เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 1233 ไร้ยางอาย / 1234 ผู้พิการมิอาจเป็นฮ่องเต้ได้

Now you are reading เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ Chapter 1233 ไร้ยางอาย / 1234 ผู้พิการมิอาจเป็นฮ่องเต้ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1233 ไร้ยางอาย

 

 

“ฝ่าบาท!” ซูหลีไม่ปล่อยให้เขาพูดต่อ ในเวลานี้นางกลับกอดเขาแน่นขึ้น

 

 

ฉินเย่หานก้มศีรษะมองนาง เมื่อเห็นคิ้วของนางขมวดเป็นปม ดูคล้ายกับมีเรื่องกวนใจเป็นอย่างมากมิปาน ร่างเล็กๆของนางกอดร่างของเขาแน่น

 

 

เขาผงะไปวูบหนึ่ง จากนั้นใบหน้าจึงอ่อนโยนลงมาบ้าง

 

 

เรื่องเหล่านี้ผ่านมานานหลายปีแล้ว เรื่องของชาติกำเนิดใครจะไม่สามารถเลือกได้ เกรงว่าเขาก็เช่นกัน

 

 

“ข้ามิเป็นไร” น้ำเสียงของฉินเย่หานเรียบเฉย ซูหลีแหงนหน้าขึ้นก็พบว่าเขากำลังมองตนอยู่ ภายในดวงตาของเขานั้นมีเพียงเงาสะท้อนของนาง

 

 

แววตาของซูหลีสั่นไหว จากนั้นจึงนำแขนของตนออกอย่างเขินอาย

 

 

ฉินเย่หานไม่ใช่คนอ่อนแอพรรค์นั้น ซูหลีนั้นทราบเรื่องนี้ดี มิเช่นนั้นเขาคงไม่อาจนั่งบนบัลลังก์ของฮ่องเต้ได้!

 

 

“ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงคิดว่าท่านแม่เป็นสาวใช้ในตำหนักไทเฮา และโปรดปรานนางตลอดทั้งคืน” หลังจากนางดึงมือของตนเองกลับมา ฉินเย่หานก็พูดต่อ

 

 

ซูหลีได้ยินแล้ว อดที่จะสามารถถอนหายใจออกมาเบาๆมิได้

 

 

นี่ถือเป็นโชคร้ายของชีวิต จะว่าไปแล้วมารดาของฉินเย่หานช่างน่าสงสารนัก เดิมอยู่ในครอบครัวที่สุขสบาย ทว่าเพียงชั่วค่ำคืนเดียวทำให้ต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้

 

 

“หลังจากคืนนั้น ท่านแม่ทนรับการเหยียดหยามเช่นนี้มิได้ เดิมนางคิดจะฆ่าตัวตาย”

 

 

ฉินเย่หานพูดถึงตรงนี้ก็ฉีกยิ้มขึ้นอย่างกะทันหัน รอยยิ้มแสนจะเยียบเย็น เย็นยะเยือกไปถึงกระดูก เมื่อเปรียบกับสีหน้าไร้อารมณ์ของเขาแล้ว ยิ่งดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก

 

 

“ทว่านางกลับถูกไทเฮาขัดขวางไว้ ทรงรับสั่งเฝ้านางเอาไว้ มิอนุญาตให้นางฆ่าตัวตาย เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้มีข่าวเล็ดลอดออกไปทำลายชื่อเสียงของไทเฮา และทำให้ฮ่องเต้เดือดร้อน

 

 

สีหน้าของซูหลีไม่น่าดูจนถึงขีดสุด คำว่าฮ่องเต้องค์ก่อนที่ฉินเย่หานเอ่ยออกมานั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆเลย แค่คิดก็ทราบว่า บุรุษอย่างฮ่องเต้พระองค์ก่อน หลังจากโปรดปรานสตรีของขุนนางผู้หนึ่งแล้ว เกรงว่าไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกละอายใจ

 

 

ยังรู้สึกเบื่อหน่ายใจ

 

 

ดังนั้นฉินเย่หานจึงไม่ได้รับความรักใคร่ทะนุถนอมมาตั้งแต่เกิด แม้อายุจะยังไม่ถึงก็ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว และถูกส่งตัวไปอยู่ในอาณาเขตอื่นเป็นเวลาหลายปี

 

 

เป็นเพราะเหตุนี้เอง ในปีที่การแย่งชิงราชสมบัติที่คับขันที่สุด ใครก็คิดไม่ถึงว่า หลิงอ๋องที่ปิดกั้นตัวเองที่สุดนั้น จะกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย!

 

 

“เป็นเพราะอารมณ์ของท่านแม่หวั่นไหวเกินไป ไทเฮาทรงเกรงว่าหากปล่อยนางออกจากวังหลวง นางจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป หรืออาจจะร้องขอความตายอีกครา จนทำให้ราชสำนักขายหน้า” ใบหน้าของฉินเย่หานฉายแววเย้ยหยันออกมา ซูหลีเห็นสีหน้าของเขาแล้วจึงกุมมือของเขาเอาไว้อย่างห้ามมิได้

 

 

เขาหันศีรษะกลับมา ขอเพียงจ้องมองซูหลี ความเย็นยะเยียบในดวงตาและสีหน้าหลอมละลายหายไปในพริบตา

 

 

เพียงแต่เป็นเพราะซูหลีมัวแต่สงสารเขา จึงมิได้สังเกตเห็นการแสดงออกเช่นนี้ของเขา

 

 

“ดังนั้นไทเฮาทรงใช้ข้ออ้างบางอย่าง เพื่อให้ท่านแม่พำนักอยู่ในวังหลวง การพำนักอยู่ในวังหลวงครั้งนี้เป็นเวลาหลายเดือน และการประสบกับเรื่องเช่นนี้ทำให้อุปนิสัยของท่านแม่เปลี่ยนไป นางอ้วนท้วมขึ้นมาก ในตอนแรกยังไม่มีคนสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง จนกระทั่งไทเฮาทรงสังเกตเห็น ท่านแม่ก็มีอายุครรภ์เจ็ด เดือนเศษแล้ว”

 

 

เจ็ดเดือน ร่างกายของเด็กเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

 

 

ใบหน้าของซูหลีฉายแววเข้าใจในทันที ในเมื่อไทเฮาทรงมิอยากให้มารดาของฉินเย่หานตายในตำหนักของนาง ดังนั้นไทเฮาทรงทำได้เพียงให้มารดาของฉินเย่หานคลอดลูกที่นี่

 

 

“เดิมไทเฮาคิดจะปิดบังเรื่องนี้ หลังจากท่านแม่ให้กำเนิดข้าแล้ว ทรงต้องการให้พาข้าออกจากวังหลวง และหาบ้านสักหลังเพื่อวางหลักปักฐานอยู่ที่นั่น”

 

 

ความรู้สึกที่ซูหลีมีต่อไทเฮาผู้นี้ ซูหลีนั้นไม่มีอะไรจะพูดแล้ว

 

 

ที่จริงปมของเรื่องนี้แต่ละปมล้วนเป็นเรื่องที่ไทเฮาสร้างขึ้นมาทั้งหมด ฉินเย่หานกับมารดาผู้ให้กำเนิดนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ถึงเพียงใดกัน

 

 

ทว่าเมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว ซูหลีก็ยังไม่เข้าใจความคิดของฉินเย่หานอยู่ดี

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1234 ผู้พิการมิอาจเป็นฮ่องเต้ได้

 

 

ไทเฮาทรงปฏิบัติต่อมารดาและเขาไม่ดีเป็นอย่างมาก

 

 

แล้วทำไมเขาถึงไม่จัดการไทเฮากัน

 

 

แต่กลับจัดวางไทเฮาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน ซึ่งสามารถกระทำเรื่องชั่วร้ายออกมาได้ทุกเวลา

 

 

ซูหลีไม่ใช่คนดีอะไรนัก ในโลกของนางนั้นมีความแค้นก็ต้องแก้แค้น ไม่ใช้คุณธรรมความดีมาตอบแทนความแค้นประเภทนั้นอย่างแน่นอน

 

 

นางเชื่อว่าฉินเย่หานก็เป็นเช่นนั้น อีกทั้งฉินเย่หานเป็นคนเฉยชาและไร้ซึ่งความรู้สึก วิธีการของเขานั้นไร้ซึ่งความเมตตา ยิ่งไม่เหมือนคนที่จะกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา

 

 

“เพียงแต่ระหว่างนั้นไทเฮาทรงมองข้ามความคิดของท่านแม่ไป ทรงคิดว่าหลังจากคลอดลูกออกมาแล้ว ก็ให้นำตัวเด็กออกไปนอกวังหลวงด้วย คิดไม่ถึงว่าในวันที่คลอดเด็กออกมา นางจะอาศัยลมหายใจเฮือกสุดท้ายอุ้มข้าถลาเข้าไปที่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้องค์ก่อน”

 

 

ฉินเย่หานพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักเล็กน้อย

 

 

เขามิมีความประทับใจอะไรเกี่ยวกับมารดาผู้ให้กำเนิดเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เขาจำความได้มารดาผู้ให้กำเนิดเขาก็จากโลกนี้ไปแล้ว

 

 

ทว่าจากที่คนรอบข้างเล่าให้ฟังและเรื่องที่เขาสืบข่าวมา ที่เขายังสามารถพำนักอยู่ในวังหลวงได้ ดูเหมือนจะเป็นเพราะผลจากความพยายามเฮือกสุดท้ายของมารดาผู้ให้กำเนิด

 

 

“หลังจากคลอดข้าออกมา เดิมร่างกายของนางอ่อนแออยู่แล้ว มิหนำซ้ำในวันนั้นนางพยายามอุ้มข้าไปถวายให้กับฮ่องเต้องค์ก่อน หลังจากวันนั้นนางจึงป่วยหนัก ผ่านไปไม่กี่วันก็จากโลกนี้ไปแล้ว”

 

 

“ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมิเคยโปรดนางมากกว่า ทว่าสายเลือดของราชสำนักมิอาจปล่อยให้ไหลเวียนภายนอกได้ จึงทำได้เพียงวางเด็กไว้ตรงพระพักตร์ไทเฮา โดยอ้างว่าเป็นโอรสคนรองของไทเฮาและอยู่ในวังหลวงต่อไป”

 

 

ซูหลีได้ยินถึงตรงนี้ ความรู้สึกของนางจึงสับสนจนมิอาจบรรยายออกมาได้แล้ว

 

 

ความรู้สึกของนางประเดประดังเข้ามาพร้อมกันหมด

 

 

ชาติกำเนิดที่น่าอายเช่นนี้ ทั้งยังมีมารดาที่น่าเวทนาเช่นนั้น เมื่อคิดดูแล้ววัยเด็กของฉินเย่หานก็คงมีชีวิตที่ไม่มีความสุขและไม่ดีนัก

 

 

ความเฉยชาของเขา ที่จริงแล้วไม่ใช่อุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิดกระมัง?

 

 

ซูหลีไม่อาจจินตนาการได้ว่า  เขาอยู่ในกำมือของไทเฮาเช่นนี้ เขามีชีวิตเป็นอย่างไรกัน

 

 

“ตั้งแต่ข้าจำความได้ ไทเฮาทรงตรัสมาโดยตลอดว่าข้ามิใช่บุตรของนาง มิมีทางที่จะเหมือนกับจิ้งหนานอ๋อง”

 

 

ในขณะที่ซูหลีกำลังใจลอย ฉินเย่หานพลันเอ่ยประโยคนี้เสริมขึ้น

 

 

โทสะที่อยู่ในใจของซูหลีเริ่มเดือดปะทุขึ้นมาทันใด

 

 

เดิมทีนางเพียงรู้สึกว่าไทเฮาท่านนั้นแค่ลำเอียงก็เท่านั้น ทว่าเมื่อดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ซูหลีกลับรู้สึกว่า ไทเฮามิสมควรจะเป็นคนด้วยซ้ำ!

 

 

ยามที่นางพูดคำพูดเหล่านี้กับฉินเย่หาน ฉินเย่หานคงจะอายุยังน้อยอยู่เลย แม้แต่กับเด็กคนหนึ่งยังพูดคำพูดที่โหดร้ายขนาดนี้ออกมาได้ คนเช่นนี้ยังสามารถเป็นคนดีได้อีกหรือ

 

 

ซูหลีรู้สึกเสียใจมากที่ก่อนหน้าตนจัดการกับไทเฮาอย่างนุ่มนวลเกินไป!

 

 

สตรีที่มีจิตใจเหี้ยมโหดเช่นนี้ แตกต่างกับสตรีอย่างป๋ายถานตรงไหนกัน

 

 

ยังเป็นสตรีที่ฉินเย่หานเรียกว่าเสด็จแม่ นางเหมาะสมแล้วหรือ

 

 

“ดังนั้นระหว่างนาง จิ้งหนานอ๋องหรือแม้กระทั่งฉินมู่ปิงกับข้านั้น ล้วนเป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น”

 

 

คำพูดประโยคนี้ของฉินเย่หานสื่อความหมายได้หลายสิ่งเกินไป แท้จริงแล้วตลอดเส้นทางที่เขาเดินมาถึงบัดนี้นั้นมิใช่เรื่องง่าย วิธีการข่มขู่ข่มเหงของไทเฮาก็หลายรูปแบบ

 

 

ทว่าเรื่องเหล่านั้นมิจำเป็นต้องพูดแล้ว

 

 

ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นโจร

 

 

เขาในเวลานี้ถึงเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าโจว!

 

 

“ขาของจิ้งหนานอ๋อง เป็นมาตั้งแต่กำเนิดหรือไม่” ซูหลีชะงักอยู่พริบตาหนึ่ง จู่ๆนางก็ฉุกคิดถึงคำถามหนึ่งขึ้นมาได้ นางจึงเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา

 

 

ฉินเย่หานผงะเล็กน้อย เขากวาดตามองนางปราดหนึ่ง นางช่างเฉลียวฉลาดเหลือเกิน เพียงแค่เวลาอันสั้นก็สามารถจับใจความสำคัญได้แล้ว

 

 

“ถูกต้องแล้ว” เขาผงกศีรษะเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “กฎของราชวงศ์นี้ ผู้ที่พิการตั้งแต่กำเนิดมิอาจเป็นฮ่องเต้ได้”

 

 

นั่นก็หมายความว่า  ฉินเฮ่าไม่มีอำนาจในการแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

เพียงแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนและไทเฮาค่อนข้างจะรักใคร่เขามาก ถึงทำให้เขามีอำนาจมากมายขนาดนี้ ถึงขั้นมีอำนาจทางการทหารอยู่ในกำมือ และกลายเป็นท่านอ๋องคนเดียวที่กุมอำนาจทางการทหารเอาไว้

 

 

ทว่านี่มิใช่ใจความสำคัญที่ซูหลีสนใจ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 1233 ไร้ยางอาย / 1234 ผู้พิการมิอาจเป็นฮ่องเต้ได้

Now you are reading เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ Chapter 1233 ไร้ยางอาย / 1234 ผู้พิการมิอาจเป็นฮ่องเต้ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1233 ไร้ยางอาย

 

 

“ฝ่าบาท!” ซูหลีไม่ปล่อยให้เขาพูดต่อ ในเวลานี้นางกลับกอดเขาแน่นขึ้น

 

 

ฉินเย่หานก้มศีรษะมองนาง เมื่อเห็นคิ้วของนางขมวดเป็นปม ดูคล้ายกับมีเรื่องกวนใจเป็นอย่างมากมิปาน ร่างเล็กๆของนางกอดร่างของเขาแน่น

 

 

เขาผงะไปวูบหนึ่ง จากนั้นใบหน้าจึงอ่อนโยนลงมาบ้าง

 

 

เรื่องเหล่านี้ผ่านมานานหลายปีแล้ว เรื่องของชาติกำเนิดใครจะไม่สามารถเลือกได้ เกรงว่าเขาก็เช่นกัน

 

 

“ข้ามิเป็นไร” น้ำเสียงของฉินเย่หานเรียบเฉย ซูหลีแหงนหน้าขึ้นก็พบว่าเขากำลังมองตนอยู่ ภายในดวงตาของเขานั้นมีเพียงเงาสะท้อนของนาง

 

 

แววตาของซูหลีสั่นไหว จากนั้นจึงนำแขนของตนออกอย่างเขินอาย

 

 

ฉินเย่หานไม่ใช่คนอ่อนแอพรรค์นั้น ซูหลีนั้นทราบเรื่องนี้ดี มิเช่นนั้นเขาคงไม่อาจนั่งบนบัลลังก์ของฮ่องเต้ได้!

 

 

“ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงคิดว่าท่านแม่เป็นสาวใช้ในตำหนักไทเฮา และโปรดปรานนางตลอดทั้งคืน” หลังจากนางดึงมือของตนเองกลับมา ฉินเย่หานก็พูดต่อ

 

 

ซูหลีได้ยินแล้ว อดที่จะสามารถถอนหายใจออกมาเบาๆมิได้

 

 

นี่ถือเป็นโชคร้ายของชีวิต จะว่าไปแล้วมารดาของฉินเย่หานช่างน่าสงสารนัก เดิมอยู่ในครอบครัวที่สุขสบาย ทว่าเพียงชั่วค่ำคืนเดียวทำให้ต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้

 

 

“หลังจากคืนนั้น ท่านแม่ทนรับการเหยียดหยามเช่นนี้มิได้ เดิมนางคิดจะฆ่าตัวตาย”

 

 

ฉินเย่หานพูดถึงตรงนี้ก็ฉีกยิ้มขึ้นอย่างกะทันหัน รอยยิ้มแสนจะเยียบเย็น เย็นยะเยือกไปถึงกระดูก เมื่อเปรียบกับสีหน้าไร้อารมณ์ของเขาแล้ว ยิ่งดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก

 

 

“ทว่านางกลับถูกไทเฮาขัดขวางไว้ ทรงรับสั่งเฝ้านางเอาไว้ มิอนุญาตให้นางฆ่าตัวตาย เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้มีข่าวเล็ดลอดออกไปทำลายชื่อเสียงของไทเฮา และทำให้ฮ่องเต้เดือดร้อน

 

 

สีหน้าของซูหลีไม่น่าดูจนถึงขีดสุด คำว่าฮ่องเต้องค์ก่อนที่ฉินเย่หานเอ่ยออกมานั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆเลย แค่คิดก็ทราบว่า บุรุษอย่างฮ่องเต้พระองค์ก่อน หลังจากโปรดปรานสตรีของขุนนางผู้หนึ่งแล้ว เกรงว่าไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกละอายใจ

 

 

ยังรู้สึกเบื่อหน่ายใจ

 

 

ดังนั้นฉินเย่หานจึงไม่ได้รับความรักใคร่ทะนุถนอมมาตั้งแต่เกิด แม้อายุจะยังไม่ถึงก็ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว และถูกส่งตัวไปอยู่ในอาณาเขตอื่นเป็นเวลาหลายปี

 

 

เป็นเพราะเหตุนี้เอง ในปีที่การแย่งชิงราชสมบัติที่คับขันที่สุด ใครก็คิดไม่ถึงว่า หลิงอ๋องที่ปิดกั้นตัวเองที่สุดนั้น จะกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย!

 

 

“เป็นเพราะอารมณ์ของท่านแม่หวั่นไหวเกินไป ไทเฮาทรงเกรงว่าหากปล่อยนางออกจากวังหลวง นางจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป หรืออาจจะร้องขอความตายอีกครา จนทำให้ราชสำนักขายหน้า” ใบหน้าของฉินเย่หานฉายแววเย้ยหยันออกมา ซูหลีเห็นสีหน้าของเขาแล้วจึงกุมมือของเขาเอาไว้อย่างห้ามมิได้

 

 

เขาหันศีรษะกลับมา ขอเพียงจ้องมองซูหลี ความเย็นยะเยียบในดวงตาและสีหน้าหลอมละลายหายไปในพริบตา

 

 

เพียงแต่เป็นเพราะซูหลีมัวแต่สงสารเขา จึงมิได้สังเกตเห็นการแสดงออกเช่นนี้ของเขา

 

 

“ดังนั้นไทเฮาทรงใช้ข้ออ้างบางอย่าง เพื่อให้ท่านแม่พำนักอยู่ในวังหลวง การพำนักอยู่ในวังหลวงครั้งนี้เป็นเวลาหลายเดือน และการประสบกับเรื่องเช่นนี้ทำให้อุปนิสัยของท่านแม่เปลี่ยนไป นางอ้วนท้วมขึ้นมาก ในตอนแรกยังไม่มีคนสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง จนกระทั่งไทเฮาทรงสังเกตเห็น ท่านแม่ก็มีอายุครรภ์เจ็ด เดือนเศษแล้ว”

 

 

เจ็ดเดือน ร่างกายของเด็กเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

 

 

ใบหน้าของซูหลีฉายแววเข้าใจในทันที ในเมื่อไทเฮาทรงมิอยากให้มารดาของฉินเย่หานตายในตำหนักของนาง ดังนั้นไทเฮาทรงทำได้เพียงให้มารดาของฉินเย่หานคลอดลูกที่นี่

 

 

“เดิมไทเฮาคิดจะปิดบังเรื่องนี้ หลังจากท่านแม่ให้กำเนิดข้าแล้ว ทรงต้องการให้พาข้าออกจากวังหลวง และหาบ้านสักหลังเพื่อวางหลักปักฐานอยู่ที่นั่น”

 

 

ความรู้สึกที่ซูหลีมีต่อไทเฮาผู้นี้ ซูหลีนั้นไม่มีอะไรจะพูดแล้ว

 

 

ที่จริงปมของเรื่องนี้แต่ละปมล้วนเป็นเรื่องที่ไทเฮาสร้างขึ้นมาทั้งหมด ฉินเย่หานกับมารดาผู้ให้กำเนิดนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ถึงเพียงใดกัน

 

 

ทว่าเมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว ซูหลีก็ยังไม่เข้าใจความคิดของฉินเย่หานอยู่ดี

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1234 ผู้พิการมิอาจเป็นฮ่องเต้ได้

 

 

ไทเฮาทรงปฏิบัติต่อมารดาและเขาไม่ดีเป็นอย่างมาก

 

 

แล้วทำไมเขาถึงไม่จัดการไทเฮากัน

 

 

แต่กลับจัดวางไทเฮาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน ซึ่งสามารถกระทำเรื่องชั่วร้ายออกมาได้ทุกเวลา

 

 

ซูหลีไม่ใช่คนดีอะไรนัก ในโลกของนางนั้นมีความแค้นก็ต้องแก้แค้น ไม่ใช้คุณธรรมความดีมาตอบแทนความแค้นประเภทนั้นอย่างแน่นอน

 

 

นางเชื่อว่าฉินเย่หานก็เป็นเช่นนั้น อีกทั้งฉินเย่หานเป็นคนเฉยชาและไร้ซึ่งความรู้สึก วิธีการของเขานั้นไร้ซึ่งความเมตตา ยิ่งไม่เหมือนคนที่จะกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา

 

 

“เพียงแต่ระหว่างนั้นไทเฮาทรงมองข้ามความคิดของท่านแม่ไป ทรงคิดว่าหลังจากคลอดลูกออกมาแล้ว ก็ให้นำตัวเด็กออกไปนอกวังหลวงด้วย คิดไม่ถึงว่าในวันที่คลอดเด็กออกมา นางจะอาศัยลมหายใจเฮือกสุดท้ายอุ้มข้าถลาเข้าไปที่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้องค์ก่อน”

 

 

ฉินเย่หานพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักเล็กน้อย

 

 

เขามิมีความประทับใจอะไรเกี่ยวกับมารดาผู้ให้กำเนิดเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เขาจำความได้มารดาผู้ให้กำเนิดเขาก็จากโลกนี้ไปแล้ว

 

 

ทว่าจากที่คนรอบข้างเล่าให้ฟังและเรื่องที่เขาสืบข่าวมา ที่เขายังสามารถพำนักอยู่ในวังหลวงได้ ดูเหมือนจะเป็นเพราะผลจากความพยายามเฮือกสุดท้ายของมารดาผู้ให้กำเนิด

 

 

“หลังจากคลอดข้าออกมา เดิมร่างกายของนางอ่อนแออยู่แล้ว มิหนำซ้ำในวันนั้นนางพยายามอุ้มข้าไปถวายให้กับฮ่องเต้องค์ก่อน หลังจากวันนั้นนางจึงป่วยหนัก ผ่านไปไม่กี่วันก็จากโลกนี้ไปแล้ว”

 

 

“ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมิเคยโปรดนางมากกว่า ทว่าสายเลือดของราชสำนักมิอาจปล่อยให้ไหลเวียนภายนอกได้ จึงทำได้เพียงวางเด็กไว้ตรงพระพักตร์ไทเฮา โดยอ้างว่าเป็นโอรสคนรองของไทเฮาและอยู่ในวังหลวงต่อไป”

 

 

ซูหลีได้ยินถึงตรงนี้ ความรู้สึกของนางจึงสับสนจนมิอาจบรรยายออกมาได้แล้ว

 

 

ความรู้สึกของนางประเดประดังเข้ามาพร้อมกันหมด

 

 

ชาติกำเนิดที่น่าอายเช่นนี้ ทั้งยังมีมารดาที่น่าเวทนาเช่นนั้น เมื่อคิดดูแล้ววัยเด็กของฉินเย่หานก็คงมีชีวิตที่ไม่มีความสุขและไม่ดีนัก

 

 

ความเฉยชาของเขา ที่จริงแล้วไม่ใช่อุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิดกระมัง?

 

 

ซูหลีไม่อาจจินตนาการได้ว่า  เขาอยู่ในกำมือของไทเฮาเช่นนี้ เขามีชีวิตเป็นอย่างไรกัน

 

 

“ตั้งแต่ข้าจำความได้ ไทเฮาทรงตรัสมาโดยตลอดว่าข้ามิใช่บุตรของนาง มิมีทางที่จะเหมือนกับจิ้งหนานอ๋อง”

 

 

ในขณะที่ซูหลีกำลังใจลอย ฉินเย่หานพลันเอ่ยประโยคนี้เสริมขึ้น

 

 

โทสะที่อยู่ในใจของซูหลีเริ่มเดือดปะทุขึ้นมาทันใด

 

 

เดิมทีนางเพียงรู้สึกว่าไทเฮาท่านนั้นแค่ลำเอียงก็เท่านั้น ทว่าเมื่อดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ซูหลีกลับรู้สึกว่า ไทเฮามิสมควรจะเป็นคนด้วยซ้ำ!

 

 

ยามที่นางพูดคำพูดเหล่านี้กับฉินเย่หาน ฉินเย่หานคงจะอายุยังน้อยอยู่เลย แม้แต่กับเด็กคนหนึ่งยังพูดคำพูดที่โหดร้ายขนาดนี้ออกมาได้ คนเช่นนี้ยังสามารถเป็นคนดีได้อีกหรือ

 

 

ซูหลีรู้สึกเสียใจมากที่ก่อนหน้าตนจัดการกับไทเฮาอย่างนุ่มนวลเกินไป!

 

 

สตรีที่มีจิตใจเหี้ยมโหดเช่นนี้ แตกต่างกับสตรีอย่างป๋ายถานตรงไหนกัน

 

 

ยังเป็นสตรีที่ฉินเย่หานเรียกว่าเสด็จแม่ นางเหมาะสมแล้วหรือ

 

 

“ดังนั้นระหว่างนาง จิ้งหนานอ๋องหรือแม้กระทั่งฉินมู่ปิงกับข้านั้น ล้วนเป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น”

 

 

คำพูดประโยคนี้ของฉินเย่หานสื่อความหมายได้หลายสิ่งเกินไป แท้จริงแล้วตลอดเส้นทางที่เขาเดินมาถึงบัดนี้นั้นมิใช่เรื่องง่าย วิธีการข่มขู่ข่มเหงของไทเฮาก็หลายรูปแบบ

 

 

ทว่าเรื่องเหล่านั้นมิจำเป็นต้องพูดแล้ว

 

 

ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นโจร

 

 

เขาในเวลานี้ถึงเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าโจว!

 

 

“ขาของจิ้งหนานอ๋อง เป็นมาตั้งแต่กำเนิดหรือไม่” ซูหลีชะงักอยู่พริบตาหนึ่ง จู่ๆนางก็ฉุกคิดถึงคำถามหนึ่งขึ้นมาได้ นางจึงเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา

 

 

ฉินเย่หานผงะเล็กน้อย เขากวาดตามองนางปราดหนึ่ง นางช่างเฉลียวฉลาดเหลือเกิน เพียงแค่เวลาอันสั้นก็สามารถจับใจความสำคัญได้แล้ว

 

 

“ถูกต้องแล้ว” เขาผงกศีรษะเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “กฎของราชวงศ์นี้ ผู้ที่พิการตั้งแต่กำเนิดมิอาจเป็นฮ่องเต้ได้”

 

 

นั่นก็หมายความว่า  ฉินเฮ่าไม่มีอำนาจในการแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

เพียงแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนและไทเฮาค่อนข้างจะรักใคร่เขามาก ถึงทำให้เขามีอำนาจมากมายขนาดนี้ ถึงขั้นมีอำนาจทางการทหารอยู่ในกำมือ และกลายเป็นท่านอ๋องคนเดียวที่กุมอำนาจทางการทหารเอาไว้

 

 

ทว่านี่มิใช่ใจความสำคัญที่ซูหลีสนใจ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+