เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 1109 นำหงหลัวกลับวัง! / 1110 มอบให้กับฉินมู่ปิง

Now you are reading เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ Chapter 1109 นำหงหลัวกลับวัง! / 1110 มอบให้กับฉินมู่ปิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1109 นำหงหลัวกลับวัง!

 

 

“ใจเย็นรึ!?” น้ำเสียงของฉินเย่หานเย็นยะเยียบจนทำให้ตกใจ

 

 

เขาหลุบตามองที่ไปซูหลีปราดหนึ่ง ซูหลีในเวลานี้ไม่ได้ดูงดงามเหมือนกับตอนแรกที่เข้าประตูมา

 

 

กระโปรงยับยู่ยี่ มวยผมที่เกล้าไว้ก็กระจัดกระจายไปหมด ทั้งร่างมีความจนตรอกอย่างบอกไม่ถูก

 

 

สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นไม่น่ามองนัก ทะเลาะวิวาท มาเตร็ดเตร่ที่หอโคมเขียว แม้ซูหลีจะกลับมาอยู่ในฐานะสตรีแล้วก็ยังประพฤติตนออกนอกลู่นอกทาง!

 

 

ซูหลีรู้สึกว่าจิตใจของนางไม่ค่อยสงบนัก ยามที่เห็นฉินเย่หานมองตัวนางด้วยสายตาลุ่มลึก ในเวลานี้หัวใจนางพลันเต้นกระหน่ำ

 

 

นางอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับเจอคนที่นางคาดไม่ถึงว่าจะมาที่นี่ปรากฏตัวตรงหน้า

 

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน” ฉินเฮ่าถูกเด็กรับใช้คนหนึ่งเข็นมาที่นี่ ช่วงล่างของเขายังคงนั่งอยู่บนรถเข็นที่ซูหลีเคยเห็นมาก่อน

 

 

ซูหลีตะลึงเล็กน้อย ไยแม้แต่ฉินเฮ่าก็ยังปรากฏตัวที่นี่กัน

 

 

หรือว่า…

 

 

นางฉุกคิดเชื่อมโยงกับคนที่ซื้อตัวหงหลัวไป นั่นก็คือ ‘แขกกิตติมศักดิ์’ ที่ชั้นสอง

 

 

หากฉินเย่หานกับฉินเฮ่าทั้งสองพี่น้องอยู่ชั้นสองแล้วละก็ ก็สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนแล้ว ในใต้หล้านี้ยังมีใครที่จะมีความสำคัญมากกว่าพวกเขาอีกกัน?

 

 

“เอ๋ นี่มิใช่ใต้เท้าซูหรือ” สายตาของฉินเฮ่าเคลื่อนต่ำลง ทันทีที่มองเห็นซูหลีที่นั่งคุกเข่าอยู่ ใบหน้าเขาจึงชะงักค้างไป จากนั้นจึงเหลือบตามองไปทางฉินเย่หานด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

”นี่ใต้เท้าซูทำอะไรผิดกัน”

 

 

ซูหลีที่ถูกฉินเฮ่าใช้สายตาแปลก ๆมองมา อดที่จะขมวดคิ้วเป็นปมไม่ได้ อีกทั้งตั้งแต่เขาปรากฏตัวขึ้นก็ไม่ได้สนใจอะไรสักนิด เอาแต่เอ่ยถามสิ่งที่ตนสงสัย มีประกายอารมณ์ที่ซับซ้อนพาดผ่านในแววตา

 

 

นางยังจำได้ว่า นางกับจิ้งหนานอ๋องมิได้ไปมาหาสู่กันมาก่อน อีกทั้งไม่เคยทำเรื่องอะไรในเขาไม่พอใจถึงจะถูก

 

 

ไยท่านผู้นี้กลับปฏิบัติต่อนางเช่นนี้!?

 

 

หากเมื่อครู่พวกเขาอยู่ชั้นบนมาโดยตลอด เรื่องการทะเลาะวิวาทเมื่อครู่ ฉินเฮ่าก็ต้องรับรู้อย่างแน่นอน ในเมื่อเขารับรู้แล้ว ไยถึงถามนางเพียงคนเดียวเล่า

 

 

“เสด็จพี่ เราขอตัวกลับวังก่อน” ขณะที่ซูหลียังวิจารณ์อยู่ในใจอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นมือข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้านาง

 

 

นางชะงักค้างและเหลือบตามองไปยังคนที่พูด ทว่าฉินเย่หานกลับไม่ได้มองนางอยู่ แต่กลับมองฉินเฮ่าอยู่

 

 

ฉินเฮ่าตกตะลึงเล็กน้อย สีหน้าของเขาถึงกับชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ครั้นเห็นฉินเย่หานที่ดึงซูหลีขึ้นมาด้วยตนเอง อากัปกิริยาที่เสมือนปกป้องลูกวัว เพียงมีประกายความลุ่มลึกพาดผ่านในแววตาเท่านั้น เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า

 

 

ในเมื่อฮ่องเต้จะเสด็จกลับแล้ว เขาก็ไม่สามารถขัดขวาง เพียงแต่…

 

 

“หากฝ่าบาทจะทรงเสด็จกลับแล้ว ก็ทรงพาหงหลัวไปด้วยเถิด! จะพูดอย่างไร บัดนี้หงหลัวผู้นี้ก็เป็นคนของฝ่าบาทแล้ว!” ทันทีฉินเฮ่ายกมือขึ้น เด็กรับใช้ข้างกายก็รีบส่งตั๋วเงินที่ซุกไว้ภายในเสื้อส่งให้กับหวังมามาที่อยู่ด้านข้าง

 

 

“หวังมามา หงหลัวผู้นี้…” ฉินเฮ่ากวาดตามองไปทางนางปราดหนึ่ง น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย มิได้แสดงอารมณ์ที่แปรปรวนอะไรออกมา

 

 

“บะ บ่าวจะไปเอาหนังสือซื้อขายทาสของหงหลัวมาเดี๋ยวนี้เพคะ!” หวังมามานั้นมีไหวพริบเป็นอย่างมาก เห็นดังนั้นนางเพียงชะงักไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นจึงสั่งให้คนไปหาหนังสือซื้อขายทาสของหงหลัว!

 

 

นี่เป็นถึงฮ่องเต้เชียวนะ!

 

 

ถูกฮ่องเต้พาเข้าไปในวังหลวง ต่อไปก็ได้เป็นเหนียงเหนียงแล้ว หากหอหร่วนเซียงของนางมีแม่นางคนหนึ่งที่สามารถเป็นเหนียงเหนียงท่านหนึ่งได้ เช่นนั้นจะพูดอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง!

 

 

ซูหลีลุกขึ้นมองไปที่ฉินเย่หาน จากนั้นก็มองไปที่ฉินเฮ่า สุดท้ายสายตาก็นางก็หยุดอยู่ที่หงหลัวที่อยู่ด้านหลังหวังมามา

 

 

ดังนั้นพูดอ้อมไปอ้อมมา ท้ายที่สุดแม่นางยอดดอกเหมยในวันนี้ก็ตกเป็นของฉินเย่หานแล้ว?

 

 

ใบหน้าของนางชะงักไปเล็กน้อย แต่กลับมองไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่ ทว่าในใจกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกบีบอยู่ ยามที่เห็นว่ารูปโฉมของหงหลัวคล้ายคลึงกับตน ความรู้สึกเช่นนี้ก็ยังไม่ปรากฏขึ้น

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1110 มอบให้กับฉินมู่ปิง

 

 

บรรยากาศในห้องโถงใหญ่เริ่มตึงเครียด

 

 

หลายคนต่างมองหน้ากัน สีหน้าของแต่ละคนนั้นไม่ค่อยสู้ดีนัก

 

 

เมื่อครู่พวกเขายังหยอกล้อหงหลัวอยู่เลย ไม่แม้กระทั่งจะใส่ใจเรื่องนี้ด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะหงหลัวคนนี้เป็นนางคณิกาในหอโคมเขียว ถึงแม้จะเป็นแม่นางยอดดอกเหมย เช่นนั้นก็มิได้ทำให้คนกลุ่มนี้ใส่ใจมากนัก

 

 

ทว่าเพียงผ่านไปครู่หนึ่ง ตำแหน่งของหงหลัวเกิดการเปลี่ยนแปลงราวฟ้ากับดิน

 

 

หากวันนี้นางเข้าไปในวังพร้อมกับฮ่องเต้แล้วละก็ เช่นนั้นจะพูดอย่างไรก็ถือว่าเป็นเหนียงเหนียงท่านหนึ่งแล้ว

 

 

โดยเฉพาะบัดนี้พระสนมในวังหลวงนั้นมีจำนวนน้อยเกินไป แต่ก่อนยังถือว่ามีเซียวซูเฟยที่เคยได้รับการโปรดปราด แต่บัดนี้ก็ถูกลดขั้นเป็นไฉเหริน

 

 

ในเวลานี้หากฮ่องเต้เป็นฝ่ายต้องการนำสตรีคนนี้กลับไปด้วยจริง ๆ ยังไม่รู้ว่าสตรีคนนี้จะมีความโชคดีมากถึงเพียงใด!

 

 

อย่างไรเรื่องที่ฉินเย่หานเมินเฉยต่อเรื่องชายหญิง ล้วนเป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคน

 

 

สตรีที่สามารถทำให้เขาเอ่ยพูดว่าต้องการด้วยตนเองนั้น จะพูดอย่างไรก็ถือว่าต้องตาเขาแล้ว

 

 

สถานการณ์บนชั้นสองล้วนไม่มีใครสักคนเห็น บัดนี้หลายคนต่างคิดว่าหงหลัวคนนี้ เป็นคนที่ฉินเย่หานที่ต้องตา

 

 

แม้แต่หงหลัวหลังจากได้ยินคำพูดประโยคนี้ ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉินเย่หานด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

 

 

นางคิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้จะหล่อเหลาขนาดนี้!

 

 

กระทั่งดูรูปงามกว่าบุรุษทุกคนที่นางเคยเจออยู่หลายส่วน

 

 

“มามา หนังสือซื้อขายทาสของแม่นางหงหลัวมาแล้วขอรับ!” ในขณะที่ตกอยู่ในบรรยากาศแปลกประหลาดนี้ คนที่ถูกหวังมามาสั่งให้ไปหยิบหนังสือซื้อขายทาสก็กลับมาอย่างรวดเร็ว

 

 

“อ้อ อืม!” หวังมามาดึงสติกลับมาประหนึ่งตื่นขึ้นจากความฝันมิปาน จากนั้นจัดเตรียมหนังสือซื้อขายทาส นางเตรียมที่จะเดินเข้าไปหาฉินเย่หาน

 

 

“ไม่จำเป็นหรอก” คำพูดประโยคหนึ่งของฉินเย่หาน ทำให้นางแทบจะแข็งทื่อไป

 

 

เขาพลันส่งเสียงขึ้นเช่นนี้ ทำให้แม้แต่ฉินเฮ่าก็ยังตะลึงไปครู่หนึ่ง

 

 

“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พูดกันดิบดีแล้วหรือ ฝ่าบาทนี่คือ…” ฉินเฮ่าขมวดคิ้วมองฉินเย่หานปราดหนึ่ง พลันเคลื่อนสายตาของตนเองไปที่ร่างของซูหลี เขาเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นว่า

 

 

“หรือมีใครมองข้ามความหวังนี้ของข้า พูดอะไรออกมายั่วยุฝ่าบาทแล้ว?”

 

 

สีหน้าของซูหลีพลันแปลกไป

 

 

นี่จิ้งหนานอ๋องหมายความว่าอย่างไร ทำไมถึงพูดกับนางเช่นนี้

 

 

นี่นางเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้กัน

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ สำหรับเรื่องของฉินเย่หานกับหงหลัว นางยังไม่ได้เอ่ยอะไรสักประโยค

 

 

“เราจำได้” ฉินเย่หานเอ่ยขึ้นคล้ายกับไม่ได้ยินคำพูดของฉินเฮ่ามิปาน แววตาของเขาลุ่มลึก ทั้งยังแฝงไปด้วยความเย็นชา

 

 

“อายุของฉินมู่ปิงก็ไม่น้อยแล้ว ไม่มีคนข้างกายมาโดยตลอด เช่นนั้นนางก็มอบให้แก่ฉินมู่ปิงแล้วกัน” ทันทีที่ฉินเย่หานพูดจบ ทั้งหอหร่วนเซียงก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

 

 

ซูหลียังอ้ำอึ้งไปพริบตาหนึ่ง สรุปนี่มันเรื่องอะไรกัน

 

 

แม่นางยอดดอกเหมยคนหนึ่งที่ทำให้บุรุษเหล่านั้นส่งกันไปมา เมื่อครู่ยังกล่าวว่าจักต้องกลับวังหลวงไปพร้อมกับฉินเย่หาน ผ่านไปเพียงครู่หนึ่งกลับกลายเป็นคนของฉินมู่ปิงแล้ว?

 

 

“กลับวังหลวง!” ฉินเย่หานไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ฉินเฮ่ามีท่าทีโต้ตอบ พูดจบก็ใช้มือหิ้วซูหลีและหมุนกายเดินออกไป

 

 

“ฝะ ฝ่าบาท พระองค์ปล่อยกระหม่อมลงก่อน กระหม่อมสามารถเดินเองได้พ่ะย่ะค่ะ!” นี่คือเสียงของซูหลีที่ถูกหิ้วตัวไป

 

 

“ทะ ท่านอ๋อง” นี่คือเสียงของเด็กรับใช้ข้างกายฉินเฮ่า

 

 

“มามา!?” นี่คือเสียงของคนที่ตกตะลึงในหอหร่วนเซียง

 

 

ใครจะคิดว่าเรื่องจะเปลี่ยนแปลงเร็วขนาดนี้!

 

 

คนในเหตุการณ์ต่างพากันคิดว่า หงหลัวจะบินขึ้นไปบนกิ่งไม้เปลี่ยนเป็นนางหงส์เสียแล้ว!

 

 

ทว่าคำพูดของฉินเย่หานกลับกล่าวว่า มอบนางให้แก่ฉินมู่ปิง

 

 

มอบให้แก่ฉินมู่ปิง ที่จริงก็ไม่ถึงว่าเป็นเรื่องแย่ อย่างไรฉินมู่ปิงก็เป็นซื่อจื่อแห่งจวนจิ้งหนานอ๋อง อนาคตสามารถสืบทอดตำแหน่งองค์จักรพรรดิได้ หากเปรียบกับคนทั่วไปแล้วถือว่าดีกว่ามาก

 

 

ทว่า…

 

 

อยู่กับฮ่องเต้ อยู่กับซื่อจื่อ อย่างไรก็คือว่าแตกต่างกันมาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด