ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 572 ไสหัวไป!

Now you are reading ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ Chapter 572 ไสหัวไป! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เขาหันหน้ากลับมา เห็นว่าท่ามกลางทรายที่ปลิวว่อนนั้นมีละมั่งโผล่มาจากที่ใดไม่รู้ตัวหนึ่ง สีทองทั่วทั้งตัว สี่เท้าตะกุยอากาศ กำลังวิ่งห้อตะบึงขยับวูบไหวอยู่ในทะเลทราย วิ่งเร็วยิ่งนัก เพียงชั่วพริบตาก็ห่างออกไปหลายจั้ง เขาที่ขยับโยกไหวเล็กน้อยนั้นกรีดเป็นเส้นโค้งขยับขึ้นลงอย่างต่อเนื่องสองสาย 

 

 

เดินทางด้วยความลำบากลำบนในหลัวปู้ปั๋วมายี่สิบกว่าวัน นอกจากพวกของตนเองแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งมีชีวิตอย่างอื่น ด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น หลินหว่านหรงจึงหวดแส้ม้าคราหนึ่ง พูดเสียงดังออกมาว่า “เร็ว ตามมันไปเร็ว!” 

 

 

ไม่รอให้เขาพูดจบ หูปู้กุยก็ตวาดเสียงดังออกมาด้วยความตื่นเต้น ควบม้าประดิษฐ์สายลม บุกออกไปอยู่ข้างหน้า ทหารม้าห้าพันนายตามติดอยู่ข้างหลังเขา ก่อเป็นฝุ่นดินลอยคละคลุ้งขึ้นสู่ขอบฟ้า เมื่อทอดสายตามองจากที่ไกลๆ แล้ว ก็เหมือนลมพายุที่ก่อตัวขึ้นในทะเลทราย 

 

 

ถูกม้าห้าพันตัวไล่ตาม ด้วยความตกใจละมั่งจึงวิ่งเร็วมากยิ่งขึ้น เท้าทั้งสี่แทบไม่ติดพื้น ร่างกายพุ่งทะยานประดุจลูกธนู วิ่งไปข้างหน้าด้วยความตกใจและหวาดกลัว  

 

 

เพียงชั่วอึดใจเดียวก็ไล่ตามมาได้เกือบครึ่งชั่วยาม ระยะทางยิ่งเดินทางก็ยิ่งไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ละมั่งมีความอดทนสูงยิ่งนัก อีกทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย 

 

 

“ดูเร็ว น้องหลิน รีบดูเร็ว! หญ้า หญ้าสีเขียว…” ระหว่างที่กำลังวิ่งห้อตะบึงอยู่นั้น จู่ๆ เกาฉิวก็หวดแส้ม้าร้องเสียงดังขึ้นมา เสียงอันตื่นเต้นยินดีนั้นสะกดเสียงที่เท้าและเสียงสายลม เข้าสู่ใบหูของทุกคน  

 

 

เมื่อทอดสายตามองออกไป ในทะเลทรายสีเหลืองขมุกขมัวกลับปรากฏสีเขียวเป็นหย่อมๆ มีจำนวนน้อยยิ่งนัก กระจัดกระจายไปทั่ว แต่สำหรับคนที่เดินทางเข้ามาในทะเลทรายเป็นระยะเวลายี่สิบวันเหล่านี้ สีเขียวเป็นหย่อมๆ นั้น แม้จะมีเพียงน้อยนิด แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตเช่นกัน 

 

 

หูปู้กุยหวดแส้ม้า พูดเสียงดังออกมาว่า “มีหญ้าก็มีน้ำ แม่ทัพหลินพูดถูกต้องยิ่งนัก พวกเราใกล้จะได้ออกจากทะเลทรายแล้ว พี่น้องทั้งหลาย พวกเราใกล้จะได้ออกจากทะเลทรายแล้ว!! บุก บุกไปกับข้า!” 

 

 

เสียงร้องตะโกนนี้ช่างสุดๆ แล้วจริงๆ เหล่านายทหารใบหน้าแดงก่ำ หัวใจที่ตื่นเต้นยินดีแทบจะกระดอนออกมา พวกเขากู่ร้องคำรามเสียงดังลั่น ม้าห้าพันตัวแย่งกันกรูกันออกไปข้างหน้าราวกับกำลังแข่งขัน 

 

 

ยิ่งมุ่งไปข้างหน้าก็ค่อยๆ เชื่อมต่อกันเป็นแถบ มีสีเขียวเต็มไปหมด ทอดสายตามองออกไปไร้จุดสิ้นสุด ประหนึ่งพรมสีเขียวที่ปูไปจนถึงขอบฟ้า สายสีเหลืองของทะเลทรายถูกโยนทิ้งไว้ข้างหลัง เสียงฝีเท้ามาเหยียบย่ำพื้นหญ้าดังกุบกับชัดเจน ราวกับไม้ตีกลองที่กำลังออกแรงตีจิตวิญญาณของคนทุกคนอยู่ 

 

 

ทุกคนควบม้าอย่างบ้าคลั่ง เร็วได้มากเท่าไหร่ก็วิ่งเร็วมากเท่านั้น คิดแต่เพียงว่าจะปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจในช่วงยี่สิบว่าวันนี้ให้หมดสิ้น เสียงฝีเท้าม้าดังครืนๆ จนกลายเป็นเสียงอสนีบาตยามวสันต์ที่กึกก้องกัมปนาท พุ่งตรงไปยังขอบฟ้า 

 

 

ทันใดนั้นม้าที่กำลังวิ่งห้อตะบึงก็ค่อยๆ หยุดลง เหล่าทหารม้าที่อยู่บนหลังม้าต่างอ้าปากกว้าง ดวงตาเบิกจนกลมโต จ้องมองไปด้านหน้าไม่ขยับเขยื้อน ขบวนที่สับสนอลหม่านเมื่อครู่เงียบสงัดภายในชั่วพริบตา ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นของตนเองเท่านั้น 

 

 

แม่น้ำกระจ่างใสอันกว้างใหญ่ราวกับแถบหยกฝังอยู่บนอยู่ในทุ่งหญ้า เลี้ยวลดคดเคี้ยว มุ่งตรงไปที่ขอบฟ้า สายน้ำที่ไหลรินนั้นเปล่งประกายศรีมรกตระยิบระยับ กระจ่างใสราวกับแก้วผลึก ทรายละเอียดหญ้าเขียว ก้อนหินกลมมน มัจฉาเวียนว่าย ต่างมองเห็นได้อย่างชัดเจน ปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง หญ้าสีเขียวมรกตอันแผ่วเบาและอ่อนนุ่มประดับด้วยหยดน้ำค้างพราวกระจ่างใส ค่อยๆ แผ่ขยายออกไป ท่ามกลางไอหมอกลอยอบอวล ทั้งไกลและใกล้ต่างขมุกขมัวรางเลือน ผืนฟ้าและแผ่นดินลอยละล่องอยู่ท่ามกลางสีเขียวขจีอันมีชีวิตชีวานี้ภายในชั่วพริบตา 

 

 

มองดูทัศนียภาพดั่งสรวงสวรรค์ตรงหน้าแล้ว ทุกคนต่างก็นิ่งงันไป เบ้าตาพลันเปียกชื้น 

 

 

“ท่านแม่ทัพ พวกเราออกมาแล้ว พวกเราออกมาจากทะเลแห่งความตายแล้ว!” หูปู้กุยพูดพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยดินทราย ชายฉกรรจ์อกสามศอกกลับอดสะอึกสะอื้นออกมาไม่ได้ 

 

 

“ใช่แล้วล่ะ พวกเราออกมาแล้วจริงๆ น้องหลินช่างเหมือนดั่งเทพเซียนเสียจริง ข้าเหล่าเกาพูดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ขอเพียงติดตามน้องหลินก็จะไม่มีเรื่องใดที่ทำไม่สำเร็จ!” เกาฉิวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังพลางกล่าวเลียแข้งเลียขา ลืมเลือนความทุกข์ยากเมื่อครู่ไปจนหมด 

 

 

เจ้าคนนี้กลับหนังหน้าหนามากเลยนะ! หลินหว่านหรงมองหลี่อู่หลิงที่อยู่ข้างกาย เอ่ยถามด้วยความห่วงใยออกมาว่า “เสี่ยวหลี่จื่อ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” 

 

 

ในทะเลทรายขาดน้ำขาดอาหาร ความยากลำบากย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง อีกทั้งเสี่ยวหลี่จื่อกำลังอยู่ในช่วงสมานตัวหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่หลินหว่านหรงเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเขาแล้ว สีหน้าของหลี่อู่หลิงยังคงเหลืองอมโรคอยู่บ้าง ร่างกายยังคงอ่อนแรง ถึงกระนั้นการเคลื่อนไหวกลับไม่มีปัญหา เขากำหมัดแน่น ออกแรงยกแขนขึ้น “พี่หลิน ท่านดูสิ นี่ข้าเหมือนเป็นอะไรอย่างนั้นหรือขอรับ?!” 

 

 

นิสัยของเสี่ยวหลี่จื่อยังคงเหมือนเดิม ทุกคนรู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก เหล่าเกาตบออกแล้วพูดว่า “เสี่ยวหลี่จื่อ เจ้าวางใจได้ ประเดี๋ยวข้าเหล่าเกาจะลงไปในแม่น้ำด้วยตัวเอง จับปลาใหญ่มาทำแกงให้เจ้ากินสักหลายตัว!” 

 

 

“ท่าน?!” หลี่อู่หลิงกวาดตามองเขาหลายครั้งพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ขอบคุณความห่วงใยของพี่เกาแล้ว เพียงแต่ท่าลูกหมาตกน้ำของท่านข้าเคยเห็นกับตาตนเอง หากท่านลงแม่น้ำไปจริงๆ เกรงว่าปลายังไม่ทันจับท่านกลับถูกปลาคาบไปเสียแล้ว” 

 

 

ทุกคนต่างเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น ร่างกายและจิตใจปลอดโปร่งมีความสุข ท่ามกลางความสับสนไม่รู้ชะตากรรม ช่วงเวลาอันมีความสุขเช่นนี้เหมือนไม่ได้มีมานานมากแล้ว  

 

 

หูปู้กุย เหล่าเกา สวี่เจิ้น หลี่อู่หลิง หลินหว่านหรงกวาดสายตามองทุกคนหลายครั้ง นอกจากตู้ซิวหยวนที่รับบัญชาให้เฝ้าหุบเขาเฮ่อหลานซานแล้ว พี่น้องเก่าที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็อยู่ครบ นับตั้งแต่เข้าสู่ทุ่งหญ้า นี่เป็นช่วงเวลาที่คึกคักมากที่สุดแล้ว 

 

 

“แม่ทัพหลิน ถุงน้ำของท่านทะลุแล้วขอรับ!” สวี่เจิ้นเป็นคนละเอียด เมื่อเห็นว่าถุงน้ำเ**่ยวๆ ที่แขวนอยู่ตรงเอวหลินหว่านหรงมีรูขนาดเล็กอยู่รูหนึ่งจึงรีบเอ่ยปากเตือน 

 

 

“อย่างนั้นหรือ?” หลินหว่านหรงรีบหยิบถุงน้ำมาจากเอวตัวเอง พิจารณาดูอย่างละเอียด เดินทัพมาหลายวัน น้ำสะอาดนำมารวมกันแล้วค่อยแบ่งออกไป ถุงน้ำไม่ได้ใช้มานานแล้ว โดยที่ไม่รู้ตัวถุงน้ำนี้ก็ถูกหินถูกทรายกรีดจนเป็นรูขนาดเล็กตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ 

 

 

มองไปที่รอยริมฝีปากบนปากถุงที่แห้งกรังไปเสียนานแล้ว ตรงหน้าเขาก็พลันปรากฏดวงหน้าที่งดงามของอวี้เจียขึ้นมา ถุงน้ำใบเล็กๆ นี้เป็นสาวน้อยทูเจวี๋ยที่มอบให้กับเขาด้วยมือขงนาง และเป็นสิ่งที่นางยื้อแย่งมาด้วยชีวิตท่ามกลางพายุทะเลทรายนั่น ระหว่างที่เดินทาง ทุกครั้งที่เขารู้สึกกระหายน้ำ ถุงน้ำนี้ก็จะส่งมาที่มือของเขาอย่างเงียบงันเสียทุกครั้งไป 

 

 

“ท่านแม่ทัพ เปลี่ยนถุงใหม่เถอะขอรับ!” หูปู้กุยรีบหยิบจากข้างหลังถุงหนึ่งแล้วส่งให้เขา 

 

 

หลินหว่านหรงลูบไล้ถุงน้ำนั้นอย่างแช่มช้า เงียบงันอยู่นาน จู่ๆ ก็ส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะออกมาว่า “ทะลุก็ทะลุไปเถอะ ถือว่าเป็นของที่ระลึก นี่เป็นหลักฐานที่พิสูจน์การเดินทางผ่านทะเลแห่งความตายอันทรงพลังมากที่สุดของพวกเรา ทิ้งไปก็ออกจะน่าเสียดายเหลือเกิน” 

 

 

เขาแขวนถุงน้ำกลับไปอีกครั้ง ทุกคนล้วนรู้สึกว่าเขามีเหตุผล ของที่ระลึกสำคัญเช่นนี้ ต่อให้ร่างต้องแหลกเป็นผุยผงก็ทิ้งไปไม่ได้! 

 

 

เหล่านายทหารกระโดดโลดเต้นโห่ร้องยินดี แย่งกันวิ่งห้อตะบึงไปยังสายน้ำ ชั่วพริบตานี้เอง ทุกคนต่างเริงร่าราวกับเด็กน้อย หลินหว่านหรงส่ายหน้ายิ้มแย้ม สายตาเหลือบมองไปยังสถานที่อันห่างไกลโดยไม่ได้ตั้งใจ ณ เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างทุ่งหญ้าและทะเลทรายนั้นมีเงาร่างอันอ้างว้างโดดเดี่ยวอยู่ร่างหนึ่ง 

 

 

นางนั่งคร่อมอยู่บนม้า ไม่รุกไม่ถอย ไม่พูดไม่ยิ้มแย้ม แสงสายัณห์สีแดงโลหิตลากร่างอันงดงามของนางให้กลายเป็นเงาที่ทอดยาวสายหนึ่ง โดดเดี่ยวอ้างว้างทว่าหยิ่งผยอง นิ้วมืออันเรียวยาวทั้งสิบของนางกุมขวดแก้วที่อยู่ในมือแน่น เปล่งประกายสีรุ้งแวววับภายในแสงอาทิตย์อัสดง  

 

 

หูปู้กุยประชิดข้างกายหลินหว่านหรง พูดเบาๆ ว่า “ท่านแม่ทัพโปรดวางใจได้เต็มที่ พวกเรามีพี่น้องคอยลอบเฝ้าดูอยู่ แม่สาวคนนี้หนีไม่ได้แน่นอนขอรับ!” 

 

 

หนีไม่ได้กลับน่าปวดหัวยิ่งกว่าหนีไปได้เสียอีก! หลินหว่านหรงโบกมืออย่างอับจนปัญญา พลิกตัวขึ้นม้าแล้วเดินทาง 

 

 

การรอนแรมอยู่ในทะเลทรายมายี่สิบกว่าวัน ไม่ใช่แค่ร่างกายเท่านั้นที่ยากจะทานทน แม้แต่จิตใจเองก็ถูกทำร้ายอย่างเต็มที่ กายและจิตต่างต้องการช่วงพักฟื้น หลินหว่านหรงรู้จักหลักการผ่อนคลายและเข้มงวดสอดประสานเป็นอย่างดี ถึงอย่างไรก็ยังไม่ถึงเวลาลอบโจมตีเค่อจือเอ่อร์ ดังนั้นเขาจึงใจกว้างสักหน่อย สั่งให้กองทัพตั้งค่าย พักผ่อนสองวันเต็มๆ! ครั้นคำสั่งนี้ถ่ายทอดลงไป ภายในค่ายพลันลิงโลด ทุกคนวิ่งห้อตะบึงบอกต่อกันไป ยิ้มร่าเบิกบาน กลับทำให้หลินหว่านหรงนึกถึงภาพตอนเป็นเด็กน้อยที่ตนเองมุ่งหวังรอคอยให้วันหยุดฤดูร้อนมาถึงอย่างทรมานทุกครั้งจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน 

 

 

เมื่อเดินทางออกจากหลัวปู้ปั๋ว สถานที่แห่งนี้อยู่ติดกับเกาชางและเทียนซาน สายน้ำที่ไหลเร็วรี่นี้ที่กระจ่างใสและเย็นเฉียบ คิดว่าน่าจะเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่ไหลลงมาจากเทียนซาน ไหลผ่านเทือกเขาเทียนซาน จากนั้นก็เป็นภูเขาอาเอ่อร์ไท่อันลาดชันมาอยู่ตรงหน้าเค่อจือเอ่อร์ ราชธานีทูเจวี๋ย ส่วนเคอปู้ตัวซึ่งอยู่ใต้ภูเขาอาเอ่อร์ไท่ก็คือสถานที่ผลิตหญ้าแสบจมูก และเป็นสถานที่ที่หลินหว่านหรงเฝ้ารอมานาน 

 

 

“ตัดผ่านทะเลแห่งความตายก็จะบรรลุถึงราชธานีทูเจวี๋ยโดยที่ผีสางเทวดาไม่รู้ตัวแล้ว…ท่านย่ามัน เจ้าเส้นทางสายไหมนี้มันช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก พวกเราก็คงมุดเข้าหลัวปู้ปั๋วไปตั้งนานแล้ว” เมื่อฟังหลินหว่านหรงบรรยายสถานการณ์เสร็จ เกาฉิวก็ตบแผนที่หนักๆ คราหนึ่ง น้ำลายกระเซ็นไปทั่ว ราวกับว่าการตัดทะลุผ่านหลัวปู้ปั๋วคือการละเล่น 

 

 

หูปู้กุยกล่าวระคนหัวเราะ “เช่นนั้นก็ดี รอให้คราวนี้กลับไปแล้วจะให้แม่ทัพหลินรายงานกุนซือสวี เรื่องดีๆ อย่างการเดินทางทะลุผ่านทะเลแห่งความตายเช่นนี้ ให้น้องเกาเจ้าทำไปเลย!” 

 

 

เหล่าเกาหน้าเขียวทันที รีบโบกไม้โบกมือ “ไม่ได้ๆ ข้าเหล่าเกาไม่รู้จักทาง ให้เหล่าหูดีกว่า…ท่านใช้เข็มทิศเก่งมาก ทุกคนต่างรู้กัน!” 

 

 

เจ้านี่ช่างเป็นพวกที่สายตาสูงส่งทว่าฝีมือต่ำต้อยอย่างแท้จริง ทุกคนต่างหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง กลับเบิกบานเป็นล้นพ้น 

 

 

กระโจมสีขาวสะอาดแผ่กระจายอยู่ริมแม่น้ำ ควันประกอบอาหารลอยเอื่อย กลิ่นหอมจางๆ ลอยเตะจมูก หลายวันมานี้พ่อครัวได้ก่อไฟทำอาหารเป็นครั้งแรก แม้จะมีแค่ผักหญ้าป่า แต่ในสายตาของชายฉกรรจ์ที่หิวจนหน้ามืดตาลายเหล่านี้ กลับไม่ต่างจากอาหารอันล้ำค่าราคาแพงเลย 

 

 

หลินหว่านหรงลงน้ำด้วยตัวเอง พาพี่น้องซึ่งเชี่ยวชาญทางน้ำกลุ่มหนึ่งช่วยกันจับสัตว์น้ำ น้ำที่ไหลลงมาจากเทียนซานนี้รสชาติหอมหวาน อุดมสมบูรณ์ด้วยสารอาหาร สัตว์มีมากมายมหาศาล ขนาดใหญ่อ้วนพี ทุกคนต่างจับกันด้วยความยินดีปรีดา เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังสลับกันไปมา ไม่นานนักกลิ่นหอมของน้ำแกงปลาก็ลอยไปทั่ว 

 

 

เมื่อฟ้ามืดลง ทุกคนถึงค่อยขึ้นฝั่งด้วยความอาลัยอาวรณ์ ส่วนหลินหว่านหรงกลับบังเกิดความคึกคักในการว่ายน้ำ ตูมตามอยู่คนเดียวในน้ำไม่หยุด เหล่าเกาเห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉาเป็นล้นพ้น “ท่าลูกหมาตกน้ำของน้องหลินน่าดูกว่าของข้ามากเลยนะ!” 

 

 

ฟ้ามืดหมดแล้ว ริมฝั่งจุดกองไฟ หลินหว่านหรงเดินเลียบย้อนต้นน้ำ สัมผัสถึงพลังของธารน้ำที่สาดกระทบหน้าอก รู้สึกสุขสบายอย่างล้นเหลือไปทั่วทั้งร่าง  

 

 

เพียงอึดใจเดียวก็ไม่รู้ว่าดำผุดดำว่ายมาไกลเท่าไหร่ เขาลอยขึ้นสู่ผิวน้ำมาอย่างแช่มช้า พ่นลมหายใจยาวๆ เช็ดน้ำที่อยู่บนใบหน้า กองไฟที่จุดอยู่ตรงทางน้ำด้านล่างระยิบระยับ ส่องสว่างใบหน้าอันหนุ่มแน่นของนายทหารทุกคน ไม่ได้เห็นใบหน้าเบิกบานใจเช่นนี้ของพวกเขามานานมากแล้ว 

 

 

พ่นลมหายใจด้วยความรู้สึกสุขสบาย ขณะที่กำลังจะว่ายกลับไปกลับได้ยินเสียงตูมเบาๆ อยู่ไม่ไกล เขาตกใจสะดุ้งโหยงทันที เห็นรูปร่างของโขดหินขนาดใหญ่หลายก้อนตะคุ่มๆ เสียงดังมาจากทางนั้น ฟ้ามืดเกินไป ริมฝั่งยังอยู่ห่างจากกึ่งกลางน้ำราวห้าหกสิบจั้งได้ โขดหินนั้นเงียบสงัด เขาเบิกตากว้าง ไม่รู้เช่นกันว่าอะไรที่ทำให้เกิดเสียง 

 

 

หรือจะเป็นปลาคาร์พกระโดดเล่นน้ำ? เขาหัวเราะฮิคราหนึ่ง จากนั้นก็ดำลงไปในน้ำ ว่ายตรงไปที่ฝั่ง ระยะทางไม่กี่จั้งสำหรับเขามันก็แค่เรื่องภายในชั่วพริบตาเท่านั้นเอง เมื่อเขาโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำก็อยู่ห่างจากโขดหินก้อนนั้นแค่สองจั้งแล้ว 

 

 

เงาดำสนิทปกคลุมริมฝั่ง โอบล้อมโขดหินก้อนนั้นอยู่ใจกลาง รางเลือนมองเห็นไม่ชัดเจน รอบด้านเงียบสงัด ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอันใด หลินหว่านหรงโผล่ออกมาครึ่งศีรษะ เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง ผ่านไปครึ่งค่อนวันก็ไม่เห็นความผิดปกติ  

 

 

หรือว่าข้าจะฟังผิดไป? ขณะที่เขากำลังรู้สึกสงสัย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตูมคราหนึ่ง สายลมเย็นพัดผ่าน เศษหินก้อนหนึ่งกระแทกลงไปในน้ำ ก่อเกิดเป็นระลอกคลื่นอยู่ตรงหน้าเขา 

 

 

“ใคร?!” เสียงสองเสียงแทบจะดังขึ้นมาพร้อมกัน เสียงหนึ่งเกิดจากหลินหว่านหรง ส่วนอีกเสียงกลับเป็นเสียงของสตรีซึ่งออกมาจากเงาใต้โขดหินก้อนนั้น 

 

 

หลินหว่านหรงเพ่งสายตามองไป เห็นว่าใต้โขดหินมีเงาคนขดตัวอยู่ร่างหนึ่ง เนื่องจากสงบนิ่งเกินไปจึงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเงาโขดหิน ดังนั้นเขาถึงไม่ได้สังเกต เมื่อได้ยินเสียงนั้นชัดเจน หลินหว่านหรงก็ตกใจอย่างยิ่ง “เยวี่ยหยาเอ๋อร์?!” 

 

 

“เป็นเจ้า?!” ร่างอรชรร่างหนึ่งยืนขึ้นในความมืดมิดทันที เสียงเย็นชาของอวี้เจียลอยเข้ามา ใบหน้านางเย็นชาราวกับน้ำแข็งเหมันต์แห่งเทียนซาน 

 

 

ที่แท้แม่หนูนี่ก็หลบมาเล่นก้อนหินอยู่ตรงนี้นี่เอง! หลินหว่านหรงหัวเราะแหะๆ สองครา “เอ่อ ดึกขนาดนี้แล้ว คุณหนูอวี้เจียยังไม่นอน…” 

 

 

“ไสหัวไป!” เขาพูดยังไม่ทันจบ สาวน้อยทูเจวี๋ยก็มีน้ำโหแล้ว ราวกับเป็นสิงโตน้อยที่กำลังระเบิดโทสะอยู่ เศษหินและก้อนกรวดจำนวนนับไม่ถ้วนโบยบินมาที่เหนือศีรษะเขา  

 

 

แม่เอ๊ย! หลินหว่านหรงตกใจจนตัวสั่น รีบมุดลงไปในน้ำ นับตั้งแต่รู้จักกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ การทะเลาะเบาะแว้งของทั้งคู่ก็ไม่เคยหยุดมาก่อน แต่ไม่มีครั้งไหนที่สภาพดูไม่จืดเท่าครั้งนี้ 

 

 

อวี้เจียหยิบเศษหินและก้อนกรวดขึ้นมา ปากระแทกออกไปอย่างรุนแรงราวกับสายลม ผิวน้ำปรากฏสะเก็ดน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนโดยพลัน คลื่นแผ่นกระจายไปรอบทิศทาง 

 

 

นางหอบหายใจกระชั้นถี่ ขบกรามแน่น หยิบก้อนหินไม่หยุด ปาใส่น้ำอย่างต่อเนื่อง คลื่นน้ำแผ่กระจายเป็นวง จากนั้นก็รวมตัวกัน รวมตัวกันแล้วก็กระจายออกไปอีก นางกลับไม่ยอมจบสิ้น จวบจนคลำหาก้อนหินไม่เจอสักก้อนเดียวแล้ว นางจึงร้องไห้ออกมาด้วยความเดือดดาล 

 

 

“ให้เจ้า!” เสียงหนักแน่นเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังนาง หินกรวดหลายก้อนกองอยู่ใต้เท้านาง  

 

 

สาวน้อยไม่แม้แต่จะคิด หยิบก้อนหินขึ้นมากำลังจะเขวี้ยงใส่แม่น้ำ ทันใดนั้นนางร่างชะงักงัน หันร่างอันสั่นเทากลับมาเบาๆ  

 

 

ใต้ดวงจันทร์ ใบหน้ายิ้มแย้มเริงร่าของเจ้าโจรอยู่ใกล้แค่คืบ ชัดเจนถึงเพียงนี้! 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด