เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]บทที่ 831 หยวนกั๋วชิ่ง

Now you are reading เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] Chapter บทที่ 831 หยวนกั๋วชิ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 831 หยวนกั๋วชิ่ง

บทที่ 831 หยวนกั๋วชิ่ง

บนโต๊ะอาหารหน้าเหมาเสี่ยวหมิงมีอาหารสี่อย่างคือ เนื้อปลาตุ๋น หมูผัดพริกหยวก แตงกวาฝาน และมะเขือเทศคลุกน้ำตาล ทุกอย่างจัดวางในถ้วยใบใหญ่ และมีปริมาณเยอะมาก

อันที่จริงเหมาเสี่ยวหมิงไม่ชอบใจเท่าไร รับแขกทั้งทีแต่มีอาหารหลักแค่สี่จาน และอาหารจานเย็นอีกสอง ทว่าเขาดันลืมไปเสียสนิทว่า ตัวเองไม่ได้ถูกเชิญให้มาตั้งแต่แรก ทั้งยังไม่ได้รับการต้อนรับจากเจ้าบ้านด้วย

คนประเภทนี้เรียกว่าแขกไม่ดี! โดยปกติแล้วคนแบบนี้ไม่เป็นที่ต้อนรับ

เหมาเสี่ยวหมิงไม่ได้รับรู้เลยว่าหลังจากวันนี้เขาจะไม่สามารถกลับมาทำงานดี ๆ แบบนี้ได้อีกต่อไป จึงยังคงทำตัวจู้จี้จุกจิกกับอาหาร

นายกเหลียงทำงานว่องไวมาก ไม่รู้ไปพูดอะไรกับเลขาธิการ วันต่อมาเหมาเสี่ยวหมิงก็โดนเรียกตัวกลับไปเสียแล้ว

“อาจารย์ เขาไปแล้วไปลับเลยไหมครับ?”

หลังจากได้ยินสิ่งน่ารังเกียจที่ชายคนนั้นได้ทำไว้ ซูซานกงก็คลื่นไส้แทบอาเจียน รอบนี้ตนเองยังพาน้องมาด้วยอีก ถ้าโดนเจ้านั่นมันหมายตาเอาไว้คงอันตรายไม่น้อย

ซูซานกงรู้สึกโชคดีมาก ที่รู้สันดานมันตั้งแต่เรามาถึง

“คงไปแล้วไปลับแหละ” เสิ่นจื่อเจินตอบ

การโดนเรียกตัวกลับไปก็พิสูจน์ได้แล้วว่านายกเหลียงคงทำสำเร็จ และเป็นไปตามที่คาดไว้ ตกบ่ายก็มีคนมาเก็บกระเป๋าของเหมาเสี่ยวหมิง แต่คนที่มาไม่ได้เก็บสัมภาระกลับไปเท่านั้น ยังขอโทษเสิ่นจื่อเจินอย่างสุภาพที่ทำให้เขาเดือดร้อนด้วย

ส่วนเหมาเสี่ยวหมิงไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย ตอนนี้อีกฝ่ายออกไปแล้ว ที่ทางสะอาดหูสะอาดตาขึ้น แต่คนช่วยงานน้อยลง การเดินทางในครั้งนี้เสิ่นจื่อเจินพาคนมาแค่เสี่ยวเถียนกับซานกงเท่านั้น

ทีแรกคิดว่าถ้ามีเหมาเสี่ยวหมิงอยู่ คงทำงานหยุมหยิมอื่นได้ แต่ใครจะรู้เล่าว่าจะกลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

ตอนนี้พวกเราเหลือกันสามคน ภาระงานของคนทั้งสามเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเสี่ยวเถียนที่ยุ่งกว่าใคร เพราะต้องแบ่งเวลาไปบรรยายเรื่องการปฐมพยาบาลวันนึงด้วย

นอกจากช่วยงานต่าง ๆ ในฐานวิจัยของลุงเขย เสี่ยวเถียนใช้เวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ถ้าเบื่อก็จะนั่งเขียนข้อมูลความรู้ในการปฐมพยาบาลแทน

เราหารือกับนายกเหลียงแล้วว่า ข้อมูลพวกนี้ควรพิมพ์ลงแผ่นพับเพื่อที่ชาวบ้านจะได้เข้าถึงมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว เสี่ยวเถียนจึงไม่กล้าประมาท และพยายามเขียนด้วยเนื้อหาที่เข้าใจง่าย และมีเนื้อหากระชับครบถ้วน

เป็นผลให้เสี่ยวเถียนมีเวลานอนน้อยกว่าแปดชั่วโมง

ครั้นเห็นน้องสาวหน้าตาซีดเซียว ซานกงปวดใจเหลือเกิน ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ตนเองไม่น่าพาน้องมาเสียเลย ดูหน้าเล็ก ๆ ของเธอสิ ไม่กี่วันก็ตอบลงเล็กกว่าฝ่ามือแล้ว มันทำให้เขาเริ่มกลัวว่า กลับบ้านไปอาจจะโดนปู่ย่าหวดด้วยไม้ปัดขนไก่ก็ได้

“เสี่ยวเถียน เธอต้องกินเยอะ ๆ หน่อยนะ ดูซิ เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วันก็น้ำหนักลดแล้ว”

ซานกงบอกน้องที่นั่งเขียนงานอยู่

รู้แบบนี้ไม่น่าให้น้องมาทำการปฐมพยาบาลอะไรนี่เลย ถ้าไม่นับที่ต้องบรรยายตอนนี้ก็ดีอยู่นะ แต่นี่กลับต้องมาเขียนความรู้เรื่องนี้ลงในแผ่นพับอีกเนี่ยสิ

เรามีเวลา 20 วัน งานเยอะขนาดนี้ทำไมต้องรีบทำด้วย?

“ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าเป็นบุญของหนู เลยอยากทำเรื่องนี้ให้จบก่อนกลับ” เสี่ยวเถียนยิ้ม

เธอเชื่อในเรื่องบุญกรรมและการได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง เพราะตัวเองทำได้ เธอยินดีช่วยเหลือผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อสะสมโชคของตัวเอง พูดจบก็ไม่สนใจพี่ชายตัวเองอีก แล้วลงมือทำงานต่อ

ซานกงทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินออกมา ส่วนเสิ่นจื่อเจินที่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกเป็นทุกข์

“ไปบอกภรรยาอันหรงหัวให้ทำไข่ตุ๋นแยกให้เสี่ยวเถียนทุกเช้านะ”

เขารู้ดีว่าตราบใดที่หลานสาวคิดจะทำอะไรสักอย่าง เธอก็จะทำจนถึงที่สุด เราเองเข้าไปช่วยไม่ได้ และจะห้ามไว้ก็ไม่ได้เช่นกัน!

วันรุ่งขึ้น เสี่ยวเถียนประหลาดใจที่เห็นถ้วยไข่ตุ๋นบนโต๊ะ ทำไมเธอถึงมีไข่ตุ๋นด้วยล่ะ ถ้าไม่อยากกินต้องทำยังไงเนี่ย?

“ลุงเขยกินนี่ได้นะคะ ลุงควรบำรุงร่างกายสักหน่อยนะ” เสี่ยวเถียนชี้ไปยังไข่ตุ๋น

“ช่วงนี้ลุงดื่มนมผงกับนมมอลต์ที่หลานให้มานั่นแหละ ทุกเช้าเย็นเลย สุขภาพดีขึ้นเยอะ แต่ช่วงนี้หลานผอมลงนะ” เสิ่นจื่อเจินยิ้ม

เสี่ยวเถียนจับหน้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว ผอมลงจะได้สวย ๆ ไง แต่เรากล้าพูดแบบนี้กับคนเฒ่าคนแก่หรือ แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว! เพราะพวกเขารู้สึกเสมอว่าลูกหลานผอมเกินไป

“หนูยังไหวค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรเลย ไว้กลับบ้านไปได้กินข้าวฝีมือย่าเมื่อไรเดี๋ยวก็บำรุงกลับมาได้แล้วค่ะ!” เสี่ยวเถียนยิ้มอย่างเบิกบาน

เธอไม่ได้กินไข่ตุ๋นเลยแม้แต่คำเดียว สุดท้ายเราก็เลยแบ่งกันกินสามคน

“ไม่รู้คนที่เราให้นายกเหลียงช่วยหาไปถึงไหนแล้ว แต่คงไม่ใช่คนแบบเหมาเสี่ยวหมิงแน่นอน” เสิ่นจื่อเจินเอ่ยอย่างสะเทือนใจ

ถ้าเหมาเสี่ยวหมิงไม่ทำตัวแบบนั้น เสี่ยวเถียนก็คงไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้หรอก

หลังจากกินข้าวเสร็จทุกคนเตรียมทำงานต่อ

วันนี้นายกเหลียงเดินทางหามาพวกเขาทั้งสามคน ตอนมาถึงลานวิจัย เขาจอดจักรยานลงแล้วเดินไปหาเสิ่นจื่อเจินพร้อมรอยยิ้ม

“อาจารย์เสิ่น ผมเจอคนเหมาะ ๆ แล้วนะ เขาจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรกรรม ทำงานแล้วแหละแต่ผู้ใหญ่ที่บ้านป่วยน่ะ ด้วยความเป็นเด็กกตัญญูเลยกลับบ้านมาดูแล ทำให้ต้องเสียงานไป”

เสิ่นจื่อเจินเหลือบมองเมื่อได้ยินประโยคหลัง

เด็กหนุ่มวัยยี่สิบท่าทางขี้อาย แต่ดูซื่อสัตย์มาก

“สวัสดีครับอาจารย์เสิ่น ผมจะตั้งใจทำให้ดีครับ!” เขาถูมือด้วยความกังวล

เขาจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรกรรมของมณฑลมา ได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่มาจากเขตเมืองหลวง ก็เลยรู้สึกว่านี่อาจเป็นโอกาส และโชคของเขาเลยก็ว่าได้ที่ได้เรียนรู้ด้วย

“คุณทำงานมาก่อนแล้วสินะ ตอนเรียนเรียนอะไรมาหรือ?” เสิ่นจื่อเจินรู้สึกพึงพอใจ

ถ้าเป็นนักศึกษาจะคอยช่วยเหลือได้มากกว่านักเรียนน่ะ

ยิ่งถ้าอุปนิสัยดีและยินดีอดทนต่อความลำบากด้วยแล้วจะยิ่งดีมากเลย

แต่ด้วยประสบการณ์จากเหมาเสี่ยวหมิง เขาเลยไม่กล้าเชื่อเต็มร้อย จึงว่าจะสังเกตการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“ผมศึกษาการปลูกต้นกล้าครับ มันค่อนข้างเกี่ยวข้องกับโครงการวิจัยของอาจารย์โดยตรง ผมจะตั้งใจ และจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังครับ” ชายหนุ่มรีบแสดงความมุ่งมั่น

“ว่าไปแล้ว ผมยังไม่ได้ถามชื่อคุณเลย”

“ผมชื่อหยวนกั๋วชิ่งครับ”

“วันนี้คุณคอยตามเราไปก่อน เพื่อทำความคุ้นเคยนะ ไว้พรุ่งนี้ผมจะมอบหมายงานให้”

ว่าจบก็ยิ้มแล้วขอบคุณนายกเหลียง

“ขอบคุณท่านนายกที่มาช่วยครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวนะ”

“เกรงใจกันเกินไปแล้วอาจารย์เสิ่น เพราะพวกเราทำงานไม่ดีกันต่างหาก เลยสร้างปัญหาให้คุณแบบนี้”

เขาพูดความจริงนะ เบื้องบนมอบหมายหน้าที่ให้ทำการสนับสนุนด้านส่งกำลังช่วยเหลือมาที่ฐานวิจัย

แต่ดูสิว่าพวกเขาทำอะไรลงไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด