[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 32 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 12 ในสายเลือด

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 32 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 12 ในสายเลือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 12 ในสายเลือด

 

“เบลล์”

 

“คะ อริซซามะ”

 

ในระหว่างที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งบนตักของเบลล์ซังดูหนังสือภาพเรื่องของอัศวิน ฉันก็ถามเรื่องที่นึกขึ้นได้ออกไป

หลายวันที่ผ่านมา พวกเราใช้เวลาคุยเล่นกันสบายๆ และเล่นไพ่ทาโรต์จูวี่ แต่พูดถึงบางเรื่องแล้ว

 

“มิร่าล่ะ?”

 

เรื่องที่ว่าคือฉันไม่เห็นมิร่าซังเลย ถึงแม้เธอจะไม่ได้มาที่ห้องของฉันโดยตรง แต่ฉันจะได้เจอเธอวันละครั้งตอนทานอาหาร หรือตอนที่ฉันไปเล่นที่ห้องของมิร่าซัง แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้เจอเธอมาประมาณสามวันแล้ว อาจจะมีบางที่พวกเราจะไม่ได้เจอกันวัน สองวันโดยเหตุบังเอิญบางอย่าง แต่หากเป็นสามวันแบบนี้มีแนวโน้มว่าเธอกำลังยุ่ง

 

“อ้า ก่อนหน้านี้ได้ยินอะไรจากมิแรนดาซังบ้างไหมคะ?”

 

“อืมมมมม”

 

ทันใดนั้นเบลล์ซังก็กลอกตาเหมือนเข้าใจอะไรบ้างอย่าง ก่อนที่จะถามฉันเพื่อยืนยัน

ฉันเจอเธอก่อนที่คลอริน่าซังจะมาที่ห้อง ซึ่งฉันไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไรแบบนั้น

บางทีฉันอาจจะพลาดไปเองระหว่างที่เหม่อก็ได้ แต่จะแบบไหนก็เหมือนกัน เพราะฉันจำไม่ได้อยู่ดี

 

“เช่นนั้นสินะคะ ตอนนี้มิแรนด้าซังกำลังเดินทางไปพบลาบริกซ์ซามะที่เมืองหลวงค่ะ”

 

“โฮ่”

 

“เกี่ยวกับงานของอัศวินผู้พิทักษ์น่ะค่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

ดูเหมือนว่ามิราซังจะออกจากคฤหาสน์ไปโดยที่ฉันไม่รู้ตัว แต่เดิมฉันก็คาดเดาว่าอาจจะเกี่ยวกับงานของอัศวินอยู่แล้ว เพราะฉันได้ยินว่าเธออุดอู้เขียนเอกสารบางอย่างอยู่ในห้อง

 

“งาน”

 

“ค่ะ ดิฉันได้รับแจ้งว่าเธอจะกลับมาในอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่ต้องใช้เวลาในการเดินทางไป – กลับเมืองหลวง”

 

แน่นอนว่าจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการเดินทางจากที่นี่ซึ่งเป็นดินแดนชายแดนติดกับจักรวรรดิไปยังศูนย์กลางของประเทศ

การเดินทางยังใช้การเดินเท้าอยู่รึเปล่านะ ฉันคิดว่าในการเดินทางระยะไกลจะต้องใช้”ม้า”ในการเดินทาง แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเลย ทั้งในคฤหาสน์หรือในเมือง

 

“เดิน ไป?”

 

“อา ไม่ค่ะ ภาคือัศวินลิลลี่ขาวที่มิแรนด้าซังสังกัดอยู่มีค่ายตั้งอยู่ที่นอกมาเรียนาค่ะ ดิฉันคิดว่าเธอคงไปขอยืม〝ม้าศึก{ชาร์จเจอร์}〟จากที่นั่น”

 

“ชาจจ๊า?”

 

“ม้าศึกหมายถึง〝ม้าสวมอาน{ม้าขุนนาง*}〟ที่เหล่าอัศวินใช้ค่ะ จะว่าไป อริซซามะยังไม่เคยเห็นเลยสินะคะ”

*Noble Cheval 

 

เอ๊ะโตะ เบลล์ซังส่งเสียงแบบนั้นก่อนหยิบหนังสือภาพเรื่องอัศวินที่วางอยู่บนตักของฉันขึ้นไปแล้วพลิกหา ก่อนใช้นิ้วชี้ให้ฉันดู

 

“〝คุณม้า〟!”

 

“คะ……….?”

 

“ม๊ายมีอาร๊าย”

 

ฉันตัดสินใจตอบกลับแบบอ้ำๆอึ้งๆให้กับเบลล์ซังที่เอียงคอสงสัยในภาษาญี่ปุ่นที่ฉันเผลอตะโกนออกไป

ว่าแล้ว ยังไงอัศวินกับม้าก็เป็นของคู่กัน ยังไงก็ตามนี่เป็นเรื่องของขุนนาง ชนชั้นสูง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมม้าจึงไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถใช้เป็นพาหนะในการเดินทางได้

 

“ม้าสวมอานคือ ม้าป่าที่ถูกจับและฝึกเพื่อให้คนสามารถขี่ได้ เนื่องจากเป็นเรื่องลำบากในการเลี้ยงดูและมีจำนวนไม่มากนัก จึงมีเพียงอัศวินและขุนนางเท่านั้นที่ได้ครอบครอง”

 

“อ้อ เข้าใจแล้ว”

 

ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ โดยพื้นฐานแล้วดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่หาได้ยากซึ่งสามารถถูกครอบครองได้โดยผู้มีสถานะเป็นชนชั้นสูงเท่านั้น ยกเว้น อัศวินที่สามารถทำการยืมจากกองทัพได้ จึงทำให้ไม่ใช่วิธีการเดินทางทั่วไปแบบที่ฉันจินตนาการไว้

 

“ท่านพ่อ มีไหม?”

 

“มีค่ะ เป็นม้าที่ฮัททีเรียซามะเคยใช้สมัยที่ยังเป็นอัศวินค่ะ หลังสงครามจบลงท่านก็ได้รับมาจากกองทัพเป็นรางวัลหลังได้เป็นขุนนางค่ะ แต่ในตอนนั้นยังไม่มีทั้งสถานที่หรือเงินที่จะสามารถเลี้ยงม้าได้ ดังนั้นจึงได้ฝากไว้กับกองทัพ และยังเป็นเช่นนั้นอยู่จนถึงตอนนี้”

 

เข้าใจแล้ว ดูเหมือนม้าจะเป็นสัตว์ที่ต้องใช้ทั้งเงินทั้งความพยายามในการเลี้ยงดูที่มากจริงๆ

ถึงจะเป็นม้าสหายรักที่ร่วมสนามรบกันมามากแค่ไหน แต่การที่ต้องเลี้ยงดูในระหว่างการต้องเรียนรู้และฝึกฝนการบริหารดินแดนในฐานะขุนนางไปด้วย ก็คงจะหนักเกินไป

ยังไงก็ตามแม้จะฝากไว้กับกองทัพ แต่ตามจริงก็ยังเป็นของคุณพ่อฉันอยู่ ดังนั้นวันหนึ่งฉันอาจจะมีโอกาสได้ขี่ก็ได้

ฉันอยากเห็นม้าตัวจริงสักครั้ง ที่ไม่ใช่แค่ความรู้ รูปถ่าย หรือรูปในหนังสือภาพ

 

“เป็นเด็กแบบไหน?”

 

“เด็ก พูดแบบนั้นสินะคะ สมเป็นอริซซามะจริงๆเลยค่ะ………ฟุๆๆๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นม้าที่วิ่งเร็วมากๆและมีขนสีขาวบริสุทธิ์ค่ะ”

 

“เบลล์ เคยเห็นไหม?”

 

“ค่ะ ดิฉันเคยเห็นม้าป่าและของอัศวิน แต่ยังไม่เคยเห็นม้าของฮัททีเรียซามะเลยค่ะ”

 

“หวังว่าจะได้เห็น สักวัน”

 

“ถึงเวลานั้น ดิฉันก็อยากนั่งไปด้วยกันกับอริซซามะจังเลยค่ะ”

 

“เอ๊ะ………. !? อืม นั่งกัน!นั่งกัน!”

 

“ค่ะ ถ้ามีโอกาส”

 

เย้ เอาละ ไชโย ….. !

 

ถึงจะเป็นสัญญาปากเปล่าจากความโชคดีที่กระแสของเรื่องที่คุยกันชักนำ แต่ฉันก็ได้สัญญาขี่ม้าด้วยกันมาแล้ว

หากคุณพ่อให้โอกาสฉันได้ทำตามใจครั้งใหญ่ ฉันจะขอเรื่องนี้ด้วยพลังทั้งหมดที่มีทันที

 

“ฟุเอ๊ะๆๆ”

 

ฉันลองจินตนาการถึงการควบม้าสีขาวรูปร่างแข็งแกร่งและชาญฉลาดพุ่งทะยานผ่านทุ่งหญ้าไปพร้อมกับเบลล์ซัง รอยยิ้มแปลกประหลาดก็หลุดออกมา ฉันรีบซ่อนรอยยิ้มแปลกๆของตัวเองเลยกอดคู่หูเอาไว้แน่น

จากนั้นด้วยเหตุผลบางอย่างเบลล์ซังก็ตัวสั่น

 

“…………..ดิฉันขอกอดหน่อยได้ไหมคะ?”

 

“เบลล์……? อะ อืม”

 

“ขอบพระคุณมากค่ะ …..อา ช่างน่ารักเหลือเกิน”

 

ฉันรู้สึกเหมือนว่าตาบางส่วนของเธอกลายเป็นสีแดงก่ำ เธอกอดจากด้านหลังอย่างแนบแน่น แต่ไม่เจ็บแผล ทันใดนั้นเธอก็พึมพำ คำพูดลูบไล้หูของฉันจนไหล่สั่นสะท้านด้วยความรู้สึกแปลกๆ

ฉันทำความเข้าใจได้อย่างเชื่องช้า จากนั้นความร้อนก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นจากหลังคอ จนทำให้ฉันกอดคู่หูให้แน่นยิ่งขึ้น สุดท้ายก็กดทั้งหน้าซ่อนไว้

 

“อริซซาม้า………….”

 

“บะ เบลล์ คือ………อือออ”

 

ในตอนที่ฉันพยายามจะขอให้เบลล์ซังปล่อย ฉันก็ชำเลืองมองเห็นสีหน้าที่มีความสุขมากๆของเบลล์ซัง ฉันก็รู้สึกไม่อยากให้ปล่อย ฉันสงสัยว่าเธอจะได้ยินเสียงหน้าอกของฉันดังโดกิโดกิไหมน้า ในขณะที่กังวล ฉันก็ตัดสินใจที่จะอยู่แบบนี้ต่อไปอีกสักหน่อย

 

“อริซซามะ”

 

“กะ”

 

เมื่อฉันถูกกอดไปสักพัก แขนของเธอก็คลายออกอย่างกระทันหัน จากนั้นเสียงของเธอก็ดังขึ้นมาจากเหนือหัว

ฉันฟื้นสติจากความมึนงง ก่อนตอบกลับไปสั้นๆ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นคำถามสำหรับฉัน

 

“อริซซามะ มีความคิดที่ต้องการจะไป……..เมืองหลวงงั้นหรือคะ?”

 

“หืม”

 

〝เมืองหลวง〟งั้นเหรอ เมื่อเร็วๆนี้ฉัพึ่งสามารถเข้าไปในเมืองมาเรียนาได้ และได้รับบาดเจ็บหลังถูกโจมตีเป็นครั้งแรก ฉันคงไม่สามารถคิดถึงการไปเมืองอื่นๆได้

ยังไงก็ตาม นั้นสินะ เมืองหลวงสินะ พอโดนเบลล์ซังถามแล้วนึกภาพตามก็ออกจะค่อนข้างน่าสนใจเหมือนกัน

ฉันมั่นใจว่ามันต้องใหญ่มากๆ และน่าจะคึกคักกว่ามาเรียนามากๆ พอโดนถามว่าอยากไปไหม ฉันก็ไม่มีทางเลือกนากจากจะตอบว่าอยากไป

 

“อืม …..แต่”

 

“…..ยังกลัวอยู่สินะคะ?”

 

“นิดหน่อย”

 

เมื่อโดนถามยืนยันโดยไม่เว้นช่วง ฉันจึงพยักหน้าเล็กน้อยให้กับคำพูดของเบลล์ซัง

สิ่งที่ฉันคิดว่าจะได้มองไปทั้งชีวิตคือ บ้าน มาเรียนาเท่านั้น ในระหว่างนั้นไม่ที่ที่เรียกว่าเมืองหลวงที่ถูกพูดถึงอย่างกระทันหันอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย

………ม๊า แต่

 

“ม๊ายเป็นร๊าย ขอแค่ได้อยู่กับเบลล์”

 

หากฉันได้อยู่กับเบลล์ซัง ไม่ว่าที่ไหนฉันก็ไปได้ ท้ายที่สุดสถานที่ที่ฉันอุ่นใจที่สุดก็ไม่ใช่ที่บนเตียง หรือคฤหาสน์หลังนี้ แต่เป็นข้างๆเบลล์ซัง

จริงๆนะ ฉันเงยหน้าขึ้นไปเพื่อยืนยัน เมื่อพวกเราสบตากันก็ยิ้มให้กันก่อนที่ฉันจะถูกลูบไล้ผมไล่ตั้งแต่คอจนถึงหู แต่สายตาของเธอเหมือนคิดอะไรบางอย่าง การเล่นกับผมของฉัน นี่เป็นวิธีที่เบลล์ซังชอบใช้เวลาที่คิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับฉัน เป็นนิสัยของเธอที่ฉันสังเกตเห็นหลังใช้เวลาอยู่ในห้องด้วยกัน

 

“ไม่ค่ะ คือว่า…….”

 

และในตอนที่เธอกำลังพึมพำจะพูดอะไรบ้างอย่าง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

เมื่อแน่ใจว่ามีคนมาจริงๆ และเมื่อฉันก็ตอบกลับ ประตูก็เปิดออกทันที

 

“――――ขออภัยด้วยค่ะ อริซซามะ แมม”

 

เป็นคาลเมียร์ซังที่เข้ามา

ใบหน้าที่ซึ่งยิ้มแย้มตลอดเวลาของเธอดูตึงเครียดเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าเบลล์ซังก็สังเกตเห็นเหมือนกันจึงหยุดลูบผม

 

“……คาลเมียร์ มีอะไรงั้นเหรอ?”

 

“คือว่า….ไม่สิ ขณะนี้ มีผู้ที่เรียกตนเองว่า〝แม็กพ็อด〟มาค่ะ…….”

 

“วะ ว่าใครมานะคะ!?”

 

“ว๊าา”

 

ทันที่ที่คาลเมียร์ซังพูดชื่อของใครบางคนออกมา เบลล์ซังก็เบิกตากว้างถามกลับไปทันทีอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ฉันประหลาดใจมากกับน้ำเสียงของเธอ

ฉันชำเลืองมองเบลล์ซังก็เห็นเธอเม้มปากไว้ไม่มีข้อแก้ตัว ดูเหมือนว่าเธอกำลังวิตกกังวล 

คนที่ชื่อ〝แม็กพ็อด〟คือใครกันนะ

 

“จะทำยังกันดี ฮัททีเรียซามะก็ออกไปที่ค่ายอัศวินด้วยสิ”

 

“ไม่ค่ะ เรื่องนั้นคือว่า…….”

 

เบลล์ซังขมวดคิ้วคิดหนัก เธอดูร้อนใจผิดปกติ

ยังไงก็ตามคาลเมียร์ซังเกาแก้มก็จะพูดเรื่องที่เป็นปัญหาออกมาเพิ่ม

 

“เขาไม่ได้ต้องการที่จะพบฮัททีเรียซามะ…..แต่ต้องการพบอริซซามะค่ะ”

 

“เอ๊ะ”

 

ฉันรู้สึกเหมือนมีน้ำเข้าหู ดูเหมือนว่าคนที่ชื่อว่าแม็กพ็อดจะมีธุระกับฉัน ฉันไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน แต่เขาอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคนนอกคฤหาสน์อย่าง ลาบริกซ์ซังหรือคลอริน่าซังก็ได้

 

“อา…..ดิฉันเข้าใจที่เธอเป็นกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บ…..”

 

“ชะ เช่นนั้นจะทำยังไงดีคะ”

 

“ก่อนอื่น ให้พาไปที่ห้องโถงก่อน แล้วดิฉันกับอริซซามะจะ……”

 

“ค่ะ แมม!”

 

“ช่วยเลิกเรียกดิฉันว่าแมมที่เถอะค่ะ!”

 

ฉันนั่งงงมองคาลเมียร์ซังหายไปหลังประตูอย่างเร่งรีบและเสียงดัง

ฉันจะทำยังไงดี ฉันไม่เข้าใจเรื่องอะไรเลย ฉันไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เบลล์ซังถึงได้ดูร้อนรนแบบนี้

 

“……เอ๊ะโตะ อริซซามะ”

 

“อะ อืม”

 

ฉันถูกอุ้มลงจากตักลงนั่งหน้าเข้าหาเบลล์ซัง เธอจ้องมาที่ฉันนิ่งๆ เธอเงียบเหมือนกำลังเลือกคำพูดบางอย่าง ก่อนที่จะอ้าปากอย่างหนักอึ้ง

 

“คือว่า ดิฉันต้องขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ ดิฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้เข้าใจดี ดิฉันไม่สามารถอธิบายให้ถูกได้จริงๆ”

 

“อืม”

 

เมื่อพิจารณาจากท่าทางของเบลล์ซังแล้ว บางทีอาจจะมีสถานการณ์ที่ซับซ้อนบางอย่างเกี่ยวกับคนที่ชื่อแม็กพ็อด ฉันพยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้พูดต่อโดยไม่ต้องขุดลึกลงไป

 

“จริงๆแล้ว ท่านผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับอริซซามะค่ะ…..คือ หากไม่รังเกียจ จะช่วยไปพบหน่อยได้ไหมคะ?”

 

“กับฉัน…….?”

 

“ค่ะ ท่านไม่ใช่เลวร้ายอะไร อาจจะดูเป็นคนเข้าใจยากเล็กน้อย แต่ก็เป็นคนที่ใจดีมากๆค่ะ”

 

ท้ายที่สุดดูเหมือนว่าจะมีสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้เธอไม่สามารถพูดถึงได้ อย่างน้อยที่สุดเบลล์ซังก็พูดเป็นนัยๆแล้วว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับฉัน ถึงจะไม่ได้พูดข้อมูลใดๆให้ชัดเจน

 

“อืมมมมมม……..”

 

การที่ไม่รู้อะไรเลย ออกจะน่ากลัวนิดหน่อย แต่ถ้าเบลล์ซังบอกว่าไม่ใช่คนเลวก็คงไม่ใช่คนเลวจริงๆ นอกจากนี้หากฉันปฏิเสธไปอาจทำให้เธอดูเป็นทุกข์มากขึ้นก็ได้

คงต้องทำตามที่เธอคาดหวังไว้

 

“อืม ก็ด๊าย”

 

“…..ขอบพระคุณมากเลยค่ะ อริซซามะ”

 

“ไม่เปลี่ยนชุด เป็นอะไรไหม?”

 

จากท่างทางและวิธีการพูด ฉันเดาว่าเขาจะต้องเป็นคนที่มีตำแหน่งฐานะทางสังคมเลยถามไปแบบนั้น

ทันใดนั้นเบลล์ซังก็ตัวแข็งทื่อ

 

“อริซซามะ….ต้องพูดว่าสมแล้วจริงๆค่ะ ไม่สิ จะต้องเข้าใจได้เองอย่างแน่นอน”

 

“หืม?”

 

“ไม่มีอะไรค่ะ จะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่ดิฉันมั่นใจว่าท่านจะต้องอยากเห็นอริซซามะในแบบปกติแน่นอนค่ะ”

 

“งั้นเหรอ………?”

 

ฉันไม่แน่ใจว่าเธอหมายถึงอะไร แต่ในเวลาแบบนี้เปลี่ยนชุดไปจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ที่ฉันใส่อยู่เป็นชุดวันพีชที่แทบจะเหมือนชุดคลุมอาบน้ำอย่างสมบูรณ์แบบ แบบนี้จะดีจริงๆเหรอ

 

“เช่นนั้น ไปที่ห้องโถงกันเถอะค่ะ ขออนุญาตนะคะ”

 

“อืม”

 

ฉันลงจากเตียงตามเบลล์ซัง ฉันคาดเดาได้ว่าเธอจะทำอะไรต่อจากมือที่ยื่นมาทั้งสองข้าง ฉันจึงฝากน้ำหนักลงไปที่มือที่อยู่ที่ใต้เข่าและที่เอวทันที

จากนั้นฉันก็ถูกเบลล์ซังอุ้มออกจากห้องไป

 

“….ฟุๆๆๆ”

 

“อริซซามะ”

 

คู่หูในมือของฉันแกว่งไปมาทุกครั้งที่ก้าวลงบันไดหนึ่งก้าว กอดกันไว้

ฉันพามาด้วยโดยไม่รู้ตัว เมื่อฉันสังเกตเห็นคู่หู ฉันก็ภูมิใจในตัวเองที่ครั้งนี้ไม่ลืมคู่หู

หากไม่ได้พาด้วยมาทันทีค่อนข้างน่าสงสาร แต่ตอนนี้ได้เวลาที่จะไปพบกับคนนอกแล้ว

 

“อริซซามะ”

 

“อืม”

 

ในขณะที่พูดคุยกับเบลล์ซังได้เพียงสองคำ พวกเราก็มาถึงด้านข้างของบันได้หลักที่จะพาลงไปสู่ห้องโถงแล้ว ได้เวลาเตรียมตัวให้พร้อม

หลังผ่านโค้งนี้ไป ก็จะได้พบกับบุคคลเจ้าปัญหาคนนั้นแล้ว

เห็นทีฉันจะต้องรีบเตรียมใจไว้ เบลล์ซังเดินลงไปตามขั้นบันได

ฉันมาถึงโต๊ะยาวกลางห้องโถงทั้งที่ถูกอุ้มอยู่แบบนั้น

ที่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ มีชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งหลับตาอยู่

 

“ดิฉันขออภัยด้วยค่ะ ที่ทำให้ท่านต้องรอนาน แม็กพ็อดซามะ”

 

“……มุ โอ้ เบลล์ เจ้าเติบโตขึ้นมากจริงๆ”

 

“……..ขอบพระคุณมากค่ะ”

 

เขามีเคราสีทองหนาที่ช่วยสร้างบรรยากาศเคร่งขรึมที่ทำให้เขาดูเป็นผู้มากประสบการณ์ เขาทักทายกับเบลล์ซังราวกับคิดถึงอดีตบางอย่าง จากนั้นเขาก็ลืมตาเรียวยาวขึ้นเล็กน้อย

ความแหลมคมในดวงตาของเขา ทำให้ฉันแทบตัวสั่น

 

“เช่นนั้น เชิญค่ะ อริซซามะ”

 

“……..อื…..ม”

 

ฉันจำได้ว่าเบลล์ซังบอกว่าเขาไม่ใช่คนเลว แต่ฉันก็คิดว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัวอยู่ดี โดยเฉพาะ ฉันกลัวท่าทีที่แหลมคมหนักแน่นเงียบขรึมของเขา แต่อาจจะบอกได้ว่าฉันกลัวในท่าทางที่เข้าใจได้ยากของเขา

เบลล์ซังปล่อยฉันนั่งลงบนเก้าอี้ ฉันนั่งเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ ในขณะที่ฉันนั่งลงด้วยท่าทางสั่นๆเหมือนถูกเขย่าด้วยอะไรบางอย่าง เขาก็หลับตาลงอีกครั้ง ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งโต๊ะ 

……ชะ ใช่แล้ว ก่อนอื่นต้องทักทาย การทักทายเป็นสิ่งสำคัญ

เมื่อตระหนักว่าตัวเองกลัวเขาอย่างสมบูรณ์แบบ ฉันจึงพูด〝ยินดีที่ได้รู้จัก〟ออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา

 

“…….อริซ、ฟัน、เฟมิล、ห้าขวบก่ะ”

 

ล้มเหลวอย่างสมบูร์แบบ คำทักทายนี่มันอะก๊าน

ทำตัวเหมือนเด็กโจ่งแจ้งสมบูรณ์แบบเลยไม่ใช่เหรอไง ไม่สิ ก็เป็นเด็กจริงๆนิหน่า

ฉันทำผิดพลาดในการทักทายลงไปซะแล้ว ดังนั้นฉันเลยนั่งน้ำตาซึมยอมแพ้ไปแล้วครึ่งตัวรอว่าจะมีเสียงโกรธแบบไหนลอยสวนกลับมา ฉันกอดคู่หูเอาไว้แน่นและรอให้ปากอันหนักอึ้งของเขาเปิดออก

ในที่สุดดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง ――――

 

“ฮี่………….. !? “

 

“โอ้ออออออออออออออ อริซ!เจ้าโตขึ้นจนจำไม่ได้เลย อริซ!?ไม่สิ เวลาช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน ไม่ใช่ว่าข้าแก่แล้วรึเนี่ย?ฮาๆๆๆๆ!ถึงอย่างงั้นก็โตขึ้นมาก ―――― “

 

สีหน้าที่ยิ้มกว้างในตอนนี้ราวกับจะทำลายบรรยากาศที่เขาเคยสร้างมาทั้งหมด

ฉันยังไม่ทันได้เริ่มพูดคุย เรื่องราวทั้งหมดก็ราวกับจะม้วนวนบีบอัดเข้ามาจนเหมือนกำลังจะระเบิดออก

 

“บะ เบลล์……….”

 

“อะฮะๆๆๆ…….”

 

ฉันมองย้อนกลับที่เบลล์ซังเพื่อที่จะขอความช่วยเหลือ แต่เธอกำลังฝืนยิ้มและหัวเราะแห้งๆ

จากนั้นที่ข้างหลังฉันเห็นคาลเมียร์ซังกำลังถือถาดที่มีจานที่เต็มไปด้วยผลไม้สีทองของพระเจ้ามาพร้อมเครื่องดื่ม เพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ความเป็นจริงที่ไม่เข้าใจ ฉันจึงรวมรวบสติทั้งหมดมุ่งไปอยู่กับผลไม้

และใช่ ชื่อของความสดใสที่ทำให้ฉันหลงใหล คือ

 

“แมเรียน!!”

 

“นั่นเป็นเหตุผลที่ในวันนี้〝โอจี่จัง〟มาหาหนูแล้วววววววววววววว!”

 

ฉันไม่เข้าใจความหมายของคำที่ตะโกนด้วยความดีใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัวแข็ง

เมื่อเห็นเขากลับไปนั่งลงเบาๆเรียบร้อย ฉันก็ส่งเสียงอีกครั้ง

 

“――――เอ๊ะ”

 

“………..เอ๊ะ?”

 

ดูเหมือนเขาจะพยายามพูดคุยกับฉันโดยตั้งสมมติฐานว่าเรื่องราวได้รับการบอกเล่าอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว และเขาต้องพยายามอธิบายจนเกือบน้ำตาไหล จนในที่สุดฉันก็รู้ว่าเขาเป็นคุณปู่ของฉัน

ซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 32 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 12 ในสายเลือด

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 32 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 12 ในสายเลือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 12 ในสายเลือด

 

“เบลล์”

 

“คะ อริซซามะ”

 

ในระหว่างที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งบนตักของเบลล์ซังดูหนังสือภาพเรื่องของอัศวิน ฉันก็ถามเรื่องที่นึกขึ้นได้ออกไป

หลายวันที่ผ่านมา พวกเราใช้เวลาคุยเล่นกันสบายๆ และเล่นไพ่ทาโรต์จูวี่ แต่พูดถึงบางเรื่องแล้ว

 

“มิร่าล่ะ?”

 

เรื่องที่ว่าคือฉันไม่เห็นมิร่าซังเลย ถึงแม้เธอจะไม่ได้มาที่ห้องของฉันโดยตรง แต่ฉันจะได้เจอเธอวันละครั้งตอนทานอาหาร หรือตอนที่ฉันไปเล่นที่ห้องของมิร่าซัง แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้เจอเธอมาประมาณสามวันแล้ว อาจจะมีบางที่พวกเราจะไม่ได้เจอกันวัน สองวันโดยเหตุบังเอิญบางอย่าง แต่หากเป็นสามวันแบบนี้มีแนวโน้มว่าเธอกำลังยุ่ง

 

“อ้า ก่อนหน้านี้ได้ยินอะไรจากมิแรนดาซังบ้างไหมคะ?”

 

“อืมมมมม”

 

ทันใดนั้นเบลล์ซังก็กลอกตาเหมือนเข้าใจอะไรบ้างอย่าง ก่อนที่จะถามฉันเพื่อยืนยัน

ฉันเจอเธอก่อนที่คลอริน่าซังจะมาที่ห้อง ซึ่งฉันไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไรแบบนั้น

บางทีฉันอาจจะพลาดไปเองระหว่างที่เหม่อก็ได้ แต่จะแบบไหนก็เหมือนกัน เพราะฉันจำไม่ได้อยู่ดี

 

“เช่นนั้นสินะคะ ตอนนี้มิแรนด้าซังกำลังเดินทางไปพบลาบริกซ์ซามะที่เมืองหลวงค่ะ”

 

“โฮ่”

 

“เกี่ยวกับงานของอัศวินผู้พิทักษ์น่ะค่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

ดูเหมือนว่ามิราซังจะออกจากคฤหาสน์ไปโดยที่ฉันไม่รู้ตัว แต่เดิมฉันก็คาดเดาว่าอาจจะเกี่ยวกับงานของอัศวินอยู่แล้ว เพราะฉันได้ยินว่าเธออุดอู้เขียนเอกสารบางอย่างอยู่ในห้อง

 

“งาน”

 

“ค่ะ ดิฉันได้รับแจ้งว่าเธอจะกลับมาในอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่ต้องใช้เวลาในการเดินทางไป – กลับเมืองหลวง”

 

แน่นอนว่าจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการเดินทางจากที่นี่ซึ่งเป็นดินแดนชายแดนติดกับจักรวรรดิไปยังศูนย์กลางของประเทศ

การเดินทางยังใช้การเดินเท้าอยู่รึเปล่านะ ฉันคิดว่าในการเดินทางระยะไกลจะต้องใช้”ม้า”ในการเดินทาง แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเลย ทั้งในคฤหาสน์หรือในเมือง

 

“เดิน ไป?”

 

“อา ไม่ค่ะ ภาคือัศวินลิลลี่ขาวที่มิแรนด้าซังสังกัดอยู่มีค่ายตั้งอยู่ที่นอกมาเรียนาค่ะ ดิฉันคิดว่าเธอคงไปขอยืม〝ม้าศึก{ชาร์จเจอร์}〟จากที่นั่น”

 

“ชาจจ๊า?”

 

“ม้าศึกหมายถึง〝ม้าสวมอาน{ม้าขุนนาง*}〟ที่เหล่าอัศวินใช้ค่ะ จะว่าไป อริซซามะยังไม่เคยเห็นเลยสินะคะ”

*Noble Cheval 

 

เอ๊ะโตะ เบลล์ซังส่งเสียงแบบนั้นก่อนหยิบหนังสือภาพเรื่องอัศวินที่วางอยู่บนตักของฉันขึ้นไปแล้วพลิกหา ก่อนใช้นิ้วชี้ให้ฉันดู

 

“〝คุณม้า〟!”

 

“คะ……….?”

 

“ม๊ายมีอาร๊าย”

 

ฉันตัดสินใจตอบกลับแบบอ้ำๆอึ้งๆให้กับเบลล์ซังที่เอียงคอสงสัยในภาษาญี่ปุ่นที่ฉันเผลอตะโกนออกไป

ว่าแล้ว ยังไงอัศวินกับม้าก็เป็นของคู่กัน ยังไงก็ตามนี่เป็นเรื่องของขุนนาง ชนชั้นสูง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมม้าจึงไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถใช้เป็นพาหนะในการเดินทางได้

 

“ม้าสวมอานคือ ม้าป่าที่ถูกจับและฝึกเพื่อให้คนสามารถขี่ได้ เนื่องจากเป็นเรื่องลำบากในการเลี้ยงดูและมีจำนวนไม่มากนัก จึงมีเพียงอัศวินและขุนนางเท่านั้นที่ได้ครอบครอง”

 

“อ้อ เข้าใจแล้ว”

 

ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ โดยพื้นฐานแล้วดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่หาได้ยากซึ่งสามารถถูกครอบครองได้โดยผู้มีสถานะเป็นชนชั้นสูงเท่านั้น ยกเว้น อัศวินที่สามารถทำการยืมจากกองทัพได้ จึงทำให้ไม่ใช่วิธีการเดินทางทั่วไปแบบที่ฉันจินตนาการไว้

 

“ท่านพ่อ มีไหม?”

 

“มีค่ะ เป็นม้าที่ฮัททีเรียซามะเคยใช้สมัยที่ยังเป็นอัศวินค่ะ หลังสงครามจบลงท่านก็ได้รับมาจากกองทัพเป็นรางวัลหลังได้เป็นขุนนางค่ะ แต่ในตอนนั้นยังไม่มีทั้งสถานที่หรือเงินที่จะสามารถเลี้ยงม้าได้ ดังนั้นจึงได้ฝากไว้กับกองทัพ และยังเป็นเช่นนั้นอยู่จนถึงตอนนี้”

 

เข้าใจแล้ว ดูเหมือนม้าจะเป็นสัตว์ที่ต้องใช้ทั้งเงินทั้งความพยายามในการเลี้ยงดูที่มากจริงๆ

ถึงจะเป็นม้าสหายรักที่ร่วมสนามรบกันมามากแค่ไหน แต่การที่ต้องเลี้ยงดูในระหว่างการต้องเรียนรู้และฝึกฝนการบริหารดินแดนในฐานะขุนนางไปด้วย ก็คงจะหนักเกินไป

ยังไงก็ตามแม้จะฝากไว้กับกองทัพ แต่ตามจริงก็ยังเป็นของคุณพ่อฉันอยู่ ดังนั้นวันหนึ่งฉันอาจจะมีโอกาสได้ขี่ก็ได้

ฉันอยากเห็นม้าตัวจริงสักครั้ง ที่ไม่ใช่แค่ความรู้ รูปถ่าย หรือรูปในหนังสือภาพ

 

“เป็นเด็กแบบไหน?”

 

“เด็ก พูดแบบนั้นสินะคะ สมเป็นอริซซามะจริงๆเลยค่ะ………ฟุๆๆๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นม้าที่วิ่งเร็วมากๆและมีขนสีขาวบริสุทธิ์ค่ะ”

 

“เบลล์ เคยเห็นไหม?”

 

“ค่ะ ดิฉันเคยเห็นม้าป่าและของอัศวิน แต่ยังไม่เคยเห็นม้าของฮัททีเรียซามะเลยค่ะ”

 

“หวังว่าจะได้เห็น สักวัน”

 

“ถึงเวลานั้น ดิฉันก็อยากนั่งไปด้วยกันกับอริซซามะจังเลยค่ะ”

 

“เอ๊ะ………. !? อืม นั่งกัน!นั่งกัน!”

 

“ค่ะ ถ้ามีโอกาส”

 

เย้ เอาละ ไชโย ….. !

 

ถึงจะเป็นสัญญาปากเปล่าจากความโชคดีที่กระแสของเรื่องที่คุยกันชักนำ แต่ฉันก็ได้สัญญาขี่ม้าด้วยกันมาแล้ว

หากคุณพ่อให้โอกาสฉันได้ทำตามใจครั้งใหญ่ ฉันจะขอเรื่องนี้ด้วยพลังทั้งหมดที่มีทันที

 

“ฟุเอ๊ะๆๆ”

 

ฉันลองจินตนาการถึงการควบม้าสีขาวรูปร่างแข็งแกร่งและชาญฉลาดพุ่งทะยานผ่านทุ่งหญ้าไปพร้อมกับเบลล์ซัง รอยยิ้มแปลกประหลาดก็หลุดออกมา ฉันรีบซ่อนรอยยิ้มแปลกๆของตัวเองเลยกอดคู่หูเอาไว้แน่น

จากนั้นด้วยเหตุผลบางอย่างเบลล์ซังก็ตัวสั่น

 

“…………..ดิฉันขอกอดหน่อยได้ไหมคะ?”

 

“เบลล์……? อะ อืม”

 

“ขอบพระคุณมากค่ะ …..อา ช่างน่ารักเหลือเกิน”

 

ฉันรู้สึกเหมือนว่าตาบางส่วนของเธอกลายเป็นสีแดงก่ำ เธอกอดจากด้านหลังอย่างแนบแน่น แต่ไม่เจ็บแผล ทันใดนั้นเธอก็พึมพำ คำพูดลูบไล้หูของฉันจนไหล่สั่นสะท้านด้วยความรู้สึกแปลกๆ

ฉันทำความเข้าใจได้อย่างเชื่องช้า จากนั้นความร้อนก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นจากหลังคอ จนทำให้ฉันกอดคู่หูให้แน่นยิ่งขึ้น สุดท้ายก็กดทั้งหน้าซ่อนไว้

 

“อริซซาม้า………….”

 

“บะ เบลล์ คือ………อือออ”

 

ในตอนที่ฉันพยายามจะขอให้เบลล์ซังปล่อย ฉันก็ชำเลืองมองเห็นสีหน้าที่มีความสุขมากๆของเบลล์ซัง ฉันก็รู้สึกไม่อยากให้ปล่อย ฉันสงสัยว่าเธอจะได้ยินเสียงหน้าอกของฉันดังโดกิโดกิไหมน้า ในขณะที่กังวล ฉันก็ตัดสินใจที่จะอยู่แบบนี้ต่อไปอีกสักหน่อย

 

“อริซซามะ”

 

“กะ”

 

เมื่อฉันถูกกอดไปสักพัก แขนของเธอก็คลายออกอย่างกระทันหัน จากนั้นเสียงของเธอก็ดังขึ้นมาจากเหนือหัว

ฉันฟื้นสติจากความมึนงง ก่อนตอบกลับไปสั้นๆ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นคำถามสำหรับฉัน

 

“อริซซามะ มีความคิดที่ต้องการจะไป……..เมืองหลวงงั้นหรือคะ?”

 

“หืม”

 

〝เมืองหลวง〟งั้นเหรอ เมื่อเร็วๆนี้ฉัพึ่งสามารถเข้าไปในเมืองมาเรียนาได้ และได้รับบาดเจ็บหลังถูกโจมตีเป็นครั้งแรก ฉันคงไม่สามารถคิดถึงการไปเมืองอื่นๆได้

ยังไงก็ตาม นั้นสินะ เมืองหลวงสินะ พอโดนเบลล์ซังถามแล้วนึกภาพตามก็ออกจะค่อนข้างน่าสนใจเหมือนกัน

ฉันมั่นใจว่ามันต้องใหญ่มากๆ และน่าจะคึกคักกว่ามาเรียนามากๆ พอโดนถามว่าอยากไปไหม ฉันก็ไม่มีทางเลือกนากจากจะตอบว่าอยากไป

 

“อืม …..แต่”

 

“…..ยังกลัวอยู่สินะคะ?”

 

“นิดหน่อย”

 

เมื่อโดนถามยืนยันโดยไม่เว้นช่วง ฉันจึงพยักหน้าเล็กน้อยให้กับคำพูดของเบลล์ซัง

สิ่งที่ฉันคิดว่าจะได้มองไปทั้งชีวิตคือ บ้าน มาเรียนาเท่านั้น ในระหว่างนั้นไม่ที่ที่เรียกว่าเมืองหลวงที่ถูกพูดถึงอย่างกระทันหันอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย

………ม๊า แต่

 

“ม๊ายเป็นร๊าย ขอแค่ได้อยู่กับเบลล์”

 

หากฉันได้อยู่กับเบลล์ซัง ไม่ว่าที่ไหนฉันก็ไปได้ ท้ายที่สุดสถานที่ที่ฉันอุ่นใจที่สุดก็ไม่ใช่ที่บนเตียง หรือคฤหาสน์หลังนี้ แต่เป็นข้างๆเบลล์ซัง

จริงๆนะ ฉันเงยหน้าขึ้นไปเพื่อยืนยัน เมื่อพวกเราสบตากันก็ยิ้มให้กันก่อนที่ฉันจะถูกลูบไล้ผมไล่ตั้งแต่คอจนถึงหู แต่สายตาของเธอเหมือนคิดอะไรบางอย่าง การเล่นกับผมของฉัน นี่เป็นวิธีที่เบลล์ซังชอบใช้เวลาที่คิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับฉัน เป็นนิสัยของเธอที่ฉันสังเกตเห็นหลังใช้เวลาอยู่ในห้องด้วยกัน

 

“ไม่ค่ะ คือว่า…….”

 

และในตอนที่เธอกำลังพึมพำจะพูดอะไรบ้างอย่าง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

เมื่อแน่ใจว่ามีคนมาจริงๆ และเมื่อฉันก็ตอบกลับ ประตูก็เปิดออกทันที

 

“――――ขออภัยด้วยค่ะ อริซซามะ แมม”

 

เป็นคาลเมียร์ซังที่เข้ามา

ใบหน้าที่ซึ่งยิ้มแย้มตลอดเวลาของเธอดูตึงเครียดเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าเบลล์ซังก็สังเกตเห็นเหมือนกันจึงหยุดลูบผม

 

“……คาลเมียร์ มีอะไรงั้นเหรอ?”

 

“คือว่า….ไม่สิ ขณะนี้ มีผู้ที่เรียกตนเองว่า〝แม็กพ็อด〟มาค่ะ…….”

 

“วะ ว่าใครมานะคะ!?”

 

“ว๊าา”

 

ทันที่ที่คาลเมียร์ซังพูดชื่อของใครบางคนออกมา เบลล์ซังก็เบิกตากว้างถามกลับไปทันทีอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ฉันประหลาดใจมากกับน้ำเสียงของเธอ

ฉันชำเลืองมองเบลล์ซังก็เห็นเธอเม้มปากไว้ไม่มีข้อแก้ตัว ดูเหมือนว่าเธอกำลังวิตกกังวล 

คนที่ชื่อ〝แม็กพ็อด〟คือใครกันนะ

 

“จะทำยังกันดี ฮัททีเรียซามะก็ออกไปที่ค่ายอัศวินด้วยสิ”

 

“ไม่ค่ะ เรื่องนั้นคือว่า…….”

 

เบลล์ซังขมวดคิ้วคิดหนัก เธอดูร้อนใจผิดปกติ

ยังไงก็ตามคาลเมียร์ซังเกาแก้มก็จะพูดเรื่องที่เป็นปัญหาออกมาเพิ่ม

 

“เขาไม่ได้ต้องการที่จะพบฮัททีเรียซามะ…..แต่ต้องการพบอริซซามะค่ะ”

 

“เอ๊ะ”

 

ฉันรู้สึกเหมือนมีน้ำเข้าหู ดูเหมือนว่าคนที่ชื่อว่าแม็กพ็อดจะมีธุระกับฉัน ฉันไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน แต่เขาอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคนนอกคฤหาสน์อย่าง ลาบริกซ์ซังหรือคลอริน่าซังก็ได้

 

“อา…..ดิฉันเข้าใจที่เธอเป็นกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บ…..”

 

“ชะ เช่นนั้นจะทำยังไงดีคะ”

 

“ก่อนอื่น ให้พาไปที่ห้องโถงก่อน แล้วดิฉันกับอริซซามะจะ……”

 

“ค่ะ แมม!”

 

“ช่วยเลิกเรียกดิฉันว่าแมมที่เถอะค่ะ!”

 

ฉันนั่งงงมองคาลเมียร์ซังหายไปหลังประตูอย่างเร่งรีบและเสียงดัง

ฉันจะทำยังไงดี ฉันไม่เข้าใจเรื่องอะไรเลย ฉันไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เบลล์ซังถึงได้ดูร้อนรนแบบนี้

 

“……เอ๊ะโตะ อริซซามะ”

 

“อะ อืม”

 

ฉันถูกอุ้มลงจากตักลงนั่งหน้าเข้าหาเบลล์ซัง เธอจ้องมาที่ฉันนิ่งๆ เธอเงียบเหมือนกำลังเลือกคำพูดบางอย่าง ก่อนที่จะอ้าปากอย่างหนักอึ้ง

 

“คือว่า ดิฉันต้องขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ ดิฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้เข้าใจดี ดิฉันไม่สามารถอธิบายให้ถูกได้จริงๆ”

 

“อืม”

 

เมื่อพิจารณาจากท่าทางของเบลล์ซังแล้ว บางทีอาจจะมีสถานการณ์ที่ซับซ้อนบางอย่างเกี่ยวกับคนที่ชื่อแม็กพ็อด ฉันพยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้พูดต่อโดยไม่ต้องขุดลึกลงไป

 

“จริงๆแล้ว ท่านผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับอริซซามะค่ะ…..คือ หากไม่รังเกียจ จะช่วยไปพบหน่อยได้ไหมคะ?”

 

“กับฉัน…….?”

 

“ค่ะ ท่านไม่ใช่เลวร้ายอะไร อาจจะดูเป็นคนเข้าใจยากเล็กน้อย แต่ก็เป็นคนที่ใจดีมากๆค่ะ”

 

ท้ายที่สุดดูเหมือนว่าจะมีสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้เธอไม่สามารถพูดถึงได้ อย่างน้อยที่สุดเบลล์ซังก็พูดเป็นนัยๆแล้วว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับฉัน ถึงจะไม่ได้พูดข้อมูลใดๆให้ชัดเจน

 

“อืมมมมมม……..”

 

การที่ไม่รู้อะไรเลย ออกจะน่ากลัวนิดหน่อย แต่ถ้าเบลล์ซังบอกว่าไม่ใช่คนเลวก็คงไม่ใช่คนเลวจริงๆ นอกจากนี้หากฉันปฏิเสธไปอาจทำให้เธอดูเป็นทุกข์มากขึ้นก็ได้

คงต้องทำตามที่เธอคาดหวังไว้

 

“อืม ก็ด๊าย”

 

“…..ขอบพระคุณมากเลยค่ะ อริซซามะ”

 

“ไม่เปลี่ยนชุด เป็นอะไรไหม?”

 

จากท่างทางและวิธีการพูด ฉันเดาว่าเขาจะต้องเป็นคนที่มีตำแหน่งฐานะทางสังคมเลยถามไปแบบนั้น

ทันใดนั้นเบลล์ซังก็ตัวแข็งทื่อ

 

“อริซซามะ….ต้องพูดว่าสมแล้วจริงๆค่ะ ไม่สิ จะต้องเข้าใจได้เองอย่างแน่นอน”

 

“หืม?”

 

“ไม่มีอะไรค่ะ จะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่ดิฉันมั่นใจว่าท่านจะต้องอยากเห็นอริซซามะในแบบปกติแน่นอนค่ะ”

 

“งั้นเหรอ………?”

 

ฉันไม่แน่ใจว่าเธอหมายถึงอะไร แต่ในเวลาแบบนี้เปลี่ยนชุดไปจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ที่ฉันใส่อยู่เป็นชุดวันพีชที่แทบจะเหมือนชุดคลุมอาบน้ำอย่างสมบูรณ์แบบ แบบนี้จะดีจริงๆเหรอ

 

“เช่นนั้น ไปที่ห้องโถงกันเถอะค่ะ ขออนุญาตนะคะ”

 

“อืม”

 

ฉันลงจากเตียงตามเบลล์ซัง ฉันคาดเดาได้ว่าเธอจะทำอะไรต่อจากมือที่ยื่นมาทั้งสองข้าง ฉันจึงฝากน้ำหนักลงไปที่มือที่อยู่ที่ใต้เข่าและที่เอวทันที

จากนั้นฉันก็ถูกเบลล์ซังอุ้มออกจากห้องไป

 

“….ฟุๆๆๆ”

 

“อริซซามะ”

 

คู่หูในมือของฉันแกว่งไปมาทุกครั้งที่ก้าวลงบันไดหนึ่งก้าว กอดกันไว้

ฉันพามาด้วยโดยไม่รู้ตัว เมื่อฉันสังเกตเห็นคู่หู ฉันก็ภูมิใจในตัวเองที่ครั้งนี้ไม่ลืมคู่หู

หากไม่ได้พาด้วยมาทันทีค่อนข้างน่าสงสาร แต่ตอนนี้ได้เวลาที่จะไปพบกับคนนอกแล้ว

 

“อริซซามะ”

 

“อืม”

 

ในขณะที่พูดคุยกับเบลล์ซังได้เพียงสองคำ พวกเราก็มาถึงด้านข้างของบันได้หลักที่จะพาลงไปสู่ห้องโถงแล้ว ได้เวลาเตรียมตัวให้พร้อม

หลังผ่านโค้งนี้ไป ก็จะได้พบกับบุคคลเจ้าปัญหาคนนั้นแล้ว

เห็นทีฉันจะต้องรีบเตรียมใจไว้ เบลล์ซังเดินลงไปตามขั้นบันได

ฉันมาถึงโต๊ะยาวกลางห้องโถงทั้งที่ถูกอุ้มอยู่แบบนั้น

ที่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ มีชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งหลับตาอยู่

 

“ดิฉันขออภัยด้วยค่ะ ที่ทำให้ท่านต้องรอนาน แม็กพ็อดซามะ”

 

“……มุ โอ้ เบลล์ เจ้าเติบโตขึ้นมากจริงๆ”

 

“……..ขอบพระคุณมากค่ะ”

 

เขามีเคราสีทองหนาที่ช่วยสร้างบรรยากาศเคร่งขรึมที่ทำให้เขาดูเป็นผู้มากประสบการณ์ เขาทักทายกับเบลล์ซังราวกับคิดถึงอดีตบางอย่าง จากนั้นเขาก็ลืมตาเรียวยาวขึ้นเล็กน้อย

ความแหลมคมในดวงตาของเขา ทำให้ฉันแทบตัวสั่น

 

“เช่นนั้น เชิญค่ะ อริซซามะ”

 

“……..อื…..ม”

 

ฉันจำได้ว่าเบลล์ซังบอกว่าเขาไม่ใช่คนเลว แต่ฉันก็คิดว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัวอยู่ดี โดยเฉพาะ ฉันกลัวท่าทีที่แหลมคมหนักแน่นเงียบขรึมของเขา แต่อาจจะบอกได้ว่าฉันกลัวในท่าทางที่เข้าใจได้ยากของเขา

เบลล์ซังปล่อยฉันนั่งลงบนเก้าอี้ ฉันนั่งเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ ในขณะที่ฉันนั่งลงด้วยท่าทางสั่นๆเหมือนถูกเขย่าด้วยอะไรบางอย่าง เขาก็หลับตาลงอีกครั้ง ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งโต๊ะ 

……ชะ ใช่แล้ว ก่อนอื่นต้องทักทาย การทักทายเป็นสิ่งสำคัญ

เมื่อตระหนักว่าตัวเองกลัวเขาอย่างสมบูรณ์แบบ ฉันจึงพูด〝ยินดีที่ได้รู้จัก〟ออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา

 

“…….อริซ、ฟัน、เฟมิล、ห้าขวบก่ะ”

 

ล้มเหลวอย่างสมบูร์แบบ คำทักทายนี่มันอะก๊าน

ทำตัวเหมือนเด็กโจ่งแจ้งสมบูรณ์แบบเลยไม่ใช่เหรอไง ไม่สิ ก็เป็นเด็กจริงๆนิหน่า

ฉันทำผิดพลาดในการทักทายลงไปซะแล้ว ดังนั้นฉันเลยนั่งน้ำตาซึมยอมแพ้ไปแล้วครึ่งตัวรอว่าจะมีเสียงโกรธแบบไหนลอยสวนกลับมา ฉันกอดคู่หูเอาไว้แน่นและรอให้ปากอันหนักอึ้งของเขาเปิดออก

ในที่สุดดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง ――――

 

“ฮี่………….. !? “

 

“โอ้ออออออออออออออ อริซ!เจ้าโตขึ้นจนจำไม่ได้เลย อริซ!?ไม่สิ เวลาช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน ไม่ใช่ว่าข้าแก่แล้วรึเนี่ย?ฮาๆๆๆๆ!ถึงอย่างงั้นก็โตขึ้นมาก ―――― “

 

สีหน้าที่ยิ้มกว้างในตอนนี้ราวกับจะทำลายบรรยากาศที่เขาเคยสร้างมาทั้งหมด

ฉันยังไม่ทันได้เริ่มพูดคุย เรื่องราวทั้งหมดก็ราวกับจะม้วนวนบีบอัดเข้ามาจนเหมือนกำลังจะระเบิดออก

 

“บะ เบลล์……….”

 

“อะฮะๆๆๆ…….”

 

ฉันมองย้อนกลับที่เบลล์ซังเพื่อที่จะขอความช่วยเหลือ แต่เธอกำลังฝืนยิ้มและหัวเราะแห้งๆ

จากนั้นที่ข้างหลังฉันเห็นคาลเมียร์ซังกำลังถือถาดที่มีจานที่เต็มไปด้วยผลไม้สีทองของพระเจ้ามาพร้อมเครื่องดื่ม เพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ความเป็นจริงที่ไม่เข้าใจ ฉันจึงรวมรวบสติทั้งหมดมุ่งไปอยู่กับผลไม้

และใช่ ชื่อของความสดใสที่ทำให้ฉันหลงใหล คือ

 

“แมเรียน!!”

 

“นั่นเป็นเหตุผลที่ในวันนี้〝โอจี่จัง〟มาหาหนูแล้วววววววววววววว!”

 

ฉันไม่เข้าใจความหมายของคำที่ตะโกนด้วยความดีใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัวแข็ง

เมื่อเห็นเขากลับไปนั่งลงเบาๆเรียบร้อย ฉันก็ส่งเสียงอีกครั้ง

 

“――――เอ๊ะ”

 

“………..เอ๊ะ?”

 

ดูเหมือนเขาจะพยายามพูดคุยกับฉันโดยตั้งสมมติฐานว่าเรื่องราวได้รับการบอกเล่าอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว และเขาต้องพยายามอธิบายจนเกือบน้ำตาไหล จนในที่สุดฉันก็รู้ว่าเขาเป็นคุณปู่ของฉัน

ซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+