โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล 201

Now you are reading โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล Chapter 201 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

RC:บทที่ 201 กลุ่มบริษัทหลิน

“ไม่ก็กลุ่มบริษัทหลิน” เติ้ง เทียนฝูว่าขึ้น

“กลุ่มบริษัทหลินหรือครับ” หลิน เฟิงอึ้งไป ไม่รู้ว่านี่พี่เติ้งเอานามสกุลเขาไปตั้งแบบนั้นได้อย่างไร

“ฉันว่าดูดีออกนะ ชื่อกลุ่มบริษัทหลินเนี่ย อีกอย่าง ของทุกๆอย่างก็มาจากเสี่ยวเฟิงด้วย ส่วนเราก็แค่คนเอามา” หวัง ฮ่าวหมิงว่าขึ้น

“ไม่ดีครับไม่ดี” หลิน เฟิงรู้สึกตกใจ เขาเพียงแค่ต้องการจะเอาชื่อเข้าเป็นผู้มีอำนาจเฉยๆ ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย พี่เติ้งต่างหากที่ตั้งตามชื่อเขาขึ้นมาเฉย

“ไม่เลวเลยนี่ ฉันคิดว่าดีออกนะ” หัวหน้าเติ้งว่าขึ้น

“ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” คุณหวังเองก็กล่าวเช่นนั้น พร้อมรอยยิ้มของความพึงพอใจที่แต้มบนใบหน้า

จริงๆแล้ว หลิน เฟิงไม่รู้หรอกว่าตอนที่เขาแนะนำอะไรต่ออะไรให้กับเขาตอนนี้ สิ่งพวกนั้นล้วนแต่ทำให้เขาสนใจ

ที่หลิน เฟิงพูดมายังมีสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าองุ่นวิเศษนั่นอีก นี่ก็ถือว่าผลลัพธ์ของพลังวิเศษได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นโดยสมบูรณ์แล้ว ในตอนนั้น หลิน เฟิงพูดถึงเรื่องนี้เป็นปกติ แต่หวัง ฮ่าวหมิงและเติ้ง เทียนฝูกลับจำได้อย่างแม่นยำ

ส่วนผลไม้นั้นเป็นต้นไม้วิญญาณทั้งสามที่ก่อนหน้านี้หลิน เฟิงนำเอามาจากหุบเขาราชาหมาป่าเพื่อมาลงปลูก ผลใหญ่นั้นหลิน เฟิงเป็นคนกินไป แล้วก็ราชาหมาป่าขาว ส่วนอีกผลหนึ่งนั้นเถาวัลย์ปีศาจได้กลืนมันลงไป เขาได้รู้เรื่องนี้หลังจากที่หลิน เฟิงได้ทำพันธสัญญากับต้นไม้ปีศาจนี่

ไม่อย่างงั้นแล้ว มันคงไม่มีพลังมากถึงขนาดนี้ได้หรอก และเป็นสิ่งเดียวที่ต้านทานหลิน เฟิงรวมถึงสัตว์วิญญาณตัวอื่นๆได้ แถมยังทำให้สัตว์วิญญาณระดับต่ำอีกหลายตัวได้รับบาดเจ็บอีกต่างหาก

นอกจากนี้ ต้นไม้วิญญาณต้นเล็กๆทั้งสองต้นก็เริ่มออกผลเล็กๆมาสามผลแล้ว จนตอนนี้มีขนาดใหญ่เท่าหัวแม่โป้ง

หลิน เฟิงเองก็คาดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะตัดสินใจเรื่องชื่อกลุ่ม นึกว่าจะตั้งเพื่อสรรเสริญตัวเองทั้งสองคนเสียอีก

“เช่นนั้น ผมต้องขอขอบคุณพี่ชายทั้งสองคนจริงๆครับ” หลิน เฟิงว่าขึ้นพลางยกกำปั้นขึ้น

“ไม่เป็นไรน่า จริงๆแล้ว พลังการต่อสู้ของพวกเราสองคนน่ะยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ทำเงินไปวันๆเพื่อเอาไว้ซื้อแก่นวิญญาณแล้วเอามาปรับปรุงความสามารถของเรา ไม่อย่างงั้นแล้ว แม้แต่เงินก็ไม่ส่งผลอะไรกับพลังของเราหรอก” หวัง ฮ่าวหมิงว่าขึ้น

“ใช้เงินซื้อแก่นวิญญาณงั้นหรือครับ แล้วไปซื้อที่ไหนกัน” หลิน เฟิงแปลกใจ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย

ถ้าเงินสามารถซื้อแก่นวิญญาณได้ วิธีที่จะพัฒนาพลังที่สั่งสมเอาไว้ก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว

“ใช่แล้วล่ะ ใช้เงินเพื่อซื้อแก่นวิญญาณ ก็ต้องที่ตลาดมืดวิเศษยังไงล่ะ” หวัง ฮ่าวหมิงกล่าว

“ตลาดมืดวิเศษหรือครับ” เป็นอีกครั้งที่หลิน เฟิงตกอยู่ในอาการตกใจ ทั้งหวัง ฮ่าวหมิงและเติ้ง เทียนฝูต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้เป็นอย่างดี รู้อะไรมากมายจนทำเอาเขาอึ้งได้ตลอดเวลา

“นี่เสี่ยว เฟิงรู้จักโลกของพลังหรือเปล่าเนี่ย” หัวหน้าเติ้งถาม

“พลังหรือครับ ก็รู้สิ นี่ก็โลกของพลังไม่ใช่หรือครับ” หลิน เฟิงตอบไปอย่างสับสน

“ไม่เลย ไม่ได้เข้าใจเลย ที่พวกเราพูดน่ะหมายถึงโลกของพลังที่มีพื้นที่แบ่งเป็นสี่ส่วน มันเป็นโลกๆหนึ่งที่จะถูกเปิดขึ้นมาจากคนที่มีพลังที่แข็งแกร่ง อย่างเช่นตระกูลทั้งสิบ และองค์กรแต่ละแห่งจะมีโลกของพลังเป็นของตัวเอง และนี่ก็เป็นพื้นที่ที่แยกตัวออกมาและสร้างขึ้นบนพื้นที่สามส่วนซึ่งเรียกกันว่าพื้นที่สี่ส่วน” หวัง ฮ่าวหมิงว่าขึ้น

“อะไรจะมหัศจรรย์ขนาดนั้น ไม่เข้าใจเลยอ่ะ” หลิน เฟิงเอ่ย

“งั้นจะอธิบายให้นายฟังแบบนี้แล้วกัน ให้นายเข้าใจว่ามันเป็นพื้นที่อิสระพื้นที่หนึ่งที่จะเปิดได้จากพวกที่มีพลังแข็งแกร่ง ตลาดมืดวิเศษก็อยู่ในที่แบบนั้นนั่นล่ะ นานๆครั้งจะเปิดสักที จะขายพวกหินวิญญาณ แก่นวิญญาณ ศิลปะการต่อสู้รวมถึงอาวุธวิญญาณต่างๆตลอด”

“นายจะจ่ายหรือเอาอะไรไปแลกก็ได้ เดี๋ยวนายจะรู้ได้เองแหละถ้าไปที่นั่นคราวหน้าน่ะ” เติ้ง เทียนฝูกล่าว

“แล้วตลาดมืดที่ว่านั่นจะเปิดอีกทีเมื่อไหร่หรือครับ แล้วแก่นวิญญาณระดับต่ำนี่ราคาเท่าไหร่บ้าง” หลิน เฟิงถามขึ้น

“ตามปกติแล้วจะเปิดช่วงปลายเดือนเป็นเวลาสามวัน เดือนก่อนก็จัดไปแล้ว ก็ต้องรอจนกว่าจะสิ้นเดือนนี้ล่ะ อย่างแก่นวิญญาณระดับต่ำก็ราคา 100000 ระดับกลางจะเริ่มต้นที่หนึ่งล้าน ส่วนระดับสูงจะเริ่มที่สิบล้านบาท ประมาณนี้”

“แพงขนาดนั้นเลยหรือเนี่ย” หลิน เฟิงถึงกับช็อค

“เอาล่ะ ไว้เดี๋ยวค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ถ้าทุกอย่างลงตัวแล้ว เดี๋ยวร่างแผนการแล้วก็สัญญากับทนายได้เลย” หวัง ฮ่าวหมิงว่าขึ้น

“ดีเลย” หลังจากนั้นครู่เดียว หวัง ฮ่าวหมิงจึงเชิญทนายทั้งสามคนเข้ามาข้างในและจัดแจงเป็นธุระให้ทุกอย่าง

หวัง ฮ่าวหมิงกับเติ้ง เทียนฝูรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี เพราะต่างอยู่ในวงการนี้มานานหลายปีและมีประสบการณ์ที่ช่ำชอง ตราบใดที่สัญญาไม่มีปัญหา หลิน เฟิงจึงปล่อยเรื่องนี้ให้พวกเขาทำทั้งหมด

หลังจากจัดการเรื่องพวกนี้แล้ว หลิน เฟิงจึงโทรหามู่ ซินซิน ในที่สุด เมื่อเขาเข้าไปในอำเภอแล้ว เขาควรจะต้องบอกเธอ

“โอเค เดี๋ยวคุณรอผมที่ร้าน 4S แล้วกัน จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” เมื่อได้ยินว่าหลิน เฟิงกำลังมา เธอก็รู้สึกสุขใจมากเสียจนทิ้งงานไปหาเขา

จากนั้นหลิน เฟิง ญาติผู้น้องของเขารวมถึง หวัง หานจึงเดินไปที่ร้าน 4S เพราะหลิน เฟิงต้องการซื้อรถยนต์สักคัน

ไม่นาน มีอีกหลายคนที่มากับหลิน เฟิงและเข้ามาที่ประตูร้าน 4S ชื่อดังในอำเภอ จากข้างนอกร้านนั้น หลิน เฟิงสามารถเห็นรถมากมายในร้านได้จากตรงนี้

เนื่องจากร้าน 4S ล้อมรอบไปด้วยกระจกใสจึงทำให้สามารถเห็นภาพพาโนรามาของข้างในได้จากข้างนอก เพียงแค่มองเข้าไปก็เห็นว่ารถทุกคนเป็นรถยนต์ระดับหรู ไม่ว่าจะเป็นเมอร์ซีเดส เบนซ์หรือบีเอ็มดับเบิลยูที่มีทุกรุ่น

ทั้งร้านเป็นสีขาว-ดำ ให้ความรู้สึกสดชื่น เรียบง่าย

“อะแฮ่ม ไปกัน” หลิน เฟิงกระแอมไอเพื่อปลุกความกล้าให้กับจื้อเฉิงและหวัง หานก่อนจะเดินเข้าไป

“สวัสดีค่ะ” พนักงานสาวรายหนึ่งออกมาต้อนรับ

ช่วงบนเธอสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาน้ำเงิน ส่วนช่วงล่างนั้นใส่กระโปรงสั้นที่สั้นเอามากๆจนเห็นช่วงขาทั้งหมด เมื่อเธอเห็นหลิน เฟิงกับคนอื่นๆเดินเข้ามา เธอจึงรีบออกมาทักทาย

“จะมาซักราคาเท่าไหร่ดีคะ” พนักงานสาวถามขึ้น

เมื่อหญิงสาวมองมาที่พวกเขาจึงได้เห็นว่าพวกเขานั้นต่างใส่เสื้อเปื้อนๆ รอยยิ้มด้วยความกระตือรือร้นในตอนแรกก็หายวับไปในทันที

“ขอผมดูก่อนนะ” หลิน เฟิงไม่เคยซื้อรถ เขาจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้นัก แต่ไม่ว่ายังไง เขาจะเดินดูก่อนแล้วค่อยซื้อคันที่ชอบไป

แต่อย่างไรก็ตาม ความหมายที่เขาพูดนั้นหมายถึงให้พนักงานอยู่ก่อน

“โอเค งั้นก็ดูไปแล้วกันนะคะ” เธอว่าขึ้นก่อนจะเดินออกมาในทันที เมื่อเดินออกมา กลุ่มของพวกเธอก็มองไปที่พวกหลิน เฟิงด้วยแววตาเหยียดๆ

“เอ่อ พนักงานที่นี่ไม่เก่งหรือยังไง” จื้อเฉิงดูท่าทีของพนักงานพลางรู้สึกกังวล

“ว่าละ แต่งตัวแบบนี้ ใครจะมองดีๆได้ล่ะ” หวัง หานว่าขึ้น

แต่หลิน เฟิงกลับไม่สนใจคนพวกนั้นพลางดูรถไปเรื่อยๆ

“เสี่ยวเย่ว ไปดูพวกบ้านนอกเข้ากรุงนั่นหน่อยป่ะ อย่าให้พวกนั้นไปจับตามโน่นตามนี่นะ อย่าปล่อยให้พวกมันทำอะไรสกปรกหรือเสียหายเลยเชียวล่ะ ขายพวกนั้นก็คงไม่ได้เงินมากนักหรอก เวลานี้น่ะพวกนั้นกำลังกินเวลาในการได้เปอร์เซ็นต์ของพวกเธอไปแล้วนะ” พนักงานคนดังกล่าวว่าขึ้นกับพนักงานคนอื่นๆ

“เข้าใจแล้วค่ะ พี่เหยา” เมื่อพนักงานชื่อเสี่ยวเย่วได้ฟังดังนั้นจึงต้องเดินตามหลิน เฟิงและพวกของเขาไป

“สวัสดีค่ะ พวกคุณคะ รถยนต์ทุกคันของตรงนี้ราคาแพงมากเลยนะคะ จะลองไปดูตรงโน้นก่อนมั้ยคะ” เสี่ยวเย่วกล่าวขึ้น

เสี่ยวเย่วยังคิดด้วยว่ามันคงจะดีถ้าหลิน เฟิงจะซื้อรถราคาหลักแสน แต่ตอนนี้หลิน เฟิงกลับกำลังดูรถราคาหลักล้านหรือสองล้านอยู่ และดูมีท่าทีซื่อใสและไม่ได้สนใจเธอเลย

“เอาน่า ปล่อยให้ดูไปอีกสักพักเถอะ” เสี่ยวเย่วพึมพำ

“คันนี้เท่าไหร่ครับ” ทันใดนั้นเอง หลิน เฟิงก็ดูมีท่าทีสนใจรถยนต์ที่เขาไม่รู้จักคันหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆก่อนจะถามขึ้น

“คันนี้ราคาหนึ่งล้านห้าแสนค่ะ” เสี่ยว เย่วบอกราคาคร่าวๆไป แต่ไม่บอกราคาที่ถูกต้อง

“อืม  1.5 ล้าน ไม่เลวเลย” หลิน เฟิงพยักหน้า มองดูอย่างใช้ความคิดก่อนจะเริ่มดูคันต่อไป

“โอเคงั้นหรือ หรือหมอนี่จะเป็นพวกแอบรวยกันนะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด