อยากกินไหมล่ะ 848 เตรียมเผชิญหน้ากับความท้าทาย

Now you are reading อยากกินไหมล่ะ Chapter 848 เตรียมเผชิญหน้ากับความท้าทาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อยากกินไหมล่ะ 美食供应商

บทที่ 848 เตรียมเผชิญหน้ากับความท้าทาย

ถึงแม้ว่าอู๋ไห่จะโกรธมากแต่เขาจะสามารถทำอะไรได้เล่า? เขาจะกล้าไปท้าทายหยวนโจวงั้นรึ?

คำตอบก็คือไม่ เขาไม่กล้าหรอก ดังนั้นหยวนโจวจึงหาได้หวาดหวั่นแต่อย่างใดไม่

“กินก่อนแล้วค่อยคุยกันทีหลังเถอะ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมาทันทีเมื่อเขาพบว่าอู๋ไห่อยากจะพูดอะไรสักอย่างอีกครั้ง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น อู๋ไห่ก็เลยเงียบไป เขาหยิบตะเกียบแล้วเริ่มกินอย่างเงียบๆ

หยวนโจวคิดว่าตนเป็นคนที่ค่อนขี้เกรงใจ แม้ว่าเขาจะอยากขอคำแนะนำสักขนาดไหน แต่เขาก็ต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายจะกินอาหารให้เสร็จเสียก่อน

ดังนั้นหยวนโจวจึงเตรียมที่จะลิ้มรสหมี่หวานกับหมี่เผ็ดที่อยู่ตรงหน้าอย่างจริงจัง

หมี่หวานกับหมี่เผ็ดอยู่ในชามกระดาษ หยวนโจวคนบะหมี่ด้วยตะเกียบทำให้พวกมันปกคลุมไปด้วยน้ำมันพริกสีแดงอ่อน โดยมีถั่วลิสงป่นอยู่บนบะหมี่

บะหมี่เส้นหนาสีขาวแกล้มด้วยน้ำมันพริกและถั่วลิสงป่นระเบิดกลิ่นหอมราวกับซอสถั่วเหลืองออกมาทำให้บะหมี่ดูเหมือนจะกระตุ้นความอยากอาหารขึ้นมาได้

หยวนโจวคีบบะหมี่ขึ้นมาด้วยตะเกียบแล้วยัดเข้าปาก

“ซู้ด ซู้ด” บะหมี่ให้รสชาติที่ค่อนข้างเคี้ยวหนึบและเหนียวแน่น

เมื่อใช้เวลาเคี้ยวบะหมี่ให้นานขึ้น รสชาติของน้ำมันพริกก็ยิ่งเด่นชัดในปากแถมรสเผ็ดก็พุ่งลงคอของเขา แต่ในขณะเดียวกัน กลิ่นหอมของถั่วลิสงก็ออกมาด้วย ดังนั้นความเผ็ดอย่างที่สุดจึงกลับกลายเป็นกลิ่นเผ็ด เมื่อผสานเข้ากับกลิ่นหอมของซอสถั่วเหลือง รสชาติของหมี่หวานและหมี่เผ็ดก็พรั่งพรูออกมา

“โอ บะหมี่รสชาติดีจริงๆ” อู๋ไห่กล่าวขึ้นด้วยความสับสน

“อืม ถ้าหากความหนาของบะหมี่สม่ำเสมอกว่านี้ก็จะยิ่งอร่อยขึ้น” หยวนโจวกลืนบะหมี่ในปากพลางพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นมา

หมี่หวานกับหมี่เผ็ดชามหนึ่งไม่เยอะเท่าไหร่นัก ถึงอย่างไรเดิมทีบะหมี่เหฃ่านี้ก็เป็นของว่างชนิดหนึ่งที่ใช้บรรเทาความหิว ดังนั้นจึงมีปริมาณไม่เยอะมากนัก

สำหรับอู๋ไห่แล้ว แค่ใช้ตะเกียบคีบบะหมี่ไปสองทีก็หมดแล้ว ส่วนหยวนโจวผู้เตรียมที่จะลิ้มรสชาติบะหมี่อย่างจริงจังกลับต้องใช้ตะเกียบคีบมากกว่าสองครั้ง

หลังจากพวกเขากินบะหมี่ก็เข้าประเด็นทันที หยวนโจวยืดหลังตรงแล้วนั่งให้ดีขณะที่อู๋ไห่พิงโต๊ะยาวแบบโค้งแล้วมองหยวนโจวที่อยู่ทางด้านข้าง

“นายวาดรูปก้อนเมฆยังไงเหรอ?” หยวนโจวถามตามตรง

“ง่ายจะตายไป ก็แค่วาดไปแบบสุ่มๆอย่างที่นายสามารถวาดได้นั่นแหละ อย่าให้มีข้อจำกัดมากเกินไป ยังไงเสียนายก็ไม่อาจจินตนาการถึงรูปร่างที่เฉพาะเจาะจงของก้อนเมฆได้แม้ว่านายจะวาดออกมาได้ขนาดไหนก็เถอะ” อู๋ไห่กล่าวโดยไม่คิดมาก

“วาดแบบสุ่มๆโดยไม่มีข้อจำกัดงั้นรึ?” หยวนโจวพึมพำอย่างทึ่มทื่อ แต่อู๋ไห่ก็ยังรับรู้ได้ถึงความสงสัยที่อยู่ในนั้น

“ใช่ พูดตรงๆก็แค่วาดออกมาตามแต่ใจต้องการ นายไม่สามารถขอให้ก้อนเมฆมีรูปร่างที่เฉพาะเจาะจงได้หรอก ลายเส้นของก้อนเมฆที่นายแกะสลักแข็งทื่อแล้วนายก็มักจะทำก้อนเมฆให้ออกมาดูสง่างามอยู่เสมอ ฉันสามารถบอกนายได้เลยนะว่าก้อนเมฆเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันสง่างามมากขนาดไหนอย่างแน่นอน” อู๋ไห่ลูบหนวดเครากระจุ๋มกระจิ๋มของตัวเองแล้วดูเหมือนจะมีท่าทีค่อนข้างจริงจัง แม้ว่าท่าทางของเขาจะไม่ดูเป็นเช่นนั้นก็ตามที

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยวนโจวก็เริ่มคิด

“สำหรับเรื่องการเขียนภาพ นายสามารถทำตามที่หนังสือบอกหรือเรียนรู้จากอาจารย์ของนายทีละขั้นตั้งแต่เริ่มต้นได้ แต่เมื่อมาถึงครึ่งหลัง นายก็ไม่สามารถพึ่งพาใครได้อีกนอกจากตัวเองแล้ว แน่นอนว่าพรสวรรค์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน” อู๋ไห่กล่าวขึ้นมา

หยวนโจวพยักหน้า ในเรื่องนี้เขาไม่อาจเห็นด้วยกับอู๋ไห่ได้อีกต่อไป

ตอนนี้เจ้าระบบก็เป็นเหมือนอาจารย์ที่สอนหยวนโจวทำอาหารต่างๆอย่างขันแข็ง แต่หยวนโจวหาได้พึ่งพาเพียงแค่ความพยายามของตนเองและการฝึกฝนเพื่อบูรณาการทักษะจนมีความเชี่ยวชาญด้านอาหารเช่นนี้ในที่สุด

ถึงแม้ว่าบางครั้งเจ้าระบบจะไม่สนใจเขาเอาเสียเลย แต่หยวนโจวก็ยังยึดถือมันเป็นอาจารย์ของเขาอยู่ดี

“ฉันก็ไม่รู้เรื่องการแกะสลักหรอกนะ แต่การเขียนภาพไม่ได้เริ่มต้นด้วยลายเส้น ก้อนเมฆเองก็ไม่มีลายเส้นเหมือนกัน” อู๋ไห่ยักไหล่

“ไม่มีลายเส้นแถมยังไร้ขอบเขตอีก” หยวนโจวพูดซ้ำๆแล้วจู่ๆเขาก็พบแสงสว่างภายในใจ

ถูกต้องแล้ว รูปร่างของก้อนเมฆจะขึ้นอยู่กับสายลม แล้วก้อนเมฆจะไปมีลายเส้นที่แน่นอนได้อย่างไรกันเล่า? ถ้าหากเขาฝึกฝนด้วยวิธีนั้น เขาก็นับว่ามาผิดทางแล้ว

“ดูเหมือนว่าฉันจะคิดมากไปแล้ว” หยวนโจวแสดงรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า เขามีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับวิธีการแกะสลักมังกรแล้วล่ะ

“เอาล่ะ ฉันจะกลับแล้วนะ” อู๋ไห่ทราบดีว่าควรปฏิบัติตัวเช่นไรในสถานการณ์ที่ยากจะจัดการได้อย่างแท้จริง เขามองดูท่าทีของหยวนโจวแล้วก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาเข้าใจแล้ว เขาจึงกลับไปโดยไม่พูดอะไรออกมา

ถึงอย่างไรสิ่งที่หยวนโจวต้องการจริงๆในตอนนี้ก็คือสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบเพื่อครุ่นคิดเรื่องแรงบันดาลใจที่เขาได้มาอย่างไม่น่าเชื่อ

“ขอบใจนะ” หยวนโจวลุกขึ้นแล้วส่งอู๋ไห่กลับไป จากนั้นเขาก็นั่งลงแล้วหยิบหัวผักกาดขึ้นมาแกะสลักโดยไม่ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด

มันไม่ใช่หัวผักกาดที่เขาซื้อมาหรอก แต่เป็นเจ้าระบบต่างหากที่จัดเตรียมเอาไว้ให้และแน่นอนว่าหยวนโจวต้องจ่ายเงิน แต่ในขณะนั้นหยวนโจวหาได้สนใจเรื่องนั้นอีกต่อไป

ความพยายามครั้งประสบความสำเร็จด้วยดี เขาแกะสลักก้อนเมฆอันแสนงดงามได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็แกะสลักทะเลหมอกซึ่งก็ประสบความสำเร็จออกมาด้วยดีเช่นกัน

หลังจากดำเนินกิจการมาตลอดทั้งคืนแล้ว หยวนโจวก็ฝึกแกะสลักก้อนน้ำแข็งก้อนเล็กๆต่อไป เขาจะต้องสร้างความตื่นตะลึงให้แก่ผู้ชมต่อความพยายามครั้งแรกในวันรุ่งขึ้นให้ได้เลย

วันรุ่งขึ้น

“พ่อฮะ ผมอยากไปทำงานที่ยูนนานหลังเรียนจบ ถึงตอนนั้น ผมก็จะมี…”

“ไม่ได้ ยูนนานอยู่ไกลเกินไป” หยางซู่ซินขัดจังหวะเขาขึ้นมาทันที หยางเหวินเซิ่งยังพูดไม่ทันจบก็ถูกบิดาปฏิเสธเอาเสียทื่อๆ

“ที่จริงแล้วมันไม่ไกลเลยนะ ทุกวันนี้พวกเรามีบริการขนส่งที่ดีแถมใช้เวลาแค่สองถึงสามชั่วโมงในการบินจากฮาร์บินไปยูนนาน ผมสามารถกลับมาในช่วงสุดสัปดาห์ก็ยังได้เลย” หยางเหวินเซิ่งกล่าวย่างรีบร้อน

“แกอยากจะตีปีกบินทันทีที่เรียนจบเลยสินะ แต่แกคิดว่าจะสามารถบินได้สูงสักแค่ไหนกันในจังหวัดอื่น? อยู่ข้างนอกไม่มีใครสามารถช่วยแกได้หรอกนะ” หยางซู่ซินกล่าวขึ้นมา

ทันใดนั้นหยางเหวินเซิ่งก็ตอบขึ้นมาว่า “ผมมีเพื่อนร่วมหาวิทยาลัยอยู่ในยูนนาน เขากำลังเริ่มกิจการอยู่ที่นั่น พวกเราเข้ากันได้ดีแถมยังมีความคิกคล้ายๆกัน ดังนั้น…”

“เอาล่ะ ตอนนี้ฉันค่อนข้างยุ่งทีเดียว แค่นี้นะ” หยางซู่ซินไม่อยากฟังหยางเหวินเซิ่งอีกต่อไปแล้วเนื่องจากเขาเองก็เข้าใจดีจึงวางสายไป

อีกอย่างวันนี้หยางซู่ซินก็ยุ่งมากจริงๆ มันเป็นวันที่เขาวางแผนที่จะร่วมมือกับหยวนโจวแกะสลักมังกรนพเก้า ยังไงเสียเมื่อวานนี้เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมากเสียจนนอนไม่หลับไปทั้งคืน

แต่เมื่อเขาลุกขึ้นจากที่นอนในตอนเช้า เขากลับไม่มีรอยคล้ำใต้ตาแต่อย่างใด ไม่เพียงเท่านั้นดวงตาของเขายังเปี่ยมไปด้วยความกระฉับกระเฉงราวกับราชาวานรที่หลุดรอดออกมาจากเตาหลอมยาปากั๋วได้อย่างหวุดหวิด

โดยไม่มีความอ่อนเพลียในแววตาของเขาเลยสักนิด แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยพลังชีวิต เขาผลัดเปลี่ยนเป็นชุดเข้ารูป สไตล์ทั้งหมดสามารถสรุปออกมาได้ในประโยคเดียวคือ “จะมัวนอนอยู่ไย? รีบลุกขึ้นมาลุยกันเลยดีกว่า!”

หยางซู่ซินไม่ได้ส่งนักข่าวหรือสื่อไปดูการแกะสลักมังกรนพเก้า เขาแค่เชิญเพื่อนสองคนเท่านั้น

หยางซู่ซินตัดสินใจที่จะทำผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าเพื่อความพึงพอใจและเพื่องานของเขา แต่งานของเขาในตอนนี้ไม่ต้องการนักข่าวและสื่อแต่อย่างใด

“เฟิ่งน้อย ก้อนน้ำแข็งถูกลำเลียงไปที่ร้านหยวนโจวหรือยัง? ”

ถึงแม้ว่ายังเหลือเวลาอีกสองสามชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานัดหมาย แต่หยางซู่ซินก็อยากลองทำเสียแล้ว เขาจัดการสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยไม่หยุดหย่อน โทรศัพท์สายนี้เป็นสายที่สามแล้วที่โทรเข้าไปสอบถามเรื่องก้อนน้ำแข็ง

อันที่จริงแล้ว อารมณ์เช่นนี้ก็ค่อนข้างเข้าใจได้ง่ายๆ เฉกเช่นเดียวกับคาบเรียนสุดท้ายของบ่ายวันศุกร์ที่ทุกคนต่างรอคอยให้หมดคาบเรียนตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนด้วยความอดทน

“อาจารย์คะ ก้อนน้ำแข็งที่คุณต้องการถูกลำเลียงมาอยู่ที่ไหนสักที่ใกล้ๆถนนเถ่าซือแล้วค่ะ แล้วรถบรรทุกของเราก็อบู่ในลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าแล้ว เมื่อถึงเวลาแค่คุณสั่งมา ก้อนน้ำแข็งก็จะมาถึงประตูร้านในห้านาทีเลยครับ” ผู้ช่วยของหยางซู่ซินค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญในการจัดการสิ่งดังกล่าวทีเดียว

หยางซู่ซินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ สาเหตุที่ไม่ลำเลียงก้อนน้ำแข็งไปที่สี่แยกถนนเถ่าซือก็เพราะตรงนั้นมีผู้คนพลุกพล่านและรถติดมากจึงทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดได้ หยางซู่ซินได้นำมาพิจารณาดูแล้ว

“คุณเห็นอาจารย์หยวนไหม? วันนี้เขาทำอะไรอยู่งั้นหรือ?” หยางซู่ซินถามอีกครั้ง

“วันนี้อาจารย์หยวนก็ไม่ต่างจากเดิมค่ะ”

เมื่อเขาได้ยินเฟิ่งน้อยกล่าวเช่นนั้น หยางซู่ซินก็รู้สึกโล่งอก เขาไม่อยากแกะสลักมังกรนพเก้าที่ได้รับผลกระทบจากอารมณ์บูดๆที่อาจจะเกิดขึ้นจากผู้ร่วมงานของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ถอนหายใจพลางคิดว่าถึงหยวนโจวจะอายุเพียงเท่านี้แต่กลับหนักแน่นยิ่งกว่าเขาเสียอีก

หยางซู่ซินวางสายของเฟิ่งน้อยลงไปแล้วโทรหาเพื่อนสองคนที่เขาเชิญไปแต่กลับไม่มีใครรับสายเลยสักคน

นกที่ขนเหมือนกันจะรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน คนที่หยางซู่ซินเชิญย่อมมีสายสัมพันธ์ที่ดีเช่นเดียวกัน หนึ่งในนั้นก็คือเฒ่าเหยียน เขาเป็นนักสะสมและเก็บสะสมของดีเอาไว้มากมาย และอีกคนก็คือเฒ่ากู่ เขาเป็นผู้สืบทอดเตาเถาอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เมื่อพูดถึงอัตลักษณ์แล้วย่อมค่อนข้างมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

มิตรภาพระหว่างเฒ่าเหยียน เฒ่ากู่และหยางซู่ซินอาจกล่าวได้ว่าเป็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันและความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ค่อนข้างดีทีเดียว ส่วนสาเหตุที่ทำให้หยางซู่ซินเชิญทั้งสองคนก็มักจะสามารถค้นพบสิ่งที่แตกต่างจากมุมมองอื่นได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้เรื่องการแกะสลักน้ำแข็งเลยก็ตามที

วันนี้เฒ่ากู่กับเฒ่าเหยียนจะมาร้านหยวนโจวเป็นครั้งแรก…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด