อยากกินไหมล่ะ 894 แก่ตัวแล้วโง่ลง

Now you are reading อยากกินไหมล่ะ Chapter 894 แก่ตัวแล้วโง่ลง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อยากกินไหมล่ะ 美食供应商

บทที่ 894 แก่ตัวแล้วโง่ลง

“เอ้อ ดี ดี ดี!” คุณปู่เจียตอบรับคำทักทาย

หลิงหงทำหน้าที่ในส่วนของเขาแล้วยิ้มออกมา ตอนนี้เขาก็มีคุณปู่คนใหม่แล้ว แล้วคุณปู่คนเก่าของเขาเล่า? แน่นอนว่าเขาเก็บงำความคิดนี้ไว้กับตัวเองโดยไม่กล้าพูดออกมา ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องน่าอายเกินไปหากถูกปู่ตัวเองตีเอาหน้าร้าน

“งั้นฉันจะรับไว้ก็แล้วกันนะ ฮ่าฮ่า” คุณปู่เจียกล่าวพลางหัวเราะอย่างมีความสุข

ถึงอย่างไรคุณปู่เจียก็ไม่มีลูกหลานเป็นของตนเอง ในทำนองเดียวกันก็มีทหารผ่านศึกอยู่หลายคนที่กลับจากสงครามในตอนนั้นแล้วพิการและไม่มีบุตรหลานคอยดูแล คุณปู่เจียจึงรู้สึกโชคดีมากที่หลานชายของสหายร่วมอุดมการณ์เรียกเขาว่าคุณปู่ จู่ๆก็มีหลานชายขึ้นมา เขารู้สึกมีความสุขมากเหลือเกิน

“ผมจริงจังนะครับ ในตอนนั้นถ้าไม่มีคุณ ผมก็คงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้หรอกครับ” คุณปู่หลิงกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างจริงจัง

“อืม อืม เลิกพูดเรื่องอดีตซ้ำๆซากๆได้แล้วน่า นายพูดมากอย่างกับตัวเองเป็นวิทยุอย่างนั้นแหละ” คุณปู่เจียกล่าวพลางโบกมือ

เมื่อหลิงหงเห็นว่าคุณปู่เจียดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องราวในอดีตเลยขณะที่คุณปู่หลิงกำลังพูดพร่ำถ้อยคำเดิมอีกครั้ง เขาก็พูดขึ้นมา

“ปู่เจีย มุขไข่ข้นหน้าต้นหอมมันอะไรกันเหรอครับ?” หลิงหงถามขึ้น

แน่นอนว่าหลิงหงย่อมมีเหตุผลที่ขัดจังหวะการสนทนาขึ้นมา ถึงอย่างไรทั้งสองคนก็ค่อนข้างอายุมากแล้ว คงไม่ดีแน่ที่จะให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกและสะเทือนใจมากเกินไปนัก

“เขาไม่ยอมเล่าให้นายฟังหรอก นั่นเป็นเรื่องตลกมากเชียวล่ะ” คุณปู่เจียกล่าวหยอกเย้า

“ครับ ปู่ไม่เคยเล่าให่เราฟังเลย แต่พอเขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาก็จะพูดถึงไข่ข้นหน้าต้นหอมออกมาน่ะครับ สิ่งเดียวที่ผมรู้ก็คือคนที่หยางโจวมีนิสัยชอบพูดว่าหัวหอมข้นหน้าต้นหอมซึ่งเป็นศัพท์สแลงของคำว่า ‘โอ้พระเจ้า! น่าทึ่งสุดๆไปเลย!’ ” หลิงหงกล่าวพลางยักไหล่

“ใช่แล้วล่ะ นั่นเป็นที่มาของไข่ข้นหน้าต้นหอมของปู่นายยังไงล่ะ” คุณปู่เจียกล่าวพลางพยักหน้า

“แต่ไข่ข้นหน้าต้นหอมต่างจากหัวหอมข้นหน้าต้นหอมนี่ครับ” หลิงหงถามขึ้น

“เลิกสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นได้แล้วน่า ตั้งใจต่อคิวเถอะไม่งั้นพวกเราคงจะได้กินทีหลังแน่ๆ” คุณปู่หลิงรีบขัดจังหวะขึ้นมาทันทีเพื่อเลี่ยงมิให้คุณปู่เจียเล่าเรื่องมุขเกี่ยวกับความสิ้นเปลืองของเขา

“มันก็ไม่ใช่ความลับสำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก ฉันต้องให้ความกระจ่างในเรื่องนั้นกับหลานชายของนายนะ นายก็แค่ตะกละมากไปหน่อยเท่านั้นเอง ฮ่าฮ่า” คุณปู่เจียกล่าวพลางชี้ไปที่คุณปู่หลิง

“ผู้คุมเจีย เปลี่ยนเรื่องคุยกันเถอะครับ” คุณปู่หลิงกล่าวอย่างอับจนหนทาง

“แต่ฉันกำลังตั้งหน้าตั้งตารอเรื่องนั้นเชียวนะ” คุณปู่เจียบ่นพึมพำ จากนั้นเขาก็พูดเสียงดังกับหลิงหง “ในตอนนั้นมีทหารคนหนึ่งมาจากหยางโจว เขามักจะเอาเอาแต่พูดซ้ำๆว่า ‘หัวหอมข้นหน้าต้นหอม’ แต่ปู่ของนายถือโอกาสเปลี่ยนหัวหอมเป็นไข่เพราะเขาไม่ชอบหัวหอมน่ะสิ”

“ฮ้า?” หลิงหงจ้องมองคุณปู่ของเขาอย่างพูดไม่ออก

“พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่และกำลังทำสงครามกับต่างชาติ พวกพ่อครัวย่อมไม่ปล่อยให้วัตถุดิบอย่างต้นหอมเน่าเสียไปง่ายๆหรอก ส่วนใหญ่พวกเราจะมีแค่มันฝรั่งหรือกะหล่ำปลีแต่ไม่มีเครื่องเทศ ดังนั้นปู่ของนายจึงเริ่มพูดว่า ‘ไข่ข้นหน้าต้นหอม’ อยู่ทุกวี่ทุกวัน” คุณปู่เจียกล่าวขึ้นมา

“อย่างกับตอนนั้นคุณไม่ใช่หนึ่งในพวกเราที่อยากกินไข่ข้นหน้าต้นหอมห่วยๆด้วยอย่างนั้นแหละ” คุณปู่หลิงบ่นพึมพำ

“แน่นอนว่าฉันก็อยากกินของห่วยๆแบบนั้นด้วย แต่ในตอนนั้นนายเป็นเพียงคนเดียวที่เอาแต่พูดซ้ำๆไง” คุณปู่เจียกล่าว

ชายชราทั้งสองคนกับหลิงหงยังคงสนทนากันต่อไปโดยไม่มีใครเข้าไปรบกวนพวกเขาแต่อย่างใด บรรดาลูกค้าทุกคนรอบตัวพวกเขาต่างกำลังฟังอยู่เงียบๆ

“เวลาอาหารค่ำใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว กรุณาต่อคิวรับหมายเลขของตัวเองด้วยนะคะ” เสียงของโจวเจียดังขึ้น

“ปู่ ปู่เจีย งั้นพวกเราจะยังกินอาหารที่นี่อยู่หรือเปล่าครับ?” หลิงหงถามขึ้นมา

“แน่นอนอยู่แล้ว ให้ปู่ของนายได้ลองชิไข่ข้นหน้าต้นหอมของเถ้าแก่หยวนดูบ้างสิ” คุณปู่เจียกล่าวขึ้น

“แต่ไม่มีอาหารจานนี้ในเมนูของเถ้าแก่หยวนน่ะสิครับ” หลิงหงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้

“ฉันก็คิดว่างั้นแหละ ดูเหมือนว่าวันนี้นายจะอดกินไข่ข้นหน้าต้นหอมเสียแล้วล่ะ หลิงหกน้อย” คุณปู่เจียกล่าวเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าอาหารจานนี้จริงๆแล้วไม่ได้อยู่ในเมนูของหยวนโจว

“มันไม่ได้เป็นอาหารจานโปรดของผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ คุณก็เอาแต่พูดถึงมันอยู่ได้” คุณปู่หลิงกล่าวขึ้นมา

“ได้ ได้ นายไม่ชอบอาหารจานนี้ นายแค่ชอบพูดถึงมันเฉยๆก็เท่านั้นเอง” คุณปู่เจียกล่าวพลางยิ้มให้

“อันที่จริงแล้วตอนอยู่ที่บ้านปู่ชอบกินไข่ข้นหน้าต้นหอมมากเลยล่ะครับ” หลิงหงโต้แย้งคุณปู่ของตนเอง ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความกล้ามาจากไหนทั้งๆที่ไม่ได้ดื่มเหล้าย้อมใจเลย

“ดูสิ ฉันไม่ใช่คนเดียวที่เอาแต่พูดถึงเรื่องนั้นสักหน่อย แม้แต่หลานชายของนายก็ยังรู้เลยว่านายชอบอาหารจานนั้นมากทีเดียว” คุณปู่เจียหยอกเย้าพลางยิ้มให้

“เจ้าเด็กคนนี้ทำเรื่องเข้าท่าเข้าทางเลยดีแต่เสียเวลาไปกับการพูดเรื่องไร้สาระอยู่นั่นแหละ” คุณปู่หลิงบ่น

พวกเขายังคุยกันต่อไปและไม่นานนักพวกเขาก็ได้หมายเลขของตัวเอง คุณปู่เจียเป็นคนพาคุณปู่หลิงไปรับหมายเลข

หยวนโจวหาได้ล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นนอกร้านแต่อย่างใดไม่ เมื่อใกล้ถึงเวลาอาหารค่ำ เขาก็เริ่มเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับออเดอร์ของบรรดาลูกค้า

“เวลาอาหารค่ำจะสิ้นสุดลงตอนสองทุ่ม งั้นฉันก็น่าจะไปถึงตรอกมงคลตอนสองทุ่มครึ่งแหละนะ ฉันจะได้ชมการแสดงที่นั่นก่อนที่จะถามว่ามีการแสดงมายากลด้วยหรือเปล่า” หยวนโจววางแผน

ใช่แล้วล่ะ หยวนโจววางแผนที่จะมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งนั้นทันทีที่หลังจากเวลาอาหารค่ำ เมื่อทำเช่นนั้นเขาก็จะสามารถรู้ได้ว่าวันนี้จะมีมายากลใดขึ้นแสดงบ้าง

ไม่ว่าผู้ใดจะมองว่าการทำอาหารที่สาบสูญไปแล้วให้สำเร็จในสามวันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นสักเพียงใดก็ตาม แต่หยวนโจวก็ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

หลิงหงมาถึงพร้อมกับคุณปู่หลิงค่อนข้างเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้หมายเลข แต่เมื่อได้หมายเลขของตัวเองแล้ว คุณปู่หลิงก็ผลักหลานชายออกไปแล้วเอาหมายเลขไปให้คุณปู่เจียแทน

ดังนั้นท่ามกลางคนกลุ่มแรกที่เข้าไปในร้านก็คือบรรดาลูกค้าขาประจำอย่างอู๋ไห่และชายชราทั้งสองคน หลิงหงจึงถูกผลักไปอยู่ในกลุ่มที่สองแทน

“เขาเป็นปู่ของฉันจริงๆใช่ไหมเนี่ย?” หลิงหงรำพึงออกมา

อีกด้านหนึ่งโจวเจียก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนที่จะเข้าร้านไปเมื่อได้ยินคำพูดของเขา

คุณปู่หลิงไม่เคยมาที่นี่ เมื่อเข้ามาข้างใน เขาก็พบว่าร้านเอามากๆเลยจึงไม่มีความคิดที่เขาจะนั่งลงแต่อย่างใด ชายชราทั้งสองคนที่เข้ามาก่อนพวกเขาย้ายไปนั่งอยู่อีกด้านของร้านและที่นั่งว่างๆสองที่ริมประตูก็ตกเป็นของชายชราทั้งสองคน

คุณปู่เจียกล่าวด้วยความเบิกบานใจว่า “ขอบใจนะเจ้าหนุ่ม”

ชายหนุ่มทั้งสองคนยิ้มให้แล้วไม่ได้พูดอะไร

จากนั้นคุณปู่เจียก็ลากคุณปู่หลิงให้มานั่งด้วยกัน แต่เขาด็ไม่ลืมที่จะทักทายหยวนโจวด้วย “เถ้าแก่หยวน วันนี้ผมพาลูกค้าคนใหม่มาด้วยแหละ นี่คือสหายร่วมอุดมการณ์ของผมเองล่ะ”

“สวัสดีครับ” หยวนโจวหันไปทักทายพวกเขาอย่างจริงจัง

“นี่คือสหายร่วมอุดมการณ์ของผมเอง หลิงหกน้อย นี่เถ้าแก่หยวน ทำอาหารเก่งมากเชียวล่ะ” คุณปู่เจียกล่าวอย่างเบิกบานใจ

คุณปู่หลิงจะไม่รู้จักชื่อของหยวนโจวได้อย่างไรกันเล่า? เขายังจำเรื่องชาดำคีมุนได้อยู่เลยนะ แต่เนื่องจากเขากำลังอารมณ์ดี เขาจึงไม่รู้สึกอยากเอ่ยถึงเรื่องนั้น ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าทักทาย

เถ้าแก่หยวนเป็นคนที่โชคดีจริงๆ เขารอดพ้นจากภัยพิบัติโดยไม่รู้ตัว

“ปู่เจียกับคุณปู่อีกคน วันนี้อยากกินอะไรดีครับ?” หยวนโจวถามขึ้น

“ดูเมนูซิว่านายอยากกินอะไร ฉันจะเลี้ยงข้าวผัดไข่นายเอง” คุณปู่เจียเลื่อนเมนูไปให้คุณปู่หลิงด้วยความตื่นเต้น

ทันทีที่คุณปู่หลิงเห็นราคาบนเมนู คุณปู่เจียก็หยอกเย้าว่า “วันนี้พวกเราไม่ได้มากินไข่ข้นหน้าต้นหอมหรอกนะ แต่ยังไงพวกเราก็ยังสามารถใส่ไข่ได้นะ”

“ทำไมคุณยังเอาแต่พูดถึงเรื่องนั้นอยู่อีกเล่า?” คุณปู่หลิงตอบอย่างอับจนหนทาง

“ข้าวผัดไข่สองที่ ไม่เอาเซ็ตอาหารนะครับ” คุณลุงเจียกล่าวขึ้น

“โอเค เชิญนั่งก่อนนะครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วเข้าครัวไป

ทันทีที่หยวนโจวออกไป คุณปู่หลิงก็จ้องมองไปทางคุณปู่เจียด้วยดวงตาแดงก่ำ

“ผู้คุมเจีย ทำไมคุณถึงกินแต่ข้าวผัดไข่ล่ะครับ? มันไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเลยนะครับ” คุณปู่หลิงกล่าวขึ้น เขาสุดหายใจลึกๆแล้วพูดต่อไปว่า “แล้วทำไมคุณถึงไม่เอาเซ็ตอาหารด้วยล่ะครับ?”

“ก็เซ็ตอาหารมันแพงไปน่ะสิ ฉันจ่ายเงินให้ที่นี่ได้แค่เดือนละสองหรือสามพันหยวนเท่านั้นแหละในเมื่อฉันจะมาที่นี่แค่เดือนละสามครั้งเองนะ อย่างไรเสียอาหารที่เพิ่มเข้ามาในเซ็ตอาหารก็มีแค่ซุปสาหร่ายกับแครอทอีกนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง” คุณปู่เจียกล่าวพลางโบกมือ

คุณปู่หลิงไม่เก็บมาเป็นอารมณ์อีกเมื่อเขาได้ยินคำว่าเดือนละสองหรือสามพันหยวนและเดือนละสามครั้ง เขาจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ไม่ว่ายังไงคุณก็ยังเป็นวีรบุรุษสงคราม คุณจะซื้อเซ็ตอาหารไม่ได้เชียวหรือไง?”

“ประเทศไหนงั้นรึ?”

“แล้วได้เงินบำนาญจากประเทศไหนล่ะครับ?” คุณปู่หลิงถามพลางลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น

“ฉันไม่ได้พิการเสียหน่อย ทำไมต้องให้ประเทศมาเลี้ยงกันด้วยเล่า?” คุณปู่เจียถามขึ้น

คุณปู่หลิงจึงตอบว่า “เงินบำนาญนั่นเป็นสิ่งที่คุณสมควรได้ต่างหากล่ะครับ!”

“นายแก่ตัวแล้วโง่ลงใช่ไหม? ในเมื่อฉันสามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้วทำไมฉันต้องไปรับเงินบำนาญกันด้วยเล่า?” คุณปู่เจียกล่าวพลางกลอกตา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด