[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 59 19 ความฝันของความปรารถนาหลงใหล(ซันกะ)

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 59 19 ความฝันของความปรารถนาหลงใหล(ซันกะ) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 19 ความฝันของความปรารถนาหลงใหล(ซันกะ)

(ดอกสึบากิ สายพันธ์ ซันกะ สายพันธ์ผสมระหว่าง Camellia japonica Shûfûraku กับ Camellia japonica Hanamiguruma )

 

“ฟู๊ว ม๊า ถือว่าเป็นการแสดงที่ดีสำหรับลิเลียมล่ะนะ”

 

“สุดยอ~ด!”

 

ในที่สุดวันเทศกาลงานโรงเรียนก็มาถึง สถานที่แสดงของแต่ละคลาสก็คือ หอประชุมใหญ่ที่เคยใช้ในงานพิธีเปิดภาคการศึกษา ไอริสคลาสของพวกเรากำลังรอคิวที่จะออกแสดงอยู่เบื้องหลัง ในอีกแง่หนึ่ง คือ ฉันกำลังได้ฟังการแสดงวงดนตรีของลิเลียมคลาสในที่นั่งชั้นพิเศษ

เพลงที่บรรเลงเป็นเพลงกล่อมเด็กที่ฉันเคยได้ยินมาก่อน และล้วนมีชื่อเสียงในราชอาณาจักร เมื่อพูดถึงดนตรีนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้ผูกมัดอยู่กับชนชั้น เช่น ขุนนาง หรือ ประชาชนทั่วไป และเพลงที่มีชื่อเสียงก็ดูเหมือนจะโด่งดังไปทั่วโลก

 

“รูนไฮม์ซัง นี่คือ?”

 

“นี่คือ「หลักการของชนชั้นสูง(โนเบิล・พลาสชีป) 」เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่แสดงถึงขุนนางผู้มีเกียรติ”

 

“โฮ”

 

ถ้าคุณถาม ฉันรู้สึกเหมือนเป็นเพลงที่ทำให้ฉันนึกภาพของขุนนางได้แปลก ๆ มีความเรียบง่ายจนรู้สึกประหลาดใจจนเกือบทำให้ฉันหัวเราะ แต่ก็ยังคงตั้งใจฟัง

 

“แต่ว่า เครื่องเคาะไม่หยาบไปหน่อยเหรอ?”

 

“เครื่องดนตรีเคาะจังหวะ?”

 

“เอ๊ะโตะ โฮระ อยากให้เหมือนแทมบูรีน”

 

หลังจากพูดอย่างนั้น ฉันสังเกตเห็นความผิดพลาด แทมบูรีนมีอยู่จริง หรืออย่างน้อยก็มีของที่ดูเหมือนกำลังถูกใช้แสดงอยู่ต่อหน้าตอนนี้ แต่เห็นได้ชัดจากท่าทางของรูนไฮม์ซังว่าเครื่องเคาะจังหวะยังมีตัวตนที่ไม่สำคัญมากพอที่จะได้ชื่อเฉพาะตัว ถ้าใช่ ก็น่าเสียดายที่ฉันต้องเรียกว่า”เครื่องเคาะจังหวะ” หรือบางทีนี้อาจเป็นการที่ฉันได้จัดหมวดหมู่เครื่องดนตรีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักร

 

“อ้า…..เพราะตีส่งเสียงเป็นจังหวะ เลยเป็นเครื่องเคาะจังหวะสินะ”

 

“อะ อืม”

 

“ฟุมุ เข้าใจละ หรือก็คือ อริซคิดว่าเครื่องดนตรีแบบนั้นจะสามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้สินะ?”

 

ขณะเบือนหน้าหลบจากสายตาที่เฉียบคมขึ้นของรูนไฮม์ซัง ฉันที่คิดหาข้อแก้ตัวไม่ได้ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพยักหน้า ต้องขอโทษด้วยนะคะ เหล่าท่านผู้ยิ่งใหญ่ในชาติก่อน

 

“ก็จริงล่ะนะ ก็อาจจะเป็นเรื่องดีที่จะมีเครื่องดนตรีเล็ก ๆ ที่ตีควบคุมจังหวะเพิ่มมากกว่านี้”

 

“อืม”

 

ยิ่งไปกว่านั้น รูนไฮม์ซังดูเหมือนจะเข้าใจและยอมรับได้ เธอไม่เพียงเป็นเพื่อนของฉัน เธอยังเป็นเจ้าฟ้าหญิงด้วย แน่นอนว่าเธอมีอิทธิพลในการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาอย่างแท้จริง และฉัน้รู้สึกว่าจะยิ่งกว่านั้นเมื่อถึงจุดที่ฉันนำเสนอการแสดงที่ผสานดนตรีเข้าไปจนกลายเป็นละครเพลง แต่ฉันอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประวัติศาสตร์ดนตรีของราชอาณาจักร

 

“เฮ้………”

 

ฉันพยายามแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นถึงความเป็นไปได้ของวันพรุ่งนี้(อนาคต)ว่าคำพูดที่ไม่ทันระวังตัวนี้จะกลายเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องผงะอย่างสับสนลนลานที่ถูกจ้องไม่ละสายตา รูนไฮม์ซังมีสีหน้าลึกลับที่ราวกับกำลังบอกว่าตบตาเธอไม่ได้ ไม่สิ ฉันอยากให้ไม่มีอะไรจริง ๆ 

 

“ฟุมุ จริง ๆ เลย หากสามารถรวมความคิดของอริซเข้ามาไว้ด้วยกันได้ทั้งหมด ดนตรีของราชอาณาจักรต้องพัฒนาขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน”

 

“ระ เรื่องนั้น……..”

 

เป็นการยากที่จะพูดว่า ไม่ ความคิดและความรู้เกี่ยวกับดนตรีของฉัน เป็นดนตรีที่มีวิวัฒนาการมาเหนือกว่าระดับของราชอาณาจักรหลายร้อยหรือหลายพันปี ก็ไม่ใช่ว่าต้องพัฒนาการไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป และไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าสิ่งใดที่จะได้รับความนิยม เพราะมีความแตกต่างตามธรรมชาติ แต่ถึงกระนั้น เวลา ความพยายาม และพรสวรรค์ของคนรุ่นก่อนที่ทับซ้อนกันย่อมไม่โกหก อย่างที่รูนไฮม์ซังพูดมา แม้จะค่อนข้างเป็นเรื่องพื้น ๆ แต่หากความรู้ด้านดนตรีของฉันได้สะท้อนออกมาทั้งอย่างนี่ต่อไป ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอย่างน้อยก็จะมีการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในปัจจุบันครั้งใหญ่

ฉันเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันเก็บเรื่องนี้ไว้ในอก――――ที่เรียกอีกอย่างว่าการหนีความจริง ――――ในตอนนี้ ฉันเงยหน้าขึ้นเพื่อเพลิดเพลินไปกับงานเทศกาลของโรงเรียนในตอนนี้ แล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง รูนไฮม์ซังก็มีสีหน้าเศร้าแบบเดียวกับฉัน

 

“…….ฉันคิดว่า เธอจะต้องการเกียรติยศมากกว่านี้ อีกสักหน่อย”

 

“เอ๊ะ”

 

ทันใดนั้นฉันก็เอียงหัวครุ่นคิดเกี่ยวกับคำลึกลับนั่น แล้วเธออยากพูดอะไรกันแน่น่ะ?

 

“เอ๊ะโตะ คือ…….?”

 

“ทั้ง ๆ อย่างงั้น”

 

ทั้ง ๆ อย่างงั้น หรือก็คือ ฉันควรแสวงหาเกียรติยศและการสรรเสริญให้มากกว่านี้อย่างงั้นเหรอ

…..เกียรติยศ เกียรติยศงั้นเหรอ ไม่สิ ไม่ใช่ว่าฉันไม่คิออะไรเลย ฉันก็ยังเป็นมนุษย์ บางครั้งฉันก็ต้องการอะไรแบบนั้นเหมือนกัน ยังไงก็ตาม ในตอนนี้ฉันก็รู้สึกพอใจเกินพอแล้ว ฉันมีทั้งเบลล์ซัง มิร่าซัง รูนไฮม์ซัง และคุณพ่อกับคาลเมียร์ซังซึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่ตอนนี้ ยังมีทั้งคฤหาสน์และชาวมาเรียนา บางครั้งก็มีเรื่องเศร้าบ้าง แต่ฉันก็มีความสุขกับชีวิตประจำวันที่รายล้อมไปด้วยทุกคน ท้ายที่สุดฉันก็ได้ตัดสินใจมาเรียนที่โรงเรียนด้วยเหตุผลเหล่านี้ เพราะฉันต้องการปกป้องสิ่งเหล่านี้ในอนาคต

 

“อืมมม…………..”

 

ถ้า”เกียรติยศ”มีประโยชน์ ฉันก็จะพยายามคว้ามาให้ได้มากที่สุด แต่ฉันก็ไม่รู้สึกอยากสร้างศัตรูมากกว่าสิ่งที่จะได้รับ ฉันเปลี่ยนเป็นความเชื่อมั่นหลังจากเหตุการณ์ในตลาดและเหตุการณ์ที่ห้องอาหาร ความริษยาต่อผู้ที่อยู่เหนือกว่าตนเองสามารถกลายเป็นความอิจฉาได้ง่าย ๆ และหากเกี่ยวข้องกับตนเองโดยตรงในที่สุดก็จะกลายเป็นความเกลียดชัง ความเกลียดชังที่ประชาชนทั่วไปมีให้กับขุนนางก็รวมเข้าไปด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องแสวงหาการมีเกียรติยศเพื่อรับความเสี่ยงดังกล่าว

ราวกับมองความคิดของฉันได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าฉันกำลังมีปัญหา รูนไฮม์ซังถอนหายใจดัง ฮ๊า

 

“…..ไม่มีอะไรหรอก อริซเองก็คงมีความคิดในแบบของอริซ”

 

อืม ฉันพยายามพยักหน้าในขณะที่รู้สึกไม่ดีนิดหน่อย แต่ รูนไฮม์ซังก็พูดต่อ

 

“อย่ายึดติดให้มากเกินไป ถ้าสะดุดหรือไม่เข้าใจ ก็จงพึ่งพาคนรอบ ๆ”

 

“เอ อะ……….”

 

ทันใดนั้น คำพูดนั้นก็ทำให้ฉันนึกถึงวันหนึ่งเมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว ว่าไปแล้ว ในตอนนั้นเองก็ด้วย

 

――――『แต่ทว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราถึงสามารถป้องกันการพุ่งเป้าไปที่คุณหนูได้ ดังนั้นเมื่อคุณมีช่วงเวลาที่ยากลำบากได้โปรดพึ่งพาพวกเราด้วยนะคะ ………สัญญา』

 

“ครอรินา ซัง”

 

ใช่แล้ว ครอริน่าซังเองก็พูดในสิ่งเดียวกัน และฉันสัญญาอย่างมั่นใจ ไม่สิ ไม่ใช่แค่เธอ ลองคิดดูแล้ว ก็มีทั้งเบลล์ซัง หรือไม่ก็มิร่าซังด้วย ทุกคนต่างบอกบางอย่างที่คล้ายคลึงให้กับฉันกันตลอดเวลา

ฉันเห็นแก่ตัวมากไปงั้นเหรอ

 

“แต่”

 

นั่นไม่ควรที่……..จะเป็นแบบนั้น เพราะฉันตามใจทุกคนเสมอ แต่ตอนนี้เธอกำลังบอกว่าฉันไม่ได้พึ่งพาเธอ ทั้งที่เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องอาหารล่าสุดที่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ารูนไฮม์ซังไม่เข้ามาช่วยฉันเอาไว้ ทั้งเบลล์ซังทั้งมิร่าซังก็คอยปลอบโยนฉันซึ่งเว้าแหว่งนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ฉันพึ่งพิงทุกคนมามากพอแล้ว

 

“หนูพึ่งพาแล้ว?”

 

“….ต้องไม่ใช่แค่พูดแค่นั้นสิ อริซ”

 

“งั้น…”

 

ฉันพยายามถามว่าต้องทำอย่างไร แต่ก็ไปไม่ถึงรูนไฮม์ซัง

เสียงปรบมือและเสียงเชียร์อย่างกะทันหันกลบเสียงนั้นของฉันให้หายไป และนั่นก็หมายความว่า

 

“ต่อไปคือ การแสดงละครเรื่อง「ตำนานดอกหยาดหิมะ」ของนักเรียนไอริสคลาสรุ่นที่ 30!”

 

ในที่สุดก็เวียนมาถึงตาของพวกเรา ฉันสูดลมหายใจ ขณะฟังเสียงต้อนรับอยู่ที่ข้างเวที ฉันสงสัยว่าทุกคนต้องพูดอะไรที่เหมือนการทักทายก่อนการแสดงหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น การเสดงดูเหมือนจะเริ่มต้นขึ้นในทันที จากบรรดาเพื่อนร่วมชั้นต่างนั่งรอบนเกาอี้อย่างสงบในพื้นที่รอด้วยกัน เด็กหญิงและเด็กชายที่เล่นบทแรกทั้งสองกำลังขึ้นไปบนเวที ในขณะเดียวกัน ฉันก็ได้ยินเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็สงบลง

 

ในที่สุด “ตำนานดอกหยาดหิมะ”ของพวกเรา…..นักเรียนรุ่นที่ 30 ของไอริสคลาสก็ได้เริ่มต้นขึ้น

 

“……อ้า ที่นี่คือที่แห่งใดกัน?”

 

เด็กผู้ชายที่เล่นบทนักกวีได้เปล่งเสียงเอื้อนเอ่ยจุดเริ่มต้นของเรื่องราวให้ดังก้องภายในหอประชุมที่เงียบสงบ แม้ว่าลำดับการแสดงของฉันจะยังอีกห่างไกล แต่ฉันรู้สึกเหมือนกำลังแบ่งปันความตึงเครียดและความเป็นจุดสนใจที่กดทับพวกเขาอยู่ หน้าอกของฉันมีเสียงดังอย่างมาก

…..อ้า ไม่ได้น่ะ หัวใจอย่าเต้นแรงแบบนั้นสิ หากเสียงดังรั่วออกจะรบกวนสมาธิการแสดงของทุกคน เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ฉันก็จับหน้าอกของตัวเองแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง

 

“นี่คือเรื่องใดกัน ข้ากำลังฝันอยู่เช่นนั้นหรือ? เช่นไรก็ตาม……อ้า ช่างเป็นสถานที่ที่งดงามอะไรเยี่ยงนี้!”

 

ฉันกังวลมากเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบสนอง จากข้างเวที ฉันมองเข้าไปในที่นั่งของผู้ชมในแนวทแยงมุมที่ไม่มีกำแพงขวางกั้น ฉันสามารถมองเห็นได้นิดหน่อยไม่กี่คนที่ที่นั่งริมขอบ เหล่สายตาดูตรวจสอบสีหน้า

 

“…..เอาล่ะ”

 

ฉันพึมพำคนเดียวด้วยเสียงเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครได้ยิน และลูบหน้าอกของตัวเองในตอนนี้ จากสายตาของฉันอย่างน้อยพวกเขาก็มีสีหน้าที่ดูสบาย ๆ และดูเหมือนจะรู้สึกสนุกอยู่ เห็นได้จากที่พวกเขาหันไปคุยกับคนข้าง ๆ เป็นครั้งคราว ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน เพราะอยู่ไกลเกินไป แต่ก็ไม่คิดว่าจะโดนพูดถึงในด้านลบ เพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่สงบ

 

“รูนไฮม์ซัง”

 

“อะไรเหรอ”

 

ขณะที่เหลือบมองไปที่สองคนบนเวทีด้วยความกระวนกระวายและส่งเสียงเชียร์ในใจ ฉันก็โน้มตัวทางรูนไฮม์ซัง เพื่อที่จะได้กระซิบโดยไม่ให้เสียงหลุดรอดออกไป ฉันเสนอให้ตรวจความพร้อมอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ในขณะที่ให้ความสนใจกับเสียงของผ้าที่ถูกันไปมาในชุดเดรสที่ไม่คุ้นเคยซึ่งเต็มไปด้วยผ้าพริ้ว

 

“ได้สิ แต่แค่ตรวจความเรียบร้อยเท่านั้นน่ะ เพราะจะซ้อมที่นี่ไม่ได้แล้ว”

 

“อืม”

 

พวกเราเข้าใกล้จนเข่าชิดกัน เอาหน้าประกบกันเพื่อตรวจเช็ค เพื่อความสะดวกในการปิดฉากสุดท้ายด้วยเพลงนั้น เนื้อหาของบทที่ 6 แตกต่างจากต้นฉบับเล็กน้อย

ในบทที่ 6 ต้นฉบับ ทั้งสองจะจูบกันในขณะที่เสียใจที่ต้องจากกัน และนางฟ้าหิมะจะหายตัวไปหลังจากนั้น นักกวีผู้ตื่นจากความฝันจะร่ำร้องบทกวีโดยที่มีฉากหลังเป็นหิมะที่กำลังโปรบปรายลงมาอย่างต่อเนื่องจนกลบนักกวีหายไปเป็นอันจบ แต่ลำดับได้เปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้ฉากจูบอยู่ลำดับท้ายสุดเพื่อเติมสีสันให้กับละครประสบความสำเร็จสูงสุด นอกจากนี้ในความเป็นจริงที่ว่าองค์ประกอบเพลงที่ฉันแต่งขึ้นได้รับอิทธิพลอย่างมากเพื่อขับขานความรู้สึกของกันและกัน และด้วยเหตุนี้ ฉากแห่งความเสียใจที่ต้องจากลาส่วนแรกจึงยังคงเหมือนเดิม ฉากจูบถัดไปถูกเปลี่ยนเป็นฉากที่ทั้งสองร้องเพลงกวีแสดงความโศกเศร้าและความรัก เมื่อได้เห็นหิมะที่นางฟ้าปล่อยให้ตกลงไปในโลกแห่งความฝัน และเมื่อร้องเพลงจบ ฉากจูบก็จะปรากฏขึ้นในตอนท้าย เป็นการปิดฉาก

 

“หนูจำได้เรียบร้อย”

 

“เอ แต่อาจจะค่อนข้างมีปัญหาถ้าฉันลืม”

 

หลังจากตรวจเส้นเรื่องกันคร่าว ๆ เสร็จ พวกเราก็พยักหน้าให้กัน ถึงอย่างนั้นฉันก็ดูเวทีไปพร้อมกับเช็คเนื้อเพลงและบทสนทนาในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อระงับความวิตกกังวลที่ยังคงผุดขึ้นมา เพื่อนร่วมชั้นที่เหลือที่รออยู่ด้วยกันยืนขึ้น มุ่งหน้าไปยังเวที แล้วหายไปที่ข้างเวทีอีกด้าน ฟังเสียงปรบมือสั้น ๆ ในตอนท้ายของแต่ละบท และถ้ามาล้มเหลวในตอนสุดท้ายทุกอย่างจะสลายกลายเป็นฟองอากาศทันที เรื่องราวดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ฉันกระสับกระส่ายด้วยความวิตกกังวลของตัวเองพิเศษ และเมื่อฉันรู้สึกตัวก็มาถึงจุดสิ้นสุดของบทที่ 5 ลำดับการแสดงต่อไปก็มาอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว ฉันครั้งสุดท้าย ขออีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งนี้ฉันตัดสินใจยืนยันกับเธอคนนั้นให้เรียบร้อย

 

“รูนไฮม์ซัง”

 

“อะไรเหรอ”

 

“…..ม๊ายเป็นร๊ายใช่ไหมกะ?”

 

“หืม?”

 

ฉันพยายามเพิ่มเติมคำพูดที่ไม่เพียงพอให้รูนไฮม์ซังที่กำลังเอียงคองงงวย อ้า แล้วฉันก็ถูกหยุดไว้ด้วยริมฝีปากที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง

 

“…..อืม ไม่เป็นไร ถึงจะยากที่จะร้องเพลงให้ออกมสมบูรณ์แบบ แต่เสียงและเนื้อเพลง ฉันสามารถลำดับได้เรียบร้อยแล้ว”

 

“เอ…..คะ แค่นั้นเหรอกะ”

 

“ไม่ได้คุยเรื่องเพลงหรอกเหรอ?”

 

“อาโนะ…..ฉากสุดท้าย”

 

ถะ ถึงท้ายที่สุด ฉันก็ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ฉันก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยแก้มที่ร้อนผ่าว และแอบเหลือบมองไปด้านข้าง และใช้นิ้วชี้กดไปที่ริมฝีปาก บางทีรูนไฮม์ซังคงจะเข้าใจความหมายในสิ่งที่ฉันต้องการจะพูดแล้ว เธอจึงหันหน้าหนีด้วยความเขินอายเล็กน้อย

 

“…..ฟุ ฟุมุ ถ้าจะมีปัญหาล่ะก็ ฉันคงไม่เลือกบทที่ 6 หรือ อริซตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”

 

“งะ งั้นเหรอก่ะ”

 

เกิดความเงียบแปลก ๆ ไม่กี่วินาทีขณะพวกเรายืนประกบกัน บทสนทนาของเพื่อนสองคนบนเวทีที่ได้ยินในช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน ทำให้ฉันรู้ว่าเวลากำลังจะมาถึงจริง ๆ แล้ว ในเวลาเดียวกัน รูนไฮม์ซังก็แสดงให้เห็นว่ารับรู้เช่นเดียวกันโดยที่ไม่พูดอะไร พวกเราแค่จ้องตากัน และ พยักหน้า

 

“ไม่เป็นไร ถ้าเป็นฉันกับอริซต้องทำได้แน่นอน”

 

“…..รูนไฮม์ซัง”

 

เธอยื่นมือออกมาบีบมือของฉันซึ่งกำลังสั่นอยู่โดยไม่รู้ตัวไว้แน่น ความอบอุ่นที่ส่งผ่านผิวหนังทำให้จิตใจของฉันสงบลงอย่างลึกลับ

รูนไฮม์ซังส่ายหัวในตอนที่ฉันเงยหน้าขึ้นบอกขอบคุณ

 

“――――ลูน่า”

 

“…..เอ๊ะ?”

 

“ลูน่า เรียกฉันว่า ลูน่า อริซ”

 

“เอ๊ะ เอ๊ะ……”

 

เรื่องนั้น แม้จะเป็นเพื่อนกัน แต่การได้เรียกชื่อย่อของเจ้าหญิง คำที่เข้ามาในความคิดของฉันคือ ………เป็นเกียรติอย่างสูงอะไรเช่นนี้ แต่ในสายตาของเธอ เธอหวังอยากให้ฉันมองเธอ ไม่ใช่ในฐานะเจ้าหญิง แต่เป็นเด็กผู้หญิงที่มีชื่อว่า รูนไฮม์ ด้วยท่าทางกังวลและไร้เดียงสา

 

“…..ลู น่า”

 

“…….อริซุ”

 

เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกด้วยเสียงเหนียมอาย คือ เพื่อนรักคนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวของฉัน ดวงตาที่เหมือนกับอัญมณีที่มีสีแตกต่างกันทั้งซ้ายและขวาระยิบระยับเจิดจ้ายามเมื่อได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำตาที่ซึมออกมา แก้มขาว ๆ ของรูนไฮม์ซัง――――”ลูน่า”เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและดีใจจากก้นบึ้งของหัวใจ แล้วฉันก็ลืมเกี่ยวกับความตึงเครียด

 

“――――พยายามด้วยกันนะ ลูน่า!”

 

“อืม อริซ!”

 

ภายใต้มือที่เชื่อมถึงกันอย่างลึกซึ้ง ในที่สุด พวกเราเดินพร้อมกันทีละก้าว ทีละก้าว การก้าวพร้อมกันด้วยรองเท้าส้นสูงที่เข้าชุดกันของคนสองคนได้ส่งเสียงดังก้อง

ฉันก้าวขึ้นไปบนเวทีด้วยความมั่นใจเคียงคู่ไปกับ”เพื่อนรัก”คนแรกของฉัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด