เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 795 กระหม่อมขอทูลลา / 796 สกุลป๋ายเป็นอย่างไร

Now you are reading เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ Chapter 795 กระหม่อมขอทูลลา / 796 สกุลป๋ายเป็นอย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 795 กระหม่อมขอทูลลา

 

 

“จริงสิ มิใช่ว่าสกุลป๋ายชอบใช้ให้เหยียนกวน[1]ยื่นเรื่องกล่าวโทษไม่ไว้วางใจคนเป็นที่สุดหรอกหรือ มาลองดูสิ ให้เหยียนกวนไปทูลว่าวันนี้ข้าซูหลีบุกรุกเข้าบ้านสกุลป๋ายแล้วทุบแผ่นป้ายที่ซึ่งสกุลป๋ายมิอาจทำตามข้อตกลงได้สำเร็จพังไปหนึ่งแผ่น แล้วดูสิว่าฮ่องเต้จะทรงจัดการลงโทษเช่นไร!”

 

 

ซูหลีโยนคำพูดออกไปเสียงดัง เสียงนั้นดังก้องสะท้อนอยู่ข้างหู

 

 

ทำให้ผู้คนสกุลป๋ายโดยเฉพาะหวังซื่อและป๋ายเฮ่อผู้นั้นสีหน้าไม่น่าดูอย่างถึงที่สุด

 

 

“เข้ามา!” ป๋ายเฮ่อควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว ตะโกนออกมาเสียงดัง “ขับไล่นางออกไปให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

 

 

มือที่ชี้ไปทางซูหลีกำลังสั่นสะท้าน

 

 

ตั้งแต่เล็กจนโตยังมิเคยได้รับความน่าสมเพชถึงเพียงนี้มาก่อนเลย

 

 

แต่ทว่าพวกเขาต่างไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเลยว่าสีหน้าของฉินมู่ปิงที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่น่าดูอย่างมากเช่นกัน

 

 

ซูหลีทำสิ่งใดลำดับขั้นตอนการกระทำต่างดูเหมือนว่าจะมุทะลุอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องระหว่างนางกับสกุลป๋าย ในความเป็นจริงทางราชสำนักหรือแม้กระทั่งฮ่องเต้คงต่างรู้แจ้งอยู่แก่ใจถึงความคับแค้นใจระหว่างนางกับสกุลป๋าย

 

 

ก็รู้ว่าครั้งนี้นางต้องได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ แล้วเป็นผู้ใดที่ลงมืออยู่เบื้องหลัง

 

 

แต่ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเรื่องเดียวกันโดยมิต้องกล่าวออกมา แต่นางพากำลังคนบุกเข้าถึงประตูมาเช่นนี้มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

 

ผู้อื่นมองไม่เข้าใจ แต่ฉินมู่ปิงกลับมองออกได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

 

 

ซูหลีใช้การกระทำของนางเพื่อบอกกับทุกคนว่า  นางซูหลีกับสกุลป๋ายอยู่ร่วมโลกกันมิได้แล้ว

 

 

แม้ว่าคำพูดจะมิได้กล่าวออกมาจากปากแต่หลายคนต่างชัดเจนอยู่แก่ใจ

 

 

แต่เมื่อถูกนางกระทำเช่นนี้แล้ว เหล่าผู้ที่มีใจมุ่งมั่นอยู่แล้วก็สามารถลงมือได้แล้ว

 

 

สกุลป๋ายเป็นตระกูลใหญ่มานานหลายปีแล้วจะไม่มีศัตรูได้อย่างไร ซูหลีก่อความวุ่นวายเช่นนี้ผู้คนเหล่านั้นคงจะผุดขึ้นดังหน่อไม้หลังฤดูใบไม้ผลิ[2]ก็มิปาน

 

 

นี่คือสัญญาณหนึ่งเป็นสัญญาณที่จะเริ่มทำสงครามกับสกุลป๋ายอย่างเป็นทางการ

 

 

ซูหลีมือใหม่จากราชสำนักผู้นี้ ในที่สุดก็จะใช้ร่างกายอันผอมบางนั้นของนางไปต่อต้านกับภูเขาลูกใหญ่อย่างสกุลป๋ายแล้ว

 

 

มองจากลักษณะท่าทางในตอนนี้แล้วยังมิอาจรู้เลยว่าผู้ใดจะแพ้ผู้ใดจะชนะ!

 

 

ซูหลีมิได้ถือสาที่จะตกเป็นเป้าของทุกคนจากการชักศึกสงครามกับสกุลป๋ายในครานี้ แม้กระทั่งทุกสิ่งที่นางทำลงไปทั้งหมดในวันนี้ก็เพื่อเอาตัวเองตั้งขึ้นมาเป็นเป้าดึงดูดทุกคนที่มีความอาฆาตแค้นเคืองกับสกุลป๋ายให้มาอยู่ทางฝั่งของนาง

 

 

ใช้นางผู้ซึ่งแตกหักมิเห็นแก่หน้ากันกับสกุลป๋ายแล้วไปจัดการกับสัตว์ร้ายที่ใหญ่มหึมาอย่างสกุลป๋าย!

 

 

“คุณชายป๋ายอย่าร้อนใจนักสิ” ซูหลีเดินเข้าไปข้างกายของป๋ายเฮ่ออย่างเชื่องช้า นางเอนตัวเข้าไปใกล้มาก ใกล้ถึงกระทั่งว่าหากป๋ายเฮ่อยกมือขึ้นก็สามารถตบนางได้ในทันที!

 

 

ซูหลีกลับมิได้ให้โอกาสนี้แก่เขา นางเพียงแค่กระซิบที่ข้างหูของป๋ายเฮ่อผู้นั้นเบาๆว่า “ระหว่างเรามันเพิ่งเริ่มต้นขึ้น!”

 

 

สีหน้าของป๋ายเฮ่อเปลี่ยนไปมากในทันใด ขณะกำลังอยากจะกล่าวอะไรเสียหน่อยแต่ซูหลีกลับถอยออกไปเสียแล้ว พลางหันไปทางองค์หญิงใหญ่กับฉินมู่ปิง โค้งคำนับแล้วทูลกล่าวว่า: “องค์หญิง ซื่อจื่อ กระหม่อมขอทูลลา”

 

 

หลังจากกล่าวทูลเสร็จมิทันรอให้บุคคลเหล่านั้นได้ตอบสนองกลับก็หันหลังเดินจากไปเลย!

 

 

หลงเหลือไว้เพียงแค่เงาด้านหลังที่สง่างดงามไว้ให้ทุกคนเพียงเท่านั้น

 

 

ฉินมู่ปิงเฝ้ามองซูหลียกเท้าเดินจากไป แววตาฉายแววความเงียบขรึมขึ้นมา ตอนนี้ซูหลีมิอาจถูกขู่บังคับจากเรื่องตนเองเป็นสตรีอีกแล้ว หรือว่าจำต้องทำดังที่เฉิงซูบอกว่าต้องปิดปากนางเสียเช่นนั้นหรือ

 

 

เซี่ยอวี่เสียนกับเซี่ยเสียนทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างๆ บนใบหน้าก็ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุดเช่นกัน

 

 

วันนี้พวกเขามาที่นี่ อันที่จริงแล้วมาด้วยกันกับองค์หญิงใหญ่เพื่อหารือเรื่องการแต่งงานของคุณหนูรองสกุลป๋ายกับเซี่ยเสียน

 

 

เดิมทีการแต่งงานครั้งนี้เซี่ยเสียนต่างเต็มไปด้วยความต่อต้านอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะได้พบสถานการณ์เช่นนี้เข้า หัวใจดวงนี้ยิ่งควบคุมไว้แทบมิได้ที่จะรีบวิ่งไปหาผู้หญิงที่เพิ่งจะหันหลังเดินจากไปผู้นั้น

 

 

ส่วนเซี่ยอวี่เสียน เขายังคงละมุนละไมดุจดั่งหยก เพียงแต่นิ้วมือกำลังลูบคลำแหวนหยกบนมือโดยมิรู้เนื้อรู้ตัว ใบหน้าเพ่งพินิจ

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] เหยียนกวน  ‘言官’ คำเรียกแทนผู้ตรวจการที่ใช้เรียกโดยทั่วไปในช่วงราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง

 

 

[2] หน่อไม้หลังฤดูใบไม้ผลิ  ‘雨后春笋’สำนวนสุภาษิตจีน ‘หน่อไม้หลังฤดูใบไม้ผลิ’ คล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า ‘ผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ด’ หมายถึง เรื่องใหม่หรือสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วเป็นจำนวนมาก

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 796 สกุลป๋ายเป็นอย่างไร

 

 

หลังจากซูหลีออกมาจากบ้านสกุลป๋ายก็ตรงไปขึ้นรถม้าของตน ตลอดจนเดินทางออกมาได้ไกลมากแล้วนางถึงได้เปิดม่านออกอย่างกะทันหันมองไปทางชุยตานที่กำลังควบรถม้าอยู่พลางเอ่ยถามออกไปเบาๆว่า

 

 

“เป็นอย่างไร กระจายข่าวออกไปแล้วหรือ”

 

 

“ทำตามคำสั่งของคุณหนูหาคนที่เชื่อถือได้สามสี่คนกระจายข่าวเรื่องวันนี้ออกไปแล้วขอรับ”

 

 

เมื่อชุยตานได้ยินเช่นนั้นใบหน้าก็มิได้รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อยพลางตอบคำถามของซูหลีด้วยความเคารพ

 

 

ซูหลีนิ่งชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับพลางปล่อยม่านตรงหน้าลง

 

 

ภายในรถม้าเงียบสงัด มีเพียงซูหลีอยู่เพียงผู้เดียว นางหลับตาลงและเริ่มเพ่งพินิจ

 

 

เหตุการณ์ในวันนี้คือการให้บทเรียนแก่บ้านสกุลป๋าย แน่นอนว่าบทเรียนนี้ดูเหมือนจะไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง แต่ซูหลีรู้ดีว่าเรื่องนี้นางจำเป็นต้องทำเช่นนี้ถึงจะสามารถทำให้คนผู้นั้นเชื่อนางได้

 

 

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ซูหลีเข้ามาอยู่ในราชสำนักได้หลายเดือนแล้ว ดูเหมือนว่านางจะทำเรื่องใหญ่ๆไปแล้วหลายสิ่งอย่าง แต่ความจริงเรื่องที่ตัวนางอยากทำมากที่สุดกลับไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่นิด

 

 

สกุลหลี่เคยเป็นหนึ่งในตระกูลระดับต้นๆ ของราชวงศ์ต้าโจว ถ้าหากหลี่รุ่ยอิงท่านพ่อของนางยังมีชีวิตอยู่ สกุลหลี่คงจะไม่ด้อยไปกว่าสกุลป๋ายกับสกุลเซี่ยแน่

 

 

แต่ตระกูลราชการเก่าแก่ในอดีตนี้ ตอนนี้กลับหายสูญไปจากเมืองหลวงแล้ว

 

 

ซูหลีเคยถามเปรยๆ ถึงเรื่องของสกุลหลี่มาก่อน แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทุกคนต่างมีท่าทีปกปิดความลับกันทั้งหมด

 

 

มันทำให้นางต้องลงมืออย่างไม่มีทางเลือก

 

 

ปีนั้นที่เกิดเรื่องขึ้นกับสกุลหลี่ นางได้แต่งงานออกไปเป็นภรรยาผู้อื่นแล้ว หลังจากที่เสิ่นฉางชิงเติบโตขึ้นก็ถูกเขาควบคุมไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ซูหลีสุขภาพไม่ดี ช่วงเวลาที่ตื่นมีสติยังไม่มากเท่าตอนง่วงนอนเลย

 

 

หากเสิ่นฉางชิงต้องการปกปิดเรื่องอะไรกับนางมันย่อมง่ายดายมาก

 

 

ดังนั้นจนกระทั่งสกุลหลี่ถูกตัดหัวทั้งตระกูลไปเป็นเวลานานมากแล้ว ซูหลียังไม่รู้เรื่องนี้เลยเสียด้วยซ้ำ

 

 

นางถูกปกปิดข่าวสาร สกุลหลี่ก็ไม่เหลือผู้รอดชีวิตแม้แต่ผู้เดียว คนเดียวที่เหลืออยู่ก็คือสวี่อวี้เหิงในอดีต หรือลู่อวี้เหิงในตอนนี้

 

 

ถ้าซูหลีอยากรู้ว่าในตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นย่อมจำเป็นต้องไปหาลู่อวี้เหิง

 

 

ก่อนที่นางจะถูกส่งตัวไปงานราชการที่เจียงซี นางเคยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงลู่อวี้เหิง ก่อนหน้านี้นางเคยบอกว่าตนเองกับหลี่จื่อจินมีมิตรภาพลึกซึ้ง นางคิดว่าเริ่มต้นจากเรื่องของตนเองในชาติที่แล้วมาทดสอบท่าทีของลู่อวี้เหิง

 

 

จดหมายฉบับนั้นส่งออกไปได้ไม่นานนางก็ได้รับจดหมายตอบกลับจากลู่อวี้เหิง

 

 

แต่ทว่าจดหมายตอบกลับฉบับนี้ทำให้อารมณ์ของซูหลีเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

 

 

คำตอบกลับจากจดหมายนั้นง่ายมาก เขียนไว้เพียงไม่กี่อักษร ข้อความว่า… ‘ใต้เท้าซูคิดว่าสกุลป๋ายเป็นอย่างไร’

 

 

จดหมายฉบับนั้นลู่อวี้เหิงเขียนด้วยตัวเอง ซูหลีรู้จักลายมือของเขา ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน แต่ทว่าความหมายแฝงที่เปิดเผยออกมาจากไม่กี่ตัวอักษรนี้ทำให้ซูหลีเริ่มควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่แล้ว

 

 

หรือว่าเรื่องของสกุลหลี่ในปีนั้นจะยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลป๋ายด้วย?

 

 

หากเป็นเช่นนี้จริง ระหว่างนางกับสกุลป๋ายคงต้องล้างแค้นด้วยทะเลเลือดแล้ว

 

 

เพียงแต่ในเวลานั้นซูหลีไม่ทันได้ถามอะไรมากได้แต่เพียงคิดมาก เพราะถูกส่งตัวไปเจียงซีเพื่อบูรณะภัยน้ำท่วม พอกลับมาก็มาพบเจอกับเรื่องแบบนี้อีกปลีกตัวออกไปไหนไม่ได้เลย

 

 

แต่ซูหลีกลับจดจำคำเหล่านั้นเอาไว้ภายในใจได้อย่างแม่นยำ

 

 

คำเหล่านี้ดูเหมือนว่ากำลังถามนาง แต่ที่จริงแล้วต้องการให้นางแสดงท่าทีบางอย่างออกไป

 

 

ท่าทีที่ปฏิบัติต่อสกุลป๋าย

 

 

วันนี้ซูหลีได้ให้คำตอบกับลู่อวี้เหิงแล้วว่านางกับสกุลป๋ายฉีกหนังหน้ากันอย่างเป็นทางการแล้ว ในอนาคตก็มิอาจซ่อมแซมให้ดีได้

 

 

นางไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวเช่นนี้จะสามารถทำให้ลู่อวี้เหิงปล่อยวางจิตใจที่คอยระแวดระวังแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับสกุลหลี่ก่อนหน้านี้กับนาง

 

 

นางต้องรู้กุญแจสำคัญในนั้นถึงจะสามารถล้างมลทินให้แก่สกุลหลี่ได้!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด