อยากกินไหมล่ะ 893 ไข่ข้นหน้าต้นหอม

Now you are reading อยากกินไหมล่ะ Chapter 893 ไข่ข้นหน้าต้นหอม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อยากกินไหมล่ะ 美食供应商

บทที่ 893 ไข่ข้นหน้าต้นหอม

ถึงแม้ว่าถ้อยคำของคุณปู่คนขับรถลากจะมาถึงโดยกะทันหัน แต่หลิงหงก็ยังตอบอยู่ดี ถึงอย่างไรเขาก็ค่อนข้างสนิทสนมกับคุณปู่คนขับรถลากและคนที่จ้องมองอยู่ทางด้านข้างจึงต้องวางตัวให้เหมาะสม

“ใช่ครับ” หลิงหงพยักหน้า

“ปู่ของนายแซ่หลิงเหมือนกันใช่ไหม?” คุณปู่คนขับรถลากถามขึ้น

“ใช่ครับ” หลิงหงรู้สึกอยากจะหัวเราะเหลือเกิน อย่างไรเสียแซ่ของปู่เขาก็ต้องเป็นหลิงอยู่แล้วล่ะน่า

เมื่อคนขับรถลากเห็นหลิงหงพยักหน้า เขาก็เหม่อลอยไปชั่วครู่ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

คุณปู่หลิงดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วเช่นเดียวกัน แต่เขาเกรงว่าเขาจะเข้าใจผิดไปเองจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา

“เจ้าหกน้อยใช่ไหม? นายก็คือหลิงหกน้อยสินะ?” คุณปู่คนขับรถลากถามพลางจ้องมองไปที่คุณปู่หลิง

“คุณรู้เรื่องนั้นได้ยังไงกัน?” คุณปู่หลิงถามขึ้นเมื่อได้ยินชื่อที่เขาไม่ได้ยินมานานแล้ว เขาเป็นบุตรคนที่หกในครอบครัวจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าหลิงหกน้อยต่อท้ายเมื่อตอนที่เขายังเด็ก

“ฮ่าฮ่า เป็นนายจริงๆด้วย! หลิงหกน้อย โอ้ หลิงหกน้อย นายดูหนักแน่นกว่าตอนที่ยังหนุ่มเสียอีกนะ ไม่แปลกเลยที่ฉันจะจำนายไม่ได้น่ะ พวกเราไม่เจอกันมาหลายสิบปีเลยนะ” คุณปู่คนขับรถลากกล่าวพลางหัวเราะลั่น

คุณปู่คนขับรถลากดูเหมือนจะรู้สึกตื่นเต้นมากเสียจนริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าของเขาดูเหมือนจะแผ่ออกมาได้เลย ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็ตบไหล่ของคุณปู่หลิงไปด้วย

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! คุณปู่คนขับรถลากออกแรงตบค่อนข้างมากจนเกิดเสียงดังสนั่น

หลิงหงชักจะเป็นห่วงขึ้นมาเสียแล้วเมื่อเขาเห็นคุณปู่คนขับรถลากกำลังตบคุณปู่ของตนเสียแรงขนาดนั้นจนชุดสูทของคุณปู่เริ่มยับ

ถึงอย่างไรคุณปู่ของเขาก็ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ของตนเองเอามากๆและไม่เคยสวมชุดที่มีรอยยับมากๆมาก่อนเลย แต่คุณปู่หลิงดูเหมือนจะกำลังเหม่อลอยและไม่มีท่าทีตอบสนองแต่อย่างใด

“ผู้คุมเจียงั้นรึ? คุณก็คือผู้คุมเจียงั้นรึ?” เขาถามพลางจับจ้องไปที่คุณปู่คนขับรถลากสักพักหนึ่ง

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่หลิงหงได้เห็นคุณปู่ของเขาตื่นเต้นมากขนาดนี้ คุณปู่ของเขารู้สึกตื่นเต้นมาเสียจนใบหน้าแดงก่ำในขณะที่จับมือของคุณปู่คนขับรถลากเอาไว้เสียแน่นเลย

“ฮ่าฮ่า ถ้านายหมายถึงผู้คุมตัวปลอมแล้วล่ะก็ฉันต่างหากที่เป็นผู้คุมตัวจริง” คุณปู่คนขับรถลากกล่าวไปพลางหัวเราะไปพลางเนื่องจากรู้สึกตื่นเต้น [1. คำว่าเจียในคำว่าผู้คุมฟังดูเหมือนคำว่าตัวปลอมในภาษาจีน]

“งั้นก็เป็นคุณจริงๆน่ะสิ ผู้คุม ผู้คุม คุณ… ทำไม…” คุณปู่หลิงก้าวเข้ามาแล้วผลักหลิงหงออกไปให้พ้นทางและจับมือคุณปู่คนขับรถลากเอาไว้ก่อนที่จะเริ่มมองเขาขึ้นๆลงๆ

ทั้งสองคนไม่สนใจคนอื่นๆอีกและลอบประเมินซึ่งกันและกันทั้งอย่างนั้นราวกับพี่น้องที่พรากจากกันไปเสียนาน

ส่วนหลิงหงนั้น เขาก้าวถอยหลังไปเงียบๆแล้วเว้นระยะห่างเพื่อจะได้ไม่ไปรบกวนทั้งสองคน

“ฉันทำไม? ฉันดูเด็กกว่านายอีกใช่ไหมล่ะ? จากท่าทางของนาย เห็นชัดๆเลยว่านายมักจะเป็นกังวลในหลายๆเรื่อง” คุณปู่คนขับรถลากกล่าวด้วยความภาคภูมิใจขณะที่มองผมหงอกขาวของคุณปู่หลิง

“แต่ผู้คุม คุณเป็นถึงคนที่พาพวกเราเข้าประจัญบานเมื่อหลายปีก่อน คุณเป็นถึงวีรบุรุษสงคราม ทำไม… ทำไม…” คุณปู่หลิงไม่สามารถพูดจนจบคำได้

คุณปู่คนขับรถลากแต่งกายธรรมดาเกินไปจริงๆ เพียงมองแค่แวบเดียวก็จะสังเกตเห็นว่าถึงแม้เสื้อผ้าของเขาจะสะอาดสะอ้าน แต่ก็ราคาถูกมากทีเดียว แม้แต่สีตรงแขนเสื้อก็ยังซีดจางอีกด้วย สิ่งนี้กลับทำให้มีความรู้สึกว่าคุณปู่คนขับรถลากช่างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากยากแค้นเหลือเกิน

“เลิกเหลวไหลได้แล้วน่า ฉันมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี นายไม่เห็นหรือไงว่าฉันก็มากินอาหารที่นี่ด้วยน่ะ? อาหารของเถ้าแก่หยวนแพงก็จริงแต่อร่อยเหาะเชียวล่ะ นักชิมอย่างฉันไม่สามารถหยุดกินอาหารที่นี่ได้เลย” คุณปู่คนขับรถลากกล่าวพลางโบกมือ

คุณปู่หลิงอยากจะพูดอะไรอีกแต่เมื่อเขาเห็นว่าคุณปู่คนขับรถลากดูเหมือนจะไม่สนใจชีวิตของตัวเองเลยสักนิด เขาก็ยับยั้งตัวเองแล้วพูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน “ตลอดหลายปีมานี้คุณเป็นยังไงบ้างครับ ผู้คุมเจีย?”

“ฉันสบายดี นายควรจะเรียกฉันว่าพี่เจียมากกว่านะ” คุณปู่คนขับรถลากกล่าวพลางยิ้มกว้าง

“ได้ ได้ ยังไงคุณก็เป็นพี่เจียของผมเสมอมาอยู่แล้วนี่นา” คุณปู่หลิงกล่าวพลางพยักหน้าพร้อมสายตาที่เปลี่ยนเป็นพร่ามัว

“หลิงหกน้อย ดูเหมือนว่านายจะมีความเป็นอยู่ที่ดีเหมือนกันนะ ดูสิ นายยังมีแขนขาอยู่ครบเลย!”

ผู้คุมเจียมองไปที่แขนขาของคุณปู่หลิงพลางยิ้มกว้างบนใบหน้า ถ้ามีใครมากล่าวถ้อยคำแบบนี้ หลิงหงแน่ใจเลยว่าคุณปู่ของเขาคงจะระเบิดความโกรธไปแล้ว แต่เมื่อคุณปู่คนขับรถลากกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ดวงตาคุณปู่ของเขากลับเปลี่ยนเป็นแดงก่ำขึ้นมาแทน

“ผมมีความเป็นอยู่ที่ดีเชียวล่ะครับ แน่นอนว่านั่นต้องขอบคุณที่คุณแบกผมลงจากเขาในตอนนั้นด้วย” คุณปู่หลิงกล่าวพลางพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราล้วนอยู่ห่างจากประเทศของเรา หลังจากแบกนายลงมาแล้ว ฉันก็ขึ้นไปอีก หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย นับแต่นั้นมาก็หลายปีแล้วสินะ” คุณปู่เจียกล่าวพลางทอดถอนใจ

“จริงด้วย ตอนนั้นผมได้รับบาดเจ็บสาหัส พอสงครามสิ้นสุดลงผมก็เลยถูกส่งไปรักษาตัวที่ประเทศของเรา นับแต่นั้นก็ผ่านมา 37 แล้ว” คุณปู่หลิงกล่าวขึ้นมา

“แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ ฉันกลัวนายจะถูกฆ่าตายในสงครามมากกว่า” คุณปู่เจียกล่าวพลางพยักหน้า

คุณปู่หลิงทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ผมกลัวจับจิตเชียวล่ะว่าพี่น้องของเราจะต้องมาสละชีวิตไปน่ะ”

“ฉันไม่ได้ข่าวคนที่เหลือแล้วก็ติดต่อพวกเขาไม่ได้เลย แต่ยังนับว่าโชคดีที่พวกเรายังมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้งนะ” คุณปู่เจียกล่าวพลางยิ้มกว้าง เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่หลายปีมานี้เขาเดินทางไปทุกหนทุกแห่งด้วยรถลากของตนเองก็เพื่อทำตามคำขอของสหายร่วมอุดมการณ์ของเขานั่นเอง

ในตอนนั้นสหายของเขาที่เพิ่งจะถูกสังหารนั้นพวกเขายังเป็นแค่คนอายุน้อยที่เพิ่งจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เท่านั้นเอง และก่อนที่พวกเขาจะตายก็ได้ขอให้คุณปู่เจียส่งข้อความให้คนที่พวกเขารักด้วย อาทิเช่น “แม่ฮะ ผมอยู่ที่นี่น้ำหนักลดไปตั้งสามชั่งแน่ะ” “เฉียนเฉียน จริงๆแล้วฉันยังรักเธอนะ” และอื่นๆ ในฐานที่เป็นผู้คุม คุณปู่เจียจึงให้สัญญาที่จะถ่ายทอดคำพูดสุดท้ายของพวกเขา ดังนั้นเขาก็เลยใช้เวลาถึง 20 ปีเดินทางไปทุกหนทุกแห่งเพื่อทำสิ่งที่เขาได้ให้สัญญาไว้กับสหายที่ตายไปแล้วของเขา เนื่องจากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาเลยทำให้เขายังมีอีกสองข้อความที่ต้องไปถ่ายทอด แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ย่นระย่อและยังคงพยายามมาจนถึงทุกวันนี้

ในฐานที่เป็นทหารผ่านศึกที่รอดชีวิตจากศึกสงคราม เขาจะต้องพยายามทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่

“ใช่แล้ว! วันนี้เป็นวันดี ฮ่าฮ่าฮ่า มาดื่มอะไรกันสักหน่อยเถอะ!” คุณปู่หลิงกล่าวด้วยความเบิกบานพลางดึงมือของคุณปู่เจีย

“บ้าจริง ฉันต้องมาที่นี่เพื่อกินอาหาร นายไม่เคยกินอาหารที่นี่มาก่อนใช่ไหมล่ะ? หยวนน้อยผู้นี้ทำอาหารเก่งมากจริงๆนะ แน่นอนว่าแม้แต่ไข่ข้นหน้าต้นหอมของเขาก็ยังแตกต่างไปจากที่นายลองชิมมาก่อนเลยเชียวล่ะ” คุณปู่เจียกล่าวขึ้น

“เอ๊ะ นั่นมันมุขเก่าตั้งแต่สมัยพวกเรายังหนุ่มๆกันเลยนะ ทำไมคุณยังเอามาพูดถึงอีกเล่า” คุณปู่หลิงกล่าวด้วยความขุ่นเคืองใจ

“ฮ่าฮ่า ก็ฉันอดไม่ได้นี่นา เพราะมุขนั้นแหละที่ทำให้ฉันรู้จักกับนาย” คุณปู่เจียไม่คิดจะเก็บอาการเลยสักนิด

“มุขตลกอะไรงั้นเหรอครับ?” หลิงหงขัดจังหวะขึ้นมาอย่างเหมาะเจาะเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ

“ทำไมแกต้องมาขัดด้วยเล่า ไอ้เด็กบ้า?” คุณปู่หลิงกล่าวพลางจ้องมองหลิงหง

“นี่หลานชายของนายงั้นรึ? เขาเป็นคนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมเชียวล่ะ” คุณปู่เจียเอ่ยชมพลางยิ้มให้

“ใช่แล้วล่ะ เขาก็คือไอ้เจ้าหลานชายไร้ประโยชน์ที่ทำอะไรไม่เป็นเลยของผมนี่แหละ มาทักทายเขาหน่อยสิ” คุณปู่หลิงกล่าวขึ้นมา

แน่นอนว่าเมื่อตอนที่คุยกับหลิงหง เขาย่อมไม่ได้มีท่าทางสุภาพเลยสักนิดเดียว ทันใดนั้นเขาก็ก็ลากตัวหลิงหงมาทันที

“ผมควรจะเรียกเขาว่าอะไรดีล่ะเนี่ย? จะไม่เล่าเรื่องนั้นให้ผมฟังจริงๆเหรอปู่” หลิงหงกล่าวอย่างอับจนหนทาง

“แน่นอนว่าแกต้องเรียกเขาว่าคุณปู่น่ะสิ หลานชายของฉันก็เป็นหลานชายของผู้คุมเจียเหมือนกันนั่นแหละ” คุณปู่หลิงกล่าวอย่างจริงจัง

“สวัสดีครับปู่เจีย ผมหลิงหงครับ” หลิงหงกล่าวคำทักทายด้วยความนอบน้อม

ถึงอย่างไรหลิงหงก็มีพรสวรรค์ในด้านการอ่านสีหน้าคนมากทีเดียว เขาทำตามคำสั่งแม้ว่าคุณปู่เจียจะเป็นคนขับรถลากที่มักจะมีเรื่องราวน่าสนใจมากมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอๆ

จากท่าทีอันจริงจังของปู่ตนเองทำให้เขารู้ว่านี่เป็นเรื่องที่จริงจังมากทีเดียว ดังนั้นหลิงหงจึงไม่ได้ทำเป็นเล่นเช่นกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด