ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 609 – 1 หญิงงามยังไม่โรยราทว่าท่านกลับจากลาก่อน

Now you are reading ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ Chapter 609 - 1 หญิงงามยังไม่โรยราทว่าท่านกลับจากลาก่อน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ภายนอกรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ชาวทูเจวี๋ยมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ควบม้ามาจากทั่วทุกสารทิศ คนเบียดเสียดยัดเยียด ประหนึ่งเมฆดำที่เคลื่อนที่รวมตัวกันเป็นชั้นๆ ปกคลุมทุ่งหญ้าจนหมดสิ้น  

 

 

ทหารต้าหัวรวมตัวกันอย่างเงียบๆ แผ่นหลังชนแผ่นหลัง ขยับเยื้องย่างฝีเท้าอย่างแช่มช้า เชื่อมสนิทแนบแน่นราวกับวงแหวนอันแข็งแกร่ง พวกเขาเชิดศีรษะขึ้นสูง กุมดาบแน่น คราบโลหิตท่วมร่าง เขม่าควันเต็มใบหน้า เผชิญหน้ากับชนเผ่านอกด่านซึ่งมีจำนวนมากกว่าตนเองหลายสิบเท่า ไม่มีผู้ใดกริ่งเกรง ดวงตาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง  

 

 

“หลินซาน เจ้ายอมจำนนจะดีกว่า ชาวทูเจวี๋ยไม่อาจตอแยได้” เสียงโหวกเหวกเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามา อ๋องน้อยเจ้าคังหนิงถูกสวี่เจิ้นจับกุมตัวเอาไว้ กำลังร้องโวยวายเสียงดัง  

 

 

หลี่อู่หลิงพรุ่งปราดเข้าไป ใช้ฝักดาบกระแทกปากอ๋องน้อยอย่างรุนแรงพร้อมกล่าวอย่างมีโทสะ “เจ้าสุนัขขายบรรพชนเพื่อลาภยศ เหตุใดต้าหัวเราถึงได้มีเศษสวะเช่นเจ้าเยี่ยงนี้”  

 

 

เมื่อเห็นเจ้าคังหนิงเลือดกบปาก ร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด เขาก็รู้สึกสาแก่ใจ หัวเราะร่าพร้อมพูดว่า “ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วล่ะสิว่าชาวต้าหัวเราไม่อาจตอแยได้เช่นกัน!”  

 

 

ราชนิกุลทูเจวี๋ยยี่สิบกว่าคนซึ่งถูกจับตัวเป็นเชลยต่างเบิกตาโพลงมองดูเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยไอสังหาร ส่วนซ่าเอ่อร์มู่ก็ยิ่งกัดฟันส่งเสียงดังกรอดๆ อ๋องขวาถูสั่วจั่วที่ถูกเขาอัดจนมีสภาพยับเยินก็ยังไม่ฟื้น มิเช่นนั้นคงต้องบุกเข้าไปแลกชีวิตด้วยแล้ว ถูกคนบุกทำลายราชธานี ชนชั้นหัวกะทิถูกจับเป็นตัวประกันจนหมดสิ้น สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยขึ้นในประวัติศาสตร์ทูเจวี๋ย  

 

 

เขาหันกลับไปมองผู้กล้าที่อยู่ข้างหลังตนเอง บนใบหน้าอันหนุ่มแน่นแต่ละใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและความฮึกเหิม ทุกคนต่างมองเขาอย่างเงียบงัน ดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความมุ่งมั่นไม่ยอมจำนน  

 

 

เขาเลือดลมพลุ่งพล่าน ชัดดาบศึกออกมาในบัดดล ตวาดเสียงดังออกมาว่า “ใต้เมืองเค่อจือเอ่อร์ก็คือที่ฝังกระดูกของพวกเรา พวกเจ้ากลัวหรือไม่”  

 

 

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!” ชาวต้าหัวทุกคนต่างกวัดแกว่งดาบยาวในมือ ใช้การกรีดดาบอย่างพร้อมเพรียง เสียงดาบรุนแรงคมกริบเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของพวกเขา เสียงสัญญาณซึ่งทั้งตื่นเต้นและฮึกเหิมทำให้ผืนพิภพสั่นสะเทือนภายในชั่วพริบตา  

 

 

หลินหว่านหรงกวัดแกว่งดาบควบม้า บนใบหน้าดำสาดประกายไอสังหารพลุ่งพล่าน “บุรุษต้าหัวยอมยืนตาย แต่ไม่ยอมคุกเข่ามีชีวิตเด็ดขาด! ให้ราชธานีชาวทูเจวี๋ยเป็นเกียรติยศในชีวิตของพวกเรากันเถอะ!”  

 

 

เสียงเขาดังก้องกังวานราวกับเสียงกลองใหญ่ ดังก้องอยู่ข้างใบหูทุกคน เหล่านายทหารต่างน้ำตาร้อนคลอเบ้าท่ามกลางฝูงชนเผ่านอกด่านที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงนี้ ไม่มีผู้ใดที่คิดจะรอดชีวิตสักคนเดียว   

 

 

ดวงตะวันสีแดงโผล่พ้นชายขอบทุ่งหญ้า แสงอรุโณทัยอันงดงามส่องท้องนภาเป็นสีแดง ตกกระทบใบหน้าพวกเขา ดวงตาสีดำขลับจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายท่ามกลางแสงแรกอรุณอันแสนจะอบอุ่น  

 

 

ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่โดยรอบเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณของชาวต้าหัวก็รุกคืบเข้ามาใกล้อย่างเงียบงัน ล้อมพวกเขาให้อยู่กึ่งกลาง เมื่อมองลงจากท้องฟ้า ศีรษะคนและอาชาสีดำสุดลูกหูลูกตาราวกับจุดสีดำที่ค่อยๆ ขยับเขยื้อน ก่อตัวเป็นวงกลมสีดำขนาดยักษ์อย่างแช่มช้า อาชาห้าหมื่นตัววิ่งพร้อมกัน เสียงร้องตกกระทบใบหู ดังกึกก้องดั่งอสุนีบาตยามวสันต์   

 

 

ธงมังกรสีเหลืองทองชูพลิ้วไสวขึ้นสูง ทัพแตกพ่ายจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่พันของต้าหัวประหนึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของวงกลมอันเด็ดเดี่ยวมากที่สุด ยืนผงาด ปราศจากการขยับเขยื้อน ความดุร้ายและอำมหิตบนใบหน้าชนเผ่านอกด่านปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน พวกมันผลักดันเข้ามาทีละก้าว ไม่เร็วไม่ช้า ลมหายใจของคนและม้าเสียงฟืดฟาดราวกับห้องเลี้ยงไหมในค่ำคืนยามวสันต์   

 

 

ห่างออกไปหลายร้อยจั้ง ชาวทูเจวี๋ยค่อยๆ หยุดการเคลื่อนที่ ม่านกระโจมสีเหลืองทองหลังหนึ่งผุดขึ้นจากกึ่งกลางกองทัพอย่างแช่มช้า ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยพาดคันศรสีทองลูกเกาทัณฑ์สีนิลอยู่บนหลัง ยืนทอดสายตามองอยู่ข้างบนอย่างเงียบๆ ใบหน้าอันงดงามเปล่งประกายสีทองบางๆ  

 

 

“ข้าขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย” อวี้เจียใบหน้าไร้ความรู้สึก แววตาประดุจสายฟ้า น้ำเสียงกระจ่างชัด ไม่เร็วไม่ช้า ดังก้องอยู่เบื้องหน้าทัพทั้งสองฝ่าย “ชาวต้าหัว ทิ้งซ่าเอ่อร์มู่ไว้ ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป!”  

 

 

ทัพต้าหัวเงียบสงัด ราชนิกุลทูเจวี๋ยยี่สิบกว่าคนพร้อมซ่าเอ่อร์มู่ถูกผลักออกมาข้างหน้า ในปากยัดผ้าเอาไว้ ดวงตาถูกคาดด้วยผ้าสีดำ ขยับดิ้นรนขัดขืนไม่หยุด ประกายดาบวาววับขยับวูบผ่านลำคอเป็นระยะ  

 

 

เสียงเย็นชาของหลินหว่านหรงดังลอยเข้ามาอย่างชัดเจน “ข้าขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน ข่านใหญ่ เก็บความฉลาดของเจ้าไว้ใช้ที่โต๊ะเจรจาเถอะ มาท้าทายความอดทนของข้าตอนนี้ ไม่ใชสิ่งที่คนฉลาดจะทำกัน!”  

 

 

อวี้เจียใบหน้าเย็นชา หลุบสายตาลงต่ำ เงียบงันไม่เอ่ยวาจา ทุ่งหญ้าอันเงียบสงัด นอกจากเสียงพ่นลมหายใจเบาๆ ของม้าศึกแล้วก็ไม่ยินเสียงความเคลื่อนไหวอื่นใดอีก เงียบสงัดราวกับถังดินปืนซึ่งพร้อมถูกจุดให้ระเบิดได้ทุกเมื่อ  

 

 

ท้องฟ้าค่อยมืดหม่น เมฆดำปกคลุมไปทั่วท้องนภา กลบดวงตะวันสีแดงฉานจมหมดสิ้น ทุ่งหญ้ามืดมนอนธการ สายลมอ่อนค่อยๆ พัดพา ผ่านไปเพียงเพียงชั่วพริบตาก็มืดครึ้ม แต่เดิมนั้นอากาศปลายเดือนห้าจะร้อนระอุ ทว่าอากาศในวันนี้กลับเหมือนเกิดความผิดปกติ ในสายลมที่โชยมาเบาๆ เหมือนระคนด้วยความหนาวเย็น เหล่าเกาแหงนหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ “ดูเหมือนฝนจะตกแล้ว!”  

 

 

หลินหว่านหรงสีหน้าหนักอึ้ง ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบดุจสายฟ้า “พี่หู เหล่าเกา พวกท่านจงจำเอาไว้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ เมื่อว่าจะเกิดอะไร ของเพียงอวี้เจียลังเลเล็กน้อย พวกท่านจงนำพาพี่น้อง คุมตัวซ่าเอ่อร์มู่จากไปทันที! โอกาสอาจมีแค่ครั้งเดียว! ขอเพียงผ่านด่านของอวี้เจียได้ ตลอดเส้นทางบนทุ่งหญ้าก็จะราบรื่น มีซ่าเอ่อร์มู่กับถูสั่วจั่วอยู่ในมือ ชนเผ่านอกด่านที่เหลือไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกท่านแม้แต่ขนสักเส้น…จำได้หรือยัง?!”  

 

 

สีหน้าอันหนักอึ้งของเขาไม่เคยเกิดขึ้นมานานมากแล้ว หูปู้กุยเกาฉิวรีบประสานมือ “ข้าน้อยรับบัญชา!”  

 

 

หลี่อู่หลิงครุ่นคิด ทันใดนั้นก็เอ่ยอมาว่า “พี่หลิน เช่นนั้นท่านล่ะ?!”  

 

 

“ข้า?!” หลินหว่านหรงผงกศีรษะพร้อมยิ้มแย้ม “ถ้ามีโอกาสย่อมไปกับพวกเจ้าแน่! พวกเจ้าก็รู้ ข้ากลัวตายมากเลยนะ!”  

 

 

ในช่วงเวลาอันตึงเครียดเช่นนี้ ก็มีแต่แม่ทัพหลินที่ยังล้อเล่นเช่นนี้ได้อีก ทุกคนต่างเปล่งเสียงหัวเราะ มีเพียงหนิงอวี่ซีซึ่งเงียบงันไม่เอ่ยวาจาผู้นั้นเท่านั้นที่คล้ายรู้สึกอะไรได้ นางจับมือเขาเบาๆ ฝ่ามือของโจรน้อยเปียกชุ่มไปหมด เต็มไปด้วยเหงื่อ  

 

 

ข่านใหญ่ดาบทองที่เงียบงันไปนานก็ปล่อยเสียงอันแผ่วเบาลอยล่องเข้ามาอย่างแช่มช้า “นี่คือทางเลือกที่ชาวต้าหัวเช่นพวกเจ้าเลือกด้วยตนเอง ไม่อาจโทษผู้ใดได้! ผู้กล้าทั้งหลาย เตรียมตัวโจมตี!”  

 

 

“เฮ!” ชาวทูเจวี๋ยซึ่งเมื่อครู่ยังเงียบงันอยู่ก็ส่งเสียงร้องดัง่สนั่นภายในชั่วพริบตา ระเบิดการกู่ร้องด้วยโทสะราวกับหมาป่า ดาบโค้งที่อยู่ในมือเปล่งประกายเย็นเยียบ ม้าเดินหมุนวนไปมา ผืนปฐพีสั่นสะเทือนภายในชั่วพริบตา  

 

 

“พี่น้องทั้งหลายเตรียมตัว!” หลินหว่านหรงคำรามเสียงดัง  

 

 

ทหารทั้งหลายต่างเบิกตาโพลง ดาบชักออกจากฝัก ศึกนองเลือดกำลังจะปะทุ แม้แต่นางเซียนหนิงซึ่งสูงสง่าและเรียบเฉยมาตลอดก็ยังอดกุมกระบี่แน่นไม่ได้  

 

 

“เจ้าใบ้ เป็นเจ้าบังคับข้า!”  

 

 

“ข้าบังคับตัวเองเท่านั้น!”  

 

 

ดวงเนตรอันงดงามของข่านใหญ่ดาบทองเปียกชื้นโดยพลัน นางกัดฟันจนส่งเสียงดังกรอดกรอด ยกดาบมองในมือขึ้น จากนั้นก็ออกแรงสะบัดลงไป “ผู้กล้าทั้งหลาย เพื่อเกียรติยศแห่งทุ่งหญ้า ฆ่า!”  

 

 

“ฆ่า!” ท่ามกลางการสั่นสะเทือนของขุนเขาและปฐพี ม้าทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนก่อให้เกิดฝุ่นดินคละคลุ้งจนกลบทุ่งหญ้าในบัดดล ชนเผ่านอกด่านกรูเข้ามาพร้อมเสียงลมหวีดหวิวราวกับทรายที่ไหลบ่า ประหนึ่งฝูงหมาป่าอันดุร้ายที่บุกเข้าหาเหยื่อที่จับจ้องมานาน  

 

 

“โลหิตของพวกเราก็คือฉางเฉิงของต้าหัว! ฆ่า!” เจ้าใบ้ร้องคำรามด้วยโทสะ ดังกึกก้องไปทั้งทุ่งหญ้าพร้อมกับเสียงตวาดของข่านใหญ่ ชาวต้าหัว ชาวทูเจวี๋ยอารมณ์พลุ่งพล่านทันที สายน้ำไหลบ่าหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ถาโถมบนทุ่งหญ้าอย่างบ้าคลั่ง   

 

 

หลินหว่านหรงโบกมือ หูปู้กุยสองตาแดงก่ำ เดินก้าวมาข้างหน้า เสียงดังขวับๆ สองครา โลหิตพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าราวกับต้นเสา ราชนิกุลทูเจวี๋ยที่สูญเสียศีรษะไปสองคนล้มลงพื้นเสียงดังตึง และในขณะเดียวกันทหารต้าหัวนับร้อยนับพันดวงตาสาดประกายตื่นเต้นและฮึกเหิม พุ่งปราดออกไปอย่างเร็วรี่ดั่งสายฟ้า ประหนึ่งแหใหญ่ที่หว่านออกไปอย่างปัจจุบันทันด่วน  

 

 

เพียงไม่นานสายน้ำไหลบ่าเร็วรี่ทั้งสองสายก็ปะทะกันอย่างรุนแรง เสียงดาบแสบแก้วหูดังไปทั่ว ตามมาด้วยเสียงร้องของม้าศึก เสียงร้องโหยหวนของนายทหาร หมอกโลหิตลอยฟุ้งราวกับบุปผาที่เบ่งบานภายในชั่วพริบตา ย้อมทุ่งหญ้าจนเป็นสีแดงฉาน   

 

 

ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดอันคละคลุ้ง ในที่สุดทหารชั้นยอดของต้าหัวกับทหารชั้นยอดของชนเผ่านอกด่านก็จะเกิดการประจันหน้าที่รุนแรงและโหดร้ายมากที่สุดแล้ว  

 

 

นี่คือการรบที่ไม่เท่าเทียม การเผชิญหน้ากับชนเผ่านอกด่านที่มากกว่าตนเป็นสิบเท่า ความอยู่รอดไม่ใช่ปัญหาที่ต้องขบคิดอีก ทุกครั้งที่ได้ฟาดฟันสังหารคน นั่นคือกำไร เมื่ออยู่ในภาวะสิ้นหวังที่คิดว่าต้องตายแน่นอนเช่นนี้ ทหารต้าหัวพลันระเบิดพลังอันมหาศาลออกมา ใช้หนึ่งสู้สิบ ห้าวหาญดุดันดั่งพยัคฆ์ ท่ามกลางการนองเลือด ร่างกายเยาว์วัยล้มลงไปทีละร่าง ที่นอนเคียงข้างพวกเขาก็คือชนเผ่านอกด่านจำนวนนับไม่ถ้วน!  

 

 

ประกายโลหิตปิดบังดวงตาทั้งสองข้าง ความเคียดแค้นชิงชังปกคลุมทุ่งหญ้า มีแต่เปลวเพลิงไปทั่วทุกหัวระแหง มีแต่โลหิตสดๆ นองทั่วทุกหัวระแหง   

 

 

อวี้เจียโบกดาบทองอย่างเร็วรี่ โจมตีดัง่สายน้ำหลาก ไม่หยุดพักแม้สักเสี้ยวนาที ชนเผ่านอกด่านจำนวนนับไม่ถ้วนหน้าล้มหลังบุกต่อเนื่อง ประหนึ่งท่อประปาที่วางระบบเต็มพื้นที่ พวกมันต้องการใช้กำลังรบอันกล้าแกร่งสะกดชาวต้าหัวให้คว่ำ  

 

 

ม้าศึกกู่ร้องโหยหวน ท่ามกลางการสังหารหมู่สุดลูกหูลูกตา ทหารของทั้งสองฝ่ายล้มลงเป็นระลอก ชาวต้าหัวล้มลงไปหนึ่งก็ขาดไปหนึ่ง ทว่าชนเผ่านอกด่านกลับเหมือนน้ำทะเลที่ไหลต่อเนื่องไม่ขาดสาย ชำระคราบโลหิตที่ทิ้งไว้ก่อนหน้า จากนั้นก็กวาดม้วนเข้ามาใหม่  

 

 

ข่านใหญ่ดาบทองโจมตีสามระลอกอย่างต่อเนื่อง ปราศจากการหยุดพัก ส่วนหูปู้กุยใบหน้าเต็มไปด้วยคราบโลหิต ฟันสังหารเชลยแปดคนโดยไม่หยุดพักภายในอึดใจเดียว หัวคนที่มีโลหิตชุ่มโชกแปดหัวหล่นกระจัดกระจายอยู่ใต้เท้า ไม่เพียงเจ้าคังหนิงที่ตกใจจนใบหน้าปราศจากสีเลือด ข่านน้อยผู้ไร้เดียงสาก็หน้าซีดเช่นกัน ริมฝีปากสั่นระริกไม่หยุด  

 

 

บุคคลเหล่านี้คือชนชั้นสูงของทูเจวี๋ย ไม่ว่าอยู่ในสายตาผู้ใดก็ต้องยอมอยู่สามส่วน เพียงแต่อวี้เจียผู้นั้นกลับเหมือนเสียสติ สั่งการให้ชนเผ่านอกด่านบุกทะลวงและเข่นฆ่าโดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วสักครา  

 

 

มีฐานะเป็นข่านใหญ่ทูเจวี๋ย อวี้เจียไม่อาจไม่สนใจความรู้สึกของแต่ละดินแดน กระทำการผลีผลามจนทำให้ชนชั้นสูงทูจวี๋ยเหล่านี้กลายเป็นวิญญาณที่แดดิ้นใต้คมดาบชาวต้าหัวทั้งหมดได้ มิหนำซ้ำในนั้นยังมีน้องชายในไส้ของนาง นายแห่งทุ่งหญ้าในอนาคตอีกด้วย  

 

 

นี่คือกลศึกอันอำมหิตอย่างหนึ่ง และยิ่งเป็นการพนันอย่างหนึ่งอีกด้วย การบุกโจมตีทุกระลอกของนาง ชาวต้าหัวจะตัดหัวเชลยอย่างไม่ไว้ไมตรี และสิ่งที่อวี้เจียพนันก็คือตนเองโหดเ**้ยมกว่าชาวต้าหัว ต้องการบีบให้ชาวต้าหัวล่มสลายไปก่อน! มีเพียงเท่านี้นางถึงจะมีโอกาสช่วยซ่าเอ่อร์มู่ได้  

 

 

แม้อวี้เจียจะจะได้เปรียบอย่างสมบูรณ์แบบ แต่แรงกดดันภายในใจนางเหนือล้ำกว่าชาวต้าหัว นี่เป็นการประลองกำลังที่ผู้ใดก็ไม่อาจพ่ายแพ้  

 

 

ตัวประกันในมือหูปู้กุยน้อยลงไปเรื่อยๆ เหลือเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น และแต่ละคนต่างถูกกดให้คุกเข่าอยู่บนพื้นทุ่งหญ้า ซึ่งรวมถึงซ่าเอ่อร์มู่ด้วย เมื่อเห็นร่างอันเยาว์วัยของสั่นระริกท่ามกลางสายลม ข่านใหญ่ก็หน้าซีด ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง เจ้าใบ้สองตาแดงก่ำ รู้สึกขาดอากาศหายใจจนแทบแหลกลาญ   

 

 

“ฆ่า!” ท่ามกลางประกายโลหิตที่พวยพุ่งไปทั่ว พวกเขาสองคนต่างสบตากัน ประกายน้ำตาภายในดวงตาของอีกฝ่ายมองเห็นอย่างชัดเจน ถึงกระนั้นกลับเหมือนถังดินระเบิดสองลูกระเบิดขึ้นมาพร้อมกัน เสียงคำรามลั่นฟ้าสะเทือนดินสองเสียงพุ่งเข้าหากัน ช่วงเวลานี้มีเพียงเสียงเข่นฆ่าถึงทำให้พวกเขาลืมเลือนทุกสิ่งได้  

 

 

ชาวทูเจวี๋ยและชาวต้าหัวจำนวนนับไม่ถ้วนติดตามอยู่ข้างหลังพวกเขา ฝุ่นดินและเปลวเพลิงบนทุ่งหญ้าประสานจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน  

 

 

เสียอาวุธปะทะดังระงม ไอโลหิตปกคลุม ไม่อาจเห็นทุ่งหญ้าได้อีก สิ่งที่มีอยู่เต็มดวงตาก็คือสีแดง มีแต่คนเต็มไปหมด ได้ยินเสียงร้องคำรามด้วยโทสะอย่างบ้าคลั่งของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ได้ ทว่ากลับมองไม่เห็นว่านางอยู่ที่ใด   

 

 

หลินหว่านหรงสองตาปริแตก แต่ละดาบเหมือนรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ชนเผ่านอกด่านล้มข้างกายเขาทีละคน แขนชาไปหมดแล้ว  

 

 

“อึก!” เกาฉิวซึ่งติดตามอยู่ข้างหลังเขาส่งเสียงร้องทึบๆ คราหนึ่ง ถูกธนูยิงเข้าแล้ว โลหิตกำลังไหลริน แขนสวี่เจิ้นก็อาบโลหิต หลี่อู่หลิงที่อายุน้อยที่สุดตามติดคุ้มหันอยู่ข้างกายคนทั้งสอง ดาบใหญ่ฟันจนโค้งงอแล้ว  

 

 

เจ้าใบ้ฟันดาบอย่างหนักหน่วงคราหนึ่ง จมลึกลงไปในร่างชนเผ่านอกด่านที่อยู่ตรงหน้า มองดูคู่ต่อสู้ร้องหวนโหนพร้อมล้มลงไป เบื้องหน้าเขาเต็มไปด้วยสีแดงฉาน สองตาพร่าเลือน หัวสมองด้านชา ช่วงเสี้ยววินาทีนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมีสติครบถ้วนได้   

 

 

“โจรน้อย!” นางเซียนหนิงเพิ่งฟันศัตรูที่อยู่ข้างกายจนพลิกคว่ำไป เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นชนเผ่านอกด่านซึ่งร่างกายประดุจขุนเขารุกคืบเข้าใกล้โจรน้อย รอบด้านเต็มไปด้วยประกายดาบอันเย็นเยียบของชาวทูเจวี๋ย ฟันเข้าหาราวสายอสุนีบาตร ด้วยความร้อนใจ นางจึงรีบตวาดเจื้อยแจ้วคราหนึ่ง เหินร่างไปราวกับน้ำตก กระบี่ยาวกรีดเป็นประกายสายฟ้าแลบสองสายกลางอากาศ  

 

 

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ชนเผ่านอกด่านจำนวนสี่สิบห้าสิบคนและม้าศึกล้มปลิวกระเด็นออกไป แขนขาขาดปลิวกระจายไปทั่ว หนิงอวี่ซีหน้าขาวซีด อกงามหอบหายใจกระชั้นถี่ กระโดดมาข้างกายเขาอย่างรวดเร็ว “โจรน้อย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?!”  

 

 

“ข้าไม่เป็นอะไร!” หลินหว่านหรงสูดลมหายใจอย่างแรง ส่ายหน้าพลางเช็ดโลหิตบนใบหน้าแล้วฉีกปากยิ้ม “เยวี่ยหยาเอ๋อร์เ**้ยมโหดเหลือเกิน กลับเกือบเท่าข้าแล้ว! พี่สาว เกรงว่าพวกเราคงต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วล่ะ!”  

 

 

นางเซียนน้ำตาคลอเบ้า เช็ดโลหิตที่อยู่บนเส้นผมเขา จากนั้นจึงกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว เจ้าเป็น โจรน้อยของข้า พวกเราเป็นตายร่วมกัน”  

 

 

“ฆ่านางมารนั่น! ฆ่านาง!” ข่านใหญ่ดาบทองดวงตาสาดประกายเพลิงโทสะอันไร้ประมาณ กัดฟันจนส่งเสียงดังกรอดกรอด โบกสะบัดดาบทองในมือ ชี้ไปที่หนิงอวี่ซีอย่างเร็วรี่  

 

 

คมดาบเปล่งประกายเย็นเยียบ ชนเผ่านอกด่านจำนวนนับไม่ถ้วนรุกคืบเข้าหานางเซียนหนิง  

 

 

หนิงอวี่ซีตวาดเสียงสดใสคราหนึ่งพร้อมเหยียดกายขึ้น กระบี่ยาวร่ายรำเร็วรี่กลางอากาศ กรีดเป็นประกายสีเงินนับไม่ถ้วน สายลมเย็นเยียบรุนแรงรวดเร็วดั่งสายอสุนีบาตฟาด ฝุ่นดินและประกายโลหิตคละคลุ้งไปทั่ว ชนเผ่านอกด่านจำนวนนับไม่ถ้วนหัวแยกออกจากร่าง  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด