ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 601 – 1 เจ้าเป็นใคร

Now you are reading ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ Chapter 601 - 1 เจ้าเป็นใคร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสียงดังฟังชัดกระจ่างใส เสียงที่เอ่ยออกมานั้นดังก้องอยู่ในใบหูชนเผ่านอกด่านทุกคน 

 

 

เมื่อดูจากสถานการณ์ในสนามตอนนี้ แม้ถูสั่วจั่วจะพ่ายแพ้ แต่เยวี่ยซื่อก็ยังไม่ได้ชิงตัวข่านใหญ่ไปถึงเส้นชัย ดังนั้นพวกมันจึงยังไม่ถือว่าได้รับชัยชนะ ด้วยสถานะของอวี้เจีย การจัดการดินแดนที่ไม่ได้รับชัยชนะย่อมไม่ถือเป็นเรื่องหนักหนาอะไร เพียงแต่เยวี่ยซื่อก็ถือว่าหัวไว พวกมันยกผลการแข่งขันที่ยังไม่ได้สรุปออกมาอย่างทันท่วงที คิดจะสู้เฮือกสุดท้าย หากพวกมันชนะ ต่อให้ท่านข่านใหญ่ดาบทองคิดจะจัดการพวกมันก็ไม่อาจหาเหตุผลได้ และหากพ่ายแพ้ ผลลัพธ์ก็ไม่มีทางแย่ไปกว่าตอนนี้แล้ว 

 

 

ปฏิกิริยาของดินแดนเยวี่ยซื่อกลับรวดเร็วยิ่งนัก อวี้เจียรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างเล็กน้อย นางแย้มยิ้มบางๆ ตบแผ่นหลังอาชาน้อยเบาๆ ด้วยความรักใคร่ มองหูปู้กุยพร้อมเอ่ยว่า “พวกเจ้ามั่นใจว่าจะขยับม้าของข้าได้? เชื่อว่าการกระทำเมื่อครู่ของอ๋องขวาพวกเจ้าก็เห็นไปแล้ว! มีเวลาแค่หนึ่งนาฬิกาทรายเท่านั้น…” 

 

 

ข้ามั่นใจผายลมน่ะสิ! ยังไม่ใช่แม่ทัพหลินบีบอีกหรือ! เหล่าหูแอบเหลือบมองหลินหว่านหรงแวบหนึ่ง เห็นเขากำลังหลบอยู่ข้างหลัง กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับเกาฉิวอยู่ ประเดี๋ยวผงกศีรษะ ประเดี๋ยวก็ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าคิดพิเรนทร์อะไรกันอยู่ 

 

 

เรื่องมาถึงตรงหน้า จะไปทางใดก็ดาบ หมดสิ้นหนทางแล้ว เหล่าหูฝืนประสานมือ “ท่านข่านใหญ่ คนเผ่าเยวี่ยซื่อยินดีที่จะลองอย่างสุดความสามารถสักครั้งพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

“ดี พวกเจ้าเริ่มได้แล้ว!!” ข่านดาบทองผงกศีรษะ ดึงบังเ**ยนม้าพร้อมนั่งนิ่งไม่ไหวติง ไม่เอื้อนเอ่ยอันใดออกมาอีก  

 

 

แพ้ก็ต้องถูกคนฟันขา! หูปู้กุยแผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เขารีบหมุนกายกลับมามอง ‘คนในเผ่า’ ตนหลายครั้ง ชี้สะเปะสะปะไปที่คนคนหนึ่ง รีบชี้โบ๊ชี้เบ๊ตวาดออกมาว่า “เจ้า ไปจูงม้าให้ท่านข่าน!” 

 

 

เขาแทบจะกระชากคนในเผ่าผู้นั้นออกไป ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบมองเห็นอย่างชัดเจน เจ้าคนนี้ก็คือคนที่สู้ตะลุมบอนบนหลังม้ากับอ๋องขวาเมื่อครู่นั่นเอง เจ้านี่อำมหิตกับถูสั่วจั่วมากเสียขนาดนั้น คิดไม่ถึงว่าพออยู่ต่อหน้าท่านข่านใหญ่กลับอ่อนแอปวกเปียก หรือว่ามันจะถูกความงามของท่านข่านใหญ่ทำให้ลุ่มหลง? 

 

 

“แม่ทัพหลิน พี่น้องทั้งหลายต้องอาศัยท่านแล้วล่ะขอรับ” พอพูดฝากฝังก็ยื่นมือผลักเขาออกไปอย่างแรง 

 

 

คนเผ่าเยวี่ยซื่อโผกะโผลกกะเผลกออกมาจนแทบจะล้มอยู่เบื้องหน้าม้าท่านข่านใหญ่ เมื่อเห็นมันผู้นั้นมีท่าทางเงอะงะงุ่มง่าม เหล่าชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบต่างหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง อวี้เจียเองก็ยังอดส่ายหน้าไม่ได้ 

 

 

ระหว่างที่ทุกคนกำลังหัวเราะอยู่นั้น คนเผ่าเยวี่ยซื่อผู้นั้นกลับคุกเข่าอยู่ข้างม้าไม่ลุกขึ้น มันเบิกตากว้าง ตรวจสอบขาและกีบเท้าของอาชาน้อยอย่างถ้วนถี่ ไม่ละเว้นแม้สักกระผีกเดียว 

 

 

เห็นมันผู้นี้ตั้งอกตั้งใจถึงเพียงนี้ ชาวทูเจวี๋ยโดยรอบที่ฉลาดสักหน่อยก็ค่อยๆ สัมผัสอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ อดร้องเอ๊ะไม่ได้ สีหน้าดูแคลนค่อยๆ เลือนหายไป ทว่าอวี้เจียกลับยิ้มแย้มไม่เอ่ยวาจา 

 

 

“เหล่าหู น้องหลินกำลังหาอะไรอยู่น่ะ?!” เกาฉิวดึงแขนเสื้อหูปู้กุยพร้อมเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นตึงเครียด 

 

 

“โอ๊ย ทำไมข้าถึงคิดไม่ถึงนะ?!” หูปู้กุยจับศีรษะด้วยความหงุดหงิด “เขากำลังหาเข็มอยู่!” 

 

 

เกาฉิวเบิกตาถลน ถามด้วยความไม่เข้าใจ “หาเข็ม? หาเข็มอะไร?!” 

 

 

เหล่าหูผงกศีรษะ พูดกดเสียงต่ำออกมาว่า “เจ้าลองคิดดู ม้าของอวี้เจียปกติดีทุกอย่าง แต่ไม่ว่าจะตีจะทำให้ตกใจอย่างไรก็ไม่ขยับฝีเท้า นี่มันเพราะอะไร?” 

 

 

เกาฉิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดด้วยความยินดีขึ้นมาทันที “เจ้าหมายความว่านางแทงเข็มเอาไว้ที่กีบเท้าม้า ดังนั้นม้าตัวนั้นถึงไม่เดิน? มีเหตุผลๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เหล่าหูเจ้าก็มีช่วงที่ฉลาดด้วยนะ!” 

 

 

“ข้าฉลาดผายลมน่ะสิ ยังไม่ใช่ท่านแม่ทัพหลินที่เตือนสติข้าหรอกหรือ” เหล่าหูส่ายหน้า “เพียงแต่เรื่องพวกนี้เป็นการคาดเดา ต้องดูว่าแม่ทัพหลินพบอะไรหรือไม่” 

 

 

ระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนากันอยู่นั้น หลินหว่านหรงกลับยืนขึ้นพร้อมส่ายหน้าอย่างแช่มช้า สองมือว่างเปล่า เห็นชัดว่าไม่ได้อะไร ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบส่งเสียงไม่สบอารมณ์ ไม่พอใจที่เขาสงสัยว่าท่านข่านใหญ่จะใช้ลูกไม้กระจอกเช่นนี้ยิ่งนัก ส่วนเกาฉิวก็ส่งเสียงเฮ้อออกมาเช่นกัน 

 

 

อวี้เจียดวงตาเผยแววกระหยิ่มใจเล็กน้อย ชี้ไปที่นาฬิกาทรายบนปะรำพิธีพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “คนเผ่าเยวี่ยซื่อ พวกเจ้าต้องทำเวลาสักหน่อยนะ นาฬิกาทรายไหลไปหนึ่งส่วนแล้ว!” 

 

 

ไม่ต้องให้นางบอกหลินหว่านหรงก็รู้ว่าเวลาบีบคั้น เพียงแต่ความฉลาดของอวี้เจียนั้นหาใช่การคุยโว นางไม่ได้เล่นตุกติกที่ขาม้าแม้แต่น้อย แล้วจะไปหาเบาะแสได้อย่างไรกัน? เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเซ็งแซ่จากชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบ เหล่าเกาเหล่าหูก็ค่อยๆ ก้มหน้าลงไป บรรยากาศหนักอึ้งอย่างล้นเหลือ 

 

 

หลินหว่านหรงฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ แผ่นหลังชุ่มโชกตั้งแต่แรก เมื่อเห็นรอยยิ้มได้ใจบนใบหน้าสีทองของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ทั้งแปลกใหม่ทั้งคุ้นเคย เขาก็พลันยื่นมือออกไปลูบหลังมือของนางทันที 

 

 

“บังอาจ!” ข่านดาบทองตกใจพร้อมรีบหดมือกลับไป เสียง ‘เพียะ’ ดังกระจ่างชัด นางหวดแส้ม้า กำลังจะฟาดไปที่คนเผ่าเยวี่ยซื่อผู้บังอาจคนนี้ 

 

 

คนเผ่าเยวี่ยซื่อเหมือนไม่ได้ยินเสียงตวาดด้วยโทสะของนาง ฉวยโอกาสช่วงที่นางคลายมือดึงบังเ**ยนม้าแล้วดึงลงมา พินิจใบหน้าและปากของอาชาสีผสมอย่างละเอียด กระทั่งยังนำไปใกล้จมูกพร้อมสูดดมหลายครั้งอีกด้วย 

 

 

อวี้เจียดวงตาฉายแววตกใจ แส้ม้าในมือกลับหยุดโดยไม่รู้ตัว นางชิงบังเ**ยนนั้นกลับพร้อมดึงหักหัวม้าออกไป ไม่ให้เขาแตะต้องอาชาของตนเองอีก  

 

 

หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หันร่างกลับมา สาวเท้ายาวๆ กลับไป หยิบถุงน้ำสามสี่ถุงมาจากหลังม้า จากนั้นก็กลับไปเบื้องหน้าอวี้เจียอย่างเร็วรี่ เขาไปมาประดุจสายลม ไม่เพียงชาวทูเจวี๋ยจะไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร แม้แต่เกาฉิวกับหูปู้กุยเห็นแล้วก็ยังต้องงุนงงยกใหญ่ 

 

 

อวี้เจียมองถุงน้ำที่อยู่ในมือของเขา ขนตายาวกระเพื่อมไหว คล้ายงุนงงเล็กน้อย เมื่อเห็นเขาเปิดจุกถุงน้ำอย่างรวดเร็ว ข่านดาบทองผู้งดงามก็ตื่นตระหนกทันที ร้องตวาดเจื้อยแจ้วคราหนึ่ง รีบดึงบังเ**ยนเพื่อเบี่ยงหัวม้าไป ทว่าหลินหว่านหรงกลับมือไวตาไว น้ำสะอาดจากถุงน้ำหลายถุงสาดออกไปพร้อมกัน ราดลงบนจมูกและปากม้าพอดี หยดน้ำไหลริน แม้แต่บังเ**ยนที่อยู่ในมืออวี้เจียก็เปียกชุ่มไปด้วย 

 

 

อาชาน้อยส่ายหน้าส่งเสียงฟืดฟาดจามไม่หยุด มันบิดร่างกายเร็วรี่พร้อมหมุนวนอย่างต่อเนื่อง เยวี่ยหยาเอ๋อร์หมุนไปตามการกระโดดโลดเต้นของม้า สะบัดบังเ**ยนไม่หยุด ตวาดอย่างมีน้ำโห โชคดีที่นางมีทักษะการขี่ม้าเป็นเลิศ ดังนั้นถึงทำให้ม้าค่อยๆ ยืนสงบนิ่งได้ 

 

 

ป่านนี้แล้วยังจะพลาดอีกหรือ หลินหว่านหรงแอบส่งสายตาให้หูปู้กุย เหล่าหูรับรู้ด้วยใจทันที 

 

 

“ไป!” คนเผ่าเยวี่ยซื่อขี่ม้ารวดเร็วดุจสายลม เพียงชั่วพริบตาก็โผล่อยู่ข้างหลังอวี้เจีย 

 

 

เสียง ‘เพียะ’ ดังกระจ่างชัดคราหนึ่ง หูปู้กุยหวดแส้ม้าเบาๆ ม้าน้อยของอวี้เจียสั่นสะท้าน ขยับบิดเร่าด้วยความกระวนกระวาย 

 

 

ไม่รู้ว่าน้องหลินใช้วิธีการใด อาชาสีผสมตัวนี้กลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว ต่อให้เป็นนักขี่ธรรมดาทั่วไปก็บังคับให้มันไปได้ เหล่าเกาเห็นแล้วก็ยินดียิ่งนัก ออกแรงหวดแส้ม้าเสียงดัง ‘เพียะๆ’ อาชาน้อยสีผสมตัวนั้นตกใจจนวิ่งวน ยกกีบเท้าขึ้น กำลังจะวิ่งห้อตะบึงข้างหน้า 

 

 

ข่านดาบทองรู้ว่าแย่แล้ว นางกัดฟันกรอดทันที ออกแรงคว้าบังเ**ยน ดึงกระชากหัวม้าบัดเดี๋ยวแรงบัดเดี๋ยวผ่อน อาชาน้อยวิ่งกุบกับไปข้างหน้าสองก้าว เมื่อหลุดพ้นจากอันตรายก็ค่อยๆ หยุดลงอีกครา 

 

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์ฉลาดเฉลียวเสียจริง นางรู้ว่าลูกไม้ของตนถูกคนดูออกแล้ว ดังนั้นจึงอาศัยทักษะการขี่ม้าชั้นเลิศ อาศัยประโยชน์จากช่องว่างระหว่างที่คนเผ่าเยวี่ยซื่อกำลังไล่ม้า บัดเดี๋ยวเดินบัดเดี๋ยวหยุด ขอเพียงลากเวลาให้นาฬิกาทรายไหลจนหมดได้ นางก็ยังเป็นผู้ชนะอยู่ดี 

 

 

นังหนูเจ้าเล่ห์คนนี้นี่! หลินหว่านหรงหงุดหงิดโมโหอยู่ในใจ พลิกตัวขึ้นม้าพร้อมตบก้นม้าอย่างแรง ม้าทูเจวี๋ยยกขาแล้ววิ่งห้อตะบึง เพียงชั่วพริบตาก็ไล่อวี้เจียทันแล้ว 

 

 

แค่คนเผ่าเยวี่ยซื่อคนเดียวจะทำอะไรข้าได้?! อวี้เจียมองเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย ใบหน้าผุดรอยยิ้มหยิ่งผยอง 

 

 

เมื่อคิดถึงลูกเล่นของสาวน้อยคนนี้ หลินหว่านหรงก็ทั้งหงุดหงิดโมโหทั้งอับจนปัญญาอยู่บ้าง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการเจ้าไม่ได้! เขาหัวเราะฮิฮะสองครา เคลื่อนที่ไม่เท่าไหร่ม้าก็มาถึงข้างกายนาง ขวางการเดินหน้าของนางไว้ 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด