เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]บทที่ 168 ความกังวลใจของซูเหล่าซาน

Now you are reading เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] Chapter บทที่ 168 ความกังวลใจของซูเหล่าซาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 168 ความกังวลใจของซูเหล่าซาน
บทที่ 168 ความกังวลใจของซูเหล่าซาน

สิ่งนี้ทำให้แววตาของคนหงซินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าที่บ้านได้ทำงานพร้อมกันรวดเดียวสามคน คนเหล่านั้นจะไม่อิจฉาได้อย่างไร

แต่ต่อให้อิจฉาแล้วอย่างไรเล่า เพราะอย่างทุกคนต่างก็รู้ดีว่าไม่สามารถทำอะไรได้

ตอนที่โอกาสมาถึงตรงหน้ากลับไม่รักษาไว้ คงจะโทษผู้ใดไม่ได้แล้ว

คืนนั้นคุณย่าซูตั้งใจทำบะหมี่เพื่อฉลองที่ลูกสะใภ้สองคนได้ไปทำงานเป็นคนงานในอำเภอ

ความจริงแล้วอารมณ์ของพี่ชายทั้งสามของบ้านซูไม่ได้ดีเลย

ภรรยาได้เป็นคนงานอาจจะนับได้ว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่พวกเขารู้สึกอึดอัดใจ

เหมือนศักดิ์ศรีลูกผู้ชายมันถูกท้าทาย

ภรรยาทำงานหาเงินในเมือง แต่ตัวพวกเขากลับทำไร่ทำนาอยู่ที่บ้าน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จึงรู้สึกไม่ดี

ซูเสี่ยวเถียนคงเห็นว่าผู้เป็นบิดาคิดสิ่งใดอยู่ เธอจึงเข้าไปคลอเคลียอยู่ข้าง ๆ

“เสี่ยวเถียน ทำไมวันนี้ถึงมาหาพ่อล่ะ?” ถึงซูเหล่าซานจะผิดหวัง แต่ก็มีความสุขมากที่ลูกสาวคนดีมาอยู่ใกล้ ๆ

เขาลูบผมนุ่มสลวยของเสี่ยวเถียนอย่างแผ่วเบาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“คุณพ่อคะ คุณแม่จะไปเป็นคนงานแล้ว พ่อไม่ดีใจหรือคะ?”

เขาถอนหายใจ “พ่อดีใจสิ แม่ได้ไปทำงานแล้ว ในอนาคตก็จะมีเงิน ชีวิตบ้านเราก็ดีขึ้น”

บ้านเรายากจนมาหลายปีแล้ว ชีวิตมันยากลำบากจริง ๆ นะ

เขาแค่รู้สึกว่าผู้หญิงทำงาน ส่วนผู้ชายอยู่บ้านแล้วรู้สึกไร้ประโยชน์ สิ่งนั้นทำให้เขาคิดมาก

“พ่อ ในอนาคตของพ่อก็มีโอกาสหาเงินเหมือนกัน แต่ครั้งนี้ไปทำงานที่โรงงานขนมไข่ พ่อเป็นผู้ชายไม่เหมาะหรอกค่ะ”

ซูเหล่าซานไม่คิดว่าลูกสาวจะพูดจาสมเหตุสมผลแบบนี้

แต่ถึงไม่สมเหตุสมผล แต่อย่างไรก็เต็มไปด้วยความหมายอยู่ดี

“เสี่ยวเถียน ลูกว่าพ่อจะได้เป็นคนงานในอนาคตบ้างไหม?” ดวงตาของซูเหล่าซานเกือบจะเปล่งประกาย

ก่อนหน้านี้เขาพอใจกับชีวิตตัวเองแล้ว เพราะภรรยาไม่ได้เป็นคนงาน

แต่ตอนนี้กลับมีความคิดหนึ่งในใจ นั่นคือเป็นคนงานเหมือนกันด้วย

ซูเสี่ยวเถียนอดหัวเราะไม่ได้ พ่อของเธอน่ารักเหลือเกิน ทำไมถึงอยากเป็นคนงานล่ะ? เป็นแล้วก็ไม่ได้ดีหรอกนะ ผ่านไปอีกสิบปีคนงานไม่ใช่อาชีพที่มั่นคงหรอก

“คุณพ่อ ใครจะไปรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตล่ะ แต่หนูว่าคุณพ่อจะไม่ได้ใช้ชีวิตไปกับการทำไร่ทำนาตลอดแน่นอน”

ถึงลูกสาวจะไม่ได้พูดอะไร แต่ซูเหล่าซานอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แน่นอนว่าเหลียงซิ่วรับรู้ถึงความรู้สึกไม่พอใจของสามี เมื่อกลับมาถึงบ้านทั้งสองจึงพูดคุยกันอีกครั้ง

ซูเหล่าซานเรียนรู้คำพูดของลูกสาว ก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวเถียนทำให้ฉันโล่งใจจริง ๆ นะ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าต่อให้คุณจะเป็นคนงาน หรืออยู่บ้านทำไร่ทำนาก็เหมือนกัน”

“ที่จริงฉันไม่อยากไปหรอก ถ้าไปแล้วจะดูแลบ้านฝั่งนี้อย่างไร” เหลียงซิ่วลังเล

“ไม่เป็นไรหรอก ที่บ้านก็ยังมีคุณแม่อยู่นี่? ถ้าคุณไปก็ตั้งใจทำงานก็พอ”

“คุณแม่อายุไม่น้อยแล้วนะ ถึงตอนทำจะเพลิดเพลิน แต่เราเป็นสะใภ้ คนคนเดียวดูแลได้ไม่ทั่วถึงหรอกนะ ฉันไม่สบายใจเลยจริง ๆ”

ซูเหล่าซานรู้สึกว่า ถ้าภรรยายังพูดต่อไปจะบอกว่าไม่ไปงั้นหรือ?

แต่เขากลับไม่คิดจะรอให้เธอพูดเช่นนั้น

ทว่าท่าทางของเหลียงซิ่วเปลี่ยนไปหลังจากเธอว่าจบ

“ฉันครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีก รู้สึกว่าอย่างไรก็ต้องไป ด้วยสถานการณ์ที่บ้านเป็นแบบนี้ พวกเด็ก ๆ เริ่มโตขึ้น โส่วเวินก็ต้องแต่งงาน ตามด้วยซื่อเลี่ยง และทุกคนก็ตามกันไปติด ๆ ถ้าไม่หาเงิน ถึงตอนนั้นพวกเราจะทำอย่างไร?”

อันที่จริงมันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงที่สุด เขารู้สึกหมดหนทางทันที ภรรยาของเขาพูดถูก บ้านเราไม่มีเงินให้ใช้ชีวิตต่อ แถมชีวิตเองก็ยังลำบาก โดยเฉพาะสองปีข้างหน้าที่ลูก ๆ จะต้องแต่งงาน มันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น

“เหลียงซิ่ว ไม่เป็นไรนะ เธอไปเถอะ บ้านเรายังมีลูก ๆ อยู่ เขาโตกันแล้ว พวกเขายังพอช่วยงานได้”

เมื่อได้ยินว่าสามีเห็นด้วย เหลียงซิ่วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

ที่จริงเธอเป็นกุลสตรี ทั้งยังคอยช่วยเหลือสามีและสั่งสอนลูกที่บ้าน

ครั้งนี้ก็คิดจะลองเหมือนกัน เดิมทีคิดว่าไม่มีโอกาส แต่ใครจะรู้เล่าว่าจะบังเอิญแบบนี้

“พ่อเถียนเอ๋อร์ ขอบคุณมากนะ”

“เป็นสามีภรรยากัน จะมาพูดเกรงใจอะไรอีกล่ะ จากนี้ไปฉันต้องอยู่บ้านดูแลลูก ๆ หากคิดถึงเธอขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?”

ตอนซูเหล่าซานพูด แววตาเต็มไปด้วยความรัก

เหลียงซิ่วรู้สึกอายเล็กน้อยที่ถูกมองด้วยสายตาร้อนแรง

“ดูซิ ลูกอายุตั้งเท่าไรแล้ว ทำไมยังพูดจาแบบนี้อีก”

ที่ห้องของพ่อรองเองก็ไม่ต่างกันนัก แต่ในที่สุดซูเหล่าเอ้อร์ก็เห็นด้วยที่จะให้ภรรยาไปทำงานในเมือง

คุณย่าซูเปิดใจมากที่จะให้สะใภ้ทั้งสองไปด้วยกัน ไปเยอะ ๆ ช่วยกันดูแลดีกว่าไปคนเดียวตั้งเยอะ

สามวันต่อมา สะใภ้บ้านซูทั้งสองกับอีกสามคนของหงซินไปรายงานตัวที่โรงงานขนมไข่ในอำเภอ

ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกไม่ชินเลยในวันที่แม่ไม่อยู่ แต่ว่ามีพี่ชายอยู่เป็นเพื่อนอีกหลายคน เลยไม่ต่างกันมากนัก

เพื่อป้องกันไม่ให้ซูเสี่ยวเถียนคิดถึงแม่ พวกพี่ชายจึงพาน้องเล็กไปขึ้นเขาไปหาของที่น่าสนใจกัน

อันที่จริงถึงจะบอกว่าไปหาของดี แต่พวกเขารู้อยู่แล้วว่า แค่มีเสี่ยวเถียนไปด้วย ของบนเขาก็รออยู่บนนั้นแล้ว

แน่นอนว่าในวันนี้ตอนที่ลงมา ในกระเป๋าเต็มไปด้วยสัมภาระ

แต่พวกเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเสี่ยวเถียนได้ของดีกว่านี้อีก

ตอนนี้เธอคุยกับต้นไม้บนเขาได้แล้ว มีของดีอยู่มากมายที่ไม่สามารถซ่อนไปจากเธอได้

ดังนั้นภายใต้การนำทางของต้นไม้ ซูเสี่ยวเถียนจึงแอบซ่อนสิ่งดี ๆ ลับหลังพวกพี่ชาย

เธอซ่อนมันไว้ในที่ที่มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ และขอให้ต้นไม้ใหญ่สองสามต้นช่วยกันปกปิดให้มิดชิดด้วย จะได้ไม่มีใครหาเจอ

เด็ก ๆ บ้านซูขึ้นเขาติดกันสามวัน และทุกครั้งที่กลับลงมา ตะกร้าบนหลังต่างหนักอึ้ง

แม้แต่ตะกร้าของฉืออี้หย่วนก็อัดแน่นไปด้วยของมากมาย

คนอื่นไม่ได้สังเกต แต่ซูเสี่ยวฉินที่จ้องมองอยู่ดันเห็นเสียนี่

เพราะแบบนี้เธอจึงอิจฉาริษยามาก

สองวันแล้วตั้งแต่ที่กลับมาบ้าน เธอถูกด่าถูกทุบตีไม่พอ ยังกินข้าวไม่อิ่มอีก ทำไมไอ้พวกคนห้าประเภท*[1] ที่คอกวัวถึงได้กินอิ่มนัก ทำไมกลับกลายเป็นเธอที่เป็นชาวนาชนชั้นล่างที่กินไม่อิ่มล่ะ?

เธอไม่ยอม ไม่ได้เป็นคนงานไม่พอ ตอนนี้ยังไม่กล้ากลับไปอำเภออีกด้วย ดังนั้นจึงทำได้แค่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่และยอมโดนทารุณอย่างไม่มีทางเลือก

*[1] คนห้าประเภท ได้แก่ เจ้าของที่ดิน ชาวนาผู้ร่ำรวย ขบวนการปฏิวัติ คนไม่ดี และพวกขวาจัด

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *