อยากกินไหมล่ะ 882 รสชาติที่หกของปลาต้มเผ็ด

Now you are reading อยากกินไหมล่ะ Chapter 882 รสชาติที่หกของปลาต้มเผ็ด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อยากกินไหมล่ะ 美食供应商

บทที่ 882 รสชาติที่หกของปลาต้มเผ็ด

ทันทีที่จ้าวน้อยกลายเป็นจุดสนใจ คุณเฉิงจ้องมองมาที่ตัวเขา เฉาจื่อซูก็จ้องมองมาที่ตัวเขาและแม้แต่เมิ่งเมิ่งเองก็ยังจ้องมองมาที่ตัวเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้ที่เห็นความพยายามนับครั้งไม่ถ้วนของคุณเฉิงในการขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหยวนโจวแต่ก็ยังถูกปฏิเสธอยู่ดี

ถ้าหากเชฟแซ่เฉาไม่ได้โกหก งั้นเชฟหนุ่มที่มีนามว่าจ้าวน้อยทำอะไรให้คู่ควรที่จะดึงดูดความสนใจของเถ้าแก่หยวนงั้นหรือ?

แน่นอนว่าทุกคนชอบให้ตนเองเป็นจุดสนใจ จ้าวน้อยก็ด้วย แต่นี่กลับหาใช่สถานการณ์ในแบบที่เขาจะได้รับความสนใจมากมายสักเท่าไหร่นัก เมื่อมองไปทางสายตากระตุ้นเร่งเร้าของเฉาจื่อซูแล้ว เขาก็รู้สึกอยากจะฆ่าตัวตายเสียให้ได้เลย

อันที่จริงแล้ว จ้าวน้อยไม่กล้าพูดเรื่องจริงในประเด็นนี้หรอก เขาตัดสินใจแน่วแน่และกล่าวว่า “นั่นเป็นเรื่องเมื่อตอนที่ผมกับหัวหน้าเชฟหยวนยังทำงานอยู่ในโรงแรมระดับสามดาวน่ะครับ ผมเป็นผู้ช่วยเชฟก็เลยได้เรียนรู้จากที่นั่นมามากเชียวล่ะครับ”

เนื่องจากเป็นคนงานจิปาถะ หยวนโจวจึงล้างจานได้เร็วมากทีเดียว ดังนั้นจ้าวน้อยก็เลยมั่นใจว่าเขาได้เรียนรู้วิธีการล้างจานได้อย่างรวดเร็วมาจากหยวนโจว นั่นก็น่าจะถือได้ว่า “ได้เรียนรู้มามาก” เช่นกัน

คุณเฉิงส่งเสียงออกทางจมูกแล้วบ่นพึมพำออกมาว่า “โชคดีเสียจริงนะ”

เนื่องจากเฉาจื่อซูพยายามที่จะคงความสุภาพของตัวเองเอาไว้ เขาจึงต้องพยายามควบคุมสีหน้าเอาไว้ให้ได้ แต่ร่องรอยยิ้มเยาะก็ยังพาดผ่านใบหน้าของเขาอยู่ดี หลังจากตบไหล่จ้าวน้อยแล้ว เขาก็เริ่มบ่นพึมพำขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขาต้องพูดเองเสียแล้วสิ แต่อันที่จริงเขากำลังคุยกับคุณเฉิงอยู่

เขากล่าวว่า “พื้นฐานในการทำอาหารของจ้าวน้อยดีพอใช้เลยทีเดียวล่ะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยได้เรียนรู้จากหัวหน้าเชฟหยวนเมื่อครั้งที่เขายังเด็กแหละน่า”

ส่วนเมิ่งเมิ่งนั้น เธอกลับนึกถึงเรื่องทั้งหมดออกแล้ว จ้าวน้อยได้เรียนรู้มาจากเถ้าแก่หยวน แล้วหลังจากนั้นเถ้าแก่หยวนก็ลาออกไป เขาก็เลยไม่มีอะไรให้ได้เรียนรู้อีก ดังนั้นเขาจึงลาออกไปแล้วลงเอยด้วยการอยู่ใต้ปีกของอาจารย์คนปัจจุบันของเขา

จ้าวน้อยฝืนยิ้มออกมา ทว่าในใจกลับรู้สึกขมขื่นสิ้นดีแต่กลับหาได้พูดอะไรออกไป

เนื่องจากเฉาจื่อซูเป็นต่อในเรื่องการทุ่มเถียงกับคุณเฉิง เขาจึงไม่สนใจที่จะทะเลาะกับคุณเฉิงอีกและมุ่งความสนใจไปที่การมองหยวนโจวที่ทำอาหารอยู่

แต่ความเร็วในการทำอาหารของหยวนโจวกลับรวดเร็วยิ่ง ตอนที่เขาเห็น หยวนโจวก็เก็บหม้อไหออกไปแล้วและกำลังเตรียมหุงข้าวอยู่

“หัวหน้าเชฟว่องไวมากทีเดียว นี่แค่ห้าหรือหกนาทีเองนะ” เฉาจื่อซูรำพึงหลังจากเขาตรวจสอบเวลาดูแล้ว

“แหงอยู่แล้ว” คุณเฉิงกล่าวขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ

“ฉันไม่ได้ชมนายสักหน่อย” เฉาจื่อซูตอบ

“ในเมื่อเถ้าแก่หยวนต้องทำอาหารตั้งเยอะตั้งแยะอยู่ทุกวัน ยังไงเขาก็ต้องทำอาหารให้เร็วเข้าไว้ทั้งยังต้องแน่ใจได้ว่าอาหารแต่ละจานจะออกมาอร่อยด้วยล่ะ” เมิ่งเมิ่งพึมพำอยู่เงียบๆ

“ทำปลาต้มเผ็ดออกมาไวขนาดได้ยังไงกัน? เขาคิดว่าตัวเองกำลังทำอาหารพวกผักอยู่งั้นรึ?” จ้าวน้อยลอบตำหนิอยู่ในใจ

คุณเฉิงยังคงเงียบและไม่สนใจเฉาจื่อซู เขามองดูหยวนโจวต่อไปเพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือ

แต่ดูเหมือนว่าหยวนโจวจะไม่ต้องการความช่วยเหลือในตอนนี้แต่อย่างใด เขายกถาดอาหารออกมาด้วยตนเอง

“ปลาต้มเผ็ดกับข้าวขาวธรรมดาของคุณได้แล้วครับ ทานให้อร่อยนะครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้น

“ขอบคุณครับ หัวหน้าเชฟหยวน” เฉาจื่อซูกล่าว

“ด้วยความยินดีครับ” หยวนโจวกล่าวก่อนที่เขาจะยืนนิ่งพลางมองไปทางเฉาจื่อซูเพื่อรอคอยให้เขากินอาหาร

ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวมักจะสังเกตผู้อื่นด้วยท่าทีเช่นนี้อยู่เสมอ เนื่องจากนี่เป็นการแลกเปลี่ยนวิชา เขาจึงต้องคอยเฝ้าสังเกตท่าทีตอบสนองของลูกค้าอย่างจริงจัง

“อาหารจานนี้ทั้งกลิ่นและหน้าตายอดเยี่ยมเชียวล่ะ” เฉาจื่อซูกล่าวขึ้นมา

ใช่แล้วล่ะ สิ่งที่หยวนโจวปรุงมักจะดูดีอยู่เสมอ

ยกตัวอย่างเช่น ปลาต้มเผ็ดที่วางไว้บนหม้อรูปตัวปลาที่มีก้นแหลมในขณะที่เหลือส่วนท้องปลาเอาไว้ โดยสามารถมองเห็นลวดลายพรรณไม้น้ำตรงส่วนก้นหม้อได้เลย

และสามารถมองเห็นส่วนหลังที่แหวกเปิดออกได้ เผยให้เห็นเนื้อปลาอ่อนนุ่ม ทุกส่วนของมันทอประกายวิบวับและใสแจ๋วไปด้วยสีแดงแวววาวของน้ำมันพริกที่อยู่บนนั้น แต่งหน้าด้วยต้นหอมซอยกับกระเทียมชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กระจายไปทั่ว แน่นอนว่าย่อมมีพริกแห้งโรยหน้าอยู่ด้วย

แม้กระทั่งตอนนี้น้ำจากเนื้อก็ยังเดือดอยู่เลย นั่นเป็นผลมาจากการราดน้ำมันร้อนๆลงไปบนตัวปลานั่นเอง น้ำมันร้อนๆจะทำให้เกิดกลิ่นจางๆไปทั่วพาให้ทุกคนเริ่มน้ำลายสอ

“หัวหน้าเชฟหยวนค่อนข้างใส่ใจในการตกแต่งจานมากทีเดียว” เฉาจื่อซูเป็นคนที่มีฝีมือในการทำอาหารอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าจะได้กลิ่นหอมเย้ายวนดังกล่าวแล้ว แต่เขาหาได้เริ่มกินแต่อย่างใด แต่เขากลับเอนตัวไปทางด้านหลังก่อนที่จะกล่าวออกมา

เขาพูดถูกแล้วล่ะ หยวนโจวใส่ใจกับการตกแต่งมากทีเดียว ถ้วยกลมๆที่ใช้ใส่ข้าวและเมล็ดข้าวที่ทอประกายและใสแจ๋วอยู่ภายใน เมื่อมองจากระยะไกลก็จะเห็นเหมือนเม็ดไข่มุกเลยเชียวล่ะ

จ้าวน้อยมองดูแล้วก็ต้องฝืนใจยอมรับว่าอาหารพวกนี้ดูยังไงก็ยอดเยี่ยมจริงๆนั่นแหละ

“ผมจะกินแล้วนะครับ” เฉาจื่อซูกล่าวอย่างจริงจัง

“ตามสบายเลยครับ” หยวนโจวผายมือแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

เฉาจื่อซูหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเอื้อมไปที่เต้าหู้

ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวใช้เต้าหู้ ผิดกับเฉาจื่อซูที่ใช้ถั่วงอกนิ่มๆในปลาต้มเผ็ด

เมื่อตอนที่กำลังลองชิมปลาต้มเผ็ดอยู่นั้น ย่อมต้องเริ่มด้วยวัตถุดิบข้างเคียงเสียก่อน

หลังจากตุ๋นแล้วเต้าหู้บางชิ้นก็จะอ่อนนุ่มมาก แต่สิ่งนี้น่าจะทำให้เต้าหู้คีบด้วยตะเกียบได้ยากมาก ทักษะการใช้ตะเกียบจะถูกทดสอบเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเต้าหู้นั่นแหละ

เฉาจื่อซูค่อยๆเอื้อมตะเกียบไปหาเต้าหู้ แต่ทันทีที่ตะเกียบแตะโดนเต้าหู้ เขาก็พบว่าผิวหน้าของเต้าหู้หาได้อ่อนนุ่มมากมายเท่าไหร่นัก ทว่ากลับให้ความรู้สึกยืดหยุ่นเนื่องจากมันเริ่มที่จะเด้งหนีหลังจากตะเกียบแตะไปโดน

“เต้าหู้แผ่นงั้นรึ?” เฉาจื่อซูรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรมากนักและลองชิมต่อไป

ปกติแล้วตอนที่ทำปลาต้มเผ็ดจะใช้เต้าหู้ก้อน แบบนั้นเต้าหู้ก็จะนุ่มเนียน ถึงอย่างไรในขณะที่ปรุงอยู่นั้นเต้าหู้แผ่นก็ขาดได้ง่าย และคีบด้วยตะเกียบได้ค่อนข้างยากทีเดียว

“อูย ร้อนชะมัดเลย” แม้ว่าเฉาจื่อซูจะรอให้เย็นลงนิดหน่อยแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกร้อนลวกปากอยู่ดีนั่นแหละ

หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมาแล้ว เขาก็รีบหุบปากและเริ่มลิ้มรสชาติทันที

เมื่อเต้าหู้เข้ามาในปากเป็นครั้งแรก มันร้อนเสียจนเขาต้องชักลิ้นกลับโดยอัตโนมัติ แต่ทันใดนั้นเองกลิ่นที่ทำให้เกิดความรู้สึกชาก็พลันปะทุราวกับพายุทอร์นาโดอยู่ในโพรงปากของเขาก่อนที่จะพุ่งลงคอแล้วกระตุ้นให้เขาเริ่มเคี้ยวเต้าหู้

เต้าหู้แหลกทันทีที่สบเข้ากับฟัน และในขณะเดียวกับที่เต้าหู้แหลกเละไปแล้วนั้น รสชาติแสนอร่อยของเนื้อปลาก็ปะทุขึ้นมาแทน

“หืม?” ดวงตาของเฉาจื่อซูเบิกกว้างเมื่อได้กลิ่นนี้เข้า แววตกตะลึงครอบงำใบหน้าของเขาขณะที่เขากลืนเต้าหู้ลงไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งตรงหน้าแล้วยัดเข้าปาก

นับเป็นเรื่องหายากที่จะได้เห็นเฉาจื่อซูใจร้อนมากขนาดนั้นเนื่องจากเขามักจะใส่ใจกับเรื่องมารยาทเอามากๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงจ้าวน้อย แม้แต่คุณเฉิงก็ยังมองเขาด้วยความตกตะลึงเช่นเดียวกัน

ทันทีที่เนื้อปลาเข้าสู่ปาก ความรู้สึกแรกหาใช่ความรู้สึกสากระคายของน้ำจากเนื้อปลา แต่กลับให้กลิ่นแรงจัดของกระเทียมที่พุ่งเข้าสู่จมูกของเขาในขณะที่กลิ่นหอมของพริกตลบอบอวลไปทั่วทั้งปาก เนื่องจากเนื้อยังร้อนอยู่มาก เฉาจื่อซูฝืนอมเนื้อเอาไว้ในปากโดยไม่เคี้ยว แต่ความอ่อนนุ่มของเนื้อกลับให้ความรู้สึกเหมือนภาพลวงตาว่าปลายังมีชีวิตและว่ายน้ำอยู่พร้อมทั้งกระตุ้นให้เขาเริ่มเคี้ยวด้วย

ในที่สุดเขาก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเริ่มเคี้ยว สิ่งนี้ตามมาด้วยการระเบิดของกลิ่นรสตามธรรมชาติของปลาในปากของเขา ส่วนเนื้อเองนั้นราวกับว่าเนื้อสามารถขยับไปขยับมาได้ มันหล่นลงสู่คอแล้วตรงเข้ากระเพาะอาหารของเขาไป

เฉาจื่อซูมีความรู้สึกว่าเขาอยากเคี้ยวอีกทั้งๆที่กลืนเนื้อปลาลงไปแล้วแท้ๆ ดังนั้นเขาจึงคีบเนื้อปลาอีกชิ้นแล้วยัดเข้าปาก

“รู้สึกเหมือนยังเป็นๆอยู่เลยล่ะ” เฉาจื่อซูกล่าวอารมณ์ที่ยากจะเข้าใจได้หลังจากเขาฝืนกลืนเนื้อลงไปอีกครั้งโดยปราศจากการควบคุมแต่อย่างใด เขาเท้าแขนเอาไว้บนโต๊ะและไม่ขยับอยู่เป็นนาน

จากทฤษฎีของหยวนโจวเอง รสชาติที่หกของปลาต้มเผ็ดน่าจะเป็น “ปลาเป็นๆ” ปลาต้มเผ็ดที่ดีจะต้องทำให้ผู้ที่ได้ชิมไม่รู้สึกพอจนอยากจะกินชิ้นที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ

“งั้นปลาต้มเผ็ดก็มีรสชาติที่หกจริงๆน่ะสิ มีรสชาติที่หกจริงๆด้วยล่ะ” เฉาจื่อซูพึมพำกับตัวเอง

“อาจารย์” จ้าวน้อยอดไม่ไหวได้แต่ร้องเรียกออกไป เขาสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรชอบกลเมื่อได้เห็นท่าทีตอบสนองของอาจารย์ตัวเอง

“จ้าวน้อยเอ้ย ในด้านของเนื้อปลานั้น พวกเราแพ้เสียแล้วล่ะ” เฉาจื่อซูมองหยวนโจวด้วยสีหน้าที่ยากจะเข้าใจ พูดง่ายๆก็คือการแข่งขันเพื่อมิตรภาพจัดขึ้นเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้นจึงไม่ควรจะมีผู้แพ้หรือผู้ชนะ แต่ปลาต้มเผ็ดที่หยวนโจวทำให้เขารู้สึกถึงความพ่ายแพ้ได้ในทันที

“อาจารย์ครับ พูดอะไรแบบนั้นกัน? ปลาต้มเผ็ดเป็นอาหารจานเด็ดของร้านเราที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 100 ปีเชียวนะครับ เราจะแพ้ได้ยังไงกัน?” จ้าวน้อยรู้สึกเหมือนได้ยินอะไรผิดไปจึงกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง

“เมื่อผสมผสานปลาต้มเผ็ดทั้งห้ารสก็จะได้รสชาติที่หกออกมาซึ่งก็คือปลาเป็นๆไงล่ะ ลืมมันไปเสียเถอะ แม้แต่แนวคิดทั้งหมดเกี่ยวกับปลาต้มเผ็ดของเขาก็เหนือกว่าเราไปเสียแล้วล่ะ” เฉาจื่อซูถอนหายใจ จากนนั้นเขาก็พูดต่อไปว่า “ผู้คนมักจะกล่าวขวัญกันว่าหัวหน้าเชฟหยวนเป็นเชฟยอดอัจฉริยะที่ยากจะปรากฏตัวสักครั้งในรอบสิบปี ตอนนี้ผมได้มาเห็นด้วยตัวเองแล้ว เขาคือสุดยอดเชฟจริงๆ”

เมื่อจ้าวน้อยเห็นอาจารย์ของเขาเอาแต่มองไปที่หยวนโจวไม่ละสายตา หลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ผุดขึ้นในหัวของเขา ด้วยความกระสับกระส่ายทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วชี้ไปทางหยวนโจวก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด! อาหารจานเด็ดของเราจะมาพ่ายแพ้ให้ไอ้คนงานจิปาถะอย่างมันงั้นหรือ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด