[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 26 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 6 ดวงตาออบซิเดียน

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 26 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 6 ดวงตาออบซิเดียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 6 ดวงตาออบซิเดียน

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ อริซซามะ”

 

“….อาฟู๊ อารุนสาหวัด”

 

ทัศนวิสัยยังคงพร่ามัว รอบๆตัวมีม่านเตียงนอน กับคู่หูอย่างเช่นเคย…..ไม่สิ มีเบลล์ซังที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่ข้างๆ มือของพวกเรายังคงเชื่อมต่อกัน แล้วเธอก็ขยับมืออีกข้างออกมาจากฟูกทั้งๆแบบนั้น

 

“ดูเหมือนจะหลับฝันดีสินะคะ”

 

“ฟุเนี๊ยว……?”

 

และในขณะที่ฉันยังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ เธอก็ลูบหัวของฉันเพื่อจัดทรงผมที่ยุ่งกระเซิงให้

ฉันถูกลูบหัวไปซักพักจนในที่สุดก็เริ่มตื่น เลยรู้สึกตัวตัวเองกำลังถูกลูบหัวด้วยใบหน้าน่าอายอยู่

ฉันรีบเช็ดน้ำลายบริเวณริมฝีปาก ก่อนกอดคู่หูเอาไว้แล้วรีบแอบเข้าไปซ่อนในฟูก

 

“อาร๊าๆ ฟุๆๆๆ”

 

“อู๊…..”

 

ครู่ต่อมา เสียงผ้าก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าคนข้างๆกำลังลุกขึ้น ลมเย็นไหลเข้ามาในฟูกลูบผ่านผิวของฉัน

เบลล์ซังลุกขึ้นนั่งก่อนยืดตัวบิดขี้เกียจ

 

“อึงงงง ฮา…..”

 

จะไปทำงานของข้ารับใช้ประจำวันแล้วเหรอ

ฉันแอบมองโดยโผล่ออกมาจากฟูกแค่ดวงตา เบลล์ซังยิ้มตอบกลับมาให้

 

“จะไปแล้ว…….?”

 

“นั้นสินะคะ”

 

เบลล์ซังพูดแล้วเอียงคอครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะตันเอวนั่งหลังพิงกำแพง

แปะๆๆ เธอตบตักแล้วกวักมือเรียกฉัน

 

“พวกเราผ่อนคลายกันอีกสักนิดไหมคะ อริซซามะ?”

 

“….อืม”

 

เธอประกาศตั้งใจหยุดอย่างง่ายดาย แต่ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนี้ ยังไงก็ตามเธออุตสาเป็นห่วง ฉันเลยเข้าไปหาเธออย่างว่าง่าย

ฉันคลานเข้าไปช้าๆด้วยท่าทางที่ไม่เหมือนเด็กสาว เข้าไปหยุดที่ข้างๆเธอก่อนที่จะหนุนหัวนอนบนตักเหมือนเมื่อคืน

 

“……ยังเจ็บอยู่รึเปล่าคะ?”

 

“อึง”

 

อย่างน้อยการย้ายมานอนหนุนตักก็แทบไม่มีอาการเจ็บหรือปวดจากการเคลื่อนไหวน้อยๆแบบนี้ แน่นอนมีอาการเจ็บอยู่บ้างหากโดนตรงๆ แต่อาการก็จางหายไปเองในไม่นาน

ฉันไม่สามารถพูดได้ว่ามันหายแล้ว แต่อย่างน้อยก็โอเคที่จะบอกว่าไม่เป็นไร

 

“ม๊ายเป็นรัย”

 

“……อย่าหักโหมให้มากเกินไปนะคะ?”

 

“อืม แน่นอน ฉันไม่คิดเคลื่อนไหว”

 

ดวงตาสีดำสวยล้ำลึกของเบลล์ซังจ้องเขม็งมาที่ฉันเพื่อยืนยันความจริงในขณะที่กอดฉันแน่น หลังจากจ้องจนแน่ใจแล้วว่าฉันไม่ได้โกหก เธอก็ถอนหายใจโล่งอกเสียงดังที่ทำให้ฉันโล่งใจไปด้วย

 

“ดูเหมือนว่าอาการจะดีขึ้นแล้วจริงๆ ดีจริงๆเลยค่ะ”

 

“ดีจัง ดีจัง”

 

ไม่สิ ที่จริงต้องบอกว่าไม่ดีสุดๆเลยต่างหาก ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวอาการปวดอย่างรุนแรงก็จะวิ่งแล่นไปทั่วร่างกาย ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วย

แม้แต่ตอนนี้เอง ที่ฉันเผลอประมาทนอนทับตุ๊กตายัดนุ่นตัวหนึ่งโดนตรงแผลตรงๆ ทุกครั้งที่พลิกตัวโดนความเจ็บปวดก็พุ่งขึ้นจนอยากกรีดร้องเสียงดัง

เมื่อคืนที่ผ่านมา เบลล์ซังกอดฉันเอาไว้แน่นแทบหายใจไม่ออก แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นการป้องกันไม่ให้ฉันพลิกตัวรุนแรงจนโดนแผล ทำให้ฉันตืนขึ้นมาด้วยไม่เสียงน้ำตา เป็นโชคดีอย่างไม่คาดคิด

ดูเหมือนว่าเบลล์ซังจะไม่แค่ช่วยให้ร่างกายของฉันนอนหลับฝันดี แต่ยังช่วยถึงจิตใจด้วย ไม่นานฉันอาจจะเคารพเธอมากๆจนเปลี่ยนจากเบลล์〝ซัง〟ไปเป็นเบลล์〝ซามะ〟

 

“เอาล่ะค่ะ อริซซามะ? ดิฉันขอตัวไปเตรียมอาหารเช้าก่อนไห้ไหมคะ?”

 

“อะ อืม”

 

เบลล์ซังยังมีหน้าที่ของหัวหน้าข้ารับใช้อยู่ มันคงไม่ดีที่จะรั้งเธอไว้นานเกินไป

ฉันค่อยๆยกหัวขึ้นจากตักของเธอ ย้ายมานั่งข้างๆ

 

“ดิฉันจะรีบกลับมาทันทีที่อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะ และก็มิแรนด้าซังจะย้ายเข้ามาที่นี่ประมาณตอนเที่ยงวันนี้นะคะ”

 

“มิร่า?”

 

“ค่ะ ดูเหมือนการฝึกพิเศษจะจบลงเมื่อวานนี้”

 

“งั้นเหรอ”

 

ม๊า ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังจะมาเร็วๆนี้ เพราะเบลล์ซังย้ายมาอยู่ที่ห้องของฉันแล้ว แต่ฉันไม่คิดว่าจะเป็นเมื่อวานของวันนี้ ดูจะเป็นขั้นตอนที่เร่งรีบไปสักนิด

…..ไม่สิ นั้นสินะ ที่จริงไม่ต้องคิดเลยก็ได้ ฉันพึ่งถูกโจมตีที่ตลาด เพราะงั้นจึงไม่มีอะไรผิดปกติหากอัศวินผู้พิทักษ์อย่างมิร่าซังที่มีหน้าที่คุ้มกันฉันโดยตรงจะรีบมาอยู่เคียงข้างฉันโดยเร็ว

 

“และดูเหมือนว่าจะมีการให้กองอัศวินออกลาดตระเวนรอบมาเรียนามาสักพักหนึ่งแล้วด้วยค่ะ”

 

“เอ๊ะ”

 

ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฉันหมายถึงฉันกำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดอยู่ในห้องนี่จึงไม่มีทางรู้ได้ มันเป็นการลาดตระเวนสินะ แน่นอนอยู่แล้วว่าหากมีขุนนางถูกโจมตีก็จะต้องมีการทำแบบนี้

หากจิตรนาการโดยเปลี่ยนขุนนางให้เป็นชนชั้นปกครองในโลกก่อนก็จะสามารถเข้าใจเรื่องราวได้อย่างง่ายดาย คิดว่าคงจะมีการลาดตระเวนอย่างเข้มงวดในพื้นที่สักระยะหนึ่ง

 

“รอบ บ้านด้วย?”

 

“ค่ะ ไม่เพียงแค่ในตัวเมือง ดูเหมือนว่าจะมีบางคนที่ได้รับหน้าที่ให้ลาดตระเวนดูแลรอบๆคฤหาสน์ และถนนจากที่นี่ไปยังเมืองด้วย”

 

“ว้าว สุดยอด”

 

“นั้นเป็นเพราะอริซซามะเป็นบุตรีคนเดียวของขุนนาง แต่ก็ยังถูกโจมตี แถมเมื่อพูดถึงมาเรียนา……..”

 

เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสถานภาพทางสังคมของขุนนางนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน มันเป็นสถานะที่น่าตกตะลึงด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว แม้จะได้สัมผัสด้วยตัวเอง แต่มันก็ยังยากที่ฉันจะเชื่ออยู่ดี

ทว่าตอนนี้ฉันสนใจคำพูดต่อไปจากที่ว่า〝เมื่อพูดถึงมาเรียนา〟มากกว่า

ฉันรู้ว่าที่นี่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่มีเส้นทางพิเศษหนึ่งเดียวที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหากมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่นี่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน

 

……..และประเทศเพื่อนบ้านคือ

 

“จักรกาหวัด?”

 

“――――っ……!? …..ทำไม ไม่สิ ดิฉันหลุดปากไปงั้นเหรอ”

 

แย่แล้ว เบลล์ซังเอามือกุมปิดปากตัวเอง ก่อนที่จะถอนหายใจหนึ่งทีแล้วมองมาที่ฉันด้วยดวงตาเบิกกว้างเหมือนกับยอมแพ้แล้ว

 

“……ตามที่อริซซามะสงสัยเลยค่ะ เส้นทางของมาเรียน่านั้น มีกฏระเบียบพิเศษที่แตกต่างจากเขตอื่นๆเล็กน้อย”

 

“พิเจก”

 

ฉันไม่มีความจำเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลย แต่เรื่องที่ฉันกังวลเกี่ยวกับจักรวรรดิดูเหมือนจะไม่ผิดพลาด ดังนั้นฉันจึงพยักหน้าให้

 

“ค่ะ มาเรียน่า ตั้งอยู่ระหว่างราชอาณาจักรและจักรวรรดิที่เคยทำสงครามกันมาก่อน ที่นี่นั้นเป็นเขตเป็นกลางที่ปราศจากอาวุธ”

 

“เป็นกลาง…..อาวุด….”

 

“เขตเป็นกลางที่ปราศจากอาวุธค่ะ นั้นคือเป็นสถานที่ที่ทุกฝ่ายลงนามข้อตกลงห้ามมีอาวุธและการต่อสู้ค่ะ”

 

“เขตเป็นกลาง ปราสะจาก อาวุด”

 

“ค่ะ เก่งมากเลยค่ะ อริซซามะ”

 

ในขณะที่พยายามจำคำพูดสุดละเอียดอ่อนที่ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาศใช้ในอนาคตไหม ฉันก็ย่อยสิ่งที่เบลล์ซังพูดไปด้วย

ดูเหมือนว่าที่มาเรียน่าจะเป็นเขตเป็นกลางที่ทั้งราชอาณาจักรและจักรวรรดิจะไม่สามารถติดอาวุธเข้ามาได้ หากเป็นตามปกติก็ต้องมีอัศวินปกป้องชายแดนอยู่ แต่เพราะที่นี่เป็นเส้นทางพิเศษหนึ่งเดียวที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมวันนั้นฉันถึงไม่เห็นอะไรที่คล้ายกับแบบนั้นเลย

แน่นอนว่าฉันอาจจะมองข้ามไปเองก็ได้ แต่ก็อาจจะมีหน่วยขนาดเล็กที่ถูกเก็บไว้เป็นความลับก็ได้

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากมองเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างเป็นกลาง

มันคือเหตุการณ์ที่บุคคลสำคัญ ลูกสาวของท่านลอร์ดผู้ปกครองดินแดนถูกลอบสังหารในเขตเป็นกลาง

 

…..เข้าใจแล้ว เลวร้ายแบบสุดๆเลย

 

“อันตราย”

 

“…..ค่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรและจักรวรรดิอาจแย่ลงไปอีก”

 

ไม่ว่าความจริงเบื้องหลังคืออะไร ก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่ามีการสังหารขุนนางในเขตเป็นกลาง ซึ่งหมายความว่ามันอาจสามารถยกระดับไปสู่ปัญหาระหว่างประเทศได้ในทันที ด้วยเรื่องนี้หากเบื้องบนของราชอาณาจักรประกาศว่ามันเป็นฝีมือของจักรวรรดิแล้ว แน่นอนว่ามันจะทำให้เกิดการตอบโต้รุนแรงทันที

 

“ม่ายเป็นร๊ายเหรอ?”

 

“ครั้งนี้ลาบริกซ์ซามะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วค่ะ ด้วยการพิสูจน์ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของกลุ่มผู้ที่ไม่พอใจในราชอาณาจักรปัจจุบันค่ะ แม้อาจจะมีคนที่ไม่เห็นด้วย แต่ก็น่าจะทำให้ไม่เกิดปัญหากับจักรวรรดิ…..”

 

“งั้นเหรอ”

 

ยังไงซะลาบริกซ์ซังก็เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ฉันแน่ใจว่าเขามีมิตรภาพที่ลึกซึ้งกับคุณพ่อ ฉันจึงคิดว่าเขาต้องเคลื่อนไหวโดยให้เรื่องนี้มีลำดับความสำคัญสูงสุด

 

“เอ๊ะโตะ ดิฉันต้องขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ อริซซามะ ……หลายครั้งที่ดิฉันคุยกับอริซซามะ ดิฉันรู้สึกราวกับกำลังพูดคุยอยู่กับคนที่มีอายุเท่ากันเสมอๆ”

 

“เอ๊ะ…..”

 

โดกิ หัวใจของฉันเต้นแรงจนแทบทะลุ นานแค่ไหนแล้วที่เบลล์ซังสังเกตเห็น

มันชัดเจนอยู่แล้วว่า แววตาของฉันไม่ใช่ของเด็กสาวอายุห้าขวบ ฉันรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณจนฉันเผลอหลบตาโดยไม่ได้ตั้งใจ

จากนั้นเบลล์ซังก็หัวเราะอายๆเหมือนไม่มีอะไรแล้วลุกจากเตียง

 

“แต่จะเป็นไปได้ยังไง อริซซามะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ตามเวลา น่าจะเป็นดิฉันเองที่ดูเด็กลงล่ะค่ะ”

 

“มะ ไม่ใช่หรอก”

 

ฉันพยายามกลบเกลื่อนด้วยสีหน้าละเอียดอ่อนเหมือนให้กลายเป็นมุกตลกที่ไม่ตลก ให้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าความเข้าใจผิดที่ไม่ต้องใส่ใจ เบลล์ซังยิ้มตอบกลับมาก่อนเอื้อมมือไปที่ประตู

 

“เช่นนั้น ดิฉันขอตัวไปเตรียมอาหารเช้าก่อนนะคะ กรุณารอสักครู่ค่ะ”

 

“อืม ขอบคุณ”

 

จากนั้นเมื่อเห็นว่าประตูถูกปิดสนิท ฉันก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

ดูเหมือนหัวข้อสุดท้ายที่คุยกับเบลล์ซังจะหนักหนาทำให้เหนื่อยยิ่งกว่าเรื่องยากๆที่คุยกันหลังตื่นนอนซะอีก ส่วนตอนนี้ก็ทำได้แค่ปล่อยวางและรอจนกว่าเบลล์ซังจะกลับมาพร้อมอาหารเช้า

คู่หูที่โดนฉันกอดไว้แน่นกลางอกยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“… เป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“ค่ะ ฮัททีเรียซามะ ในขณะนี้ดูเหมือนจะไม่เจ็บบาดแผลแล้ว และในขณะนอนหลับก็ไม่มีท่าทางว่ากำลังฝันร้ายเป็นพิเศษค่ะ”

 

“งั้นเหรอ……”

 

หลังจากได้ยินรายงานสภาพร่างกายของอริซซามะ ฮัททีเรียซามะก็ดูโล่งใจก่อนจะเอนตัวพิงเก้าอี้ไม้แข็งของห้องทำงาน ฉันเห็นได้ถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นค่อยๆถูกดึงออกไป

……….เหตุผลที่ดิฉันตัดสินใจเข้าไปอยู่ในห้องของอลิซซามะนั้นไม่ใช่เพียงแค่เพราะต้องจัดการห้องให้มิแรนด้าซังเท่านั้น

 

“ยังไงก็ตาม นอกเหนือจากร่างกายแล้ว…..อย่างอื่นล่ะ”

 

“ค่ะ……ด้านจิตใจไม่แสดงความหวาดกลัวใดๆออกมาให้เห็นเลยค่ะ ดีจนรู้สึกว่าดีเกินไปค่ะ”

 

ถูกโจมตียามออกนอกบ้านครั้งแรก เกือบจะถูกฆ่าตาย และต้องมาเป็นพยานได้เห็นผู้ที่มอบความไว้วางใจมากที่สุดอย่างดิฉันหลั่งเลือด ยิ่งไปกว่านั้นยังฝืนรับเอาอาการบาดเจ็บที่ใหญ่เกินไปสำหรับร่างเด็กเล็กๆนั้น

ดิฉันสงสัยจริงๆว่าโลกภายนอกได้ปลูกฝังความกลัวลงไปในร่างเล็กๆนั้นเท่าไรกันแล้ว

ดิฉันตัดสินใจเข้าไปอาศัยร่วมห้องเพื่อค้นหา และเพื่อรักษา แน่นอนสามารถพูดได้ว่านี้เป็นเหตุผลใหญ่ที่สุด

แต่ในเวลานั้นอริซซามะอดทนไว้โดยไม่ยอมร้องออกมาแม้จะเจ็บแค่ไหนก็ตาม ดิฉันแน่ใจว่ามันจะต้องเจ็บจนเกินจะบรรยายได้ แต่ถึงอย่างงั้นอริซซามะกลับยิ้ม และบอกไม่เป็นไร และบอกรัก

 

“อริซซามะ……..”

 

“เบลล์”

 

“……คะ ขออภัยด้วยค่ะ ดิฉันอดที่จะหดหู่ไม่ได้”

 

“….ไม่หรอก ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน”

 

ใบหน้าของฮัททีเรียซามะที่พยายามปลอมดิฉันก็มีสีหน้าหดหู่มืดมนไม่ต่างกัน

ยังไงก็ตามในที่สุด เป้าหมาย การพาออกไปข้างนอกก็สำเร็จแล้ว การฝืนรักษาก็เหมือนการขุดลึกเข้าไปในแผลที่อ่อนนุ่ม

ตอนนี้อริซซามะอาจจะดูเหมือนดีขึ้นแล้ว แต่มันก็อาจจะเป็นแค่การกดอารมณ์เอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น แผลภายในใจเช่นนี้ มันจะค่อยๆกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่โถมเข้าหาในท้ายที่สุด

 

“เจ้าเห็นอะไรที่แปลกๆบ้างหรือไม่?”

 

“ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษค่ะ”

 

ไม่มี และดิฉันพยายามรักษาสถานภาพของพวกเราเอาไว้คงเดิม แล้วทันใดนั้นดิฉันก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้

ใช่ ช่วงเวลาที่อริซซามะดูแตกต่างจากปกติ ฮ้า ทำไมดิฉันถึงมารู้สึกตัวเอาตอนนี้กัน

 

“ไม่สิ มีอยู่ค่ะ”

 

“อะไรงั้นรึ……?”

 

มันเป็นประสบการณ์ในขณะที่ใช้เวลาอยู่ในห้องเดียวกันเมื่อวานนี้ที่สั่นสะท้านเข้าไปถึงหัวใจของฉัน ในที่สุดดิฉันก็ตระหนักได้ถึงตัวตนอันไม่กลมกลืนที่ทำให้รู้ไม่สบายใจ

พฤติกรรมบางอย่างที่เห็นได้ชัดปรากฏออกมา

ครั้งแรกคือเมื่อคืน ก่อนเข้านอน

 

“――――อริซซามะอยากให้ดิฉันนอนด้วยกันบนเตียง และจับดึงแขนของดิฉันให้นอนข้างๆเอาไว้แน่น”

 

“…..นั้นเป็นเรื่องที่อริซยามปกติไม่มีทางทำอย่างแน่นอน”

 

เพราะความผูกพันที่ผ่านมาทำให้ดิฉันไม่ได้ตระหนักถึงท่าทางพยายามเอาแต่ใจของอริซซามะ แต่ดิฉันก็ควรที่จะสังเกตเห็นถึงท่าทางการเอาแต่ใจที่แตกต่างจากปกติตั้งแต่แรก

ทั้งๆที่อริซซามะไม่เคยจะเอาแต่ใจเช่นนี้มาก่อน เธอถึงกับใช้การเอาใจทางกายอ้อนให้ดิฉันนอนด้วย แม้ว่าดิฉันจะแสดงออกว่าปฏิเสธแค่ไหนก็ตาม?

ไม่มีทางเป็นไปได้ สภาวะไม่ปกตินี้ไม่เคยเกิดขึ้นจนกระทั่งบัดนี้

 

“ค่ะ เมื่อมาพิจารณาให้ดีตอนนี้ ในตอนที่ถูกขอร้องให้กอด ท่าทางยามนั้นดูสิ้นหวังมากๆเลยค่ะ”

 

อริซซามะเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาที่เปียกชื้นเหมือนลูกสุนัขตัวน้อยที่หวาดกลัวการถูกทิ้ง และดึงแขนเสื้อของดิฉันเอาไว้แน่น ดูเหมือนเบื้องหลังท่าทางเช่นนั้นคือ ความสิ้นหวังที่ทำให้พูดสิ่งใดออกมาก็ได้

ดิฉันรู้สึกเหมือนไม่สามารถปฏิเสธได้ เข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เพียงแค่เพราะความน่ารักเกินห้ามใจของอริซซามะ

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“…..และแม้หลังจากนั้น เมื่อเช้านี้ยามที่ดิฉันกำลังจะออกจากห้อง ดิฉันก็ถูกจับมือเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย และเมื่อดิฉันออกมาจากห้องได้แล้ว เวลานั้นอริซซามะก็ดูเศร้าสร้อย มองมาด้วยสายตาเปล่าเปลี่ยว……ราวกับกำลังบอกว่า อย่าไป”

 

เมื่อดิฉันพยายามไปทำงานทันทีหลังจากที่ตื่น อริซซามะก็หยุดดิฉันด้วยสายตา นั้นก็คือด้วยดวงตามี่เปียกชื้น ในตอนแรกดิฉันสงสัยว่าเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาในยามที่พึ่งตื่นนอน แต่มือที่จับดิฉันเอาไว้แน่นก็ปฏิเสธเรื่องนั้นทันที

 

“…..อริซ กำลังกลัวอยู่สินะ”

 

“บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้นค่ะ”

 

ความเงียบงันหนักอึ้งกระจายไปทั่วห้อง

ใช่ ดิฉันแน่ใจว่านั้นคือความกลัว แม้จะถูกซ่อนเอาไว้อย่างหมดจดจนแทนไม่เปิดเผยออกมา

แต่เสียงเรียกร้องอุณหภูมิของดิฉัน ของผู้คน ไม่อาจทนได้

 

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ตอนแรกดิฉันคิอว่าเป็นเพราะอาการเจ็บจากบาดแผล แต่ ดูเหมือนอาจจะไม่ใช่

อริซซามะกำลังทุกข์ทรมานจากบาดแผลบาดลึก ไม่ใช่จากบาดแผลที่หลัง แต่เป็นจากหัวใจสินะคะ

 

ด้วยความเกรงใจไม่อยากสร้างปัญหาจึงต้องตัวสั่นหวาดกลัวในชื่อของตนอยู่คนเดียวบนเตียง ขดตัวระงับความรู้สึกในอกของตนเองเพื่อที่จะไม่ร้องขอความช่วยเหลือใดๆ นี่เป็นเรื่องที่ดิฉันฉุดคิดขึ้นมาในใจอย่างฉับพลัน

ทันใดนั้นหน้าอกของดิฉันก็เจ็บปวด

 

“ต้องขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ ฮัททีเรียซามะ ดิฉัน…”

 

“…..อ้า ในยามที่เจ้าอยู่ข้างๆ เจ้าไม่ต้องไปกังวลกับงานของหัวหน้าข้ารับใช้สักพักแล้วกัน”

 

ดิฉันเองก็อยากจะอยู่ช่วยงานอย่างใกล้ชิด แต่รอยคล้ำลึกใต้ตาของฮัททีเรียซามะก็ทำให้สีหน้าดูไม่ดีนัก

ดิฉันรู้ดีว่าในฐานะลอร์ดผู้ปกครอง ไม่สิ ในฐานะพ่อคนหนึ่ง ท่านกำลังทำงานอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะค้นหาอาชญากร และเฝ้ามองฝ่ายตรงข้ามเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากครั้งก่อนจบลงด้วยความล้มเหลว ทำให้ท่านนอนเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

คำขอความร่วมมือถึงแผนกข่าวกรอง คำขอถึงกองอัศวิน เอกสารจำนวนมากที่วางซ้อนกันบนโต๊ะระบุเช่นนั้น

เช่นนั้นแล้วดิฉันควรทำเช่นไรดี

เพื่อฮัททีเรียซามะ เพื่อตัวดิฉันเอง และเหนือสิ่งอื่นใด ดิฉันจะสามารถทำสิ่งใดเพื่ออริซซามะได้บ้าง

 

“เมื่อถึงเวลาที่มิแรนด้ามาถึง ให้พาเธอไปที่ห้องพร้อมกับข้าด้วย”

 

“รับทราบแล้วค่ะ เช่นนั้น ขออนุญาตค่ะ”

 

――――ดิฉันจะจับมือ จะกอด และจะพูดคุย จะไม่ยอมปล่อยให้ร่างเล็กๆนั้นต้องหนาวเหน็บว้าเหว่จากความหนาวเย็นของบาดแผลเด็ดขาด สิ่งที่ดิฉันทำได้ก็มีเพียงการอยู่ข้างๆเพื่ออบอุ่นร่างกายและจิตใจของอริซซามะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 26 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 6 ดวงตาออบซิเดียน

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 26 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 6 ดวงตาออบซิเดียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 6 ดวงตาออบซิเดียน

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ อริซซามะ”

 

“….อาฟู๊ อารุนสาหวัด”

 

ทัศนวิสัยยังคงพร่ามัว รอบๆตัวมีม่านเตียงนอน กับคู่หูอย่างเช่นเคย…..ไม่สิ มีเบลล์ซังที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่ข้างๆ มือของพวกเรายังคงเชื่อมต่อกัน แล้วเธอก็ขยับมืออีกข้างออกมาจากฟูกทั้งๆแบบนั้น

 

“ดูเหมือนจะหลับฝันดีสินะคะ”

 

“ฟุเนี๊ยว……?”

 

และในขณะที่ฉันยังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ เธอก็ลูบหัวของฉันเพื่อจัดทรงผมที่ยุ่งกระเซิงให้

ฉันถูกลูบหัวไปซักพักจนในที่สุดก็เริ่มตื่น เลยรู้สึกตัวตัวเองกำลังถูกลูบหัวด้วยใบหน้าน่าอายอยู่

ฉันรีบเช็ดน้ำลายบริเวณริมฝีปาก ก่อนกอดคู่หูเอาไว้แล้วรีบแอบเข้าไปซ่อนในฟูก

 

“อาร๊าๆ ฟุๆๆๆ”

 

“อู๊…..”

 

ครู่ต่อมา เสียงผ้าก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าคนข้างๆกำลังลุกขึ้น ลมเย็นไหลเข้ามาในฟูกลูบผ่านผิวของฉัน

เบลล์ซังลุกขึ้นนั่งก่อนยืดตัวบิดขี้เกียจ

 

“อึงงงง ฮา…..”

 

จะไปทำงานของข้ารับใช้ประจำวันแล้วเหรอ

ฉันแอบมองโดยโผล่ออกมาจากฟูกแค่ดวงตา เบลล์ซังยิ้มตอบกลับมาให้

 

“จะไปแล้ว…….?”

 

“นั้นสินะคะ”

 

เบลล์ซังพูดแล้วเอียงคอครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะตันเอวนั่งหลังพิงกำแพง

แปะๆๆ เธอตบตักแล้วกวักมือเรียกฉัน

 

“พวกเราผ่อนคลายกันอีกสักนิดไหมคะ อริซซามะ?”

 

“….อืม”

 

เธอประกาศตั้งใจหยุดอย่างง่ายดาย แต่ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนี้ ยังไงก็ตามเธออุตสาเป็นห่วง ฉันเลยเข้าไปหาเธออย่างว่าง่าย

ฉันคลานเข้าไปช้าๆด้วยท่าทางที่ไม่เหมือนเด็กสาว เข้าไปหยุดที่ข้างๆเธอก่อนที่จะหนุนหัวนอนบนตักเหมือนเมื่อคืน

 

“……ยังเจ็บอยู่รึเปล่าคะ?”

 

“อึง”

 

อย่างน้อยการย้ายมานอนหนุนตักก็แทบไม่มีอาการเจ็บหรือปวดจากการเคลื่อนไหวน้อยๆแบบนี้ แน่นอนมีอาการเจ็บอยู่บ้างหากโดนตรงๆ แต่อาการก็จางหายไปเองในไม่นาน

ฉันไม่สามารถพูดได้ว่ามันหายแล้ว แต่อย่างน้อยก็โอเคที่จะบอกว่าไม่เป็นไร

 

“ม๊ายเป็นรัย”

 

“……อย่าหักโหมให้มากเกินไปนะคะ?”

 

“อืม แน่นอน ฉันไม่คิดเคลื่อนไหว”

 

ดวงตาสีดำสวยล้ำลึกของเบลล์ซังจ้องเขม็งมาที่ฉันเพื่อยืนยันความจริงในขณะที่กอดฉันแน่น หลังจากจ้องจนแน่ใจแล้วว่าฉันไม่ได้โกหก เธอก็ถอนหายใจโล่งอกเสียงดังที่ทำให้ฉันโล่งใจไปด้วย

 

“ดูเหมือนว่าอาการจะดีขึ้นแล้วจริงๆ ดีจริงๆเลยค่ะ”

 

“ดีจัง ดีจัง”

 

ไม่สิ ที่จริงต้องบอกว่าไม่ดีสุดๆเลยต่างหาก ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวอาการปวดอย่างรุนแรงก็จะวิ่งแล่นไปทั่วร่างกาย ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วย

แม้แต่ตอนนี้เอง ที่ฉันเผลอประมาทนอนทับตุ๊กตายัดนุ่นตัวหนึ่งโดนตรงแผลตรงๆ ทุกครั้งที่พลิกตัวโดนความเจ็บปวดก็พุ่งขึ้นจนอยากกรีดร้องเสียงดัง

เมื่อคืนที่ผ่านมา เบลล์ซังกอดฉันเอาไว้แน่นแทบหายใจไม่ออก แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นการป้องกันไม่ให้ฉันพลิกตัวรุนแรงจนโดนแผล ทำให้ฉันตืนขึ้นมาด้วยไม่เสียงน้ำตา เป็นโชคดีอย่างไม่คาดคิด

ดูเหมือนว่าเบลล์ซังจะไม่แค่ช่วยให้ร่างกายของฉันนอนหลับฝันดี แต่ยังช่วยถึงจิตใจด้วย ไม่นานฉันอาจจะเคารพเธอมากๆจนเปลี่ยนจากเบลล์〝ซัง〟ไปเป็นเบลล์〝ซามะ〟

 

“เอาล่ะค่ะ อริซซามะ? ดิฉันขอตัวไปเตรียมอาหารเช้าก่อนไห้ไหมคะ?”

 

“อะ อืม”

 

เบลล์ซังยังมีหน้าที่ของหัวหน้าข้ารับใช้อยู่ มันคงไม่ดีที่จะรั้งเธอไว้นานเกินไป

ฉันค่อยๆยกหัวขึ้นจากตักของเธอ ย้ายมานั่งข้างๆ

 

“ดิฉันจะรีบกลับมาทันทีที่อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะ และก็มิแรนด้าซังจะย้ายเข้ามาที่นี่ประมาณตอนเที่ยงวันนี้นะคะ”

 

“มิร่า?”

 

“ค่ะ ดูเหมือนการฝึกพิเศษจะจบลงเมื่อวานนี้”

 

“งั้นเหรอ”

 

ม๊า ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังจะมาเร็วๆนี้ เพราะเบลล์ซังย้ายมาอยู่ที่ห้องของฉันแล้ว แต่ฉันไม่คิดว่าจะเป็นเมื่อวานของวันนี้ ดูจะเป็นขั้นตอนที่เร่งรีบไปสักนิด

…..ไม่สิ นั้นสินะ ที่จริงไม่ต้องคิดเลยก็ได้ ฉันพึ่งถูกโจมตีที่ตลาด เพราะงั้นจึงไม่มีอะไรผิดปกติหากอัศวินผู้พิทักษ์อย่างมิร่าซังที่มีหน้าที่คุ้มกันฉันโดยตรงจะรีบมาอยู่เคียงข้างฉันโดยเร็ว

 

“และดูเหมือนว่าจะมีการให้กองอัศวินออกลาดตระเวนรอบมาเรียนามาสักพักหนึ่งแล้วด้วยค่ะ”

 

“เอ๊ะ”

 

ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฉันหมายถึงฉันกำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดอยู่ในห้องนี่จึงไม่มีทางรู้ได้ มันเป็นการลาดตระเวนสินะ แน่นอนอยู่แล้วว่าหากมีขุนนางถูกโจมตีก็จะต้องมีการทำแบบนี้

หากจิตรนาการโดยเปลี่ยนขุนนางให้เป็นชนชั้นปกครองในโลกก่อนก็จะสามารถเข้าใจเรื่องราวได้อย่างง่ายดาย คิดว่าคงจะมีการลาดตระเวนอย่างเข้มงวดในพื้นที่สักระยะหนึ่ง

 

“รอบ บ้านด้วย?”

 

“ค่ะ ไม่เพียงแค่ในตัวเมือง ดูเหมือนว่าจะมีบางคนที่ได้รับหน้าที่ให้ลาดตระเวนดูแลรอบๆคฤหาสน์ และถนนจากที่นี่ไปยังเมืองด้วย”

 

“ว้าว สุดยอด”

 

“นั้นเป็นเพราะอริซซามะเป็นบุตรีคนเดียวของขุนนาง แต่ก็ยังถูกโจมตี แถมเมื่อพูดถึงมาเรียนา……..”

 

เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสถานภาพทางสังคมของขุนนางนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน มันเป็นสถานะที่น่าตกตะลึงด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว แม้จะได้สัมผัสด้วยตัวเอง แต่มันก็ยังยากที่ฉันจะเชื่ออยู่ดี

ทว่าตอนนี้ฉันสนใจคำพูดต่อไปจากที่ว่า〝เมื่อพูดถึงมาเรียนา〟มากกว่า

ฉันรู้ว่าที่นี่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่มีเส้นทางพิเศษหนึ่งเดียวที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหากมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่นี่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน

 

……..และประเทศเพื่อนบ้านคือ

 

“จักรกาหวัด?”

 

“――――っ……!? …..ทำไม ไม่สิ ดิฉันหลุดปากไปงั้นเหรอ”

 

แย่แล้ว เบลล์ซังเอามือกุมปิดปากตัวเอง ก่อนที่จะถอนหายใจหนึ่งทีแล้วมองมาที่ฉันด้วยดวงตาเบิกกว้างเหมือนกับยอมแพ้แล้ว

 

“……ตามที่อริซซามะสงสัยเลยค่ะ เส้นทางของมาเรียน่านั้น มีกฏระเบียบพิเศษที่แตกต่างจากเขตอื่นๆเล็กน้อย”

 

“พิเจก”

 

ฉันไม่มีความจำเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลย แต่เรื่องที่ฉันกังวลเกี่ยวกับจักรวรรดิดูเหมือนจะไม่ผิดพลาด ดังนั้นฉันจึงพยักหน้าให้

 

“ค่ะ มาเรียน่า ตั้งอยู่ระหว่างราชอาณาจักรและจักรวรรดิที่เคยทำสงครามกันมาก่อน ที่นี่นั้นเป็นเขตเป็นกลางที่ปราศจากอาวุธ”

 

“เป็นกลาง…..อาวุด….”

 

“เขตเป็นกลางที่ปราศจากอาวุธค่ะ นั้นคือเป็นสถานที่ที่ทุกฝ่ายลงนามข้อตกลงห้ามมีอาวุธและการต่อสู้ค่ะ”

 

“เขตเป็นกลาง ปราสะจาก อาวุด”

 

“ค่ะ เก่งมากเลยค่ะ อริซซามะ”

 

ในขณะที่พยายามจำคำพูดสุดละเอียดอ่อนที่ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาศใช้ในอนาคตไหม ฉันก็ย่อยสิ่งที่เบลล์ซังพูดไปด้วย

ดูเหมือนว่าที่มาเรียน่าจะเป็นเขตเป็นกลางที่ทั้งราชอาณาจักรและจักรวรรดิจะไม่สามารถติดอาวุธเข้ามาได้ หากเป็นตามปกติก็ต้องมีอัศวินปกป้องชายแดนอยู่ แต่เพราะที่นี่เป็นเส้นทางพิเศษหนึ่งเดียวที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมวันนั้นฉันถึงไม่เห็นอะไรที่คล้ายกับแบบนั้นเลย

แน่นอนว่าฉันอาจจะมองข้ามไปเองก็ได้ แต่ก็อาจจะมีหน่วยขนาดเล็กที่ถูกเก็บไว้เป็นความลับก็ได้

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากมองเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างเป็นกลาง

มันคือเหตุการณ์ที่บุคคลสำคัญ ลูกสาวของท่านลอร์ดผู้ปกครองดินแดนถูกลอบสังหารในเขตเป็นกลาง

 

…..เข้าใจแล้ว เลวร้ายแบบสุดๆเลย

 

“อันตราย”

 

“…..ค่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรและจักรวรรดิอาจแย่ลงไปอีก”

 

ไม่ว่าความจริงเบื้องหลังคืออะไร ก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่ามีการสังหารขุนนางในเขตเป็นกลาง ซึ่งหมายความว่ามันอาจสามารถยกระดับไปสู่ปัญหาระหว่างประเทศได้ในทันที ด้วยเรื่องนี้หากเบื้องบนของราชอาณาจักรประกาศว่ามันเป็นฝีมือของจักรวรรดิแล้ว แน่นอนว่ามันจะทำให้เกิดการตอบโต้รุนแรงทันที

 

“ม่ายเป็นร๊ายเหรอ?”

 

“ครั้งนี้ลาบริกซ์ซามะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วค่ะ ด้วยการพิสูจน์ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของกลุ่มผู้ที่ไม่พอใจในราชอาณาจักรปัจจุบันค่ะ แม้อาจจะมีคนที่ไม่เห็นด้วย แต่ก็น่าจะทำให้ไม่เกิดปัญหากับจักรวรรดิ…..”

 

“งั้นเหรอ”

 

ยังไงซะลาบริกซ์ซังก็เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ฉันแน่ใจว่าเขามีมิตรภาพที่ลึกซึ้งกับคุณพ่อ ฉันจึงคิดว่าเขาต้องเคลื่อนไหวโดยให้เรื่องนี้มีลำดับความสำคัญสูงสุด

 

“เอ๊ะโตะ ดิฉันต้องขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ อริซซามะ ……หลายครั้งที่ดิฉันคุยกับอริซซามะ ดิฉันรู้สึกราวกับกำลังพูดคุยอยู่กับคนที่มีอายุเท่ากันเสมอๆ”

 

“เอ๊ะ…..”

 

โดกิ หัวใจของฉันเต้นแรงจนแทบทะลุ นานแค่ไหนแล้วที่เบลล์ซังสังเกตเห็น

มันชัดเจนอยู่แล้วว่า แววตาของฉันไม่ใช่ของเด็กสาวอายุห้าขวบ ฉันรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณจนฉันเผลอหลบตาโดยไม่ได้ตั้งใจ

จากนั้นเบลล์ซังก็หัวเราะอายๆเหมือนไม่มีอะไรแล้วลุกจากเตียง

 

“แต่จะเป็นไปได้ยังไง อริซซามะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ตามเวลา น่าจะเป็นดิฉันเองที่ดูเด็กลงล่ะค่ะ”

 

“มะ ไม่ใช่หรอก”

 

ฉันพยายามกลบเกลื่อนด้วยสีหน้าละเอียดอ่อนเหมือนให้กลายเป็นมุกตลกที่ไม่ตลก ให้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าความเข้าใจผิดที่ไม่ต้องใส่ใจ เบลล์ซังยิ้มตอบกลับมาก่อนเอื้อมมือไปที่ประตู

 

“เช่นนั้น ดิฉันขอตัวไปเตรียมอาหารเช้าก่อนนะคะ กรุณารอสักครู่ค่ะ”

 

“อืม ขอบคุณ”

 

จากนั้นเมื่อเห็นว่าประตูถูกปิดสนิท ฉันก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

ดูเหมือนหัวข้อสุดท้ายที่คุยกับเบลล์ซังจะหนักหนาทำให้เหนื่อยยิ่งกว่าเรื่องยากๆที่คุยกันหลังตื่นนอนซะอีก ส่วนตอนนี้ก็ทำได้แค่ปล่อยวางและรอจนกว่าเบลล์ซังจะกลับมาพร้อมอาหารเช้า

คู่หูที่โดนฉันกอดไว้แน่นกลางอกยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“… เป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“ค่ะ ฮัททีเรียซามะ ในขณะนี้ดูเหมือนจะไม่เจ็บบาดแผลแล้ว และในขณะนอนหลับก็ไม่มีท่าทางว่ากำลังฝันร้ายเป็นพิเศษค่ะ”

 

“งั้นเหรอ……”

 

หลังจากได้ยินรายงานสภาพร่างกายของอริซซามะ ฮัททีเรียซามะก็ดูโล่งใจก่อนจะเอนตัวพิงเก้าอี้ไม้แข็งของห้องทำงาน ฉันเห็นได้ถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นค่อยๆถูกดึงออกไป

……….เหตุผลที่ดิฉันตัดสินใจเข้าไปอยู่ในห้องของอลิซซามะนั้นไม่ใช่เพียงแค่เพราะต้องจัดการห้องให้มิแรนด้าซังเท่านั้น

 

“ยังไงก็ตาม นอกเหนือจากร่างกายแล้ว…..อย่างอื่นล่ะ”

 

“ค่ะ……ด้านจิตใจไม่แสดงความหวาดกลัวใดๆออกมาให้เห็นเลยค่ะ ดีจนรู้สึกว่าดีเกินไปค่ะ”

 

ถูกโจมตียามออกนอกบ้านครั้งแรก เกือบจะถูกฆ่าตาย และต้องมาเป็นพยานได้เห็นผู้ที่มอบความไว้วางใจมากที่สุดอย่างดิฉันหลั่งเลือด ยิ่งไปกว่านั้นยังฝืนรับเอาอาการบาดเจ็บที่ใหญ่เกินไปสำหรับร่างเด็กเล็กๆนั้น

ดิฉันสงสัยจริงๆว่าโลกภายนอกได้ปลูกฝังความกลัวลงไปในร่างเล็กๆนั้นเท่าไรกันแล้ว

ดิฉันตัดสินใจเข้าไปอาศัยร่วมห้องเพื่อค้นหา และเพื่อรักษา แน่นอนสามารถพูดได้ว่านี้เป็นเหตุผลใหญ่ที่สุด

แต่ในเวลานั้นอริซซามะอดทนไว้โดยไม่ยอมร้องออกมาแม้จะเจ็บแค่ไหนก็ตาม ดิฉันแน่ใจว่ามันจะต้องเจ็บจนเกินจะบรรยายได้ แต่ถึงอย่างงั้นอริซซามะกลับยิ้ม และบอกไม่เป็นไร และบอกรัก

 

“อริซซามะ……..”

 

“เบลล์”

 

“……คะ ขออภัยด้วยค่ะ ดิฉันอดที่จะหดหู่ไม่ได้”

 

“….ไม่หรอก ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน”

 

ใบหน้าของฮัททีเรียซามะที่พยายามปลอมดิฉันก็มีสีหน้าหดหู่มืดมนไม่ต่างกัน

ยังไงก็ตามในที่สุด เป้าหมาย การพาออกไปข้างนอกก็สำเร็จแล้ว การฝืนรักษาก็เหมือนการขุดลึกเข้าไปในแผลที่อ่อนนุ่ม

ตอนนี้อริซซามะอาจจะดูเหมือนดีขึ้นแล้ว แต่มันก็อาจจะเป็นแค่การกดอารมณ์เอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น แผลภายในใจเช่นนี้ มันจะค่อยๆกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่โถมเข้าหาในท้ายที่สุด

 

“เจ้าเห็นอะไรที่แปลกๆบ้างหรือไม่?”

 

“ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษค่ะ”

 

ไม่มี และดิฉันพยายามรักษาสถานภาพของพวกเราเอาไว้คงเดิม แล้วทันใดนั้นดิฉันก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้

ใช่ ช่วงเวลาที่อริซซามะดูแตกต่างจากปกติ ฮ้า ทำไมดิฉันถึงมารู้สึกตัวเอาตอนนี้กัน

 

“ไม่สิ มีอยู่ค่ะ”

 

“อะไรงั้นรึ……?”

 

มันเป็นประสบการณ์ในขณะที่ใช้เวลาอยู่ในห้องเดียวกันเมื่อวานนี้ที่สั่นสะท้านเข้าไปถึงหัวใจของฉัน ในที่สุดดิฉันก็ตระหนักได้ถึงตัวตนอันไม่กลมกลืนที่ทำให้รู้ไม่สบายใจ

พฤติกรรมบางอย่างที่เห็นได้ชัดปรากฏออกมา

ครั้งแรกคือเมื่อคืน ก่อนเข้านอน

 

“――――อริซซามะอยากให้ดิฉันนอนด้วยกันบนเตียง และจับดึงแขนของดิฉันให้นอนข้างๆเอาไว้แน่น”

 

“…..นั้นเป็นเรื่องที่อริซยามปกติไม่มีทางทำอย่างแน่นอน”

 

เพราะความผูกพันที่ผ่านมาทำให้ดิฉันไม่ได้ตระหนักถึงท่าทางพยายามเอาแต่ใจของอริซซามะ แต่ดิฉันก็ควรที่จะสังเกตเห็นถึงท่าทางการเอาแต่ใจที่แตกต่างจากปกติตั้งแต่แรก

ทั้งๆที่อริซซามะไม่เคยจะเอาแต่ใจเช่นนี้มาก่อน เธอถึงกับใช้การเอาใจทางกายอ้อนให้ดิฉันนอนด้วย แม้ว่าดิฉันจะแสดงออกว่าปฏิเสธแค่ไหนก็ตาม?

ไม่มีทางเป็นไปได้ สภาวะไม่ปกตินี้ไม่เคยเกิดขึ้นจนกระทั่งบัดนี้

 

“ค่ะ เมื่อมาพิจารณาให้ดีตอนนี้ ในตอนที่ถูกขอร้องให้กอด ท่าทางยามนั้นดูสิ้นหวังมากๆเลยค่ะ”

 

อริซซามะเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาที่เปียกชื้นเหมือนลูกสุนัขตัวน้อยที่หวาดกลัวการถูกทิ้ง และดึงแขนเสื้อของดิฉันเอาไว้แน่น ดูเหมือนเบื้องหลังท่าทางเช่นนั้นคือ ความสิ้นหวังที่ทำให้พูดสิ่งใดออกมาก็ได้

ดิฉันรู้สึกเหมือนไม่สามารถปฏิเสธได้ เข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เพียงแค่เพราะความน่ารักเกินห้ามใจของอริซซามะ

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“…..และแม้หลังจากนั้น เมื่อเช้านี้ยามที่ดิฉันกำลังจะออกจากห้อง ดิฉันก็ถูกจับมือเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย และเมื่อดิฉันออกมาจากห้องได้แล้ว เวลานั้นอริซซามะก็ดูเศร้าสร้อย มองมาด้วยสายตาเปล่าเปลี่ยว……ราวกับกำลังบอกว่า อย่าไป”

 

เมื่อดิฉันพยายามไปทำงานทันทีหลังจากที่ตื่น อริซซามะก็หยุดดิฉันด้วยสายตา นั้นก็คือด้วยดวงตามี่เปียกชื้น ในตอนแรกดิฉันสงสัยว่าเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาในยามที่พึ่งตื่นนอน แต่มือที่จับดิฉันเอาไว้แน่นก็ปฏิเสธเรื่องนั้นทันที

 

“…..อริซ กำลังกลัวอยู่สินะ”

 

“บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้นค่ะ”

 

ความเงียบงันหนักอึ้งกระจายไปทั่วห้อง

ใช่ ดิฉันแน่ใจว่านั้นคือความกลัว แม้จะถูกซ่อนเอาไว้อย่างหมดจดจนแทนไม่เปิดเผยออกมา

แต่เสียงเรียกร้องอุณหภูมิของดิฉัน ของผู้คน ไม่อาจทนได้

 

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ตอนแรกดิฉันคิอว่าเป็นเพราะอาการเจ็บจากบาดแผล แต่ ดูเหมือนอาจจะไม่ใช่

อริซซามะกำลังทุกข์ทรมานจากบาดแผลบาดลึก ไม่ใช่จากบาดแผลที่หลัง แต่เป็นจากหัวใจสินะคะ

 

ด้วยความเกรงใจไม่อยากสร้างปัญหาจึงต้องตัวสั่นหวาดกลัวในชื่อของตนอยู่คนเดียวบนเตียง ขดตัวระงับความรู้สึกในอกของตนเองเพื่อที่จะไม่ร้องขอความช่วยเหลือใดๆ นี่เป็นเรื่องที่ดิฉันฉุดคิดขึ้นมาในใจอย่างฉับพลัน

ทันใดนั้นหน้าอกของดิฉันก็เจ็บปวด

 

“ต้องขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ ฮัททีเรียซามะ ดิฉัน…”

 

“…..อ้า ในยามที่เจ้าอยู่ข้างๆ เจ้าไม่ต้องไปกังวลกับงานของหัวหน้าข้ารับใช้สักพักแล้วกัน”

 

ดิฉันเองก็อยากจะอยู่ช่วยงานอย่างใกล้ชิด แต่รอยคล้ำลึกใต้ตาของฮัททีเรียซามะก็ทำให้สีหน้าดูไม่ดีนัก

ดิฉันรู้ดีว่าในฐานะลอร์ดผู้ปกครอง ไม่สิ ในฐานะพ่อคนหนึ่ง ท่านกำลังทำงานอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะค้นหาอาชญากร และเฝ้ามองฝ่ายตรงข้ามเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากครั้งก่อนจบลงด้วยความล้มเหลว ทำให้ท่านนอนเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

คำขอความร่วมมือถึงแผนกข่าวกรอง คำขอถึงกองอัศวิน เอกสารจำนวนมากที่วางซ้อนกันบนโต๊ะระบุเช่นนั้น

เช่นนั้นแล้วดิฉันควรทำเช่นไรดี

เพื่อฮัททีเรียซามะ เพื่อตัวดิฉันเอง และเหนือสิ่งอื่นใด ดิฉันจะสามารถทำสิ่งใดเพื่ออริซซามะได้บ้าง

 

“เมื่อถึงเวลาที่มิแรนด้ามาถึง ให้พาเธอไปที่ห้องพร้อมกับข้าด้วย”

 

“รับทราบแล้วค่ะ เช่นนั้น ขออนุญาตค่ะ”

 

――――ดิฉันจะจับมือ จะกอด และจะพูดคุย จะไม่ยอมปล่อยให้ร่างเล็กๆนั้นต้องหนาวเหน็บว้าเหว่จากความหนาวเย็นของบาดแผลเด็ดขาด สิ่งที่ดิฉันทำได้ก็มีเพียงการอยู่ข้างๆเพื่ออบอุ่นร่างกายและจิตใจของอริซซามะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+