เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 1105 มีคนคอยยุแหย่ / 1106 มัวตะลึงอะไรอยู่!

Now you are reading เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ Chapter 1105 มีคนคอยยุแหย่ / 1106 มัวตะลึงอะไรอยู่! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1105 มีคนคอยยุแหย่

 

 

ไม่คิดว่าจะงงไปหมดขนาดนี้

 

 

“จางเหิง นี่เจ้ายังกล้าพูดจาส่งเดชหรอกหรือ ที่สั่งสอนไปคราก่อนยังไม่พออีก” เจียงหยางที่อยู่ข้างกายหวงฮ่าวใบหน้าดำคล้ำและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

 

 

คนที่ถูกเขาเรียกว่าจางเหิง เมื่อได้ยินดังนั้นจึงยืนขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหยัน เขาเชิดศีรษะสูงเพื่อให้ปลายคางอยู่ตรงหน้าเจียงหยางกับหวงฮ่าวแล้วกล่าวเสียงสูง

 

 

“ข้าพูดผิดไปหรือ เจ้าไปส่องคันฉ่องดูตนเองเสียหน่อยเถิด อยากเป็นคางคกที่อยากกินเนื้อห่านฟ้าหรือ ซูหลีนั้นเก่งกาจขนาดนั้นสายตาจะแลคนไม่เอาถ่านอย่างเจ้าหรืออย่างไร!?”

 

 

“ปัง!” ทันที่ทีเขาเอ่ยจบ หวงฮ่าวก็ยกมือทุบกาสุราบนโต๊ะจนแตกละเอียด!

 

 

เจ้าพูดอะไรออกมา ผายลมออกมารึ ข้ากับซูหลีจะเป็นอย่างไรต้องใช้เจ้ามาพูดทางนี้หรือ” ดวงตาทั้งสองของหวงฮ่าวแดงก่ำ ยกมือขึ้นชี้ไปที่จางเหิง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ

 

 

“หวงฮ่าว!” เจียงหยางที่อยู่ข้างเขา ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นซูหลีเดินมาดูทางนี้ ใบหน้าของเขาเต็มได้ด้วยความกระอักกระอ่วน เขาจึงทำให้แค่เพียงยื้อหวงฮ่าวไว้และหวังว่าหวงฮ่าวจะใจเย็นลงบ้าง

 

 

ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นในวันนี้

 

 

หอหร่วนเซียงก็มิรู้ว่าจัดการที่นั่งอย่างไร ถึงให้อันธพาลอย่างพวกศิษย์ในสำนักฉยงสือนั่งข้างพวกเขา เมื่อครู่ยังปกติและทุกคนต่างก็ไม่ล้ำเส้นกัน

 

 

ใครก็ไม่สนใจใครทั้งสิ้น

 

 

ทว่าหลังจากที่หงหลัวปรากฏตัวขึ้น หวงฮ่าวจึงใจลอยไปบ้าง เขาหันไปมองหงหลัวอยู่นาน คนของสำนักฉยงสือก็เริ่มพูดจาไม่รื่นหูนัก

 

 

คำพูดนั้นไม่ว่าจะให้แง่ใดก็เป็นการหัวเราะเยาะหวงฮ่าว กล่าวว่าหวงฮ่าวไม่รู้จักประมาณตน จนถึงบัดนี้แล้วยังคิดให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ต่อซูหลี ไม่ว่าอย่างไรซูหลีก็ไม่เห็นหวงฮ่าวในสายตา หวงฮ่าวได้แต่คิดหมกมุ่นไปคนเดียวเท่านั้น

 

 

จนถึงตอนท้ายยังมีคนบอกให้หวงฮ่าวซื้อตัวหงหลัวมาซะ จะได้แก้ปมในใจของตนซะ

 

 

หวงฮ่าวจะรับการเหยียดหยามเช่นนี้ได้เสียที่ไหน ในเวลานี้เขาจึงอดกลั้นต่อไปไม่ไหว

 

 

ถึงได้ก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้

 

 

“ทำไมรึ เจ้าอับอายจนต้องบันดาลโทสะออกมาหรือ โอ้ คุณชายหวงเป็นคนที่มีอนาคตโดยแท้ แม้แต่เรื่องของสตรีนางหนึ่งก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ แต่กลับเป็นทำตัวเป็นวีรบุรุษไม่หวั่นเกรงสิ่งใดกับพวกเรา ไม่รู้นี่ดูเหมือนวีรบุรุษ หรือเหมือนหมีดำกัน!”

 

 

จางเหิงไม่หวั่นเกรงหวงฮ่าวเลยแม้แต่น้อย อย่างไรบิดาของเขาก็เป็นขุนนางในราชสำนัก มิหนำซ้ำตำแหน่งขุนนางยังสูงกว่าบิดาของหวงฮ่าวหนึ่งขั้น

 

 

ก่อนหน้านี้ในสำนักฉยงสือยังมีพวกป๋ายเฮ่อ เฉิงเค่ออยู่ จนทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรกระโตกกระตากมากเกินไป

 

 

บัดนี้คนเหล่านั้นไม่อยู่แล้ว สำนักฉยงสือก็เปรียบเสมือนวิมานบนดินของเขา

 

 

“พี่หวัง ท่านว่านี่เป็นเรื่องน่าขันหรือไม่!” จางเหิงยกมือของตนขึ้นคล้องที่บ่าของหวังเฮ่อ

 

 

หวังเฮ่อชำเลืองมอง รีบผงกหัวขานรับแล้วเอ่ย “ที่พี่จางพูดไว้มิผิด นี่เสมือนคนไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถแม้แต่จะครอบครองสตรีนางหนึ่งได้ จึงทำได้แค่ดื่มสุราจนเสียสติที่นี่เช่นนี้!”

 

 

“ข้าไปเล่นกับมารดาเจ้าหรือ…” คำพูดไม่กี่ประโยคนี้ประหนึ่งฟางเส้นสุดท้ายกดลงบนหลังของอูฐ[1]มิปาน ในเวลานี้หวงฮ่าวมิอาจควบคุมตัวเองได้ จากนั้นจึงถลาเข้าเพื่อปะทะกับจางเหิง

 

 

“หวงฮ่าว!” เจียงหยางที่อยู่ด้านหลังของเขา ทำอย่างไรก็ไม่สามารถฉุดรั้งเขาไว้ได้

 

 

จากนั้นเขาจึงคว้าลำคอของจางเหิงเอาไว้ กำมือเป็นกำปั้นเตรียมจะชกเขา ทว่ากลับยั้งมือเอาไว้ทัน

 

 

“ชกสิ!” จางเหิงไม่เกรงกลัวหวงฮ่าวเลยแม้แต่น้อย หากเปลี่ยนเป็นคนในสำนักเต๋อซั่นคนอื่น เขาอาจจะรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง

 

 

ทว่าเขาไม่เกรงกลัวหวงฮ่าวสักนิดเดียว!

 

 

“หวงฮ่าว ไฉนเขาถึงได้ขี้ขลาดขนาดนี้! ชกข้าสิ! ข้าจะดูเสียหน่อยว่า วันนี้เจ้าจะกล้าลงมือกับข้าจางเหิงคนนี้…อ้า!” ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและกำลังพูดถากถางหวงฮ่าวอยู่

 

 

ทว่ายังไม่ทันจะพูดจบ

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ฟางเส้นสุดท้ายกดลงบนหลังอูฐ  เป็นสำนวน หมายถึง คนที่ได้รับความกดขี่ข่มเหงมากจนสติขาดผึงและระเบิดความโกรธทั้งหมดออกมา

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1106 มัวตะลึงอะไรอยู่!

 

 

เขารู้สึกถึงความร้อนผ่าวบนศีรษะของตน

 

 

ครั้นฟื้นสติกลับมาอีกทีก็ถูกคนสาดน้ำแกงร้อนจนเปียกไปทั่วร่างเสียแล้ว

 

 

“ซ่า!” จางเหิงแหงนศีรษะขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ครั้นเห็นใบหน้าที่เย็นยะเยือกของซูหลี ในมือของนางถือถ้วยกระเบื้องที่บรรจุน้ำแกงนี้ไว้ จากนั้นนางจึงโยนถ้วยใบนั้นลงพื้นจนแตกละเอียด

 

 

“อ้า เจ้า…!” จางเหิงรู้สึกแสบร้อนที่ใบหน้า จึงร้องเสียงโหยหวนไปพลาง อยากจะหลุดพ้นจากตรงนี้ไปพลาง สำหรับการลงมือของซูหลี ใครจะรู้ว่าขณะที่เขายังตกอยู่ในกำมือของหวงฮ่าว ทันทีที่เขาขยับตัวก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยออกดวงตานั้นสองชะงักค้างไป เขาพูดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น

 

 

“ตุบ” หวงฮ่าวตกตะลึง ทำให้น้ำหนักแรงของมือค่อยๆคลายลง ส่วนจางเหิงคนนั้นทรุดตัวไปที่พื้นและสำลักอย่างรุนแรง

 

 

“เจ้า ข้า…” หวงฮ่าวมองซูหลีที่อยู่ตรงหน้า เขาเริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูก ทั้งร่างรู้สึกตะลึงงันเกินจะเปรียบ

 

 

ประหนึ่งคนที่ถูกน้ำแกงราดเป็นเขามิใช่เป็นจางเหิงที่อยู่บนพื้นมิปาน

 

 

สีหน้าของซูหลียังคงเย็นยะเยียบ ครั้นเห็นหวงฮ่าวมีอากัปกิริยาเช่นนี้ นางจึงเชิดคางของตนแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “มัวตะลึงอะไรอีก ถูกคนรังแกจนถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังจะยืนทึ่มทื่อเช่นนี้อยู่อีก?”

 

 

นางไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ไม่สนใจเรื่องในอดีตสักนิด มิหนำซ้ำจางเหิงปากยังไม่มีหูรูดถึงได้เอ่ยคำพูดที่ไม่รื่นหูเหล่านั้นออกมา

 

 

นางไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หวงฮ่าวกลับรู้สึกปวดใจอย่างยิ่งยวด

 

 

ประหนึ่งกินผลไม้ชนิดที่เปรี้ยวฝาดคอที่สุดในโลกนี้ก็มิปาน จนเขาแทบจะร้องไห้ออกมา

 

 

“เจียงหยาง!” ซูหลีไม่สนใจเขา เพียงตวัดสายตามองที่ทางเจียงหยางครู่หนึ่ง

 

 

“หืม?” เจียงหยางอ้ำอึ้ง ผ่านไปนานกว่าเขาจะมีสติกลับคืน เขามองซูหลีด้วยสีหน้าแปลกใจ

 

 

“จัดการซะ! หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง!” ทันทีที่ซูหลีเอ่ยจบ ก็ไม่สนใจว่าพวกเขาจะมีท่าทีโต้ตอบอย่างไร นางก็ใช้มือยกเก้าอี้ตัวยาวทุ่มไปที่ร่างของจางเหิงอย่างรุนแรง

 

 

“โอ๊ย!” จางเหิงส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ดังไปทั่วหอหร่วนเซียงในชั่วพริบตาเดียว

 

 

“เจ้า ซูหลี! อย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า!” หวังเฮ่อที่เดิมยืนอยู่ข้างกายซูหลี พลันถูกสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำให้ตะลึงงัน ผ่านไปพักใหญ่เขาก็ยังไม่เอ่ยอะไรออกมา เพียงแค่มือทั้งสองสั่นเทิ้มและชี้นิ้วไปที่ซูหลี

 

 

“หึ!” ซูหลีหัวเราะด้วยเสียงเยียบเย็นและใช้เท้าเหยียบลงบนร่างจางเหิง…

 

 

“อ้า!”

 

 

“ตอนที่พวกเจ้าพูดจาส่งเดช ไยถึงคิดไม่ถึงว่าข้าจะทำอะไรซี้ซั้วเล่า ฮะ!?” หลังจากพูดคำสุดท้ายจบ นางก็กระทืบไปที่ร่างของจางเหิงอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ใบหน้าของจางเหิงนั้นมันแผล็บถูกน้ำแกงร้อนลวกจนกลายเป็นสีเลือดหมู แม้แต่จะเอ่ยให้จบประโยคหนึ่งก็ยังทำไม่ได้

 

 

“ลงมือ! มารดาเจ้าเถอะ! ข้าอดกลั้นต่อคนเฮงซวยเช่นเจ้าตั้งนานแล้ว!” หลังจากที่เจียงหยางอ้ำอึ้งอยู่นาน ในที่สุดก็ดึงสติกลับคืนมาแล้ว คำพูดอะไรอีกและถลาเข้าไปหาติด ๆ

 

 

“อ้าก!”

 

 

“ปัง!”

 

 

“ผลัวะ!” ในชั่วขณะนี้ทั้งห้องโถงใหญ่มีคนต่อสู้กันอย่างวุ่นวาย

 

 

”คุณชายทุกท่าน! คุณชายทุกท่าน! โอ๊ย! หยุดลงมือกันเดี๋ยวนี้นะเจ้าคะ!” หวังมามาที่เดิมเบิกบานใจเตรียมที่จะนำหงหลัวขึ้นไปชั้นสอง ทันทีที่หันศีรษะกลับมาก็พบภาพวุ่นวายครั้งใหญ่นี้

 

 

นางแทบจะหายใจไม่ทันและเป็นลมพับไป!

 

 

นะ นี่เกิดอะไรขึ้นกัน!

 

 

“พูดสิ! มิใช่เจ้าพูดเก่งหรอกหรือ” บุรุษกลุ่มนี้ต่อสู้กันก็ช่างเถอะ ภายในกลุ่มคนกลุ่มนั้นยังมีซูหลีเข้าร่วมด้วย ทั้งชุดกระโปรงที่นางสวมอยู่และปิ่นที่ประดับอยู่บนศีรษะนั้นกลับไม่ยุ่งเหยิงเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งนางยังใช้เท้ากระทืบไปที่มือของจางเหิง

 

 

หวังมามาชำเลืองมอง อีกทั้งนั่นยังเป็นมือข้างขวา

 

 

สวรรค์!

 

 

นี่สรุปเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

 

 

“คุณชายทุกท่าน! ใต้เท้า! ใต้เท้าซู!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด