ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 623 – 1 ข้าคือดวงตาของเจ้า

Now you are reading ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ Chapter 623 - 1 ข้าคือดวงตาของเจ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อัวเหล่ากง…”  

 

 

“หืม?!”  

 

 

“เหตุใดเจ้าถึงชอบข้า?”  

 

 

“อ้อ…นี่ก็ น้องสาวเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ข้าเคยพูดว่าชอบเจ้าด้วยหรือ?!”  

 

 

“ต่ำช้า ไร้ยางอาย คนถ่อยพูดจากลับกลอก! ข้าจะตีเจ้า!”   

 

 

เสียงกำปั้นดังตุบตับราวกับเสียงหัวใจเต้นของหนุ่มสาวสองดวง! เขาหัวเราะร่วนพลางมองดูนาง ทันใดนั้นก็ประชิดใบหน้าเข้ามาพร้อมจุมพิตลงบนริมฝีปากสีแดงสดที่งามหยาดเยิ้มราวกับจะคั้นออกมาเป็นน้ำได้นั้นเบาๆ คราหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวอย่างอ่อนโยนออกมาว่า “อย่าถามข้าว่าชอบเจ้าเพราะเหตุใด ก็เหมือนกับอย่าถามหาว่าเหตุใดถึงต้องหายใจ!”  

 

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์ซบอยู่บนอ้อมอกเขา มองเขาด้วยความรู้สึกทั้งตกใจทั้งยินดี ขนตายาวกระเพื่อมไหวเบาๆ “อัวเหล่ากง ถ้อยคำรักที่เจ้าเคยเอ่ยออกมา เคยอยู่ในรวมบทกวีที่ต้าหัวหรือไม่? เหตุใดทุกครั้งที่เจ้าโอ๋ข้า ข้าล้วนมีความสุขจนอยากจะกัดเจ้าด้วยนะ?!”  

 

 

“อย่ากัดเลยจะดีกว่า เจ้าลองดูสารรูปของข้าในตอนนี้สิ อีกสักครู่จะไปพบหน้าผู้คนได้อย่างไรกันเล่า?!” เขาส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด  

 

 

เมื่อมองรอยประทับสดใหม่ที่แสนจะชัดเจนแต่ละรอยบนหน้าผาก ใบหู ใบหน้า และหน้าอกเขา เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็หัวเราะพรวดออกมา ใช้หน้าอกอ่อนนุ่มนิ่มบดเบียดแนบชิดหน้าอกเขา ความอวบอิ่มกดทับหน้าอกเขาอย่างหนักหน่วง อุ่นร้อนเปียกชื้น ทั้งอ่อนทั้งนุ่ม เสน่ห์ยั่วยวนเร้าภายในดวงตาคล้ายจะคั้นออกมาเป็นน้ำได้ “ข้าจะให้เจ้าออกไปพบหน้าผู้คนเช่นนี้! ข้าจะให้คนทั้งแผ่นดินรู้ว่าอัวเหล่ากงเป็นบุรุษของข้า เป็นบุรุษของข้าทุกภพทุกชาติ!”  

 

 

“เอ่อ ต้องขอโทษอย่างมากแล้วล่ะ! เจ้าก็รู้ว่าข้อเสียอันยิ่งใหญ่มากที่สุดของข้าคนนี้ก็คือขี้อาย ขี้อายมาก!” เขาลูบไล้เนื้ออ่อนนุ่มเรียบลื่นประดุจผ้าไหมบริเวณเอวอันคอดกิ่วของนางอย่างแช่มช้า สัมผัสอันอ่อนนุ่มชำแรกจนถึงกระดูก ถ้อยคำของเขาเป็นปกติยิ่งนัก ถึงกระนั้นเสียงกลับกำลังล่องลอย   

 

 

“เช่นนั้นข้าคงต้องขัดขวาการอายของเจ้าแล้ว!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ จับมือที่กำลังซุกซนของเขาขึ้นมาข้างหนึ่งย่างแช่มช้า นำใบหน้าแนบฝ่ามือเขาพร้อมกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “บุรุษของข้า ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว!”   

 

 

ใจเขาทั้งวูบทั้งวาบ ตรวจตราร่างกายนางสะเปะสะปะ “สิบหก!”   

 

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์เอ่ยด้วยความรู้สึกขบขัน “ดีเหลือเกิน เจ้าอายุมากกว่าข้าแค่ปีเดียว!”  

 

 

“เป็นไปไม่ได้น่า อายุ สิบห้าก็โต…ขนาดนี้แล้ว?”  

 

 

“นี่มีอะไรน่าแปลก? เทียบกับคนบางคนไม่ได้หรอก อายุสิบหกก็รู้จักทำตัวไร้ยางอายขนาดนี้แล้ว!”  

 

 

ช่างเป็นสาวน้อยที่ฉลาดคนหนึ่งเสียจริง! หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง สูดดมผมงามของนางอย่างหนักหน่วงไปหลายครั้ง  

 

 

อวี้เจียประคองมือทั้งสองข้างของเขาไว้แล้วนำใบหน้าฝังลงไปในนั้น กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “เยวี่ยหยาเอ๋อร์ของเจ้าปีนี้อายุสิบเก้าแล้ว! เจ้าห้ามลืมล่ะ!”   

 

 

“ลืมเจ้านั่นไม่เท่ากับลืมตัวข้าเองหรือ!” สองตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อย ถอนหายใจอย่างเงียบงัน  

 

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์ใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความยินดี ยิ้มพรายในบัดดล นางประคองฝ่ามือเขาด้วยความระมัดระวังพร้อมพิจารณาอยู่นาน ทันใดนั้นก็เบ้ปากพร้อมแค่นเสียงพูดขึ้นมาว่า “อัวเหล่ากง เหตุใดเส้นความรักของเจ้าถึงได้แตกกิ่งก้านสาขามากขนาดนี้?!”  

 

 

“โอ๊ะ เป็นไปไม่ได้กระมัง เจ้าต้องดูผิดแน่!” เขาเบิกตาโพลง รีบรั้งมือกลับไป “ข้ามีชื่อเสียงในเรื่องซื่อสัตย์มั่นคงในรักมาตลอด ที่ต้าหัวการเป็นที่เลื่องลือ ใครๆ เขาก็พูดกัน!”  

 

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์กล่าวด้วยความหงุดหงิดโมโห “วิธีการดูลายมือนี้เป็นเจ้าสอนข้า ข้าดูอย่างละเอียดมาก แล้วจะผิดได้อย่างไร?!”  

 

 

“อ้อ…อันที่จริงเป็นแบบนี้” เขากลอกตาอย่างรวดเร็ว “กิ่งก้านสาขาพวกนี้ที่จริงแล้วก็คือหัวใจเก้าห้องในตำนาน แต่ละห้องล้วนปราดเปรื่อง เป็นสัญลักษณ์ของคนที่ฉลาดมากที่สุด”  

 

 

“ถ้าเจ้ามีหัวใจเก้าห้อง แต่ละห้องล้วนเจ้าชู้ถึงจะถูก!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ซบอยู่บนหน้าอกเขา ทุบหน้าอกเบาๆ ด้วยโทสะบางๆ เมื่อสายตาไปอยู่บนรอยแผลขนาดยักษ์ สายตาก็อ่อนโยนโดยพลัน เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “แผลนี้เจ้าต้องเก็บไว้ตลอดกาล ห้ามเจ้าไปขอตัวยาลบรอยแผลเป็นจากพี่สาวนางเซียนอะไรนั่นเด็ดขาด!”   

 

 

เขานิ่งงัน รีบถามว่า “เพราะอะไรหรือ น้องสาว?”  

 

 

อวี้เจียแนบใบหน้าลงบนรอยแผลลึกนั้นอย่างแช่มช้า น้ำตาคลอเบ้า ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ “นี่คือสัญลักษณ์ที่ข้าสลักทิ้งไว้ให้เจ้า! ทิ้งอยู่บนร่างเจ้าและสลักอยู่ที่ใจของเจ้าด้วย เป็นของเยวี่ยหยาเอ๋อร์! ไม่ว่าเจ้าจะแค้นข้าหรือว่ารักข้า ข้าก็จะให้เจ้าจดจำข้าไปทุกภพทุกชาติ!”  

 

 

แม่หนูคนนี้ แม้แต่การบ้าอำนาจก็ยังทำให้คนปวดใจได้! หลินหว่านหรงยิ้มอย่างเงียบงัน โอบนางเข้าสู่อ้อมอกแน่น สูดดมจอนผมหอมกรุ่นของนางเบาๆ   

 

 

ใต้จันทร์เสี้ยว ผิวนางเรียบลื่นดั่งผ้าไหมที่แวววาว ร่างเปลือยเปล่าเปล่งประกายระยิบระยับ ประหนึ่งทูตสวรรค์ผู้งดงามและยั่วยวนใจมากที่สุดที่สวรรค์ประทานให้โลกมนุษย์  

 

 

ลูบจอนผมสีขาวทั้งสองข้างนั้นอย่างแช่มช้า เส้นผมอ่อนนุ่มแต่ละเส้นต่างกระทบเข้าไปในจิตใจ หลินหว่านหรงเอื้อนเอ่ยเบาๆ ออกมาว่า “น้องสาว วิชาแพทย์ของเจ้าดีขนาดนี้ จะทำให้มันกลับคืนสู่สภาพเดิม คืนเส้นผมสีนิลงดงามดั่งเมฆาให้เจ้าได้หรือไม่”  

 

 

อวี้เจียเงยหน้าขึ้นมาทันที เบิกตาโพลงพร้อมมองดูเขา ส่งเสียงคำรามดังลั่น “ทำไมต้องคืนสู่สภาพเดิมด้วย? รังเกียจว่ามันไม่งดงามหรือ?”   

 

 

“ไม่ใช่ๆ” หลินหว่านหรงรีบโบกมือ “งามมาก! แต่เดิมเจ้าก็เป็นสตรีผู้งดงามงามมากที่สุดบนทุ่งหญ้าอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งสูงส่งหลุดพ้นจากทางโลก บริสุทธิ์ผุดผ่องดั่งเมฆขาว!”  

 

 

“นี่คือสัญลักษณ์ของคำว่าตลอดกาล!” นางถลึงตาใส่เขาอย่างดุดัน กล่าวยืนกรานเสียงเบาออกมา “หากครั้งหน้าเจ้ายังกล้าทำให้ข้าลืมเจ้าอีก ข้าจะได้เดินตามมันทีละก้าว ทีละก้าว ไม่ว่าจะกี่ปี ไม่ว่าจะกี่ชาติ ข้าก็ต้องหาเจ้าให้เจอ! เจ้ากล้าลองหรือไม่?”  

 

 

เขาจมูกร้าวระบม รีบเบือนหน้าไป ประกายน้ำตาวูบไหว  

 

 

“เจ้าพูดมาสิ กล้าหรือไม่กล้า?!” อวี้เจียสายตาลุ่มลึก ขางามเรียวยาวทรงพลังเตะขาทั้งสองข้างของเขาอย่างมีน้ำโห อกอวบอิ่มเปลือยเปล่าชูชันรับลม สั่นกระเพื่อมไหว เรือนร่างโค้งเว้าโก่งนูนประหนึ่งราวกับลูกท้อที่สุกงอม  

 

 

อัวเหล่ากงหัวเราะด้วยความกระอักกระอ่วนใจสองครา ไม่กล้าหันหน้า “เอ่อ ไม่มีคราวหน้า ไม่มีคราวหน้า!”  

 

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยกเท้าน้อยอันขาวกระจ่างใสขึ้นมาแล้วขยี้ลงบนต้นขาเขาอย่างหนักหน่วงหลายครั้ง แค่นเสียงแล้วพูดออกมาว่า “คิดอยู่แล้วว่าเจ้าไม่กล้า! เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะส่งน้ำสุคนธ์ให้เจ้าอีก เจ้าจะมาหรือไม่มา?!”  

 

 

“เรื่องการเจรจายังไม่เสร็จสิ้นเลยนะ ยังมีรายละเอียดตั้งมากมาย…”  

 

 

อวี้เจียน้ำตาคลอ กล่าวด้วยโทสะออกมาว่า “อยู่ดีๆ มาพูดถึงเรื่องพวกนี้ทำไมกัน?! ข้าถามเจ้าว่าจะมาหรือไม่มา! ห้ามลังเล ห้ามกะพริบตา ตอบเดี๋ยวนี้!”  

 

 

นางโผเข้าหา นิ้วมือเรียวยาวแหวกหนังตาเขา ไม่ให้เขากะพริบตา  

 

 

หลินหว่านหรงรีบผงกศีรษะ เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถึงแค่นเสียงออกมา ปล่อยเขาไปด้วยความอายและยินดีระคนกัน  

 

 

หลินหว่านหรงขยี้ตาด้วยความอับจนปัญญา ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดวงตากระจ่างใสของข้าแต่เดิมก็ไม่โตอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับถูกเจ้าแหวกจนกลายเป็นตาสองชั้น พอกลับไปผู้อื่นคงจำข้าไม่ได้แล้วล่ะ!”  

 

 

“ข้าจำเจ้าได้ก็พอ! หึ เย็นพรุ่งนี้ข้าจะส่งอีก!”  

 

 

หลินหว่านหรงหัวเราะร่า “ยิ่งส่งมากข้าก็ยิ่งชอบ ทางที่ดีที่สุดคือส่งทั้งชาติ!”  

 

 

อวี้เจียพอได้ยินก็นิ่งงันทันที นางมองเขาเบาๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้มยินดีอย่างเห็นได้ชัด ถึงกระนั้นน้ำตากลับไหลพร่างพรูออกมา  

 

 

“เป็นอะไร? ไม่ร้อง ไม่ร้อง ที่ข้าพูดเป็นความจริงนะ! หากมีคำพูดใดเป็นเท็จ ขอให้ข้าถูกฟ้าผ่า ไม่ตายดี!” หลินหว่านหรงปวดใจ รีบกอดนาง ตบบ่าเรียบลื่นอ่อนนุ่มของนางเบาๆ   

 

 

“ข้ารู้ ข้ารู้!” อวี้เจียทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ กอดเขาแน่นพร้อมเอ่ยว่า “อัวเหล่ากง เจ้าจะจดจำข้าตลอดไปหรือไม่!”  

 

 

“แน่นอน!”  

 

 

“จะคิดถึงข้าตลอดไปหรือไม่?”  

 

 

“นี่ยังต้องสงสัยอีกหรือ?!”  

 

 

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่จุมพิตข้า?!”  

 

 

ระหว่างที่เขานิ่งอึ้ง กลีบริมฝีปากสีแดงสดร้อนแรงสองกลีบก็กัดเขาอย่างรุนแรง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ราวกับเป็นมนุษย์งูร่างเปลือยเปล่าตัวหนึ่ง ท่อนแขนกระจ่างใสโอบรัดลำคอของเขา ขาเรียวยาวรัดแน่นอยู่ที่ข้อพับขาของเขา ภูเขางามไร้ที่ติทั้งสองลูกบดเบียดอยู่บนลำตัว ขยับเปลี่ยนท่าทางไม่หยุด นางส่งเสียงครางอย่างต่อเนื่อง…  

 

 

ไหวอีกแล้ว! นี่ครั้งที่เจ็ดที่แปดแล้วนะ ฟ้าก็ใกล้สว่าง ยังไม่จบไม่สิ้นอีกหรือ?! น่าหลานกับเซียงเสวี่ยและสาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งหลายใช้สายตาเหลือบมองเบาๆ หน้าแดงด้วยความอาย จากนั้นก็คุกเข่าลงไปอย่างแช่มช้าอีกครา!  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด