมูกกระจุ๋มกระจิ๋มกระตุกเบาๆ ก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว ไหล่งามสะท้านเล็กน้อย ฝ่ามือเรียวยาวบีบกำแน่นหลายครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครากลับเป็นรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มเหลือประมาณ “น้องชาย อย่าพูดจาเหลวไหล ใช้ตาเจ้ามองให้ชัดก่อนแล้วค่อยพูด ข้าผอมตรงไหนกัน?” 

 

 

นางยิ้มยวนเย้า สองมือเท้าสะเอว หมุนวนด้วยท่วงท่าอรชรหลายรอบ สะโพกอวบอิ่มเอวคอด ราวกับสายลมวสันต์พัดโชยกิ่งหลิว รูปร่างอันล้ำเลิศอ้อนแอ้นนั้นกลายเป็นทัศนียภาพอันงดงาม เหมือนดั่งนางเซียนจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าลงมาสู่แดนดิน ทำให้หลินหว่านหรงมองจนเป็นบื้อใบ้ไป 

 

 

“เจ้ารีบว่ามาเร็ว ข้าผอมตรงไหน?! พูดไม่ได้ ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า!” นางจิ้งจอกอันหยุดหมุนร่างอันงดงามอรชรนั้น จ้องตาหลินหว่านหรงเขม็ง ออกแรงเงื้อกำปั้นน้อย รอยยิ้มงดงามยวนเย้าน่าลุ่มหลงเป็นพิเศษ 

 

 

“เช่นนั้นก็ไม่ใช่ท่านผอมแล้ว” หลินหว่านหรงจมูกร้าวระบม กล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “เป็นสายคาดเอวที่หลวมไป ฝีมือการเย็บก็ไม่ดี! คราวหน้าน้องชายจะตัดชุดที่พอดีตัวมากที่สุดให้พี่สาวตัวหนึ่ง รับรองว่าท่านจะเหมือนนางเซียนยิ่งกว่านางเซียน” 

 

 

“หึ ฝีมือในการเย็บไม่ดี ทำสายคาดเอวหลวม!” อันปี้หรูแค่นเสียงเบาๆ อย่างไม่ลดราวาศอก ก้มหน้าลงไปโดยไม่รู้ตัว ไม่เอ่ยวาจาอีก ไหล่งามสะท้อนเบาๆ  

 

 

“พี่สาว…” เหมื่อเห็นหยดน้ำตาที่หยดลงบนทุ่งหญ้าเบาๆ นั้น หลินหว่านหรงก็อดรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก อ้าแขนออก คิดจะกอดนางเข้าสู่อ้อมอก 

 

 

อันปี้หรูกลับเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน น้ำตาคลอในดวงตา ยิ้มแย้มพลางมองเขา 

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเช่นกัน ที่อยู่ตรงหน้าเห็นชัดว่ายังเป็นพี่สาวอันที่ยั่วยวนราวกับนางจิ้งจอกคนนั้น ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่จินหลิงก็เอารัดเอาเปรียบไปไม่น้อย เพียงแต่พอเปลี่ยนเป็นภาพในปัจจุบัน มองดูอันปี้หรูซึ่งเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่เหมือนเดิมตรงหน้า เขากลับรู้สึกขลาดกลัว สองมือไม่รู้ว่าควรยื่นไปหรือว่ารั้งกลับมาดี ค้างนิ่งอยู่กลางอากาศ 

 

 

อันปี้หรูยิ้มพลางปาดน้ำตา มองค้อนเขาอย่างยวนเย้าคราหนึ่ง เอ่ยวาจาพร้อมหัวเราะฮิๆ “น้องชาย ฝีมือดีขึ้นนะ แม้แต่ข้าก็ยังเกือบทนถ้อยคำหวานหูของเจ้าไม่ได้ คิดว่าศิษย์พี่ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องประดุจเซียนของข้าคนนั้นก็พ่ายแพ้ใต้เงื้อมมือเจ้าเช่นนี้ แม้แต่ข้ายังทนไม่ได้ นางจะแพ้ก็ไม่ผิด!” 

 

 

เมื่อได้ยินนางเอ่ยถึงหนิงอวี่ซีก็นึกถึงบุญคุณความแค้นที่ยากจะตัดรอนระหว่างพวกนางขึ้นมา อีกทั้งตนเองก็มีความสัมพันธ์กับพวกนางในเวลาเดียวกัน เรื่องราวบนโลกดั่งหมากล้อมเสียจริง ไม่มีใครรู้ว่าจะกลับกลายมาจนถึงขั้นนี้ หลินหว่านหรงอดถอนใจไม่ได้ ยิ้มขึ้นพลางส่ายหน้า 

 

 

อันปี้หรูมองดูสีหน้าของเขา แล้วก็อดกะพริบตาไม่ได้ ค่อยๆ เข้าไปใกล้ใบหน้าเขา ริมฝีปากน้อยสีแดงสดพ่นกลิ่นกรุ่นดุจกล้วยไม้หัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “น้องชาย ได้ยินว่าเจ้ากับศิษย์พี่ของข้าคนนั้นอยู่กันตามลำพังบนยอดเขาตั้งหลายวัน ทัศนียภาพที่นั่นล้ำเลิศ เป็นอย่างไร ได้ลิ้มรสชาดบนริมฝีปากนางบ้างหรือยัง? มีรสชาติเช่นไร เล่าให้พี่สาวฟังสักหน่อยสิ คิกๆ” 

 

 

พี่สาวอันก็คือพี่สาวอัน หากเอ่ยถึงนิสัยเผ็ดร้อนอุกอาจ ใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครเทียมทัดนางได้ แม้แต่เซียนเอ๋อร์เองก็แค่เรียนรู้เพียงกระผีกเดียวจากนาง หลินหว่านหรงไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไรดี จึงหัวเราะฮ่าๆ แห้ง ๆ หลายครั้ง กล่าวอย่างเหนียมอายว่า “ข้าไม่ค่อยถนัดเรื่องกินชาดทาปากสักเท่าไหร่ ยังต้องให้พี่สาวท่านชี้มากกว่านี้ถึงจะได้” 

 

 

อันปี้หรูหกวาดสายตามองเขาหลายครั้ง นิ้วมือเรียวยาวงดงามจิ้มหน้าผากเขา หัวเราะพร้อมพูดตำหนิออกมาว่า “สารเลวน้อย คิดเอาเปรียบข้าหรือ?! ไม่มีทาง! เจ้าไม่พูดข้าก็รู้ ศิษย์พี่ของข้าเป็นความฝันของบุรุษทั้งแผ่นดิน เป็นนางเซียนผู้น่าเกรงขามไม่อาจรุกก้ำกล้ำเกินได้ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ ครานี้ตกอยู่ในน้ำมือเจ้า รสชาตินั้นจะต้องล้ำเลิศพิสดารแน่ ใช่หรือไม่?!” 

 

 

นางจิ้งจอกคนนี้เหมือนต้องการจะได้ยินเขาพูดออกมาจากปากให้ได้ว่านางเซียนหนิงมีรสชาติเช่นไร พวกนางสองคนต่อสู้กันมาทั้งชีวิต คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้ก็ไม่มีใครยอมใครเช่นกัน ทำให้หลินหว่านหรงหัวเราะร้องไห้ไม่ออก 

 

 

“พี่สาวอาจารย์ อันที่จริงนางเซียนหนิงไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ท่านคิดเอาไว้” เขาครุ่นคิดอย่างแช่มช้าพร้อมตอบว่า “นางก็เป็นคนธรรมดาที่มีจิตใจดีงาม พวกเราไม่ควรมีความแค้นอันล้ำลึกมากขนาดนั้น รอให้วันหลังมีเวลาว่าง พวกเราทุกคนนั่งลงดื่มน้ำชา พูดคุยกัน สนทนาปัญหาชีวิต อุดมคติ ปัญหาเรื่องการอบรมสั่งสอนลูกกัน นี่ก็ช่างเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายสบายอารมณ์มากเลยนะ พี่สาว ท่านว่าใช่หรือไม่?!” 

 

 

“ปัญหาเรื่องการอบรมสั่งสอนลูกอะไรกัน?!” อันปี้หรูหน้าร้อน มองเขาหลายครั้ง ยิ้มหราแล้วเอ่ยว่า “พูดจาเหลวไหล! ตอนนี้เจ้ากลับเริ่มพูดจาแทนนางแล้ว?! ดูท่าเสน่ห์ของศิษย์พี่ข้าคนนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ นะ ทำให้เจ้าคิดถึงนาง รำพึงถึงนางไม่หยุดหย่อน แม้แต่ลงสนามรบแล้วก็ยังห่วงหานางขนาดนี้” 

 

 

น้ำเสียงนางแผ่วเบาเลื่อนลอย คล้ายตำหนิคล้ายตัดพ้อ ทว่าใบหน้ากลับประดับด้วยรอยยิ้มยวนเย้าพราวเสน่ห์ แม้แต่หลินหว่านหรงก็ไม่อาจจำแนกได้ ที่แท้ประโยคไหนถึงจะเป็นความในใจที่แท้จริงของนางกันแน่ พี่สาวอันคนนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบก็มีสภาพจิตใจที่เป็นปริศนา 

 

 

ครั้นเห็นน้องชายเงียบงันไร้ซึ่งถ้อยคำ นางจิ้งจอกอันก็พลันคลี่ยิ้มออกมาทันที เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “น้องชาย ข้าอยากถามเจ้าสักประโยคหนึ่ง เจ้าต้องตอบข้ามาตามความสัตย์จริง!” 

 

 

หลินหว่านหรงผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง “พี่สาวอาจารย์รีบถามมา พอเห็นหน้าท่านแล้ว ข้าก็ซื่อสัตย์มากมาตลอด” 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด