ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 623 – 2 ข้าคือดวงตาของเจ้า

Now you are reading ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ Chapter 623 - 2 ข้าคือดวงตาของเจ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

ฟ้าสว่างจ้า เสลี่ยงกว้างที่จอดอยู่ ณ เส้นพรมแดนของสองแคว้นหลังนั้นสงบเงียบไปนาน ในที่สุดผ้าโปร่งสีชมพูก็ค่อยๆ ถูกดึงแหวกออก  

 

 

มีศีรษะคนมุดออกมาศีรษะหนึ่ง เขาเหล่มองรอบด้านอย่างระแวดระวัง เมื่อเดินออกไปกลับได้ยินเสียงแผ่วเบาอ่อนโยนหลายเสียงดังข้างใบหู “คารวะใต้เท้าเจ้าค่ะ!”  

 

 

“อ้อ” เขารีบหันหน้าไปพร้อมใช้มือปิดบังใบหน้า “ที่แท้ก็เป็นพี่สาวน้อยทั้งหลายนี่เอง เมื่อคืนลำบากแล้ว!”  

 

 

เซียงเสวี่ยน่าหลานและนางกำนัลทั้งหลายหน้าแดงด้วยความเขินอายพร้อมกัน “เป็นเรื่องที่พวกเราสมควรกระทำแล้ว ใต้เท้า ท่านลำบากแล้วเจ้าค่ะ!”  

 

 

ข้าลำบากจริงๆ! เขาหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง เลิกผ้าม่านขึ้น จากนั้นก็เดินเข้าไปทางทะเลทรายอย่างรวดเร็ว  

 

 

“ดูเร็ว ดูเร็ว นั่นคือใคร?!” ตู้ซิวหยวนร้องด้วยความตกใจ รีบผลีกสองคนที่กำลังงีบหลับด้านข้างให้ตื่น  

 

 

หูปู้กุยลืมตา มองผู้ที่เดินเข้ามาหาจากในทะเลทรายอยู่หลายครั้งด้วยความงัวเงีย จากนั้นก็สูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าไปทันที  

 

 

คนผู้นั้นโครงร่างและอาภรณ์ดังเดิม โครงหน้าดูแล้วคุ้นตาอยู่บ้าง เพียงแต่ที่หน้าผาก หางตา ใบหน้า ใบหู ลำคอ และแขนกลับประทับรอยฟันเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งตื้นทั้งลึกหลายรอย แต่ละรอยล้วนต่างกันไป กลับถูกคนใช้ฟันกัด หกไม่ใช่เวลาสักหลายวัน เกรงว่าคงไม่มีทางเลือนหาย รอยประทับริมฝีปากสีแดงสดแต่ละรอยนั้นราวกับจันทร์เสี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วน  

 

 

มารดาข้า! สถานการณ์รบนี้ช่างรุนแรงเสียเหลือเกิน! แต่ละคนต่างมองหน้ากัน รู้สึกทอดถอนชมเชยเสียจริง  

 

 

หลินหว่านหรงสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามา หัวเราะโบกมือพร้อมพูดว่า “อรุณสวัสดิ์ พี่ชายทั้งหลาย กินข้าวกันแล้วหรือยัง? เอ๊ะ เหตุใดพวกท่านถึงขอบตาดำขนาดนี้? ต้องพักผ่อนให้มากนา!”  

 

 

พักผ่อนผายลมน่ะสิ หากไม่ใช่พวกเราดูต้นทางให้เจ้า เจ้าคงถูกคุณหนูสวีฟนจนตายไปตั้งนานแล้ว ยังมาถามว่าเหตุใดพวกเราถึงขอบตาดำอีก นั่นยังจะขาวได้อีกหรือ?  

 

 

หูปู้กุยมองหน้าเขา ตู้ซิวหยวนมองหน้าอกเขา เกาฉิวกลับต่ำช้าลามกกว่าบ้าง เขาเบิกตาโพลงพร้อมจ้องส่วนล่างของเขาโดยเฉพาะ คนทั้งหลายต่างมองเขาขึ้นๆ ลงๆ รอบฟันแต่ละแถวตั้งแต่ตั้งแต่หัวจรดเท้าช่างน่าตื่นตระหนกจนพูดไม่ออกเลยจริงๆ ฝีมือการใช้ปากของอวี้เจียถือเป็นหนึ่งในแผ่นดินเช่นเดียวกับธนูต่อเนื่องสามดอกของนางเลยนะ!  

 

 

หลินหว่านหรงตกใจทันที รีบถอยหลังไปหลายก้าว “พี่เกา ตาท่านมองไปที่ไหนกันน่ะ?”  

 

 

เหล่าเกาจ้องส่วนล่างเขาพร้อมหัวเราะร่วน “น้องชาย พวกนี้คือผลงานชั้นยอดของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ใช่หรือไม่! จึ๊จึ๊ รอยฟันกัดนี้มันช่างล้ำเลิศเหลือเกิน วะฮะฮ่า!”  

 

 

คนทั้งหลายเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น สีหน้าลามกอย่างบอกไม่ถูก หลินหว่านหรงหน้าแดง เขาเดินทางกลางคืนมามากย่อมไม่กลัวผีสางอยู่แล้ว ดังนั้นจึงหัวเราะแห้งๆ หลายครั้งพร้อมพูดว่า “มิได้ ข้ากับข่านใหญ่แค่ปรึกษาหารือกันเรื่องทิศทางในอนาคตของสองแคว้นเท่านั้นเอง ล้ำเลิศน่ะล้ำเลิศ แต่ก็ลำบากมากเลยนะ ไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืนเลย!”  

 

 

ความลำบากของเจ้าพวกเราเข้าใจ! พี่ชายทั้งสามส่งเสียงสนุกสนานร่าเริง ยังเป็นตู้ซิวหยวนที่มีมโนธรรมดีอยู่บ้าง เขาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับไปมองอย่างระแวดระวัง “ท่านแม่ทัพ ท่านรีบไปดูกุนซือสวีสักหน่อยจะดีกว่า นางไม่ได้ออกมาจากกระโจมตลอดคืนเลยนะขอรับ!”  

 

 

พอเอ่ยถึงสวีจื่อฉิง หลินหว่านหรงก็หัวสมองพองโตในทันที ท้องนภาเป็นผ้าห่ม ผืนแผ่นดินเป็นเตียง มังกรทองกระโดดข้ามภูผากับเยวี่ยหยาเอ๋อร์มาทั้งคืน น้ำใสใจจริงของสตรีชนเผ่านอกด่านนั้นเป็นสิ่งที่บุรุษต่างชมชอบ เพียงแต่ทุกสิ่งนี้อยู่ในสายตากุนซือหญิง หากบอกว่านางไม่หึงหวง ตีให้ตายก็ไม่มีใครเชื่อ!  

 

 

ครั้นเห็นท่าทางก้มหน้าก้มตาด้วยความลำบากใจของแม่ทัพหลิน สามคนต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงสักแอะเดียว   

 

 

กระโจมของกุนซือสวีอยู่ติดกับของเขา ถังไม้ที่ชำระล้างร่างกายเมื่อคืนยังวางอยู่ด้านนอก น้ำเย็นบุปผาโรย ปราศจากไอร้อนแม้แต่น้อย ฟังอยู่นอกกระโจมด้วยความระมัดระวังอยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่านางยังอยู่ข้างในหรือไม่  

 

 

“คุณหนูสวี คุณหนูสวี!” ทำขวัญกล้าตะโกนเรียกอยู่หายครั้ง ภายในเงียบสงัดยิ่งนัก ปราศจากคนตอบกลับมา  

 

 

เขาเลิกผ้าม่านขึ้นเบาๆ เห็นเพียงว่าบนเตียงที่ทำขึ้นมาอย่างง่ายๆ นั้นมีเงาร่างสูงโปร่งนอนอยู่ร่างหนึ่ง ทั้งร่างห่อหุ้มอยู่ในผ้าห่ม ปราศจากการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย   

 

 

เขาแอบเดินเข้าไปหา ประชิดถึงขอบเตียง ฝืนหน้าด้านร้องเรียกเบาๆ “กุนซือสวี…”  

 

 

“คุณหนูสวี…”  

 

 

“จื่อเอ๋อร์…”  

 

 

“ที่รัก…”  

 

 

“ห้ามเจ้าเรียก!” เมื่อเผชิญการบุกอย่างหน้าด้านๆ ของเขา ในที่สุดคุณหนูสวีก็ขยับตัว สะบัดผ้าห่มออกไปด้วยความหงุดหงิดโมโห นอนตะแคงหันหาเขา แค้นเสียงเย็นชาด้วยความเดือดดาล  

 

 

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นข้าไปเรียกคนอื่นแล้วนะ!”  

 

 

“พรึบ!” ผ้าห่มและหมอนปลิวเข้ามาราวกับดาบที่ออกจากฝักพร้อมกัน คุณหนูสวีพลิกตัวลุกขึ้น สองตาบวมแดง อกงามสะท้อนขึ้นลงเร็วรี่ เบิกตาโพลงจ้องมองเขาอย่างดุร้ายราวกับจะกินเขาอย่างนั้น  

 

 

หลินหว่านหรงก้มหน้าลง ฉวยโอกาสกอดร่างนางแล้วพูดขึ้นมาว่า “เจ้าไม่ได้พูดว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์น่าเวทนา ให้ข้าดีต่อนางสักหน่อยหรอกหรือ?”  

 

 

“ข้าให้เจ้าดีต่อนางสักหน่อย แต่ไม่ได้ให้เจ้าไปร่วมหลับนอนโดยไม่ได้วิวาห์!” สวีจื่อฉิงหยิกแขนเขาด้วยความเดือดดาล น้ำตาร่วงเผาะ “พวก…พวกเจ้ากลับยังทำต่อหน้าข้า…สุนัขชายหญิง ชายโฉดหญิงชั่ว อยู่ร่วมกันโดยปราศจากพ่อสื่อแม่ชัก ไม่รู้จักยางอาย ทำให้ข้าโมโหตายแล้ว”  

 

 

นางด่าทอต่อเนื่องเป็นชุด ส่วนมือก็ออกแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หยิกแขนเขาอย่างรุนแรง หลินหว่านหรงแยกเขี้ยวยิงฟัน กอดร่างนางไว้ จุมพิตใบหูนางคราหนึ่ง หัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อคุณหนูสวีเคียดแค้นการอยู่ร่วมกันโดยปราศจากพ่อสื่อแม่ชักเช่นนั้น ข้ากับเจ้ามีพ่อสื่อแม่ชัก ถือว่าอยู่ร่วมกันได้ล่ะสิท่า!”  

 

 

สวีจื่อฉิงหน้าแดงซ่าน ร่างอ่อนระทวยทันที กล่าวอย่างมีน้ำโหออกมาว่า “เจ้ามีแต่กลิ่นของสตรีทั้งร่าง อย่ามาแตะต้องข้า!”  

 

 

“อ้อ!” เขารับคำคราหนึ่ง ค่อยๆ ปล่อยมือพร้อมก้มหน้าลง หน้าตาละห้อย น่าสงสารยิ่งนัก  

 

 

ท่าทางน่าเวทนาสงสารของเขานั้นกลับยิ่งทำให้คุณหนูสวีหงุดหงิด นางกัดแขนเขาอย่างรุนแรงคราหนึ่งด้วยน้ำตาร้อนคอลเบ้า “ไม่ให้เจ้าแตะต้องข้า เจ้าก็ไม่แตะต้อง? เจ้าเชื่อฟังขนาดนี้เชียว ทำให้ข้าโมโหตายแล้วจริงๆ!”  

 

 

ผู้หญิงนี่น้า ไม่อาจตอแยได้จริงๆ! หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง กอดร่างนางไว้ในอ้อมอก ก้มหน้าแล้วจุมพิตริมฝีปากหอมกรุ่นของนาง กล่าวด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องออกมาว่า “เช่นนั้นพวกเราอยู่ร่วมกันโดยมีพ่อสื่อแม่ชักกันทุกวัน อยู่ร่วมกันทั้งชาติ! คุณหนูสวี จื่อเอ๋อร์ ที่รักคนดี เจ้ายินดีเป็นเมียข้าหรือไม่?”  

 

 

คำพูดน่าขนลุกพรรค์นี้ก็มีแค่เขาที่พูดออกมาได้ คุณหนูสวีหน้าแดงก่ำ ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนคนจับจุดตายเอาไว้ เมื่อเจอกับคนหน้าหนาเช่นนี้ไม่อาจใช้เหตุผลได้เลย!  

 

 

“คำพูดเหล่านี้ของเจ้าเอาไปพูดกับข่านชนเผ่านอกด่านผู้งดงามคนนั้นแล้วสิท่า?” ระหว่างที่รู้สึกเอียงอายระคนยินดี สวีจื่อฉิงกลับบังเกิดความร้าวรอนอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาอีกด้วย  

 

 

ไอ้คำถามนี้ควรตอบอย่างไรดี? เขาส่ายหน้า ไม่เอ่ยวาจา  

 

 

สวีจื่อฉิงมองเขาหลายครั้ง อดแค่นเสียงเบาๆ ไม่ได้ หยิบถุงน้ำหลายใบที่อยู่ข้างกายมา จากนั้นก็เทน้ำใส่มือแล้วเช็ดหน้าเขาอย่างแรง เพียงแต่ต่อให้นางจะมีเรี่ยวแรงมากอีกสักเพียงใด ริมฝีปากสีชาดยังไม่อาจเลือนหาย แล้วจันทร์เสี้ยววงแล้ววงเล่าจะถูกกำจัดไปได้อย่างไร?!  

 

 

“ดูนางทำเรื่องดีๆ เข้าสิ! นี่กัดเจ็บหรือไม่? แล้วเจ้าจะไปพบหน้าผู้คนได้อย่างไร?!” คุณหนูสวีตบหน้าเขาหลายครั้ง ทั้งสงสารทั้งโมโห รอยฟันแต่ละรอยนั้น หากไม่ใช้เวลาสักหลายวันเกรงว่าคงไม่เลือนหาย!  

 

 

“อย่าสิ้นเปลืองน้ำสิ!” หลินหว่านหรงถูกนางเช็ดจนหนังหน้าแทบจะลอกออกมาแล้ว ดังนั้นจึงรีบแยกเขี้ยวร้องเรียก “น้ำสุคนธ์ที่เจ้าใช้อาบชำระยังอยู่ด้านนอกอยู่เลย ข้าไปล้างสักหน่อยก็ได้แล้ว วางใจได้ ข้าไม่รังเกียจความสกปรกแม้แต่น้อย!”  

 

 

เจ้าคนไร้ยางอาย! คุณหนูสวีใบหน้าใบหูแดง ร่างอ่อนยวบทันที “ห้ามเจ้าเอ่ยถึงน้ำสุคนธ์นั่นอีก! เสียทีที่เมื่อคืนข้ายังซาบซึ้งใจนาง ไหนเลยจะรู้ว่านางกลับมีแผนเช่นนี้! ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว!”  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นหากคืนนี้นางส่งน้ำสุคนธ์มาให้ เจ้าจะรับหรือไม่?”  

 

 

“รับ…หืม?!”  

 

 

“อ้อ ข้าหมายถึงสมมติ สมมติ!” หลินหว่านหรงรีบหัวเราะฮ่าๆ  

 

 

กุนซือหญิงเหล่มองเขาหลายครั้ง ทั้งขมขื่นทั้งร้าวรอน กัดฟันกรอดพร้อมพูดว่า “ไม่ใช่แค่วันนี้ พรุ่งนี้เกรงว่าก็ยังจะเอามาให้ล่ะสิท่า? ชายโฉด หญิงชั่ว!”  

 

 

คุณหนูสวีมีหลี่ไท่เป็นพ่อสื่อ คนแซ่หลินยอมรับด้วยตนเอง แม้จะยังไม่ได้ทำพิธีหมั้นหมาย ถึงกระนั้นกลับเป็นหลินฮูหยินอย่างถูกต้องแท้จริงแล้ว ประโยคที่นางด่านี้ถูกต้องยิ่งนัก  

 

 

ชายโฉดก้มหน้า รู้สึกกระดากใจที่จะพูดจริงๆ เมื่อดูจากท่าทางนั้น เขากลับใช้เจ้าน้ำสุคนธ์นี้ด้วยความสำราญนัก  

 

 

สวีจื่อฉิงกล่าวด้วยความโมโห “เจ้าไม่กลัวว่านางจะใช้แผนหญิงงาม จงใจทำให้เจ้ายอมถอยหรอกหรือ?”  

 

 

“หากเป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นที่ข้าใช้ก็คือแผนชายงามแล้วล่ะ!” หลินหว่านหรงถอนใจขื่นขมอย่างเงียบงัน  

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด