ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 607 – 2 ทลายเมือง

Now you are reading ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ Chapter 607 - 2 ทลายเมือง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทหารม้าต้าหัวที่ติดตามอยู่ข้างหลังพวกเขาราวกับสายน้ำบ่า กระแทกซากประตูที่เหลืออยู่เสียงดังโครม บุกเข่นฆ่าเข้าไปราวกับน้ำหลาก พลานุภาพอันไร้ผู้ต่อกรนั้น แม้แต่ชาวทูเจวี๋ยผู้ดุร้ายเห็นแล้วก็ยังหวาดกลัว!  

 

 

ห่าลูกธนูไร้ประมาณยิงลงไปเป็นระลอก ทหารม้าต้าหัวที่วิ่งห้อตะบึงอยู่ใต้เมืองร่วงลงจากม้าไม่ขาดสาย ถึงกระนั้นก็มีคนจำนวนมากกว่าบุกเข้าไปภายในชั่วพริบตา เข่นฆ่าเข้าสู่ถนนใหญ่ของเค่อจือเอ่อร์ การเฝ้ากำแพงเมืองไร้ประโยชน์ทันที ชาวทูเจวี๋ยเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว กรูลงจากกำแพงเมือง พยายามจะสังหารชาวต้าหัวตามตรอกซอกซอย  

 

 

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าน้องหลินจะต้องมีแผนสำรอง!!” ด้วยความตื่นเต้น เกาฉิวกระโดดถีบวงล้ออันหนักอึ้งนั้นจนหักในคราเดียว กระโดดขึ้นไปบนเชิงเทินสูงนั้น ดาบโค้งที่มีโลหิตหยาดหยดในมือกวัดแกว่งด้วยความตื่นเต้น กู่ร้องราวกับหมาป่า “นี่คือราชธานีชาวทูเจวี๋ย! พี่น้องทั้งหลาย หลับตาของพวกเจ้าและออกแรงฟันเถอะ พวกเรามีแต่ได้ไม่มีเสีย!”  

 

 

ถนนใหญ่ซึ่งเมื่อครู่ยังร้องรำทำเพลงกันอยู่กลายเป็นทะเลโลหิตภายในชั่วพริบตา อาชาเพลิงไฟลุกจำนวนสี่สิบห้าสิบตัววิ่งห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่งเบื้องหน้า หมุนวนราวกับพายุหมุน ขอเพียงเข้าไปใกล้ หากไม่ถูกเหยียบย่ำก็ถูกไฟแผดเผา ทหารม้า ต้าหัวที่กรูเข้าไปตามอยู่ด้านหลังอาชาเพลิง ใช้ความเร็วประดุจสายลม บุกทลายชาวทูเจวี๋ยที่รวมตัวต้านทาน กลายเป็นธารน้ำไหลบ่าที่ตัดไม่ขาดสายหนึ่ง นี่เป็นวิธีที่ชาวทูเจวี๋ยชอบใช้มากที่สุดยามบุกทำลายเมืองต้าหัว วันนี้ถูกชาวต้าหัวใช้วิธีการเดียวกันคืนสนอง  

 

 

“ฟิ้ว!” เสียงพลุสัญญาณกรีดผ่านท้องฟ้านอกเมือง แตกเป็นเปลวเพลิงสีสันสดใสงามตา  

 

 

ชาวทูเจวี๋ยภายในพระตำหนักใหญ่ทุกคนต่างตกใจ ยังไม่ทันได้สติกลับคืนมา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหว คานที่แขวนแพะย่างล้มลง คนเผ่าเยวี่ยซื่อมือถือดาบโค้ง พุ่งไปที่บัลลังก์เสียงดังขวับราวกับฝูงหมาป่าที่บุกกรูกันเข้ามา เหล่าราชนิกุลทูเจวี๋ยที่อยู่ด้านบนยังไม่ทันได้สติก็ถูกดาบเหล็กพาดบนคอ หากต่อต้านเพียงเล็กน้อยก็จะถูกเยวี่ยซื่อสังหารโดยไม่ไว้ไมตรีทันที ท่ามกลางประกายโลหิตสาดกระจาย เหล่าชนเผ่านอกด่านที่อยู่ด้านล่างประหวั่นลนลาน กลับเป็นเหล่าผู้กล้าที่เข้าชิงแพะเหล่านั้นที่มีปฏิกิริยารวดเร็วมากที่สุด ต่างรีบบุกเข้ามา  

 

 

“ซาเอ่อร์มู่ ระวัง!!” ข่านใหญ่ดาบทองร้องตกใจโหยหวน ดาบโค้งในมือหลุดออกจากฝักในบัดดล เสียงดังขวับคราหนึ่ง ฟันออกไปอย่างเร็วรี่ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกไป ต้องการจะดึงตัวข่านน้อย  

 

 

“เคร้ง” เสียงอาวุธโลหะเสียดสีกันจนเกิดเป็นเสียงแหลมบาดแก้วหู เจ้าใบ้ชิงลงดาบ ขวางอยู่หน้านางก่อน สองตาเปล่งประกายวาวโรจน์ จ้องมองนางอย่างดุดัน  

 

 

ยังคงมีสายตาเปล่งประกายเยี่ยงนั้น ทว่ากลับต่างกันราวฟ้ากับดิน! อวี้เจียสติหลุดลอย ถ้อยคำที่พูดกับเขาก่อนหน้านี้ยังคงก้องอยู่ข้างใบหู นางเหมือนขาดอากาศหายใจ เจ็บปวดจนปราศจากความรู้สึก   

 

 

“เจ้าไม่ใช่เจ้าใบ้ เจ้าเป็นใคร! เหตุใดเจ้าถึงต้องหลอกข้า?” นางกล่าวพึมพำพลางมองเขา สายตาเหม่อลอย ทันใดนั้นก็ตวาดอย่างบ้าคลั่งด้วยโทสะ “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าก็ต้องฆ่าเจ้า ฆ่าเจ้า!!”  

 

 

“เคร้ง เคร้ง เคร้ง” นางเบิกตากว้าง สองมือกุมดาบ บุกโจมตีออกไปสามครั้งภายในชั่วพริบตา ประหนึ่งแม่เสือดาวที่กำลังบ้าคลั่ง แต่ละครั้งล้วนยอดเยี่ยม แต่ละดาบไม่ห่างจากจุดตายเขา เมื่อก่อนตอนเป็นเชลย สาวน้อยผู้นี้ปิดบังตนเองดียิ่งนัก นางไม่เพียงเชี่ยวชาญการยิงธนู วิชาดาบเองก็ดุร้ายเผ็ดร้อนยิ่งนัก  

 

 

หลินหว่านหรงถอยหลังหนึ่งก้าว รับดาบที่นางแทงมาที่หัวใจตน ใบหน้าไร้ความรู้สึก สายตาเย็นชา  

 

 

“ฆ่า!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์พลันตวาดเจื้อยแจ้ว นิ้วเรียวยาวทั้งห้ากรีดไปที่ใบหน้าเขาราวสายฟ้าแลบ   

 

 

เจ้าม้าป่าที่บ้าคลั่งตัวนี้นี่! ในที่สุดหลินหว่านหรงก็ถูกกระตุ้นโทสะแล้ว เขากระแทกกำปั้นไปที่ข้อมือเยวี่ยหยาเอ๋อร์ หนักๆ คราหนึ่ง อวี้เจียแค่นเสียงด้วยความเจ็บปวดพร้อมหดกลับไป   

 

 

หลินหว่านหรงก้าวมาข้างหน้า ดาบใหญ่ในมือเงื้อเหนือศีรษะแล้วฟันลงไปที่ศีรษะนาง อวี้เจียใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่ทั้งร่างต้านคมดาบของเขา   

 

 

“เจ้าต้องรู้ให้ได้ว่าข้าเป็นใครใช่หรือไม่?!” หลินหว่านหรงดึงหน้ากากบนศีรษะเสียงดังแควกพร้อมโยนทิ้งไป “ได้! เช่นนั้นเจ้าก็มองข้า เจ้ามองข้า!!…หากเจ้าจำข้าได้ วันนี้ข้าจะให้เจ้าฆ่า! เจ้านึก เจ้ารีบนึกให้ออกสิ!” ดาบที่หนักราวพันชั่งกดอวี้เจียอย่างแรงไว้ที่หัวมุมหนึ่ง เขาสองตาเบิกกว้าง ตวาดจนแทบจะเป็นการร้องคำราม ลมหายใจหนักหน่วงซึ่งเกิดจากการหอบตกกระทบใบหน้าอวี้เจียจนส่งเสียงดัง  

 

 

สวมหน้ากากผายลมสุนัขนี่ทำเอาอัดอั้นจนเกือบตาย การปลดปล่อยนี้ทำให้เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ ทันที ผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

“หลิน หลินซาน…” เจ้าคังหนิงซึ่งหลบอยู่ใต้โต๊ะหน้าซีดเผือด ส่งเสียงพึมพำเรียกชื่อเขา  

 

 

“ไปเสียไอ้เจ้าเศษสวะมารดามัน!” หูปู้กุยใช้ดาบฟันแยกโต๊ะตัวนั้น ปากถ่มน้ำลายด่าทอ อ๋องน้อยหดหัวกลับไปอย่างว่าง่าย   

 

 

อวี้เจียส่ายหน้าอย่างแรงพร้อมเบิกตาโพลง จ้องใบหน้าเขาเขม็ง ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย บรรยากาศคล้ายหยุดชะงัก ความสงสัย ความลังเล ความรู้สึกหมดหนทาง ความเศร้าเสียใจ ชั่วพริบตานั้นความรู้สึกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏวูบอยู่ในดวงตานาง  

 

 

เงียบงันอยู่นาน ร่างกายนางสั่นเทาเล็กน้อย ดวงตาเอ่อด้วยไอบางๆ มือน้อยที่กุมดาบทองอยู่ยื่นไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ทว่าหลังจากนั้นก็หยุดชะงัก นางก้มหน้าเล็กน้อยพร้อมเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ คนที่ข้าลืมเลือนเป็นคนดี หรือว่าคนเลว?!”  

 

 

“ไม่มีเวลามาตอบคำถามพรรค์นี้ของเจ้า!” หลินหว่านหรงผละจากนางไปด้วยสีหน้าเย็นชา หมุนกายแล้วเดินจากไป!  

 

 

“ข้าจะฆ่าคนต่ำช้าเช่นเจ้า!” อวี้เจียที่อยู่ด้านหลังตวาดเสียงดังลั่น ดาบทองในมือฟันท้ายทอยเขาพร้อมเสียงลมหวีดหวิว  

 

 

“เคร้ง!” หลินหว่านหรงหมุนกายแล้วฟัน ดาบทั้งสองพาดอยู่ด้วยกัน เยวี่ยหยาเอ๋อร์ใช้สองมือกุมดาบโค้ง กัดฟันจนเสียงดังกรอดๆ จ้องเขาเขม็ง ยอมตายแต่ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว ทั้งสองต่างจ้องหน้ากัน คมดาบเย็นเยียบถากผ่านใบหน้าจนเจ็บปวด  

 

 

โลหิตสีแดงสดซึมออกมาจากริมฝีปาก อวี้เจียมองรอยฟันจางๆ ที่มีลักษณะคล้ายจันทร์เสี้ยวบนข้อมือเขา น้ำตานองใบหน้า   

 

 

“เสด็จพี่…” เสียเด็กน้อยกระจ่างชัดแฝงความประหวั่นลนลานเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นภายในพระตำหนักใหญ่  

 

 

“ซาเอ่อร์มู่!” อวี้เจียตกใจเป็นล้นพ้น ใช้เรี่ยวแรงทั้งสรรพางค์กายปัดดาบใหญ่ของหลินหว่านหรงออกไป ขณะเดียวกันก็พุ่งร่างตรงไปที่ข่านน้อยราวกับสายฟ้าแลบ  

 

 

“ข่านใหญ่อวี้เจีย ขอให้เจ้าสงบสติอารมณ์” หูปู้กุยใช้เท้าเหยียบท้องถูสั่วจั่ว ส่วนดาบโค้งที่มันวาวด้วยน้ำมันในมืออีกข้างกำลังพาดอยู่บนคอซาเอ่อร์มู่  

 

 

อวี้เจียรีบหยุดท่าร่าง ดวงตาสาดประกายคมกริบ “เจ้าจะทำอะไร? หากผู้ใดกล้าทำร้ายซาเอ่อร์มู่ ข้าจะให้ชาตินี้มันเสียใจที่เกิดเป็นคน!”  

 

 

“เสด็จพี่ ซาเอ่อร์มู่ไม่กลัว ฆ่าพวกมัน ท่านฆ่าพวกมันเร็ว!” ข่านน้อยเชิดศีรษะพร้อมพูดเสียงดัง น้ำตาเริ่มคลอเบ้า  

 

 

สถานการณ์ภายในพระตำหนักใหญ่ยามนี้กลับเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน แม้ต้าหัวจะมีแค่สิบกว่าคน แต่กลับเตรียมการมาล่วงหน้า เพราะไม่ได้ระวังป้องกัน ราชนิกุลยี่สิบกว่าคนด้านบน นอกจากถูกฟันสังหารทันทีแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีไม่ถึงยี่สิบคน ทุกคนต่างตกอยู่ในเงื้อมมือพวกเขาแล้ว แม้แต่ข่านน้อยซาเอ่อร์มู่ก็ปราศจากข้อยกเว้น  

 

 

ส่วนทหารองครักษ์ทูเจวี๋ยที่เพิ่งมาถึงก็ยืนล้อมอยู่ข้างหลังอวี้เจีย และล้อมชาวต้าหัวไว้หมดแล้ว  

 

 

“เจ้า เจ้าทำไมไม่พูด?!” อวี้เจียกัดฟันกรอด ชี้ไปที่เจ้าใบ้ เอ่ยถามเสียงดัง  

 

 

เมื่อได้ยินเสียงเท้าม้าดังครืนๆ นอกวัง หลินหว่านหรงถอนหายใจเล็กน้อย “ป่านนี้แล้ว ใช้ดาบคุยน่าจะเหมาะสมกว่า”  

 

 

“ทูลท่านข่านใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เมืองแตกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ชาวต้าหัวบุกมาที่วังหลวงแล้ว” เขาพูดยังไม่ทันจบ ทหารรักษาการณ์ทูเจวี๋ยนายหนึ่งก็วิ่งหอบแฮ่กๆ บุกเข้ามา ได้ยินเสียงดาบที่ประตูวังอย่างชัดเจน  

 

 

ข่านใหญ่ดาบทองใบหน้าปรากฏความชอกช้ำ มองหลินหว่านหรงพร้อมกล่าวอย่างแผ่วเบาเลื่อนลอย “เจ้านึกว่าทำแบบนี้แล้วจะชนะข้าแล้วหรือ? เจ้าอย่าลืมว่าเค่อจือเอ่อร์มีทหารชั้นยอดอยู่สองหมื่น และยังมีราษฎรจำนวนนับไม่ถ้วนของข้าอีก พวกเขามาจากทั่วทุกสารทิศ พวกเจ้าหนีไม่พ้นหรอก!”  

 

 

“มีทหารชั้นยอดมากเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยวกับข้า” หลินหว่านหรงยิ้มเย็นชา “โลหิต เปลวเพลิง ความหวาดกลัว สิ่งที่ชาวทูเจวี๋ยเคยให้พวกเรา ข้าย่อมหวังให้พวกเจ้าได้ลองรสชาติเช่นนี้เองบ้าง”  

 

 

“ฆ่า!” เสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับดังขึ้นราวกับสายฝนที่เทกระหน่ำ เสียงตื่นเต้นละห้าวหาญทรงพลังของสวี่เจิ้นและเกาฉิวอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า ทหารม้าต้าหัวจำนวนนับไม่ถ้วนกวาดม้วนเข้ามาดั่งพายุสลาตัน  

 

 

อวี้เจียสายตาเย็นชา โบกสะบัดดาบทอง มือเกาทัณฑ์ที่รออยู่นอกพระตำหนักตั้งแต่แรกยิงออกไปพร้อมกัน ห่าลูกธนูอันแน่นขนัดราวฝูงตั๊กแตน ยิงไปที่ทหารม้าที่นำหน้าอยู่ เสียงร้องโหยหวนดังไม่ขาดสาย  

 

 

ยามสู้ศึกตัดสินสุดท้ายนี้ปราศจากหนทางถอยโดยสิ้นเชิง ผู้ใดเ**้ยมกว่าผู้นั้นก็ชนะ หลินหว่านหรงกัดฟันไม่ส่งเสียง อวี้เจียกำหมัดทั้งสองแน่น สายตาของคนทั้งคู่ประสานกันกลางอากาศ ถึงกระนั้นกลับเบือนหลบไปอย่างรวดเร็ว  

 

 

“ทูลท่านข่านใหญ่ ทหารม้าหมาป่าหนึ่งหมื่นมาถึงประตูหลังแล้ว อีกสักครู่ก็จะมาถึงพ่ะย่ะค่ะ!”  

 

 

อวี้เจียผงกศีรษะ เงยหน้ามองเจ้าใบ้คราหนึ่ง ทว่ากลับเห็นเขาหลุบตาลง ท่าทางไม่แยแส คล้ายปราศจากความกลัวแม้แต่น้อย ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ เขาฟังภาษาทูเจวี๋ยไม่เข้าใจ  

 

 

ความสุขที่มีเพียงน้อยนิดนี้กลับให้เขาเสพสุขไป ข่านใหญ่ก้มหน้าลง ดวงตาบัดเดี๋ยวเคียดแค้นเจ็บปวด บัดเดี๋ยวอ่อนโยน น้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้างโดยไม่รู้ตัว  

 

 

หูปู้กุยกลับร้อนใจแล้ว พวกเขาบุกเดี่ยวเข้าวังหลวง แม้แต่ข่านน้อยก็จับตัวได้ หากไม่พาไปด้วย นั่นไม่ใช่ความเสียดายอันยิ่งใหญ่แล้วหรือ? เพียงแต่ยามนี้เชลยที่อยู่ในมือพวกเขายังมีจำนวนมากกว่าคนของตนเสียอีก มิเช่นนั้นคงคุมเชลยศึกออกไปสังหารตั้งนานแล้ว  

 

 

เสียงตะโกนเข่นฆ่านั้นฟังแล้วก็ร้อนใจ รอไม่ไหวแล้วจริงๆ เหล่าหูตะโกนแหกปากเสียงดังออกมาว่า “เหล่าเกา เจ้าเร็วหน่อย เยวี่ยหยาเอ๋อร์รับปากจะอุ่นเตียงให้แม่ทัพหลินแล้ว!”  

 

 

“ฮู่!” เกาฉิวส่งเสียงดัง ฝ่าห่าลูกธนู บุกเข้าไปในกระบวนทัพชาวทูเจวี๋ยพร้อมทหารม้าจำนวนหลายร้อยคนที่อยู่ด้านหลังราวสายฟ้าแลบ กวัดแกว่งดาบไปมา กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่ว  

 

 

ขณะเดียวกัน ด้านหลังพระตำหนักใหญ่ก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังครืนๆ กึกก้องกัมปนาท ทหารม้าทูเจวี๋ยนับหมื่นพุ่งเข้ามาดั่งห่าฝน เมื่อดูจากแสนยานุภาพนั้นยังแกร่งกว่าชาวต้าหัวมากนัก สองทัพเข้ามาใกล้พร้อมกัน ไม่รู้แค่ว่าผู้ใดจะบุกเข้าพระตำหนักใหญ่ก่อนเท่านั้น   

 

 

“แม่ทัพหลิน…” เสียงตวาดของสวี่เจิ้นดังเข้ามาพร้อมเสียงดาบ ทหารม้าต้าหัวบุกเข้ามาด้วยร่างชโลมเลือด และแทบจะขณะเดียวกัน ประตูไม้ของพระตำหนักใหญ่ก็ถูกกระแทกเปิดเสียงดังครืน ทหารม้าเกราะหนักทูเจวี๋ยบุกเข้ามาราวสายลม คุ้มกันอวี้เจียอยู่ข้างหลัง  

 

 

“เจ้าใบ้ พวกเจ้าถูกล้อมไว้หมดแล้ว!” ข่านใหญ่ดาบทองพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย  

 

 

“ตรงข้ามกับที่เจ้าคิด” ชี้ไปที่ทหารทูเจวี๋ยข้างกาย เจ้าใบ้หัวเราะพลางส่ายหน้า “ข้ารู้สึกว่าไม่เคยปลอดภัยเช่นนี้มาก่อนเลย!”   

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด