[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 61 บทที่ 4 เหตุใดบุตรีขุนนางผู้ทรงเกียรติเช่นเธอจึงกรีดร้องปฏิวัติ 1 ของดอกกล้วยไม้สีทอง

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 61 บทที่ 4 เหตุใดบุตรีขุนนางผู้ทรงเกียรติเช่นเธอจึงกรีดร้องปฏิวัติ 1 ของดอกกล้วยไม้สีทอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 4 เหตุใดบุตรีขุนนางผู้ทรงเกียรติเช่นเธอจึงกรีดร้องปฏิวัติ

ตอนที่ 1 ของดอกกล้วยไม้สีทอง

 

“กรี๊ด~! ฮิเมะ~!!”

 

“ยอดเยี่ยมที่สุดเลยค่ะ นี่…..ช่างวิเศษหลายเกิน!”

 

หลังจากแสดงละคร พวกเราก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยเสียงเชียร์อยู่บนเวที เพื่อนร่วมชั้นที่รออยู่ที่ข้างเวทีหลังแสดงส่วนของตัวเองเสร็จได้กลับขึ้นมาบนเวทีทีละคน เมื่อสมาชิกทั้งหมดมารวมกันครบ ก็มีการประกาศปิดการแสดงอีกครั้ง เสียงเชียร์และเสียงปรบมือก็ดังขึ้น เป็นการส่งเสียงที่ราวกับดังสะเทือนไปทั้งโรงเรียน ไม่สิ ฉันกังวลว่าหอประชุมจะถล่มลงมาจริง ๆ ในหมู่คนดู ฟังดูจะได้ยินเสียงแหลมสูงเป็นพิเศษ เจ้าของเสียงคือมิร่าซังที่กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่เธอก็มีรอยยิ้มที่ขมขื่นเล็กน้อยบนใบหน้าของเธอ แต่ทว่าที่ไหนสักแห่งในใจของฉันกลับเต็มไปด้วยแสงเจิดจ้าแห่งความพึ่งพอใจในความรู้สึกของความสำเร็จและการได้รับความชื่นชมอย่างมาก

 

“ทำได้แล้วนะ อริซ”

 

“…..ลูน่า”

 

ฉันหันไปทางเสียงที่จู่ ๆ ก็พูดออกมา และพยักหน้าให้ลูน่าซึ่งมีรอยยิ้มพึ่งพอใจและปราศจากความกลัว มาคิดดูแล้ว ฉันหมกมุ่นอยู่กับละครเอามาก ๆ จนไม่ทันสังเกต แต่ฉันรู้สึกว่าลูน่าเองก็เข้าถึงบทบาทได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสุดท้าย การพยายามมองไปข้างหน้าในขณะที่แสดงความรักที่แสนโศกเศร้าออกมา ดูไม่เหมือนการแสดงหรืออะไรแบบนั้นเลย เหมือนเธอจะกำลังเสียใจกับความรักที่จบลงด้วยความเศร้าอยู่จริง ๆ คำพูดบอกรักในตอนท้ายก็ทำฉันหัวใจเต้นแรงมาก ๆ …..หัวใจของฉันยังเต้นรัวเร็วเหมือนระฆังที่ถูกตี เพราะ”เหตุการณ์ก่อนหน้า”

 

“เนะ….ลูน่า”

 

“หืม?”

 

อะไรงั้นเหรอ ลูน่าที่ถามกลับมาด้วยท่าทางอ่อนโยนเหมือนอย่างปกติ ทำให้ฉันหยุดไม่กล้าที่จะถามต่อ ฉันแน่ใจว่าเธอแค่เข้าถึงจนอินกับบทบาทมากเกินไปหน่อย ไม่สิ อาจจะไม่ใช่แบบนั้น ยังไงก็ตาม ฉันรู้สึกว่ายังไม่ควรที่จะได้ยินที่นี่ตอนนี้

ฉันส่ายหัวจนเพื่อนสนิทจ้องมองมาด้วยท่าทางสงสัยเล็กน้อยว่ามีอะไรผิดปกติไหม

 

“ไม่ ไม่มีอะไรก่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

ฉันหันตามลูน่ากลับไปมองเสียงเชียร์ที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ขณะที่ลากนิ้วไปตามริมฝีปากที่ยังคงไหม้จากความร้อนรุ่มอยู่ และตัดสินใจว่าในตอนนี้จะไม่คิดอะไรต่อไปก่อน ถึงแม้จะพยายามลืมแค่ไหน แต่ฉันก็มีลางสังหรณ์ว่าจะกลายเป็นความทรงจำที่ลืมไม่ลง น่าเสียดายที่พวกเราต้องลงบันไดข้างเวทีเพื่อออกจากเวทีสำหรับเปิดทางให้การแสดงชุดต่อไป

 

“องค์หญิง แฟร์มีลซัง น่าทึ่งจริง ๆ เลยเพคะ”

 

“ยะ อย่างงั้นเหรอ….”

 

“ฟุๆๆ ไม่เป็นธรรมชาติไปหน่อยเหรอค่ะ”

 

เด็กสาวเพื่อนร่วมชั้นที่เดินอยู่ข้างหลังพวกเรากล่าวชมเชย ขณะที่เดินผ่านที่นั่งผู้ชมพร้อมได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม แน่นอนว่าลูน่าทำท่าทีเหมือนไม่แยแส แต่แก้มของเธอก็คลี่ยิ้มบาง ๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังมีความสุข เด็กสาวหลายคนดูจะไม่สนใจท่าทีเช่นนั้นเลย และยังคงกล่าวถึงความประทับใจ คำชมเชยและวิพากษ์วิจารณ์แต่เปลือกอย่างฟุ้งเฟ้อรวดเร็ว แม้ฉันจะเข้าใจว่าพวกเธอพูดอย่างงั้นจากก้นบึ้งของหัวใจจากดวงตาที่แวววับของพวกเธอ แต่ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจและต้องการขึ้นไปถึงที่นั่งให้เร็วที่สุด ขณะกล่าวขอบคุณและยิ้มอย่างคลุมเครือ ฉันก็รีบเดินไปที่ที่นั่ง ที่ตอนท้ายผ่านที่นั่งของผู้ชมอื่นไป เบลล์ซังกับมิร่าซังกำลังโบกมือเบา ๆ ให้จากที่นั้น

 

“…..ซ้า พวกเราค่อย ๆ มาสนุกกับการแสดงของคนอื่นกันเถอะ”

 

“อืม”

 

เพื่อนร่วมชั้นแยกย้ายกันไปที่ที่นั่งของแต่ละคน ในที่สุดฉันกับลูน่าก็ได้นั่งในที่นั่งของตัวเอง แน่นอนว่าเธอนั่งข้างฉัน

ฟู้ว ได้พักสักที ซุบซิบซุบซิบ ฉันยังคงสัมผัสได้ถึงการชำเลืองมองมา แน่ใจได้เลยว่าพวกเขากำลังพูดถึงพวกเรา ค่อนข้างที่จะออกมาดีเหนือความคาดหมาย ไม่สิ ฉันรู้ตัวว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว แต่แค่ไม่คิดว่าจะทำให้สถานที่จัดงานร้อนแรงนานขนาดนี้ ยังไงก็ตาม ฉันรู้สึกเสียใจกับคลาสที่กำลังจะแสดงชุดต่อไป พวกเขาอาจจะมีแรงกดดันมากมายที่ต้องขึ้นเวทีในสภาพแบบนี้ ฉันหมายถึงว่าอาจจะร้อนเกินไปหน่อย แต่ก็ถึงเวลาแสดงจริงแล้ว

 

“จะ จะม๊ายเป็นร๊ายสินะกะ”

 

“นั้นสินะ แต่พวกเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเป็นพิเศษสักหน่อย”

 

“อืม……ก็ใช่”

 

ม๊า แต่ว่าฉันควรจะเว้นการเปิดเผยความรู้แบบนั้นไปมากกว่านี้จะดีกว่า จนถึงตอนนี้ความสำเร็จของการแสดงละครก็มาจากผลลัพธ์ที่เพื่อนร่วมชั้นทุกคนรวมทั้งลูน่าเต็มใจยอมรับข้อเสนอบ้า ๆ ของฉัน ฉันไม่ต้องการที่จะราดน้ำมันลงกองไฟ และถูกเข้าใจผิดไปว่ากำลังดูถูกคลาสเรียนอื่น ๆ จะเป็นการดีกว่าที่เงียบเอาไว้และยินดีกับเสียงตอบรับ

 

“…….――――ต่อไป การแสดงร่ายรำเวทมนตร์ร่วมกันของทุกคลาสของนักเรียนรุ่นที่ 29!”

 

พอเห็นคนดูลดอุณหภูมิลงไปบ้างแล้ว พิธีกรหญิงก็ประกาศการแสดงต่อไปด้วยเสียงที่สูงขึ้น นักเรียนเกือบร้อยคนขึ้นไปบนเวที เพราะเป็นรุ่นที่ 29 จึงเป็นรุ่นพี่พวกเราหนึ่งปี “การร่ายรำเวทมนตร์”ที่พิธีกรหญิงพูดถึงคืออะไรกันน่ะ ถ้าเป็นแค่การแสดงก็พอที่จะคาดเดาได้ แต่ก็ยากที่จะจินตนาการเมื่อพูดถึงเวทมนตร์ คือการแสดงร่ายรำที่ผสมเวทมนตร์ลงไปทั้ง ๆ อย่างงั้น หรือจะเป็นการแสดงเวทมนตร์ที่ออกมาเชิงร่ายรำ ดูเหมือนความคาดหวังที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของฉันจะรั่วไหลออกมาทางใบหน้า ลูน่าจึงอธิบายให้ฉันพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ

 

“การร่ายรำเวทมนตร์เป็นวัฒนธรรมเฉพาะของโรงเรียนแห่งนี้ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน ตัวอย่างเช่น คนสองคนที่จะใช้ เวทมนตร์แห่งไฟ และเวทมนตร์แห่งน้ำ ทำการหมุนตัวไปมาในขณะที่แสดงเวทมนต์และร่ายรำอย่างตื่นตาโดยใช้เวทมนตร์รูปแบบต่าง ๆ”

 

“โฮ~”

 

เข้าใจล่ะ เห็นได้ชัดว่าใกล้เคียงกับที่ฉันจินตนาการไปก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแค่ไฟและน้ำ แต่เวทมนตร์เสริมพลังกายเองก็เปร่งประกายฝีมือได้เหนือความคาดหมาย ตัวอย่างเช่น หากรวมคนที่ใช้การเสริมความแข็งแกร่งทางกายภาพและคนที่ใช้การเสริมประสิทธิภาพเข้าด้วยกัน ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถเต้นร่ายรำในท่าแหกกฎเกณฑ์ที่ปกติไม่สามารถทำได้ แต่แม้จะอยู่กลางแจ้ง และแม้หอประชุมจะมีขนาดใหญ่มาก็ตาม การใช้เปลวไฟและน้ำจะไม่เป็นอันตรายเหรอ ม๊า แน่นอนว่าต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยในพื้นที่ แต่ถึงกระนั้น การทำความสะอาดก็คงยากน่าดู เมื่อฉันถามออกไปทั้ง ๆ อย่างงั้น ลูน่าก็ทำหน้าตลกอยู่ครู่หนึ่ง

 

“……อ้า ในทางกลับกัน อริซแทบไม่ได้เห็นเวทมนตร์ทั่วไปมากนักสินะ เปลวไฟและน้ำที่ปรากฎออกมาด้วยเวทมนตร์นั้นขึ้นอยู่กับพลังเวทมนตร์ของผู้ใช้ หากได้เรียนรู้การควมคุมที่แม่นยำเต็มรูปแบบ ก็จะสามารถลบออกไปได้อย่างง่ายดาย”

 

“ฟุเอ๋……”

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่องนี่ ถ้าใช่ก็ดูเหมือนการทำความสะอาดจะง่ายดายอย่างแน่นอน นอกจากนี้ พวกเขาระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างดี และมีอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยวางไว้ 2 ขั้นตอนรอบ ๆ จึงดูเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร ความคิดในอดีตที่โปสถ์ฉันคาดหวังว่าพลังเวทมนตร์จะเป็นพลังงานก้อนหนึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามที่คิด แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่าความสามารถในประยุกต์ใช้ได้มากขนาดนั้น โลกเวทมนตร์ยังคงไม่มีที่สิ้นสุดและแสนล้ำลึก …..อะไร ฉันยังแค่เรียนขั้นพื้นฐานมาเท่านั้น เป็นธรรมดาที่จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่รู้

 

“โฮระ กำลังจะเริ่มแล้วน่ะ”

 

“อะ อืม”

 

แล้วสติฉันก็กลับสู่เวที ระหว่างที่ฉันกำลังถาม หลายคนที่เตรียมตัวอยู่บนบทเวทีได้เริ่มการแสดงแล้ว คนอื่นกลับไปซ่อนอยู่ในข้างเวทีอีกครั้ง ดูเหมือนว่าทุกคนจะสามารถเต้นได้พร้อมกันโดยไม่มีปัญหากับขนาดของเวที ฉันจับตามองรอให้พวกเขาเคลื่อนไหว ไม่กี่วินาทีจากนั่น เด็กสาวก็กระโดดเข้ามาตรงกลางอย่างรวดเร็ว

 

“เริ่มแล้ว…..”

 

ด้วยสัญญาณนั้น เวทีก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที เป็นการเริ่มต้นการแสดงที่ละมุนละม่อมและสง่างาม การเคลื่อนไหวเริ่มต้นโดยมีหญิงสาวเป็นแกนหลัก เธอเต้นอย่างไม่เร่งรีบ นักเรียนคนอื่น ๆ แต่งแต้มสีสันอยู่รอบ ๆ ดูเหมือนเวทมนตร์จะยังไม่ถูกใช้ แต่ก็แสดงออกมาได้ดูดีเลย ไม่ได้มีการเล่นเพลงจริง ๆ แต่ใช้การแกว่งร่างกายจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งตามจังหวะการเต้นที่ได้ยิน เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองของลูน่า ฉันจึงหันหน้าไปด้านข้างอีกครั้ง

 

“…..อะไรเหรอ?”

 

“เอ๊ะ ไม่ ไม่มีอะไร ฉันก็แค่กำลังคิดว่าดูสนุกจังเลยนะ”

 

“หืม? อืม มากเลย!”

 

“เหรอ แบบนั้นดีแล้ว”

 

ค่อนข้างแปลกที่จะพูด แต่ฉันไม่สามารถตอบสนองต่อรอยยิ้มดูดีที่ตามมาได้ จู่ ๆ เสียงเชียร์ที่ระเบิดขึ้นก็ดึงฉันกลับไปที่เวทีอย่างรวดเร็ว หญิงสาวที่อยู่ตรงกลางในที่สุดก็ใช้เวทมนตร์ กระแสน้ำที่พุ่งออกมาจากปลายมือของเธอปกคลุมเธอราวกับหงส์สาว หากพลาดคงได้สัมผัสน้ำจริง ๆ จนเปียกโชก

 

“เหมือนจะเป็นการแสดงในธีมริมทะเลสาบน่ะ”

 

“ทาเลสาบ”

 

คำบรรยายของลูน่าซึ่งพูดมาอย่างรวดเร็วนั้นนุ่มนวล นี่เป็นการแสดงที่สมมติว่า หญิงสาวเป็นจุดศูนย์กลางของทะเลสาบ การร่ายรำรอบ ๆ เป็นตัวแทนของดอกไม้ และหญ้าที่พลิ้วไหวในสายลม เมื่อเข้าใจถึงวิธีการเต้นของพวกเขาถึงจุดนั้นแล้ว ฉากการร่ายรำจึงถูกแทนที่ด้วยฉากของธรรมชาติที่เงียบสงบได้อย่างง่ายดาย ยังไงก็ตาม ไม่ใช่แค่รู้สึกถึงสายลมที่รื่นรมย์ ดูเหมือนจะได้กลิ่นด้วย

 

“สวย”

 

การร่ายรำที่ร่าเริงและสดใสนั้นน่าหลงใหล ก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ร่างกายที่โยกไปตามจังหวะของฉันก็นุ่มฟูและผ่อนคลาย ความตึงเครียดและความกดดันที่ยังคงเหลืออยู่บนไหล่ของฉันก็ค่อย ๆ หายไป การแสดงดำเนินไปในขณะที่ฉันเฝ้ามองไม่วางตา ในที่สุด ทุกคนบนเวทีก็รวมตัวกันตรงกลางและใช้เวทมนตร์แห่งน้ำเพื่อสร้างดอกไม้ขนาดใหญ่บนเวที

 

“แปะ แปะ”

 

“…..ได้พูดอะไรหรือเปล่า?”

 

อ้า ช่างสวยงามจริง ๆ ดอกไม้ดอกสุดท้ายดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของลิเลียมคลาส ถ้าอย่างงั้น ฉันแน่ใจว่านักเรียนของลิเลียมเป็นนักแสดงหลักในฉากนี้ …..จะว่าไปแล้ว กลุ่มนักแสดงที่ย้อนกลับไปปีกข้างเวที ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ออกมาระหว่างการแสดงฉากนี้ แปลว่าจะต้องยังมีฉากต่อไป ความคาดหวังยิ่งสูงขึ้น เมื่อพวกเขาแสดงผลงานที่สอดคล้องกับธีมอื่น

ยังไงก็ตาม หากเริ่มต้นด้วยคลาสลิเลียม ต่อไปล่ะ ป๊อปปี้แดง หรือ ไอริส ….ไม่สิ น่าจะเป็นป๊อบปี้แดง เป็นความคิดที่ตรงไปตรงมา เมื่อเปรียบเทียบระหว่างป๊อปปี้แดงกับไอริสแล้ว ไอริสน่าจะเป็ฯคลาสเดียวที่มีทักษะเวทมนตร์สูงสุด ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะเอาไว้เป็นกลุ่มที่สาม

 

การแสดงในตอนนี้ของลิเลียมส่วนใหญ่เกี่ยวกับเวทมนตร์แห่งน้ำ ถ้าเป็นอย่างงั้น ป๊อปปี้แดงก็น่าจะเน้าไปที่เปลวไฟเป็นหลักล่ะมั้ง ดังนั้นแล้วไอริสต้องเป็นคนที่ผสานทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน อยากเห็นจังน้า…..เมื่อพิจารณาถึงทักษะที่น่าจะมีความจำเป็นก็ไม่น่าจะผิดไปจากนี้

 

“อริซ?”

 

“อืมอืม สนุกมาก”

 

“…..หืออออ อา~ริ~ซู~?”

 

มีบางอย่างจิ้มฉันจึก ๆ จนหลุดออกจากโลกในความคิดของตัวเองอย่างสมบูรณ์ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เจอลูน่าที่ดูอารมณ์เสียเล็กน้อย ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอก็อยู่ข้าง ๆ มาตลอด แต่ฉันหมกมุ่นอยู่กับการแสดงมากจนลืมไปเลย …..นอกจากนี้ ยังหมายความว่าฉันลืมจนไม่สนว่าเธออยู่ข้างฉัน แม้ว่าฉันจะหวั่นใจมากในขณะที่มาเยี่ยมชมโรงเรียน แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะได้มีเพื่อน ๆ ที่สนิทสนมกันในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้ ถ้าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ลึกลับ ฉันก็สามารถพูดอย่างยอมรับได้ในทันทีว่านั่นคือชะตากรรมของฉันที่ไม่แตกต่างจากนางฟ้าในเรื่องตำนานหยาดหิมะ แม้ว่าบางครั้งฉันจะยังกลัวคนอื่น ๆ นอกเหนือจากลูน่าอยู่บ้าง

 

ไม่ดีแล้ว ฉันกำลังจะจมลงไปในห้วงทะเลแห่งความคิดอีกแล้ว ในดวงตาที่รอคำตอบด้วยรอยยิ้มของเพื่อนสนิทของฉัน เริ่มมีแววสีแห่งความกังวลผสมเข้าไป 

 

“……อะ แอ่ม มะ ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

 

“ขอโทษก่ะ กำลังคิด อะไรนิดหน่อย”

 

“เหรอ …..รอยยิ้มนั้น ห้ามส่งให้คนอื่นง่าย ๆ นะ เข้าใจไหม”

 

“….ฟุเอ๋”

 

“เพราะตอนนี้ทั้งโรงเรียนเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ในสตรีศักดิ์สิทธิ์กันหมดแล้ว”

 

“เอ๊ะ”

 

“ม๊ายมีอาร๊าย หุๆๆ”

 

บางครั้งเบลล์ซังกับมิร่าซังเองก็ชอบพูดบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ คนประเภทเดียวกันมักจะรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันสินะ เช่นเดียวกับมิร่าซังที่ท้ายที่สุดก็มีพื้นฐานบางส่วนที่คล้ายกับเบลล์ซังสุดที่รักของฉัน ทำให้ดังนั้นจึงทำให้พวกเธอเข้ากันได้ง่าย ๆ 

 

เรื่องนั้นยังไงก็ตาม ในขณะที่พูด ดูเหมือนว่าการเตรียมตัวสำหรับการแสดงฉากถัดไปจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว คล้ายกับครั้งก่อนที่มีคนจำนวนมากล้อมรอบจุดศูนย์กลาง แต่คราวนี้เป็นชายหนุ่มสามคนยืนอยู่ตรงนั้นแทนที่จะเป็นหญิงสาว แสดงว่าพวกเขาเป็นเมนหลักของฉากหรือเปล่า

 

“คราวนี้ ดูเหมือนธีมหลักจะเป็นกองไฟในยามราตรี”

 

“แคมป์ฟราย”

 

“เอ๊ะ?”

 

“มะ ม๊ายมีอาร๊ายก่ะ”

 

ในวันหนึ่งตอนที่ฉันอยู่ที่โรงงาน ผู้ตรวจการก็ได้โผล่มาอย่างกะทันหัน ในขณะที่กำลังเผาสื่อความบันเทิงและอุปกรณ์มากมายเขาก็เรียกของเหล่านั้นว่า”สิ่งไม่จำเป็น” ไม่ใช่ว่าบังคับพวกเราให้ทำงานเพราะขาดแคลนทรัพยากรหรอกเหรอ จริง ๆ เลย เป็นพวกที่เข้าใจยากโดยสิ้นเชิง ……..และ ความทรงจำในชาติก่อนที่ฉันฝังไว้กำลังจะฟื้นกลับขึ้นมาในชั่วขณะหนึ่ง

 

“อริซ……?”

 

“มะ ม๊ายมีอาร๊าย”

 

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ใช่ไหม? ฉันเห็นคิดอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

 

“ม๊ายเป็นร๊ายจริง ๆ ก่ะ”

 

ถึงยังงั้นลูน่าก็ยังคงมองหน้าฉันด้วยความห่วงใย นี่ไม่ดีแล้ว เป็นนิสัยเสียของฉันที่สติจะจมลึกลงสู่ภายในทันที มานึกถึงเรื่องต่าง ๆ ที่จะทำกันหลังจบงานเทศกาลโรงเรียนกันดีกว่า ฉันจับมือ《ด้วยความรู้สึกอยากสัมผัส》เพื่อนสนิทที่อ่อนโยน(ที่มากล้น)ของฉันแน่นเพื่อสร้างความมั่นใจให้เธอ นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำโดยไม่คิดให้ดีก่อนอีกแล้ว การจับมือเจ้าหญิงโดยไม่ได้รับอนุญาต หากจะถูกสั่งประหารในที่เกิดเหตุทันทีก็ไม่สามารถเรียกร้องได้เลย

…..แต่ตอนนี้ฉันไม่ลังเลหรือกลัวอะไรแบบนั้นแล้ว

 

“เดี๋ยวเถอะ!?  …….อ้า โม๊ว หะ ให้จนถึงแค่งานเทศกาลโรงเรียนสิ้นสุดเท่านั้นนะ!”

 

“อืม ขอบกุณ ลูน่า!”

 

เพราะฉันรู้อยู่แล้วว่าลูน่าจะยินดียอมรับไว้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด