[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 16 สายลมฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มพัดผ่านในยามที่หิมะยังมิทันละลาย

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 16 สายลมฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มพัดผ่านในยามที่หิมะยังมิทันละลาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 16 สายลมฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มพัดผ่านในยามที่หิมะยังมิทันละลาย

 

“―――จบแล้ว”

 

ในขณที่แต่ละคนกำลังตรวจไพ่ในมือและวางแผนการเล่นของตัวเอง ก็มีเสียงดังขึ้นทันที เสียงนุ่มไร้สิ่งใดเจือปน ที่พูดอธิบายได้แค่อย่างเดียวว่าน่ารัก อย่างไรก็ตามเสียงนั้นก็เต็มไปด้วยความมั่นใจตรงข้ามกับภาษาที่ยังไม่แข็งแรงนัก

ในชั่วขณะหนึ่ง ก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวนั้นแข็งทื่อ ทุกคนหยุดเคลื่อนไหว หรือแม้แต่หยุดคิด และหันไปมองที่เธอ

 

ข้า ――― ลาบริกซ์・โฮวาร์ดรีด เองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน

 

“….ฮะ ฮ่าๆๆ อริซ เกมส์ยังไม่ทันเริ่มเลย ลูกไม่คิดเหรอว่ามันเร็วเกินไปหน่อยที่จะคิดแบบนั้นน่ะ?”

 

เสียงของฮัททีเรียสั่นไหว แน่นอน เพราะเธอเล่นประกาศราวกับว่าได้รับชัยชนะไปแล้วอย่างทันที แต่จริง ๆ แล้วหาใช่เรื่องนั้นไม่

 

ข้าเห็นสิ่งนั่น ในร่างเล็กๆนั้น

ดวงตาสีทองที่ไม่สงสัยในชัยชนะของตน ซ้อนทับเข้ามา

 

ภาพของอลิเซีย ――― ผู้เป็นแม่ของเธอ ภรรยาของฮัททีเรีย และเพื่อนของข้าที่ได้เสียไปแล้ว

 

” ――― ฟุ คุๆๆๆๆ…..”

 

มันช่างราวกับเป็นเรื่องตลกที่ทำข้าแทบอดกลั้นขำไม่ได้ ราวกับภาพที่ฮัททีเรียพ่ายแพ้ให้กับความดือรั้นของอลิเซียได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ฉากตรงหน้าข้ามันเป็นเช่นนั้นเลย

 

ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอถือกำเนิด ข้าก็คอยเฝ้าดูอยู่ตลอด …..ไม่สิ ข้าแค่คิดไปเองว่าได้เฝ้าดู

ทุกๆครั้งที่ข้าแอบมองเข้าไป สิ่งเดียวที่เห็นคือ ร่างเล็กที่นอนหลับอยู่บนเตียงเท่านั้น และเมื่อถามน็อกซ์เบลถึงเรื่องราวยามตื่น ก็มักบอกเล่าว่าโดยปกติจะแสดงความสนใจในหนังสือภาพ แต่ก็ไม่ได้ออกไปไหน

 

ช่างน่าเป็นห่วง แน่นอนว่าเพราะเป็นลูกสาวที่เกิดจากเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า ข้าไม่สามารถไม่ใส่ใจได้

 

และเมื่อไม่นานมานี้ ข้าได้ยินมาว่าในที่สุดฮัททีเรียก็เข้าหาพูดคุยกับเธอ ตัวข้าเองก็รู้สึกยินดีด้วย

แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมของเธอไปมากนัก ข้าเองก็ไม่ได้คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนได้เร็วขนาดนั้น

 

ดังนั้น ในวันนี้ ข้าจึงมาเพื่อเผชิญหน้ากับเธอโดยตรง

แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักคือ การส่งมิแรนด้าเข้ามาเพื่อตรวจสอบแผนการลอบสังหารของกลุ่มต่อต้าน

อย่างไรก็ตาม หากแค่จะส่งมิแรนด้ามา ข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาเองโดยตรง สิ่งที่ข้าต้องทำก็เพียงแค่ส่งข่าวมาบอกฮัททีเรียว่า เธอกำลังจะมุ่งหน้ามาพบในวันนี้

 

ตอนแรกข้าคิดจะให้มิแรนด้าเขียนรายละเอียดสภาพเหตุการณ์ต่างๆของเธออย่างละเอียดมาเป็นรายงานส่งถึงข้าเป็นระยะๆ แต่ทว่า ข้าก็ไม่อาจสงบใจลงได้ และเหนืออื่นใด ข้าก็ยังมีงานของแม่ทัพประจำการกองรออยู่

 

…แล้ว ข้าก็ได้เห็นเธอประกาศชัยชนะอย่างกล้าหาญ  

 

ไม่ผิดแน่ แม้ดวงตาจะหย่อนคล้อยจากความเหนื่อยล้าจนอาจมองเห็นเหมือนเป็นดวงตาที่กำลังเศล้าหมอง พัฒนาการคำพูดอาจจะช้าเล็กน้อย และขี้อาย เข้ากับคนแปลกหน้าได้ยาก

แต่ข้าก็เห็น แม้ใบหน้าจะคล้ายอลิเซีย แต่ความรู้สึกส่วนลึกในสีหน้าก็ให้ความประทับใจชั่วพริบตาที่ไม่เหมือนอลิเซีย

ข้าเห็นภาพเงาในอดีตของเธอที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความรักความเมตตา และชอบเล่นพิเรนอีกนิดหน่อย 

 

หากอลิเซียอยู่ที่นี่ ก็คงไม่ต้องกังวลสิ่งใด พวกข้านั้นเป็นคนนอกที่ทำได้แค่มอบความรักธรรมดาๆให้ได้

ข้าได้ยินมาว่าเธอฉลาดมากๆที่สามารถทำความเข้าใจเรื่องภาษีได้ในวัยเพียงเท่านี้ ถ้าอลิเซียคือท้องฟ้าแจ่มใสล่ะก็ เด็กคนนี้ก็คือ ความสงบอันเปล่าเปลี่ยว แต่เต็มไปด้วยสติปัญญา ดวงตาที่กระตุ้นให้คิดถึงและก้าวไปข้างหน้า เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เหมาะสมกับเธอจึงเป็นสิ่งที่เรียกว่า หิมะ อย่างแน่นอน

 

จนถึงตอนนี้เธอก็เป็นแค่ “ลูกสาวของเพื่อน” อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ข้าได้ตระหนักอย่างชัดเจนแล้วว่าความรับรู้ของข้าได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

“ลาบริกซ์……?”

 

” ――― ไม่มีอะไร ฮ่าๆๆ จริงๆ เด็กคนนี้เป็นลูกสาวของอลิเซียอย่างไม่มีข้อสงสัย”

 

ทันที่ข้าพูดเช่นนั้น ฮัททีเรียก็ตัวแข็งค้างชั่วครู่ ก่อนที่ในไม่ช้าจะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่น่าสังเวช สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับเธอ ไม่สิ ต้องเป็นกับน็อกซ์เบลที่ยืนอยู่หลัง”อริซ” ต่างหาก

มิแรนด้าเป็นผู้เดี่ยวที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และอริซที่ควรจะเป็นตัวเอกของเรื่องนี้กลับกำลังเอียงคอสงสัย และมันทำให้ข้ารู้สึกตลกอีกครั้ง

 

“เอาล่ะ คุณหนูอริซ ทักษะที่ยืนยันว่าสามารถชนะได้ในทันทีหลังเพียงแค่มองไพ่บนมือของตัวเอง ช่วยแสดงให้ข้าได้เห็นอย่างเต็มตาได้หรือไม่”

 

“ฟุๆๆ”

 

อริซเหยียดหน้าอกราวกับจะบอกว่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเธอเอง บรรยากาศรอบๆก็หมุนกลับมาสงบทันที

ถ้าอย่างงั้นก็ดีสิ ข้ามองไพ่บนมือของตนเองขณะที่กำลังหัวเราะไปด้วย

 

“ฟุมุ…….”

 

3、4、7、9、10、2 และก็ 6กับแจ็ค อย่างละสองใบ คิง สามใบ

ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายเท่าไร อาจจะยากสักหน่อยที่จะได้อันดับหนึ่ง แต่ก็คงจะไม่ถึงกลับแพ้หมดรูป

 

ทิ้ง 4 ถึง 10 ที่ไม่จำเป็นไปก่อน จากนั้นรอจังหวะที่ไพ่บนมือของทุกคนลดลง เลือกเวลาอย่างสุขุม แล้วล้างสนามด้วยสอง สุดท้ายก็กุมตำแหน่งผู้นำ

หลังจากนั้นก็เปลี่ยนสนามเป็นของไพ่คู่ที่ไม่อาจจะหวนคืน และจบด้วยสามคิง

 

แต่มันจะเป็นเช่นนั้นหรือ บางที ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตอนที่ลง 2 หรืออย่างน้อยก็หลังจากที่ใครบางคนสามารถทำให้อริซใช้โจ๊กเกอร์ออกไปได้

 

“เชิญเลดี้เฟิร์สลงไพ่ก่อนได้เลย คุณหนูอริซ ข้าไม่ถือ”

 

“…..ได้เหรอ?”

 

อริซถามให้แน่ใจ แน่นอน ใครๆต่างก็ไม่คิดเอาชนะอย่างจริง            ๆจังๆสักคน จุดยืนของทุกคนมีเพียงต้องการเล่นสนุกด้วยกันเท่านั้น

เหนือสิ่งอื่นใดนี่เป็นครั้งแรกที่อริซพึ่งได้เรียนรู้กฎ นอกจากนี้โจ๊กเกอร์ก็เป็นแต้มต่อที่จำเป็นสำหรับมือใหม่

 

“แน่นอน”

 

โดยปกติทุกคนคงพยักหน้ารับทันที แต่ทว่าการให้เลดี้เฟิร์สนั้นกลับเป็นข้ออ้างที่มีข้อล้มเหลวเล็กน้อย นั้นคือ มิแรนด้าที่นั่งอยู่ถัดไปกำลังแสดงสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย ไม่สิ ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ข้าไม่อยากบอกว่า ข้าไม่อาจจะเรียกเจ้าว่าเลดี้เหมือนกับผู้หญิงทั่วๆไปได้

…….ข้ายังสงสัยตนเองด้วยซ้ำว่าจะยังสามารถเรียกเจ้าว่าเป็นผู้หญิงได้อยู่ได้ไหม

 

“จ๊า เริ่มจากฉัน”

 

ไม่ว่าข้าจะเข้าใจบรรยากาศของมิแรนด้าหรือไม่ อริซก็ดึงไพ่หนึ่งใบออกจากมือวางลงกลางโต๊ะอย่างรวดเร็ว

เป็นไพ่ที่มีรูปภาพของอัศวินแดงวาดไว้เป็นลวดลาย ตัวเลขที่เขียนไว้คือ 11 เป็นไพ่แจ็คที่มีความหมายทั่วไปว่าความรัก

 

“….อย่ารีบร้อนเกินไปสิ อริซ”

 

ฮัททีเรียมีรอยยิ้มอันขมขื่นหลังเห็นอริซปล่อยแจ๊คออกมาง่ายเกินไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนจะประกาศผ่าน

ข้าไม่ต้องการทำลายพลังของสามคิง และยังเร็วไปที่ตัดเกมส์ด้วยไพ่คู่ ดังนั้นข้าจึงผ่านเช่นกัน

 

“อื~ม………….”

 

เมื่อวนไปถึงรอบมิแรนด้า เธอก็คร่ำครวญทันที การที่เหลือที่ว่างสำหรับใคร่ครวญได้ แสดงว่าจะต้องมีไพ่ที่เหนือกว่าแจ็คสินะ หลังจากกลัดกลุ้มใจประมาณสิบวินาที เธอก็ลงไพ่ใบหนึ่งลงทับไปทันที

 

“อภัยให้ด้วย ฮิเมะ!”

 

ตัวอักษรที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากใต้ฝ่ามือคือ เอซหัวใจ(โพแดง) การที่กล้าออกไพ่ได้แบบนี้ เข้าใจล่ะ เจ้ายังมี 1 และ 2 อยู่อีกหลายใบสินะ แต่จะใช้ที่ไหนต่อไปกัน

 

“ไม่”

 

อริซเลือกที่จะผ่าน แม้ว่าจะยังไม่ยอมใช้ 2 กับโจ๊กเกอร์ แต่ก็ยังเป็นไปตามที่คาดไว้แต่แรก

จากนั้นฮัททีเรียกับข้าก็เลือกที่จะผ่านเช่นกัน น็อกซ์เบลจึงทำการเก็บไพ่แจ็คและเอซออกไปเพื่อเคลียร์สนาม

 

“เอาล่ะ…ก่อนอื่น”

 

มิแรนด้าเลือกที่จะเปิดสนามว่างเปล่าด้วย 8 ข้ารู้สึกได้ถึงการพยายามตัดกำลัง กล่าวอีกนัยคือ เป็นไปได้ว่าไพ่ที่ต่ำกว่า 8 มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีมากกว่าหนึ่งคู่

 

“….ก่ะ”

 

อริซออก 10 ลงไปทับ มันเป็นการลงไพ่ธรรมดาที่ไม่มีอะไรแปลก

 

ยังไงก็ตาม จากจุดๆนี้การที่สามารถเล่นตามกฏ”มาตรฐาน”ได้ตั้งแต่ครั้งแรก ความเฉลียวฉลาดที่ไม่ตรงกับอายุนั้นกำลังไหลบ่าออกมา

หรืออีกทางหนึ่งอาจจะแค่ออกไพ่ตามลำดับสมควรเท่านั้น แต่มันก็มีระยะรูปแบบการลงที่เหมือนคิดอย่างถี่ถ้วนมาแล้ว

 

ไม่ แม้จะข้ามกฏบางอย่างไปเพื่อให้เล่นได้ง่ายขึ้น ก็ไม่ใช่ข้อแก้ต่างที่จะใช้ปฏิเสธความสามารถในการเล่นดิสแทนซ์ของผู้ที่สามารถเข้าใจภาษีเช่นนี้ได้

ช่างน่าหวาดหวั่นจริงๆ เมื่อข้าลองนึกภาพอนาคตดู ก็เผลอเกือบยิ้มพิลึกๆออกมาโดยไม่ตั้งใจ

 

“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ”

 

ฮัททีเรียกล่าวเช่นนั้นแล้วก็ลงแจ็ค มันยังเร็วไปที่จะใช้ 2 ยังไงก็ตามไพ่บนมือของข้ายังไม่ลดลงตั้งแต่เริ่มเกมส์ ข้าควรลดจำนวนไพ่ลงตอนนี้เลยดีไหม แต่มันจะเป็นการทำลายพลังสามคิง เอายังไงดี

 

…..เดี๋ยวก่อนสิ มิแรนด้าที่อยู่ถัดไปกำลังสลับตำแหน่งไพ่บนมือของตนเองอยู่ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ 

หลังจากรอดูจนจบ ข้าก็ตัดสินใจ ผ่าน ล่ะ

 

“น่าอึดอัดจริง”

 

กระแสไม่ดีเวียนมาหาข้า ทั้งหมดที่ข้าทำได้คือประกาศ ผ่าน อย่างเจ็บปวดที่ไพ่บนมือไม่ลดลงแม้แต่นิด

จากนั้นมิแรนด้าที่รออยู่แล้ว ก็รีบลงไพ่ของตนทับลงไปบนแจ็คทันที

 

“….เข้าใจล่ะ”

 

มันคือ 2 เพราะรู้ตัวดีว่าอริซมีโจ๊กเกอร์อยู่บนมือจึงต้องโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไงก็ตามหากมันอยู่แต่ในกองไพ่ต่อไปมันก็เป็นแค่ของเปล่าประโยชน์เท่านั้น หรือจะมีสิ่งรับประกัน น่าจะเป็น 2 สักใบ หรืออาจจะมากกว่าหนึ่งใบ

แต่ถึงจะเป็นทางไหนมันก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงกระแสของเกมส์ได้ แต่มันก็จะกลายเป็นเหตุผลที่ดีที่จะทำให้อยากเล่นอีกครั้งเพื่อแก้มือ

นั่นหมายถึงกรณีที่มีไพ่คู่หรือไพ่สามอยู่ในมือหลายชุด เห็นได้ชัดว่าจากนี้จะเป็นการตัดสินใจที่จะส่งผลต่อแผนการทั้งหมด

 

ซ้า อริซจะตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างไร―――

 

“โจ๊กก๊า”

 

“คู๊…..สามารถหยุดดิฉันได้ ………ช่างสมกับที่คาดหวังจริงๆค่ะ ฮิเมะ”

 

เข้าใจล่ะ บีบให้หยุดสินะ

 

ข้าไม่รู้ว่าอริซคิดไปไกลแค่ไหน แต่การที่ใช้โจ๊กเกอร์ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวที่แย่อะไร

เพราะสามารถเห็นได้จากกระแสที่ไหลย้อนกลับไปใส่มิแรนด้า

 

และสำหรับมิแรนด้านี่เป็นการท้าทายครั้งแรก และไม่ได้คาดคิดว่าเด็กอย่างอลิซจะสามารถหยุดเธอได้ เติบโตขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจนัก ข้าส่งยิ้มแห่งการสรรเสริญให้อริซ

แน่นอน มิแรนด้าไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้เอาไว้ ต่อให้ตั้งใจวางอุบายเอาไว้แค่ไหนก็ตาม

 

“เช่นนั้น ขออนุญาตนะคะ”

 

และน็อกซ์เบลก็ทำการเคลียร์สนามอีกครั้ง ในระหว่างนั้นก็เป็นการถือโอกาสรินเครื่องดื่มลงในถ้วยเปล่าของแต่ละคนและหยุดเกมส์ชั่วคราวสักครู่

 

“อึก อึก….”

 

อริซพยายามทำให้ลำคอชุ่มชื้นด้วยมือและปากเล็กๆ เป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้ยิ้ม

ยังไงก็ตามหากจ้องมากเกินไปคงเป็นการเสียมารยาท ข้าจึงหันกลับมามองไพ่ในมือของตน ภาพของคิงตรงเข้ามาสู่สายตา

 

“ราชา งั้นรึ”

 

ด้วยคำพูดที่บ่นพึมพำอย่างกระทันหัน ก็ทำให้สายตาที่มองย้อนกลับไปยังกระแสของเกมส์แปลกไป

 

สถานะของราชอาณาจักรในปัจจุบันนั้นแย่มาก ราชาและราชินีใช้พลังเพียงเพื่อความปรารถนา ผลประโยชน์ส่วนตนและกดขี่ข่มเหงเหล่าประชาชนเท่านั้น ขุนนาง、นักเวทย์、อัศวินชั้นกลางถึงชั้นสูงบางส่วนก็เป็นพวกเศษเดนที่ชอบชุมนุมสุมหัวกันหาแต่ผลประโยชน์ ความไม่พอใจของประชาชนทั่วไปสะสมจนเริ่มกำลังจะระเบิด

และถึงจะพูดเตือนไป ก็มีแต่จะเพิ่มกระแสความดูถูกประชาชนของพวกชนชั้นสูงให้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แทนที่จะช่วยคนจนที่ทุกข์ทรมานจากความยากจนและการทำงานอย่างหนัก พวกมันก็เอาแต่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตัวเอง และเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องผลประโยชน์เท่านั้น

 

ข้าทำได้แค่กอดความเกลียดชังซ่อนลึกลงไปภายใน

 

อย่างไรก็ตาม ในเกมส์ดิสแทนซ์ตำแหน่งพวกนั้นก็เป็นแค่เรื่องน่าขัน แต่กับธรรมชาติของเกม ข้าและฮัททีเรีย เอาแต่รอและดูด้วยไพ่ที่แข็งแกร่ง หรือก็คือ พวกข้าไม่คิดจะจบเกมส์ทันทีด้วยประสบการณ์ที่เหนือกว่า

คนที่พยายามเล่นอย่างแข็งขันก็มีเพียง มิแรนด้าที่ลง 2 กับ อริซที่หยุดเธอด้วยโจ๊กเกอร์ …..มีเพียงสองคนเท่านั้น

 

อะไรคือความแตกต่างระหว่างข้ากับพวกคนที่วิ่งหนีเอาตัวรอดเพราะกลัวสถานการณ์ปัจจุบัน

นั้นคือข้าทำเพื่อชัยชนะ แต่พวกนั้นทำเพื่อเอาตัวรอด

 

….ท้ายที่สุดแล้ว ราชาและราชินีเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมดใช่หรือไม่?

ยุคของราชารุ่นก่อนนั้นดีมาก มันไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อประชาชนทั่วไป อย่างไรก็ตามมีนโยบายจำนวนมากมุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับสภาขุนนาง และภัยคุกคามจากจักรวรรดิก็เข้ามาใกล้อย่างเห็นได้ชัด แต่ทั้งราชอาณาจักรก็ยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

มันจะไม่มีหนทางที่จะกลับไปยังยุคนั้นได้เลยรึ

 

ในขณะที่คิดเรื่องที่ไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นผู้นำกองทัพของราชอาณาจักร ข้าก็ได้ยินเสียงอริซวางถ้วยลง ข้าช่างหยาบคายจริงๆที่มัวแต่กังวลเรื่องพวกนั้นขณะที่ยังนั่งอยู่ที่นี่

ข้าจึงจิบไวน์แดงที่สั่นไหวในแก้ว และปรับอารมณ์ของตนเอง

 

“เช่นนั้น อริซซามะจะเล่นต่อไปเลยสินะคะ”

 

“อืม”

 

อริซหัวเราะด้วยเหตุผลบางอย่างหลังจากที่แต่ละคนนั่งลงบนเก้าอี้ดีแล้ว

 

ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย และวางตุ๊กตาหมีหิมะไว้บนตัก ก่อนจะเรียงไพ่บนมือ

 

――― และจากตรงนั่น เธอก็ดึงไพ่”สี่ใบ”ออกมา

 

“…..ไม่มีทาง”

 

――― จบแล้ว

 

อริซพูดแบบนั้นก่อนที่เกมส์จะเริ่ม

 

ถ้าอย่างงั้นเกมส์ที่เล่นอยู่ตอนนี้ล่ะ?

 

สั่นสะท้าน หลังของข้าเย็นยะเยือก

ข้ารู้สึกเหมือนถูกมองจนทะลุปรุโปร่งจากดวงตาสีทองที่จ้องมาที่ข้า

 

อาจเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่ มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆงั้นรึ ไม่ว่าโดยเหตุผลใดก็ตาม ในเวลานี้ข้าไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่จะคิดได้

 

แต่แม้ว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ตาม อลิซก็ได้แสดงให้เห็นว่ามันมีคำตอบเพียงหนึ่งเดียว

และในขณะที่ข้ากำลังจัดการกับความคิดไร้สาระ ข้าก็ได้พ่ายแพ้ไปแล้ว

 

อริซได้มอบคำตอบให้แต่แรกแล้ว

ทุกคนจะต้องเคยมีอย่างน้อยสักครั้งที่จะคิดว่าสงสัยว่าพวกเราจะย้อนกลับไปในยุคนั้นได้รึไม่

 

“ปะติวัด! “

 

ผู้ที่สั่นสะเทือนสนาม คือ ราชินีทั้งสี่

 

การปฏิวัติ อริซพูดเช่นนั้น

ถูกต้องแล้ว มันคือการกลับลำดับขั้นของไพ่ทั้งหมด กลับบทบาทในครั้งเดียว

แจ็ค、ราชินี、ราชา กลายเป็นไพ่ที่มีอำนาจ―――อยู่ใต้ประชาชนทั่วไป

 

นั่นคือ มันบังคับให้ผู้มีอำนาจต้องช่วยเหลือผู้ยากไร้

จากนักเวทย์สู่อัศวิน、จากขุนนางสู่ราชา ผู้ที่มีเวทมนตร์หรือทรัพย์สมบัติต้องทำการสนับสนุนไม่ลืมการมีอยู่ของประชาชนทั่วไป

 

พวกเรามีภาระหน้าที่ในการปกป้องผู้คนที่สนับสนุนเรา

 

แบบแผนนี้ช่วยเตือนถึงบทบาทจากถ้อยแถลงของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งราชอาณาจักร จากนั้นความเชื่อนี้ก็ถูกเรียกอย่างเปรียบเปรยว่า―――

 

“―――「Noblesse oblige」”

* Noblesse oblige มีความหมายมาจากรากศัพท์ภาษาฝรั่งเศสว่า “ผู้ทรงเกียรติย่อมต้องประพฤติอย่างทรงเกียรติ”

 

 

 

จากตรงนั้น เอซโพดำ เครื่องหมายอันสูงส่งที่มีความหมายถึง”สมดุล””ขุนนาง””และ”ฤดูหนาว” ก็เข้าจู่โจมสนามในฐานะมือสุดท้าย และน็อกซ์เบลก็ประกาศชัยชนะของอลิซด้วยเสียงที่ตื่นเต้น

ข้า、ฮัททีเรีย、มิแรนด้า

 

ไม่ว่าใคร ก็ไม่สามารถหยุดยั้งอริซได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 16 สายลมฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มพัดผ่านในยามที่หิมะยังมิทันละลาย

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 16 สายลมฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มพัดผ่านในยามที่หิมะยังมิทันละลาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 16 สายลมฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มพัดผ่านในยามที่หิมะยังมิทันละลาย

 

“―――จบแล้ว”

 

ในขณที่แต่ละคนกำลังตรวจไพ่ในมือและวางแผนการเล่นของตัวเอง ก็มีเสียงดังขึ้นทันที เสียงนุ่มไร้สิ่งใดเจือปน ที่พูดอธิบายได้แค่อย่างเดียวว่าน่ารัก อย่างไรก็ตามเสียงนั้นก็เต็มไปด้วยความมั่นใจตรงข้ามกับภาษาที่ยังไม่แข็งแรงนัก

ในชั่วขณะหนึ่ง ก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวนั้นแข็งทื่อ ทุกคนหยุดเคลื่อนไหว หรือแม้แต่หยุดคิด และหันไปมองที่เธอ

 

ข้า ――― ลาบริกซ์・โฮวาร์ดรีด เองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน

 

“….ฮะ ฮ่าๆๆ อริซ เกมส์ยังไม่ทันเริ่มเลย ลูกไม่คิดเหรอว่ามันเร็วเกินไปหน่อยที่จะคิดแบบนั้นน่ะ?”

 

เสียงของฮัททีเรียสั่นไหว แน่นอน เพราะเธอเล่นประกาศราวกับว่าได้รับชัยชนะไปแล้วอย่างทันที แต่จริง ๆ แล้วหาใช่เรื่องนั้นไม่

 

ข้าเห็นสิ่งนั่น ในร่างเล็กๆนั้น

ดวงตาสีทองที่ไม่สงสัยในชัยชนะของตน ซ้อนทับเข้ามา

 

ภาพของอลิเซีย ――― ผู้เป็นแม่ของเธอ ภรรยาของฮัททีเรีย และเพื่อนของข้าที่ได้เสียไปแล้ว

 

” ――― ฟุ คุๆๆๆๆ…..”

 

มันช่างราวกับเป็นเรื่องตลกที่ทำข้าแทบอดกลั้นขำไม่ได้ ราวกับภาพที่ฮัททีเรียพ่ายแพ้ให้กับความดือรั้นของอลิเซียได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ฉากตรงหน้าข้ามันเป็นเช่นนั้นเลย

 

ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอถือกำเนิด ข้าก็คอยเฝ้าดูอยู่ตลอด …..ไม่สิ ข้าแค่คิดไปเองว่าได้เฝ้าดู

ทุกๆครั้งที่ข้าแอบมองเข้าไป สิ่งเดียวที่เห็นคือ ร่างเล็กที่นอนหลับอยู่บนเตียงเท่านั้น และเมื่อถามน็อกซ์เบลถึงเรื่องราวยามตื่น ก็มักบอกเล่าว่าโดยปกติจะแสดงความสนใจในหนังสือภาพ แต่ก็ไม่ได้ออกไปไหน

 

ช่างน่าเป็นห่วง แน่นอนว่าเพราะเป็นลูกสาวที่เกิดจากเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า ข้าไม่สามารถไม่ใส่ใจได้

 

และเมื่อไม่นานมานี้ ข้าได้ยินมาว่าในที่สุดฮัททีเรียก็เข้าหาพูดคุยกับเธอ ตัวข้าเองก็รู้สึกยินดีด้วย

แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมของเธอไปมากนัก ข้าเองก็ไม่ได้คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนได้เร็วขนาดนั้น

 

ดังนั้น ในวันนี้ ข้าจึงมาเพื่อเผชิญหน้ากับเธอโดยตรง

แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักคือ การส่งมิแรนด้าเข้ามาเพื่อตรวจสอบแผนการลอบสังหารของกลุ่มต่อต้าน

อย่างไรก็ตาม หากแค่จะส่งมิแรนด้ามา ข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาเองโดยตรง สิ่งที่ข้าต้องทำก็เพียงแค่ส่งข่าวมาบอกฮัททีเรียว่า เธอกำลังจะมุ่งหน้ามาพบในวันนี้

 

ตอนแรกข้าคิดจะให้มิแรนด้าเขียนรายละเอียดสภาพเหตุการณ์ต่างๆของเธออย่างละเอียดมาเป็นรายงานส่งถึงข้าเป็นระยะๆ แต่ทว่า ข้าก็ไม่อาจสงบใจลงได้ และเหนืออื่นใด ข้าก็ยังมีงานของแม่ทัพประจำการกองรออยู่

 

…แล้ว ข้าก็ได้เห็นเธอประกาศชัยชนะอย่างกล้าหาญ  

 

ไม่ผิดแน่ แม้ดวงตาจะหย่อนคล้อยจากความเหนื่อยล้าจนอาจมองเห็นเหมือนเป็นดวงตาที่กำลังเศล้าหมอง พัฒนาการคำพูดอาจจะช้าเล็กน้อย และขี้อาย เข้ากับคนแปลกหน้าได้ยาก

แต่ข้าก็เห็น แม้ใบหน้าจะคล้ายอลิเซีย แต่ความรู้สึกส่วนลึกในสีหน้าก็ให้ความประทับใจชั่วพริบตาที่ไม่เหมือนอลิเซีย

ข้าเห็นภาพเงาในอดีตของเธอที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความรักความเมตตา และชอบเล่นพิเรนอีกนิดหน่อย 

 

หากอลิเซียอยู่ที่นี่ ก็คงไม่ต้องกังวลสิ่งใด พวกข้านั้นเป็นคนนอกที่ทำได้แค่มอบความรักธรรมดาๆให้ได้

ข้าได้ยินมาว่าเธอฉลาดมากๆที่สามารถทำความเข้าใจเรื่องภาษีได้ในวัยเพียงเท่านี้ ถ้าอลิเซียคือท้องฟ้าแจ่มใสล่ะก็ เด็กคนนี้ก็คือ ความสงบอันเปล่าเปลี่ยว แต่เต็มไปด้วยสติปัญญา ดวงตาที่กระตุ้นให้คิดถึงและก้าวไปข้างหน้า เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เหมาะสมกับเธอจึงเป็นสิ่งที่เรียกว่า หิมะ อย่างแน่นอน

 

จนถึงตอนนี้เธอก็เป็นแค่ “ลูกสาวของเพื่อน” อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ข้าได้ตระหนักอย่างชัดเจนแล้วว่าความรับรู้ของข้าได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

“ลาบริกซ์……?”

 

” ――― ไม่มีอะไร ฮ่าๆๆ จริงๆ เด็กคนนี้เป็นลูกสาวของอลิเซียอย่างไม่มีข้อสงสัย”

 

ทันที่ข้าพูดเช่นนั้น ฮัททีเรียก็ตัวแข็งค้างชั่วครู่ ก่อนที่ในไม่ช้าจะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่น่าสังเวช สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับเธอ ไม่สิ ต้องเป็นกับน็อกซ์เบลที่ยืนอยู่หลัง”อริซ” ต่างหาก

มิแรนด้าเป็นผู้เดี่ยวที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และอริซที่ควรจะเป็นตัวเอกของเรื่องนี้กลับกำลังเอียงคอสงสัย และมันทำให้ข้ารู้สึกตลกอีกครั้ง

 

“เอาล่ะ คุณหนูอริซ ทักษะที่ยืนยันว่าสามารถชนะได้ในทันทีหลังเพียงแค่มองไพ่บนมือของตัวเอง ช่วยแสดงให้ข้าได้เห็นอย่างเต็มตาได้หรือไม่”

 

“ฟุๆๆ”

 

อริซเหยียดหน้าอกราวกับจะบอกว่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเธอเอง บรรยากาศรอบๆก็หมุนกลับมาสงบทันที

ถ้าอย่างงั้นก็ดีสิ ข้ามองไพ่บนมือของตนเองขณะที่กำลังหัวเราะไปด้วย

 

“ฟุมุ…….”

 

3、4、7、9、10、2 และก็ 6กับแจ็ค อย่างละสองใบ คิง สามใบ

ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายเท่าไร อาจจะยากสักหน่อยที่จะได้อันดับหนึ่ง แต่ก็คงจะไม่ถึงกลับแพ้หมดรูป

 

ทิ้ง 4 ถึง 10 ที่ไม่จำเป็นไปก่อน จากนั้นรอจังหวะที่ไพ่บนมือของทุกคนลดลง เลือกเวลาอย่างสุขุม แล้วล้างสนามด้วยสอง สุดท้ายก็กุมตำแหน่งผู้นำ

หลังจากนั้นก็เปลี่ยนสนามเป็นของไพ่คู่ที่ไม่อาจจะหวนคืน และจบด้วยสามคิง

 

แต่มันจะเป็นเช่นนั้นหรือ บางที ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตอนที่ลง 2 หรืออย่างน้อยก็หลังจากที่ใครบางคนสามารถทำให้อริซใช้โจ๊กเกอร์ออกไปได้

 

“เชิญเลดี้เฟิร์สลงไพ่ก่อนได้เลย คุณหนูอริซ ข้าไม่ถือ”

 

“…..ได้เหรอ?”

 

อริซถามให้แน่ใจ แน่นอน ใครๆต่างก็ไม่คิดเอาชนะอย่างจริง            ๆจังๆสักคน จุดยืนของทุกคนมีเพียงต้องการเล่นสนุกด้วยกันเท่านั้น

เหนือสิ่งอื่นใดนี่เป็นครั้งแรกที่อริซพึ่งได้เรียนรู้กฎ นอกจากนี้โจ๊กเกอร์ก็เป็นแต้มต่อที่จำเป็นสำหรับมือใหม่

 

“แน่นอน”

 

โดยปกติทุกคนคงพยักหน้ารับทันที แต่ทว่าการให้เลดี้เฟิร์สนั้นกลับเป็นข้ออ้างที่มีข้อล้มเหลวเล็กน้อย นั้นคือ มิแรนด้าที่นั่งอยู่ถัดไปกำลังแสดงสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย ไม่สิ ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ข้าไม่อยากบอกว่า ข้าไม่อาจจะเรียกเจ้าว่าเลดี้เหมือนกับผู้หญิงทั่วๆไปได้

…….ข้ายังสงสัยตนเองด้วยซ้ำว่าจะยังสามารถเรียกเจ้าว่าเป็นผู้หญิงได้อยู่ได้ไหม

 

“จ๊า เริ่มจากฉัน”

 

ไม่ว่าข้าจะเข้าใจบรรยากาศของมิแรนด้าหรือไม่ อริซก็ดึงไพ่หนึ่งใบออกจากมือวางลงกลางโต๊ะอย่างรวดเร็ว

เป็นไพ่ที่มีรูปภาพของอัศวินแดงวาดไว้เป็นลวดลาย ตัวเลขที่เขียนไว้คือ 11 เป็นไพ่แจ็คที่มีความหมายทั่วไปว่าความรัก

 

“….อย่ารีบร้อนเกินไปสิ อริซ”

 

ฮัททีเรียมีรอยยิ้มอันขมขื่นหลังเห็นอริซปล่อยแจ๊คออกมาง่ายเกินไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนจะประกาศผ่าน

ข้าไม่ต้องการทำลายพลังของสามคิง และยังเร็วไปที่ตัดเกมส์ด้วยไพ่คู่ ดังนั้นข้าจึงผ่านเช่นกัน

 

“อื~ม………….”

 

เมื่อวนไปถึงรอบมิแรนด้า เธอก็คร่ำครวญทันที การที่เหลือที่ว่างสำหรับใคร่ครวญได้ แสดงว่าจะต้องมีไพ่ที่เหนือกว่าแจ็คสินะ หลังจากกลัดกลุ้มใจประมาณสิบวินาที เธอก็ลงไพ่ใบหนึ่งลงทับไปทันที

 

“อภัยให้ด้วย ฮิเมะ!”

 

ตัวอักษรที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากใต้ฝ่ามือคือ เอซหัวใจ(โพแดง) การที่กล้าออกไพ่ได้แบบนี้ เข้าใจล่ะ เจ้ายังมี 1 และ 2 อยู่อีกหลายใบสินะ แต่จะใช้ที่ไหนต่อไปกัน

 

“ไม่”

 

อริซเลือกที่จะผ่าน แม้ว่าจะยังไม่ยอมใช้ 2 กับโจ๊กเกอร์ แต่ก็ยังเป็นไปตามที่คาดไว้แต่แรก

จากนั้นฮัททีเรียกับข้าก็เลือกที่จะผ่านเช่นกัน น็อกซ์เบลจึงทำการเก็บไพ่แจ็คและเอซออกไปเพื่อเคลียร์สนาม

 

“เอาล่ะ…ก่อนอื่น”

 

มิแรนด้าเลือกที่จะเปิดสนามว่างเปล่าด้วย 8 ข้ารู้สึกได้ถึงการพยายามตัดกำลัง กล่าวอีกนัยคือ เป็นไปได้ว่าไพ่ที่ต่ำกว่า 8 มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีมากกว่าหนึ่งคู่

 

“….ก่ะ”

 

อริซออก 10 ลงไปทับ มันเป็นการลงไพ่ธรรมดาที่ไม่มีอะไรแปลก

 

ยังไงก็ตาม จากจุดๆนี้การที่สามารถเล่นตามกฏ”มาตรฐาน”ได้ตั้งแต่ครั้งแรก ความเฉลียวฉลาดที่ไม่ตรงกับอายุนั้นกำลังไหลบ่าออกมา

หรืออีกทางหนึ่งอาจจะแค่ออกไพ่ตามลำดับสมควรเท่านั้น แต่มันก็มีระยะรูปแบบการลงที่เหมือนคิดอย่างถี่ถ้วนมาแล้ว

 

ไม่ แม้จะข้ามกฏบางอย่างไปเพื่อให้เล่นได้ง่ายขึ้น ก็ไม่ใช่ข้อแก้ต่างที่จะใช้ปฏิเสธความสามารถในการเล่นดิสแทนซ์ของผู้ที่สามารถเข้าใจภาษีเช่นนี้ได้

ช่างน่าหวาดหวั่นจริงๆ เมื่อข้าลองนึกภาพอนาคตดู ก็เผลอเกือบยิ้มพิลึกๆออกมาโดยไม่ตั้งใจ

 

“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ”

 

ฮัททีเรียกล่าวเช่นนั้นแล้วก็ลงแจ็ค มันยังเร็วไปที่จะใช้ 2 ยังไงก็ตามไพ่บนมือของข้ายังไม่ลดลงตั้งแต่เริ่มเกมส์ ข้าควรลดจำนวนไพ่ลงตอนนี้เลยดีไหม แต่มันจะเป็นการทำลายพลังสามคิง เอายังไงดี

 

…..เดี๋ยวก่อนสิ มิแรนด้าที่อยู่ถัดไปกำลังสลับตำแหน่งไพ่บนมือของตนเองอยู่ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ 

หลังจากรอดูจนจบ ข้าก็ตัดสินใจ ผ่าน ล่ะ

 

“น่าอึดอัดจริง”

 

กระแสไม่ดีเวียนมาหาข้า ทั้งหมดที่ข้าทำได้คือประกาศ ผ่าน อย่างเจ็บปวดที่ไพ่บนมือไม่ลดลงแม้แต่นิด

จากนั้นมิแรนด้าที่รออยู่แล้ว ก็รีบลงไพ่ของตนทับลงไปบนแจ็คทันที

 

“….เข้าใจล่ะ”

 

มันคือ 2 เพราะรู้ตัวดีว่าอริซมีโจ๊กเกอร์อยู่บนมือจึงต้องโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไงก็ตามหากมันอยู่แต่ในกองไพ่ต่อไปมันก็เป็นแค่ของเปล่าประโยชน์เท่านั้น หรือจะมีสิ่งรับประกัน น่าจะเป็น 2 สักใบ หรืออาจจะมากกว่าหนึ่งใบ

แต่ถึงจะเป็นทางไหนมันก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงกระแสของเกมส์ได้ แต่มันก็จะกลายเป็นเหตุผลที่ดีที่จะทำให้อยากเล่นอีกครั้งเพื่อแก้มือ

นั่นหมายถึงกรณีที่มีไพ่คู่หรือไพ่สามอยู่ในมือหลายชุด เห็นได้ชัดว่าจากนี้จะเป็นการตัดสินใจที่จะส่งผลต่อแผนการทั้งหมด

 

ซ้า อริซจะตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างไร―――

 

“โจ๊กก๊า”

 

“คู๊…..สามารถหยุดดิฉันได้ ………ช่างสมกับที่คาดหวังจริงๆค่ะ ฮิเมะ”

 

เข้าใจล่ะ บีบให้หยุดสินะ

 

ข้าไม่รู้ว่าอริซคิดไปไกลแค่ไหน แต่การที่ใช้โจ๊กเกอร์ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวที่แย่อะไร

เพราะสามารถเห็นได้จากกระแสที่ไหลย้อนกลับไปใส่มิแรนด้า

 

และสำหรับมิแรนด้านี่เป็นการท้าทายครั้งแรก และไม่ได้คาดคิดว่าเด็กอย่างอลิซจะสามารถหยุดเธอได้ เติบโตขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจนัก ข้าส่งยิ้มแห่งการสรรเสริญให้อริซ

แน่นอน มิแรนด้าไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้เอาไว้ ต่อให้ตั้งใจวางอุบายเอาไว้แค่ไหนก็ตาม

 

“เช่นนั้น ขออนุญาตนะคะ”

 

และน็อกซ์เบลก็ทำการเคลียร์สนามอีกครั้ง ในระหว่างนั้นก็เป็นการถือโอกาสรินเครื่องดื่มลงในถ้วยเปล่าของแต่ละคนและหยุดเกมส์ชั่วคราวสักครู่

 

“อึก อึก….”

 

อริซพยายามทำให้ลำคอชุ่มชื้นด้วยมือและปากเล็กๆ เป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้ยิ้ม

ยังไงก็ตามหากจ้องมากเกินไปคงเป็นการเสียมารยาท ข้าจึงหันกลับมามองไพ่ในมือของตน ภาพของคิงตรงเข้ามาสู่สายตา

 

“ราชา งั้นรึ”

 

ด้วยคำพูดที่บ่นพึมพำอย่างกระทันหัน ก็ทำให้สายตาที่มองย้อนกลับไปยังกระแสของเกมส์แปลกไป

 

สถานะของราชอาณาจักรในปัจจุบันนั้นแย่มาก ราชาและราชินีใช้พลังเพียงเพื่อความปรารถนา ผลประโยชน์ส่วนตนและกดขี่ข่มเหงเหล่าประชาชนเท่านั้น ขุนนาง、นักเวทย์、อัศวินชั้นกลางถึงชั้นสูงบางส่วนก็เป็นพวกเศษเดนที่ชอบชุมนุมสุมหัวกันหาแต่ผลประโยชน์ ความไม่พอใจของประชาชนทั่วไปสะสมจนเริ่มกำลังจะระเบิด

และถึงจะพูดเตือนไป ก็มีแต่จะเพิ่มกระแสความดูถูกประชาชนของพวกชนชั้นสูงให้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แทนที่จะช่วยคนจนที่ทุกข์ทรมานจากความยากจนและการทำงานอย่างหนัก พวกมันก็เอาแต่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตัวเอง และเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องผลประโยชน์เท่านั้น

 

ข้าทำได้แค่กอดความเกลียดชังซ่อนลึกลงไปภายใน

 

อย่างไรก็ตาม ในเกมส์ดิสแทนซ์ตำแหน่งพวกนั้นก็เป็นแค่เรื่องน่าขัน แต่กับธรรมชาติของเกม ข้าและฮัททีเรีย เอาแต่รอและดูด้วยไพ่ที่แข็งแกร่ง หรือก็คือ พวกข้าไม่คิดจะจบเกมส์ทันทีด้วยประสบการณ์ที่เหนือกว่า

คนที่พยายามเล่นอย่างแข็งขันก็มีเพียง มิแรนด้าที่ลง 2 กับ อริซที่หยุดเธอด้วยโจ๊กเกอร์ …..มีเพียงสองคนเท่านั้น

 

อะไรคือความแตกต่างระหว่างข้ากับพวกคนที่วิ่งหนีเอาตัวรอดเพราะกลัวสถานการณ์ปัจจุบัน

นั้นคือข้าทำเพื่อชัยชนะ แต่พวกนั้นทำเพื่อเอาตัวรอด

 

….ท้ายที่สุดแล้ว ราชาและราชินีเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมดใช่หรือไม่?

ยุคของราชารุ่นก่อนนั้นดีมาก มันไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อประชาชนทั่วไป อย่างไรก็ตามมีนโยบายจำนวนมากมุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับสภาขุนนาง และภัยคุกคามจากจักรวรรดิก็เข้ามาใกล้อย่างเห็นได้ชัด แต่ทั้งราชอาณาจักรก็ยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

มันจะไม่มีหนทางที่จะกลับไปยังยุคนั้นได้เลยรึ

 

ในขณะที่คิดเรื่องที่ไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นผู้นำกองทัพของราชอาณาจักร ข้าก็ได้ยินเสียงอริซวางถ้วยลง ข้าช่างหยาบคายจริงๆที่มัวแต่กังวลเรื่องพวกนั้นขณะที่ยังนั่งอยู่ที่นี่

ข้าจึงจิบไวน์แดงที่สั่นไหวในแก้ว และปรับอารมณ์ของตนเอง

 

“เช่นนั้น อริซซามะจะเล่นต่อไปเลยสินะคะ”

 

“อืม”

 

อริซหัวเราะด้วยเหตุผลบางอย่างหลังจากที่แต่ละคนนั่งลงบนเก้าอี้ดีแล้ว

 

ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย และวางตุ๊กตาหมีหิมะไว้บนตัก ก่อนจะเรียงไพ่บนมือ

 

――― และจากตรงนั่น เธอก็ดึงไพ่”สี่ใบ”ออกมา

 

“…..ไม่มีทาง”

 

――― จบแล้ว

 

อริซพูดแบบนั้นก่อนที่เกมส์จะเริ่ม

 

ถ้าอย่างงั้นเกมส์ที่เล่นอยู่ตอนนี้ล่ะ?

 

สั่นสะท้าน หลังของข้าเย็นยะเยือก

ข้ารู้สึกเหมือนถูกมองจนทะลุปรุโปร่งจากดวงตาสีทองที่จ้องมาที่ข้า

 

อาจเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่ มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆงั้นรึ ไม่ว่าโดยเหตุผลใดก็ตาม ในเวลานี้ข้าไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่จะคิดได้

 

แต่แม้ว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ตาม อลิซก็ได้แสดงให้เห็นว่ามันมีคำตอบเพียงหนึ่งเดียว

และในขณะที่ข้ากำลังจัดการกับความคิดไร้สาระ ข้าก็ได้พ่ายแพ้ไปแล้ว

 

อริซได้มอบคำตอบให้แต่แรกแล้ว

ทุกคนจะต้องเคยมีอย่างน้อยสักครั้งที่จะคิดว่าสงสัยว่าพวกเราจะย้อนกลับไปในยุคนั้นได้รึไม่

 

“ปะติวัด! “

 

ผู้ที่สั่นสะเทือนสนาม คือ ราชินีทั้งสี่

 

การปฏิวัติ อริซพูดเช่นนั้น

ถูกต้องแล้ว มันคือการกลับลำดับขั้นของไพ่ทั้งหมด กลับบทบาทในครั้งเดียว

แจ็ค、ราชินี、ราชา กลายเป็นไพ่ที่มีอำนาจ―――อยู่ใต้ประชาชนทั่วไป

 

นั่นคือ มันบังคับให้ผู้มีอำนาจต้องช่วยเหลือผู้ยากไร้

จากนักเวทย์สู่อัศวิน、จากขุนนางสู่ราชา ผู้ที่มีเวทมนตร์หรือทรัพย์สมบัติต้องทำการสนับสนุนไม่ลืมการมีอยู่ของประชาชนทั่วไป

 

พวกเรามีภาระหน้าที่ในการปกป้องผู้คนที่สนับสนุนเรา

 

แบบแผนนี้ช่วยเตือนถึงบทบาทจากถ้อยแถลงของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งราชอาณาจักร จากนั้นความเชื่อนี้ก็ถูกเรียกอย่างเปรียบเปรยว่า―――

 

“―――「Noblesse oblige」”

* Noblesse oblige มีความหมายมาจากรากศัพท์ภาษาฝรั่งเศสว่า “ผู้ทรงเกียรติย่อมต้องประพฤติอย่างทรงเกียรติ”

 

 

 

จากตรงนั้น เอซโพดำ เครื่องหมายอันสูงส่งที่มีความหมายถึง”สมดุล””ขุนนาง””และ”ฤดูหนาว” ก็เข้าจู่โจมสนามในฐานะมือสุดท้าย และน็อกซ์เบลก็ประกาศชัยชนะของอลิซด้วยเสียงที่ตื่นเต้น

ข้า、ฮัททีเรีย、มิแรนด้า

 

ไม่ว่าใคร ก็ไม่สามารถหยุดยั้งอริซได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 16 สายลมฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มพัดผ่านในยามที่หิมะยังมิทันละลาย

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 16 สายลมฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มพัดผ่านในยามที่หิมะยังมิทันละลาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 16 สายลมฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มพัดผ่านในยามที่หิมะยังมิทันละลาย

 

“―――จบแล้ว”

 

ในขณที่แต่ละคนกำลังตรวจไพ่ในมือและวางแผนการเล่นของตัวเอง ก็มีเสียงดังขึ้นทันที เสียงนุ่มไร้สิ่งใดเจือปน ที่พูดอธิบายได้แค่อย่างเดียวว่าน่ารัก อย่างไรก็ตามเสียงนั้นก็เต็มไปด้วยความมั่นใจตรงข้ามกับภาษาที่ยังไม่แข็งแรงนัก

ในชั่วขณะหนึ่ง ก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวนั้นแข็งทื่อ ทุกคนหยุดเคลื่อนไหว หรือแม้แต่หยุดคิด และหันไปมองที่เธอ

 

ข้า ――― ลาบริกซ์・โฮวาร์ดรีด เองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน

 

“….ฮะ ฮ่าๆๆ อริซ เกมส์ยังไม่ทันเริ่มเลย ลูกไม่คิดเหรอว่ามันเร็วเกินไปหน่อยที่จะคิดแบบนั้นน่ะ?”

 

เสียงของฮัททีเรียสั่นไหว แน่นอน เพราะเธอเล่นประกาศราวกับว่าได้รับชัยชนะไปแล้วอย่างทันที แต่จริง ๆ แล้วหาใช่เรื่องนั้นไม่

 

ข้าเห็นสิ่งนั่น ในร่างเล็กๆนั้น

ดวงตาสีทองที่ไม่สงสัยในชัยชนะของตน ซ้อนทับเข้ามา

 

ภาพของอลิเซีย ――― ผู้เป็นแม่ของเธอ ภรรยาของฮัททีเรีย และเพื่อนของข้าที่ได้เสียไปแล้ว

 

” ――― ฟุ คุๆๆๆๆ…..”

 

มันช่างราวกับเป็นเรื่องตลกที่ทำข้าแทบอดกลั้นขำไม่ได้ ราวกับภาพที่ฮัททีเรียพ่ายแพ้ให้กับความดือรั้นของอลิเซียได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ฉากตรงหน้าข้ามันเป็นเช่นนั้นเลย

 

ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอถือกำเนิด ข้าก็คอยเฝ้าดูอยู่ตลอด …..ไม่สิ ข้าแค่คิดไปเองว่าได้เฝ้าดู

ทุกๆครั้งที่ข้าแอบมองเข้าไป สิ่งเดียวที่เห็นคือ ร่างเล็กที่นอนหลับอยู่บนเตียงเท่านั้น และเมื่อถามน็อกซ์เบลถึงเรื่องราวยามตื่น ก็มักบอกเล่าว่าโดยปกติจะแสดงความสนใจในหนังสือภาพ แต่ก็ไม่ได้ออกไปไหน

 

ช่างน่าเป็นห่วง แน่นอนว่าเพราะเป็นลูกสาวที่เกิดจากเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า ข้าไม่สามารถไม่ใส่ใจได้

 

และเมื่อไม่นานมานี้ ข้าได้ยินมาว่าในที่สุดฮัททีเรียก็เข้าหาพูดคุยกับเธอ ตัวข้าเองก็รู้สึกยินดีด้วย

แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมของเธอไปมากนัก ข้าเองก็ไม่ได้คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนได้เร็วขนาดนั้น

 

ดังนั้น ในวันนี้ ข้าจึงมาเพื่อเผชิญหน้ากับเธอโดยตรง

แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักคือ การส่งมิแรนด้าเข้ามาเพื่อตรวจสอบแผนการลอบสังหารของกลุ่มต่อต้าน

อย่างไรก็ตาม หากแค่จะส่งมิแรนด้ามา ข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาเองโดยตรง สิ่งที่ข้าต้องทำก็เพียงแค่ส่งข่าวมาบอกฮัททีเรียว่า เธอกำลังจะมุ่งหน้ามาพบในวันนี้

 

ตอนแรกข้าคิดจะให้มิแรนด้าเขียนรายละเอียดสภาพเหตุการณ์ต่างๆของเธออย่างละเอียดมาเป็นรายงานส่งถึงข้าเป็นระยะๆ แต่ทว่า ข้าก็ไม่อาจสงบใจลงได้ และเหนืออื่นใด ข้าก็ยังมีงานของแม่ทัพประจำการกองรออยู่

 

…แล้ว ข้าก็ได้เห็นเธอประกาศชัยชนะอย่างกล้าหาญ  

 

ไม่ผิดแน่ แม้ดวงตาจะหย่อนคล้อยจากความเหนื่อยล้าจนอาจมองเห็นเหมือนเป็นดวงตาที่กำลังเศล้าหมอง พัฒนาการคำพูดอาจจะช้าเล็กน้อย และขี้อาย เข้ากับคนแปลกหน้าได้ยาก

แต่ข้าก็เห็น แม้ใบหน้าจะคล้ายอลิเซีย แต่ความรู้สึกส่วนลึกในสีหน้าก็ให้ความประทับใจชั่วพริบตาที่ไม่เหมือนอลิเซีย

ข้าเห็นภาพเงาในอดีตของเธอที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความรักความเมตตา และชอบเล่นพิเรนอีกนิดหน่อย 

 

หากอลิเซียอยู่ที่นี่ ก็คงไม่ต้องกังวลสิ่งใด พวกข้านั้นเป็นคนนอกที่ทำได้แค่มอบความรักธรรมดาๆให้ได้

ข้าได้ยินมาว่าเธอฉลาดมากๆที่สามารถทำความเข้าใจเรื่องภาษีได้ในวัยเพียงเท่านี้ ถ้าอลิเซียคือท้องฟ้าแจ่มใสล่ะก็ เด็กคนนี้ก็คือ ความสงบอันเปล่าเปลี่ยว แต่เต็มไปด้วยสติปัญญา ดวงตาที่กระตุ้นให้คิดถึงและก้าวไปข้างหน้า เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เหมาะสมกับเธอจึงเป็นสิ่งที่เรียกว่า หิมะ อย่างแน่นอน

 

จนถึงตอนนี้เธอก็เป็นแค่ “ลูกสาวของเพื่อน” อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ข้าได้ตระหนักอย่างชัดเจนแล้วว่าความรับรู้ของข้าได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

“ลาบริกซ์……?”

 

” ――― ไม่มีอะไร ฮ่าๆๆ จริงๆ เด็กคนนี้เป็นลูกสาวของอลิเซียอย่างไม่มีข้อสงสัย”

 

ทันที่ข้าพูดเช่นนั้น ฮัททีเรียก็ตัวแข็งค้างชั่วครู่ ก่อนที่ในไม่ช้าจะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่น่าสังเวช สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับเธอ ไม่สิ ต้องเป็นกับน็อกซ์เบลที่ยืนอยู่หลัง”อริซ” ต่างหาก

มิแรนด้าเป็นผู้เดี่ยวที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และอริซที่ควรจะเป็นตัวเอกของเรื่องนี้กลับกำลังเอียงคอสงสัย และมันทำให้ข้ารู้สึกตลกอีกครั้ง

 

“เอาล่ะ คุณหนูอริซ ทักษะที่ยืนยันว่าสามารถชนะได้ในทันทีหลังเพียงแค่มองไพ่บนมือของตัวเอง ช่วยแสดงให้ข้าได้เห็นอย่างเต็มตาได้หรือไม่”

 

“ฟุๆๆ”

 

อริซเหยียดหน้าอกราวกับจะบอกว่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเธอเอง บรรยากาศรอบๆก็หมุนกลับมาสงบทันที

ถ้าอย่างงั้นก็ดีสิ ข้ามองไพ่บนมือของตนเองขณะที่กำลังหัวเราะไปด้วย

 

“ฟุมุ…….”

 

3、4、7、9、10、2 และก็ 6กับแจ็ค อย่างละสองใบ คิง สามใบ

ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายเท่าไร อาจจะยากสักหน่อยที่จะได้อันดับหนึ่ง แต่ก็คงจะไม่ถึงกลับแพ้หมดรูป

 

ทิ้ง 4 ถึง 10 ที่ไม่จำเป็นไปก่อน จากนั้นรอจังหวะที่ไพ่บนมือของทุกคนลดลง เลือกเวลาอย่างสุขุม แล้วล้างสนามด้วยสอง สุดท้ายก็กุมตำแหน่งผู้นำ

หลังจากนั้นก็เปลี่ยนสนามเป็นของไพ่คู่ที่ไม่อาจจะหวนคืน และจบด้วยสามคิง

 

แต่มันจะเป็นเช่นนั้นหรือ บางที ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตอนที่ลง 2 หรืออย่างน้อยก็หลังจากที่ใครบางคนสามารถทำให้อริซใช้โจ๊กเกอร์ออกไปได้

 

“เชิญเลดี้เฟิร์สลงไพ่ก่อนได้เลย คุณหนูอริซ ข้าไม่ถือ”

 

“…..ได้เหรอ?”

 

อริซถามให้แน่ใจ แน่นอน ใครๆต่างก็ไม่คิดเอาชนะอย่างจริง            ๆจังๆสักคน จุดยืนของทุกคนมีเพียงต้องการเล่นสนุกด้วยกันเท่านั้น

เหนือสิ่งอื่นใดนี่เป็นครั้งแรกที่อริซพึ่งได้เรียนรู้กฎ นอกจากนี้โจ๊กเกอร์ก็เป็นแต้มต่อที่จำเป็นสำหรับมือใหม่

 

“แน่นอน”

 

โดยปกติทุกคนคงพยักหน้ารับทันที แต่ทว่าการให้เลดี้เฟิร์สนั้นกลับเป็นข้ออ้างที่มีข้อล้มเหลวเล็กน้อย นั้นคือ มิแรนด้าที่นั่งอยู่ถัดไปกำลังแสดงสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย ไม่สิ ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ข้าไม่อยากบอกว่า ข้าไม่อาจจะเรียกเจ้าว่าเลดี้เหมือนกับผู้หญิงทั่วๆไปได้

…….ข้ายังสงสัยตนเองด้วยซ้ำว่าจะยังสามารถเรียกเจ้าว่าเป็นผู้หญิงได้อยู่ได้ไหม

 

“จ๊า เริ่มจากฉัน”

 

ไม่ว่าข้าจะเข้าใจบรรยากาศของมิแรนด้าหรือไม่ อริซก็ดึงไพ่หนึ่งใบออกจากมือวางลงกลางโต๊ะอย่างรวดเร็ว

เป็นไพ่ที่มีรูปภาพของอัศวินแดงวาดไว้เป็นลวดลาย ตัวเลขที่เขียนไว้คือ 11 เป็นไพ่แจ็คที่มีความหมายทั่วไปว่าความรัก

 

“….อย่ารีบร้อนเกินไปสิ อริซ”

 

ฮัททีเรียมีรอยยิ้มอันขมขื่นหลังเห็นอริซปล่อยแจ๊คออกมาง่ายเกินไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนจะประกาศผ่าน

ข้าไม่ต้องการทำลายพลังของสามคิง และยังเร็วไปที่ตัดเกมส์ด้วยไพ่คู่ ดังนั้นข้าจึงผ่านเช่นกัน

 

“อื~ม………….”

 

เมื่อวนไปถึงรอบมิแรนด้า เธอก็คร่ำครวญทันที การที่เหลือที่ว่างสำหรับใคร่ครวญได้ แสดงว่าจะต้องมีไพ่ที่เหนือกว่าแจ็คสินะ หลังจากกลัดกลุ้มใจประมาณสิบวินาที เธอก็ลงไพ่ใบหนึ่งลงทับไปทันที

 

“อภัยให้ด้วย ฮิเมะ!”

 

ตัวอักษรที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากใต้ฝ่ามือคือ เอซหัวใจ(โพแดง) การที่กล้าออกไพ่ได้แบบนี้ เข้าใจล่ะ เจ้ายังมี 1 และ 2 อยู่อีกหลายใบสินะ แต่จะใช้ที่ไหนต่อไปกัน

 

“ไม่”

 

อริซเลือกที่จะผ่าน แม้ว่าจะยังไม่ยอมใช้ 2 กับโจ๊กเกอร์ แต่ก็ยังเป็นไปตามที่คาดไว้แต่แรก

จากนั้นฮัททีเรียกับข้าก็เลือกที่จะผ่านเช่นกัน น็อกซ์เบลจึงทำการเก็บไพ่แจ็คและเอซออกไปเพื่อเคลียร์สนาม

 

“เอาล่ะ…ก่อนอื่น”

 

มิแรนด้าเลือกที่จะเปิดสนามว่างเปล่าด้วย 8 ข้ารู้สึกได้ถึงการพยายามตัดกำลัง กล่าวอีกนัยคือ เป็นไปได้ว่าไพ่ที่ต่ำกว่า 8 มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีมากกว่าหนึ่งคู่

 

“….ก่ะ”

 

อริซออก 10 ลงไปทับ มันเป็นการลงไพ่ธรรมดาที่ไม่มีอะไรแปลก

 

ยังไงก็ตาม จากจุดๆนี้การที่สามารถเล่นตามกฏ”มาตรฐาน”ได้ตั้งแต่ครั้งแรก ความเฉลียวฉลาดที่ไม่ตรงกับอายุนั้นกำลังไหลบ่าออกมา

หรืออีกทางหนึ่งอาจจะแค่ออกไพ่ตามลำดับสมควรเท่านั้น แต่มันก็มีระยะรูปแบบการลงที่เหมือนคิดอย่างถี่ถ้วนมาแล้ว

 

ไม่ แม้จะข้ามกฏบางอย่างไปเพื่อให้เล่นได้ง่ายขึ้น ก็ไม่ใช่ข้อแก้ต่างที่จะใช้ปฏิเสธความสามารถในการเล่นดิสแทนซ์ของผู้ที่สามารถเข้าใจภาษีเช่นนี้ได้

ช่างน่าหวาดหวั่นจริงๆ เมื่อข้าลองนึกภาพอนาคตดู ก็เผลอเกือบยิ้มพิลึกๆออกมาโดยไม่ตั้งใจ

 

“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ”

 

ฮัททีเรียกล่าวเช่นนั้นแล้วก็ลงแจ็ค มันยังเร็วไปที่จะใช้ 2 ยังไงก็ตามไพ่บนมือของข้ายังไม่ลดลงตั้งแต่เริ่มเกมส์ ข้าควรลดจำนวนไพ่ลงตอนนี้เลยดีไหม แต่มันจะเป็นการทำลายพลังสามคิง เอายังไงดี

 

…..เดี๋ยวก่อนสิ มิแรนด้าที่อยู่ถัดไปกำลังสลับตำแหน่งไพ่บนมือของตนเองอยู่ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ 

หลังจากรอดูจนจบ ข้าก็ตัดสินใจ ผ่าน ล่ะ

 

“น่าอึดอัดจริง”

 

กระแสไม่ดีเวียนมาหาข้า ทั้งหมดที่ข้าทำได้คือประกาศ ผ่าน อย่างเจ็บปวดที่ไพ่บนมือไม่ลดลงแม้แต่นิด

จากนั้นมิแรนด้าที่รออยู่แล้ว ก็รีบลงไพ่ของตนทับลงไปบนแจ็คทันที

 

“….เข้าใจล่ะ”

 

มันคือ 2 เพราะรู้ตัวดีว่าอริซมีโจ๊กเกอร์อยู่บนมือจึงต้องโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไงก็ตามหากมันอยู่แต่ในกองไพ่ต่อไปมันก็เป็นแค่ของเปล่าประโยชน์เท่านั้น หรือจะมีสิ่งรับประกัน น่าจะเป็น 2 สักใบ หรืออาจจะมากกว่าหนึ่งใบ

แต่ถึงจะเป็นทางไหนมันก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงกระแสของเกมส์ได้ แต่มันก็จะกลายเป็นเหตุผลที่ดีที่จะทำให้อยากเล่นอีกครั้งเพื่อแก้มือ

นั่นหมายถึงกรณีที่มีไพ่คู่หรือไพ่สามอยู่ในมือหลายชุด เห็นได้ชัดว่าจากนี้จะเป็นการตัดสินใจที่จะส่งผลต่อแผนการทั้งหมด

 

ซ้า อริซจะตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างไร―――

 

“โจ๊กก๊า”

 

“คู๊…..สามารถหยุดดิฉันได้ ………ช่างสมกับที่คาดหวังจริงๆค่ะ ฮิเมะ”

 

เข้าใจล่ะ บีบให้หยุดสินะ

 

ข้าไม่รู้ว่าอริซคิดไปไกลแค่ไหน แต่การที่ใช้โจ๊กเกอร์ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวที่แย่อะไร

เพราะสามารถเห็นได้จากกระแสที่ไหลย้อนกลับไปใส่มิแรนด้า

 

และสำหรับมิแรนด้านี่เป็นการท้าทายครั้งแรก และไม่ได้คาดคิดว่าเด็กอย่างอลิซจะสามารถหยุดเธอได้ เติบโตขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจนัก ข้าส่งยิ้มแห่งการสรรเสริญให้อริซ

แน่นอน มิแรนด้าไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้เอาไว้ ต่อให้ตั้งใจวางอุบายเอาไว้แค่ไหนก็ตาม

 

“เช่นนั้น ขออนุญาตนะคะ”

 

และน็อกซ์เบลก็ทำการเคลียร์สนามอีกครั้ง ในระหว่างนั้นก็เป็นการถือโอกาสรินเครื่องดื่มลงในถ้วยเปล่าของแต่ละคนและหยุดเกมส์ชั่วคราวสักครู่

 

“อึก อึก….”

 

อริซพยายามทำให้ลำคอชุ่มชื้นด้วยมือและปากเล็กๆ เป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้ยิ้ม

ยังไงก็ตามหากจ้องมากเกินไปคงเป็นการเสียมารยาท ข้าจึงหันกลับมามองไพ่ในมือของตน ภาพของคิงตรงเข้ามาสู่สายตา

 

“ราชา งั้นรึ”

 

ด้วยคำพูดที่บ่นพึมพำอย่างกระทันหัน ก็ทำให้สายตาที่มองย้อนกลับไปยังกระแสของเกมส์แปลกไป

 

สถานะของราชอาณาจักรในปัจจุบันนั้นแย่มาก ราชาและราชินีใช้พลังเพียงเพื่อความปรารถนา ผลประโยชน์ส่วนตนและกดขี่ข่มเหงเหล่าประชาชนเท่านั้น ขุนนาง、นักเวทย์、อัศวินชั้นกลางถึงชั้นสูงบางส่วนก็เป็นพวกเศษเดนที่ชอบชุมนุมสุมหัวกันหาแต่ผลประโยชน์ ความไม่พอใจของประชาชนทั่วไปสะสมจนเริ่มกำลังจะระเบิด

และถึงจะพูดเตือนไป ก็มีแต่จะเพิ่มกระแสความดูถูกประชาชนของพวกชนชั้นสูงให้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แทนที่จะช่วยคนจนที่ทุกข์ทรมานจากความยากจนและการทำงานอย่างหนัก พวกมันก็เอาแต่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตัวเอง และเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องผลประโยชน์เท่านั้น

 

ข้าทำได้แค่กอดความเกลียดชังซ่อนลึกลงไปภายใน

 

อย่างไรก็ตาม ในเกมส์ดิสแทนซ์ตำแหน่งพวกนั้นก็เป็นแค่เรื่องน่าขัน แต่กับธรรมชาติของเกม ข้าและฮัททีเรีย เอาแต่รอและดูด้วยไพ่ที่แข็งแกร่ง หรือก็คือ พวกข้าไม่คิดจะจบเกมส์ทันทีด้วยประสบการณ์ที่เหนือกว่า

คนที่พยายามเล่นอย่างแข็งขันก็มีเพียง มิแรนด้าที่ลง 2 กับ อริซที่หยุดเธอด้วยโจ๊กเกอร์ …..มีเพียงสองคนเท่านั้น

 

อะไรคือความแตกต่างระหว่างข้ากับพวกคนที่วิ่งหนีเอาตัวรอดเพราะกลัวสถานการณ์ปัจจุบัน

นั้นคือข้าทำเพื่อชัยชนะ แต่พวกนั้นทำเพื่อเอาตัวรอด

 

….ท้ายที่สุดแล้ว ราชาและราชินีเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมดใช่หรือไม่?

ยุคของราชารุ่นก่อนนั้นดีมาก มันไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อประชาชนทั่วไป อย่างไรก็ตามมีนโยบายจำนวนมากมุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับสภาขุนนาง และภัยคุกคามจากจักรวรรดิก็เข้ามาใกล้อย่างเห็นได้ชัด แต่ทั้งราชอาณาจักรก็ยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

มันจะไม่มีหนทางที่จะกลับไปยังยุคนั้นได้เลยรึ

 

ในขณะที่คิดเรื่องที่ไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นผู้นำกองทัพของราชอาณาจักร ข้าก็ได้ยินเสียงอริซวางถ้วยลง ข้าช่างหยาบคายจริงๆที่มัวแต่กังวลเรื่องพวกนั้นขณะที่ยังนั่งอยู่ที่นี่

ข้าจึงจิบไวน์แดงที่สั่นไหวในแก้ว และปรับอารมณ์ของตนเอง

 

“เช่นนั้น อริซซามะจะเล่นต่อไปเลยสินะคะ”

 

“อืม”

 

อริซหัวเราะด้วยเหตุผลบางอย่างหลังจากที่แต่ละคนนั่งลงบนเก้าอี้ดีแล้ว

 

ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย และวางตุ๊กตาหมีหิมะไว้บนตัก ก่อนจะเรียงไพ่บนมือ

 

――― และจากตรงนั่น เธอก็ดึงไพ่”สี่ใบ”ออกมา

 

“…..ไม่มีทาง”

 

――― จบแล้ว

 

อริซพูดแบบนั้นก่อนที่เกมส์จะเริ่ม

 

ถ้าอย่างงั้นเกมส์ที่เล่นอยู่ตอนนี้ล่ะ?

 

สั่นสะท้าน หลังของข้าเย็นยะเยือก

ข้ารู้สึกเหมือนถูกมองจนทะลุปรุโปร่งจากดวงตาสีทองที่จ้องมาที่ข้า

 

อาจเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่ มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆงั้นรึ ไม่ว่าโดยเหตุผลใดก็ตาม ในเวลานี้ข้าไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่จะคิดได้

 

แต่แม้ว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ตาม อลิซก็ได้แสดงให้เห็นว่ามันมีคำตอบเพียงหนึ่งเดียว

และในขณะที่ข้ากำลังจัดการกับความคิดไร้สาระ ข้าก็ได้พ่ายแพ้ไปแล้ว

 

อริซได้มอบคำตอบให้แต่แรกแล้ว

ทุกคนจะต้องเคยมีอย่างน้อยสักครั้งที่จะคิดว่าสงสัยว่าพวกเราจะย้อนกลับไปในยุคนั้นได้รึไม่

 

“ปะติวัด! “

 

ผู้ที่สั่นสะเทือนสนาม คือ ราชินีทั้งสี่

 

การปฏิวัติ อริซพูดเช่นนั้น

ถูกต้องแล้ว มันคือการกลับลำดับขั้นของไพ่ทั้งหมด กลับบทบาทในครั้งเดียว

แจ็ค、ราชินี、ราชา กลายเป็นไพ่ที่มีอำนาจ―――อยู่ใต้ประชาชนทั่วไป

 

นั่นคือ มันบังคับให้ผู้มีอำนาจต้องช่วยเหลือผู้ยากไร้

จากนักเวทย์สู่อัศวิน、จากขุนนางสู่ราชา ผู้ที่มีเวทมนตร์หรือทรัพย์สมบัติต้องทำการสนับสนุนไม่ลืมการมีอยู่ของประชาชนทั่วไป

 

พวกเรามีภาระหน้าที่ในการปกป้องผู้คนที่สนับสนุนเรา

 

แบบแผนนี้ช่วยเตือนถึงบทบาทจากถ้อยแถลงของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งราชอาณาจักร จากนั้นความเชื่อนี้ก็ถูกเรียกอย่างเปรียบเปรยว่า―――

 

“―――「Noblesse oblige」”

* Noblesse oblige มีความหมายมาจากรากศัพท์ภาษาฝรั่งเศสว่า “ผู้ทรงเกียรติย่อมต้องประพฤติอย่างทรงเกียรติ”

 

 

 

จากตรงนั้น เอซโพดำ เครื่องหมายอันสูงส่งที่มีความหมายถึง”สมดุล””ขุนนาง””และ”ฤดูหนาว” ก็เข้าจู่โจมสนามในฐานะมือสุดท้าย และน็อกซ์เบลก็ประกาศชัยชนะของอลิซด้วยเสียงที่ตื่นเต้น

ข้า、ฮัททีเรีย、มิแรนด้า

 

ไม่ว่าใคร ก็ไม่สามารถหยุดยั้งอริซได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+