อยากกินไหมล่ะ 794 เชฟผู้มีความสำคัญมากที่สุด

Now you are reading อยากกินไหมล่ะ Chapter 794 เชฟผู้มีความสำคัญมากที่สุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อยากกินไหมล่ะ 美食供应商

บทที่ 794 เชฟผู้มีความสำคัญมากที่สุด

“เถ้าแก่หยวน นายคงจะไม่ขอลาหยุดอีกใช่ไหม?” หลิงหงมองหยวนโจวแล้วถามเขา

“ฉันเองก็อยากจะถามแบบนั้นเหมือนกัน เถ้าแก่หยวน คุณคงจะไม่ขอลาหยุดอีกใช่ไหม?”

“ได้โปรดอย่าทำแบบนั้นเลยนะ ฉันไม่อยากให้เถ้าแก่หยวนลาหยุดอีกแล้ว”

คำพูดของหลิงหงราวกับเป็นสัญญาณเริ่มต้นการปรึกษาหารือ ทุกคนที่นั่นต่างร่วมกันปรึกษาหารือว่าพวกเขาจะกินอาหารหมดหรือไม่

“เถ้าแก่หยวน ได้โปรดมองเข้าไปในดวงตาอันแสนสัตย์ซื่อของฉันสิ ฉันคิดว่าพวกเราสามารถหารือกันเรื่องนี้ได้นะ ทำอาหารเฉพาะมื้อเช้าส่วนมื้อกลางวันกับมื้อค่ำค่อยลาหยุดเป็นไง?”

“ม่ายยยยย ถ้าหากฉันไม่เห็นเถ้าแก่หยวนอยู่ที่นี่ ฉันกินอะไรไม่ลงทั้งนั้นแหละ เถ้าแก่หยวน คุณอยากเห็นฉันน้ำหนักลดหรือไง?”

ทันใดนั้นเอง หยวนโจวก็ถูกโอบล้อมไปด้วยคำถามต่างๆจากบรรดาลูกค้าขึ้นมาทันที แม้แต่โจวเจียก็ยังมองหยวนโจวด้วยสีหน้าคาดหวังเช่นเดียวกัน

“อะแฮ่ม อะแฮ่ม” หยวนโจวถอดหน้ากากอนามัยอย่างยากที่จะพบแล้วเจตนากระแอมไอออกมา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง

“ไม่หรอก คราวนี้ผมคงไม่ขอลาหยุดล่ะ ผมคิดว่าแม้แต่ท่านประธานก็คงจะไม่เห็นด้วย” หยวนโจวกล่าวยืนยันเมื่อมองเห็นผู้คนที่กำลังปรึกษาหารือกันอยู่ด้านนอก

ถึงอย่างไรหยวนโจวก็สามารถได้ยินการสนทนานอกประตูอยู่ดี ด้วยประสาทสัมผัสอันเฉียบไวของเขาย่อมไม่มีทางที่จะไม่ได้ยินเรื่องนั้นหรอก

“จริงดิ? นี่คุณพูดจริงใช่ไหม?” บรรดาลูกค้าต่างส่งเสียงด้วยความไม่อยากเชื่อ

“อืม” หยวนโจวพยักหน้า

“ฉันคิดว่าเถ้าแก่หยวนพูดจริงนะ” หลิงหงยืนยันสิ่งที่หยวนโจวกล่าวในคราวนี้เป็นคนแรก

“โจวเจีย ไปทำงานเถอะ” จู่ๆหยวนโจวก็บอกโจวเจียที่อยู่ข้างๆ

“โอ้ ได้ค่ะ วันนี้ทานอะไรดีคะ?” โจวเจียมีท่าทีตอบสนองขึ้นมาในทันทีแล้วไปรับออเดอร์ต่อ

ในขณะเดียวกัน หยวนโจวก็สวมหน้ากากอนามัยอีกครั้งแล้วเดินกลับเข้าครัวไปทำอาหาร

“หลิงไม่ต้องลดราคา คุณรู้ได้ยังไงว่าตาเฒ่าจะไม่ตอบตกลงซาลาเปาจี้น่ะ?” สาวสวยผมยาวที่อยู่ข้างๆมองหลิงหงแล้วถามขึ้นมา

เมื่อหลิงหงหันกลับไปแล้วพบว่าเป็นสาวสวย เขาก็กล่าวอย่างสุภาพขึ้นมาทันทีว่า “ก็เพราะพวกเขาไม่กินเส้นกันน่ะสิ”

“พวกเขาไม่ถูกกันงั้นเหรอ?” สาวสวยผมยาวจ้องมองทั้งสามคนที่อยู่ข้างนอกแล้วรู้สึกสับสนเล็กน้อย

“แหงอยู่แล้ว คงจะเป็นเรื่องแปลกพิกลถ้าหากคนที่ทำอาหารกับคนที่ทำขนมสามารถเข้ากันได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงประธานโจวที่ไม่มีท่าทางดีใจเลยสักนิดตอนที่เพิ่งจะมาถึงน่ะ แต่ยังไงเขาก็น่าจะเห็นด้วยเรื่องถ่ายวิดีโออย่างแน่นอน” หลิงหงกล่าวยืนยัน

จากนั้นสาวสวยก็ชักจะสับสนมากขึ้นเรื่อยๆและแม้แต่ลูกค้าคนอื่นๆที่ได้ยินก็เริ่มเผยท่าทีสับสนออกมาเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าย่อมมีบางคนที่ดูเหมือนจะเข้าใจเหตุผลแล้ว

“เรื่องนั้นง่ายจะตาย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องดีสำหรับเถ้าแก่หยวนจริงๆน่ะสิ เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่สมาพันธ์เชฟอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีเป็นผู้โปรโมตย่อมนับได้ว่าเป็นเกียรติภูมิอย่างหนึ่งเลยเชียวล่ะ แล้วประธานโจวผู้นั้นจะปฏิเสธเรื่องดีของหยวนโจวได้ลงเชียวหรือ” หลิงหงยักไหล่แล้วกล่าว

“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ถ้าเป็นเรื่องดีสำหรับเขาแล้ว เถ้าแก่หยวนก็ยิ่งต้องถ่ายวิดีโอสินะ” สาวสวยผมยาวใคร่ครวญดูสักพักแล้วกล่าวอย่างลังเลใจ

บรรดาลูกค้าที่อยู่ข้างๆก็ทำตัวราวกับว่าพวกเขาต้องตัดสินใจเรื่องใหญ่ พวกเขากล่าวว่า “ใช่ ถ้าเป็นเรื่องดีสำหรับเถ้าแก่แล้ว เขาก็ยิ่งต้องถ่ายวิดีโอ ถึงยังไงก็ใช้เวลาแค่วันเดียวเองนี่นา”

“ถ้าหากยิ่งมาก็ยิ่งเลวร้าย ถึงตอนนั้นฉันก็แค่ไม่กินเท่านั้นเอง ถึงยังไงยามปกติฉันก็ไม่ได้มาทุกวันเสียเมื่อไหร่ในเมื่อฉันเองก็ไม่ได้มีเงินมากถึงขนาดนั้น”

“ฉันจะได้ถือโอกาสลดน้ำหนักเสียเลย” เป็นหญิงสาวร่างระหงที่บอกว่าเธอคงกินอะไรไม่ลงถ้าไม่ได้เห็นหยวนโจว

ลูกค้าหลายคนต่างพากันจ้องมองหยวนโจวแล้วมองไปที่อาหารอร่อยตรงหน้าเมื่อได้ยินได้ฟังการวิเคราะห์ของหลิงหงแล้วพวกเขาต่างก็รู้สึกว่าการที่หยวนโจวตอบตกลงน่าจะเป็นเรื่องดีกว่า

หยวนโจวได้ยินการปรึกษาหารือของพวกเขาหมดแล้ว นับเป็นเรื่องหาได้ยากที่เขาจะหยุดลงแล้วหันไปมองบรรดาลูกค้าในร้าน “สัญญาต้องเป็นสัญญา ถ้าฉันบอกว่าไม่หยุดก็คือไม่หยุดสิ ฉันเป็นถึงเชฟที่มีความสำคัญมากที่สุดเชียวนะ”

บรรดาลูกค้าในร้านต่างเงียบไปสักพัก หยวนโจวกล่าวเช่นนั้นออกมาด้วยความจริงจังมากเสียจนพวกเขาเกือบจะหลงเชื่อเขาไปแล้ว

สาวสวยผมยาวที่เพิ่งจะถามคำถามหลายข้อไปเมื่อสักครู่กล่าวขึ้นมาก่อนว่า “ไม่เป็นไรหรอกเถ้าแก่หยวน คุณไปเข้าร่วมการถ่ายวิดีโอเถอะ”

“ไม่ว่าผมจะเข้าไปถ่ายวิดีโอหรือไม่ก็ไม่มีอะไรล่าช้าหรอก” หยวนโจวพยักหน้าเพื่อแสดงความซาบซึ้งต่อความมีน้ำใจของพวกเขาก่อนที่เขาจะกล่าวเช่นนั้นออกมา

“เอาล่ะ พวกเราไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกน่า ที่จริงเราน่าจะมาคิดถึงตอนที่พวกเราจะเข้ามาต่อคิวหลังจากวิดีโอถูกเผยแพร่ออกไปแล้วและมีคนอีกมากมากินอาหารที่นี่มากกว่านะ” ก่อนที่ลูกค้าคนอื่นๆจะทันได้กล่าวอะไรออกไป หลิงหงก็หยิบยกเอาคำถามที่ดูจะมีประโยชน์ขึ้นมา

“ฟังดูมีเหตุผลเหมือนกันนะ ฉันต้องวิเคราะห์ปัญหาใหม่นี้เสียแล้วสิ” หม่าจื้อต๋าเผยสีหน้าจริงจังออกมา

ทันใดนั้นลูกค้าคนอื่นๆก็พลันนึกถึงปัญหาที่สำคัญมากๆนี้ขึ้นมาได้ อย่างที่ทราบกันดี หลายๆคนต่างมาที่ร้านหยวนโจวหลังจากพวกเขาได้ดูสตรีมสดของเมิ่งเมิ่งหรือรายการโฟล์คทาเลนต์

ฉะนั้นย่อมต้องมีคนอีกมากมาหลังจากวิดีโอถูกเผยแพร่ออกไป สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องทำอย่างไรจึงจะรับรองได้ว่าพวกเขาจะครองความได้เปรียบตอนที่ต่อคิวด้วยตั๋วจำนวนจำกัดในภายหลัง

ถ้าหากพวกเขาไม่สามารถหาหนทางแก้ไขได้ก็คงยากที่จะได้กินอาหารของเถ้าแก่หยวนในภายภาคแล้ว บางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวพันกับอาหารนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพียงครู่เดียวทั้งร้านก็เต็มไปด้วยศรัทธาอันแรงกล้าและการปรึกษาหารือกันไปต่างๆนานา

และนอกร้านหยวนโจว จี้อี้กับโจวซื่อเจี๋ยก็เริ่มการสนทนาอันแสนดุเดือดเลือดพล่าน

“ซาลาเปาจี้ คุณกำลังฝันกลางวันอยู่แน่ๆว่าอยากจะพาเขาเข้าสู่แวดวงอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี ฝีมือการทำอาหารของหยวนน้อยอยู่ในระดับเชฟแล้วเพราะอย่างนี้แหละเรื่องนั้นเลยไม่มีทางเป็นไปได้เลย” โจวซื่อเจี๋ยส่งเสียงออกทางจมูกอย่างเย็นชาแล้วกล่าวขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ

“ฉันคิดว่านายอคติเกินไปแล้วนะ เถ้าแก่หยวนก็มีวิธีการที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของฝีมือการทำอาหาร เมื่อตัดสินจากฝีมือการใช้มีดในวันนี้แล้ว เขายังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง” จี้อี้นึกถึงผลงานแกะสลักน้ำแข็งที่หยวนโจวทำเสร็จก่อนหน้านี้แล้วกล่าวพลางอมยิ้ม

“ในทางกลับกัน เถ้าแก่หยวนกลับมีฝีมือในด้านการนวดแป้ง ทำขนมหรืออื่นๆยอดเยี่ยมเชียวล่ะ ฉะนั้นเขาก็ควรจะเข้าวงการอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีมากกว่านะ” จี้อี้ลูบเคราตัวเองแล้วพูดต่อ

ตอนที่จี้อี้กล่าวถึงเรื่องนั้นออกมาในแง่ดี จู่ๆหลิวจางที่อยู่ข้างๆก็พูดขัดจังหวะขึ้นมา

“ตาเฒ่าจี้ นายเข้าใจผิดแล้วล่ะ รูปแบบการตกแต่งรังหงส์ในต้นอินทผลัมบนกุ้งหางหงส์ที่หยวนน้อยทำเมื่อกี๊เหมือนจริงเปี๊ยบเลย ไม่เพียงแค่มีรูปแบบเหมือนจริงเท่านั้นแต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณอีกต่างหาก สรุปได้เพียงคำเดียวคือมีรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์และเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ” หลิวจางกล่าวตามจริง

“ไสหัวไปเลยนะ นายเป็นเพื่อนใครกันแน่?” จู่ๆจี้อี้ก็เหลือบมองหลิวจาง

หลิวจางยักไหล่แล้วแสดงท่าทีว่าเขาจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว จากนั้นจี้อี้ก็หันกลับไปมองโจวซื่อเจี๋ย

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่หลิวพูดเรื่องจริง หยวนน้อยทั้งดำเนินกิจการหรือศึกษาอาหารจานใหม่ แถมยังคืนชีพอาหารบางอย่างที่สาบสูญไปแล้วขึ้นมาด้วย แล้วเขาก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการฝึกฝีมือการใช้มีดอีกด้วย ดังนั้นเรื่องที่เขามีฝีมือการใช้มีดห่วยแตกย่อมไม่มีทางเป็นไปได้เลย” โจวซื่อเจี๋ยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้วกล่าวออกมาเช่นนั้น

“แต่ผลงานแกะสลักน้ำแข็งที่มีข้อบกพร่องก็เป็นเรื่องจริงอยู่ดีนั่นแหละ” จี้อี้ยังคงลังเลที่จะยอมรับความพ่ายแพ้

“ผมเดาว่ามันคงเป็นแค่การไล่ตามฝีมือการแกะสลักให้ดีขึ้นของเขามากกว่า และเท่าที่ผมทราบมา ไม่มีใครที่ถือน้ำแข็งเอาไว้ในมือแล้วยังสามารถทำงานออกมาได้ดีหรอก” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว

“ถึงยังไงเถ้าแก่หยวนก็มีพรสวรรค์ด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีและนอกเหนือไปจากนั้น เขายังทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกต่างหาก” จี้อี้ตอกย้ำอีกครั้ง

“ซาลาเปาจี้ ผมไม่เห็นด้วยกับคุณหรอกนะ แต่หยวนน้อยมีพรสวรรค์ด้านฝีมือการทำอาหารมากแล้วเขาก็จะทำอาหารได้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

“ผมไม่อยากเสียเวลามาเถียงกับนายแล้ว นายอย่ามาเที่ยวตัดสินว่าเขาจะเข้าวงการอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีได้หรือไม่หน่อยเลยน่า แค่บอกฉันมาว่านายจะยอมให้ฉันถ่ายวิดีโอโปรโมตหรือเปล่าก็พอแล้ว” จี้อี้กล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว

“แน่นอนอยู่แล้ว การให้หยวนน้อยออกสื่อถือเป็นเรื่องจำเป็นมากเชียวล่ะ” โจวซื่อเจี๋ยเลิกคิ้วแล้วตอบ

“เมื่อไหร่ดีล่ะ?” จี้อี้กล่าว

“ตอนที่ผับเปิดเถ้าแก่หยวนจะไม่ค่อยยุ่งสักเท่าไหร่ ช่วงนั้นแหละกำลังดีเลยล่ะ” โจวซื่อเจี๋ยพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วกล่าวออกมา

“มันดึกเกินไปน่ะสิ พวกเราจะถ่ายวิดีโอกันตอนกลางคืนได้ยังไงเล่า?” จี้อี้ขมวดคิ้ว

“เรื่องนั้นมันเป็นปัญหาของคุณ หยวนน้อยเป็นคนเจ้าหลักการมากและไม่มีเวลาช่วงกลางวันแน่ๆ” โจวซื่อเจี๋ยยักไหล่แล้วแสดงท่าทางว่าไม่ใช่ปัญหาของเขาเสียหน่อย

“เอาล่ะ แค่ยอมให้ถ่ายทำก็พอแล้ว ส่วนรายละเอียดที่เหลือ ฉันจะไปหารือกับเถ้าแก่หยวนดูก็แล้วกัน” จี้อี้พยักหน้า

“ไม่มีปัญหา แต่ต้องเอามาให้ผมดูก่อนนะ ไม่งั้นเกิดคุณโกงหยวนน้อยขึ้นมาจะทำยังไงเล่า?” โจวซื่อเจี๋ยมองจี้อี้ด้วยสีหน้าหยิ่งยโส

“ฮึ ก็แล้วแต่นายเถอะ” จี้อี้ส่งเสียงออกทางจมูกอย่างเย็นชาแล้วจากไปทันที

“ลาก่อนครับ ท่านประธาน” หลิวจางโบกมือให้โจวซื่อเจี๋ยอย่างสุภาพแล้วจากไปเช่นกัน

“ซาลาเปาจี้จอมเจ้าเล่ห์เอ้ย!” โจวซื่อเจี๋ยไม่สนใจเรื่องนั้นสักนิด เขามองหยวนโจวที่ยังคงยุ่งง่วนอยู่ในครัวโดยไม่พูดอะไร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด