[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 83 3 ณ สุดปลายทางที่ยังคงสวนทางกัน

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 83 3 ณ สุดปลายทางที่ยังคงสวนทางกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3 ณ สุดปลายทางที่ยังคงสวนทางกัน

 

――――ซัง ……ริสุ ……ซัง…..?

 

โยกเยก มีคนกำลังเขย่าตัวฉันอยู่ เป็นเสียงที่ไม่เคยได้ยิน…ไม่สิ เป็นเสียงที่ชวนให้คิดถึง เสียงผู้ชายที่ดูแหบแห้งไปหน่อย ค่อยๆ ปลุกสติสัมปชัญญะที่ยังคงง่วงนอนอยู่ขึ้นมาทีละน้อย แสงสว่างเริ่มแผ่เข้ามาในสายตา

 

“ซัง อาริสุซัง!”

 

“เอ๊ะ อะ……?”

 

เมื่อแสงสีขาวบริสุทธิ์กระจายหายไป ฉันก็จำผู้ชายคนนี้ได้ เขาคว้าไหล่ของฉันจากด้านหน้าและเรียกชื่อฉันอย่างต่อเนื่อง เบื้องหลังห่างออกไป ฉันมองเห็นเพดานสีเทาครึ้ม เห็นได้ชัดว่าฉันอยู่ในท่าทางกำลังนอนอยู่ เช่นนั้น เบลล์ซังน่าจะตื่นแล้ว ฉันกอดคู่หูที่ล้มลงอย่างแน่นหนา

 

“อรุณ――――…..เอ๊ะ?”

 

ไม่สิ ไม่ใช่ รอก่อน แปลก เกิดอะไรขึ้นกัน ทำไม…..ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่”โคโลนี่”ได้กัน?

ไม่ควรที่จะเป็นแบบนี้ “อาริสุ”ควรจะตายไปนานแล้ว ร่างกายที่อ่อนแอจากการทำงานที่หนักเกินไป และอาการป่วยบางอย่างที่ทำให้เสียชีวิตอย่างกะทันหัน ควรจะเป็นแบบนั้น และ ฉันควรจะเป็น “อริซ” แปลกเกินไปแล้ว เขาลืมตากว้างและปล่อยมือออกราวกับว่าโล่งใจแล้ว….ฉันไม่ควรจะได้เห็นหน้าเพื่อนร่วมงานคนนี้อีก นี่มันอะ…..

 

“รู้สึกยังไงบ้าง อาริสุซัง ……อ้า แต่น่าดีใจจริง ๆ นึกว่าจะไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาเป็นครั้งที่สองซะแล้ว…”

 

ก็ควรที่จะต้องเป็นแบบนั้น สำหรับฉัน โลกใบนี้ต้องหายไปแล้ว

ไม่ไหว ฉันไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลย ไม่สมเหตุสมผล ฉันต้องสงบใจให้เย็นลง ไม่จริง หรือว่าทั้งหมดนั้นคือความฝันของฉันงั้นเหรอ ทั้งราชอาณาจักร เบลล์ซัง มิร่าซัง คุณพ่อ ลูน่า และคนอื่น ๆ เป็นแค่ความฝันในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ที่ตอนนี้ฉันกลับฟื้นคืนชีพอย่างปาฏิหาริย์ …….ไม่มีเหตุผลเลย ฉันไม่ต้องการอยู่ที่นี่ ฉันคือ อริซ

 

“ความฝัน นี่ต้องเป็นความฝัน….”

 

ฉันพึมพำสิ่งที่เหมือนเป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าออกมา และฉันก็รู้สึกถึงบางอย่าง เสียงของฉัน ยังคงเป็นเสียงของเด็กผู้หญิงอยู่อย่างแน่นอน 

…..ใช่แล้ว ถ้านึกดูให้ดี ตอนนี้ฉันกำลังกอดตุ๊กตาสัตว์ด้วยความหวาดกลัวอยู่ คู่หู ของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่ได้รับมา ไม่เป็นไร ตุ๊กตาตัวนี้แทบจะอยู่เคียงข้างฉันมาตลอดตั้งแต่ตอนที่ฉันตื่นได้สติขึ้นมา ตุ๊กตาตัวนี้เป็นกลุ่มก้อนของความทรงจำ ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีอะไรอื่นที่จะพิสูจน์ตัวตนของฉันได้ดีไปกว่านี้แล้ว และเมื่อก้มมองยืนยันร่างกายโดยไม่ตั้งใจ ว่าแล้ว ร่างกายของฉัน…ยังคงเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ฉันพยายามยกร่างกายรู้สึกหนักราวกับถูกมัดด้วยตะกั่วขึ้น และเส้นผมสีเงินก็ตกลงมาสู่สายตา ถ้าอย่างงั้น นี่คือความฝัน?

 

“อาริสุซัง อาริสุซัง……….”

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นเพียงความฝันที่มีที่มาจากช่วงเวลาของชาติที่แล้วเท่านั้น เพราะทั้งที่มีร่างกายเป็นแบบนี้ แต่ดูเหมือนเขาจะจำได้อย่างชัดเจนว่าฉันคืออาริสุ ความสิ้นหวังที่มีมาจนถึงตอนนี้สงบลงจนเป็นเหมือนแค่ฟองสบู่ ในที่สุดตอนนี้ฉันก็สงบใจลงได้ เหมือนกับตอนที่ฉันคุยกับคุณแม่ ดูเหมือนตอนนี้ฉันกำลังฝันโดยที่ยังมีสติสัมปชัญญะพร้อมสมบูรณ์ อย่างน้อยนี่ก็เป็นคำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดเกี่ยวกับสถานการณ์แปลก ๆ ที่ฉันกำลังเผชิญหน้าอยู่ในปัจจุบัน

แต่นั่นเป็นปัญหา ฉันอยากจะเชื่อว่าถ้าปล่อยไว้สักพักฉัน….จะตื่นขึ้นเอง แต่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าต้องรอนานแค่ไหนกว่าความฝันนี้จะจบลง ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีทางที่เวลาในความฝันและในโลกแห่งความเป็นจริงจะเดินไหลผ่านเท่ากัน บางทีฉันอาจจะตื่นขึ้นในอีกสักครู่ หรือตรงกันข้ามฉันอาจจะติดอยู่ที่นี่ไปอีกนาน นั่น….เรื่องนั่นน่ากลัว ถึงจะโชคดีที่ไม่มีความมืด ไม่มีอะไรแปลกประหลาด แต่ก็ยังน่ากลัว ฉันอยากตื่นให้เร็วที่สุดและกระโดดกอดเบลล์ซัง มีความรู้สึกน่าอนาจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของฉันทั้งแบบนี้เลยหรือเปล่า เขา….ใช่ ค่อนข้างมั่นใจ อินาบะซัง อินาบะซังกำลังจ้องมาที่ฉันด้วยใบหน้าลึกลับนิ่ง ๆ แน่นอนว่าฉันไม่มีความรู้ว่าควรจะปฏิสัมพันธ์กับคนในความฝันยังไง ฉันจึงหลุดความสับสนที่อธิบายไม่ได้ออกไป

 

“เอ๊ะโตะ อะ…คือว่า…..”

 

“อาริสุซัง”

 

“ฮะ ฮี่!”

 

“อาริสุ”

 

“มะ มีอะไร ครับ…..?”

 

เท่าที่จำได้ เขาเป็นคนที่สุภาพอยู่เสมอ การที่จู่ ๆ เขาก็หยุดเติม”ซัง”ต่อท้าย ก็ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถึงจะพูดอะไรนี่ก็เป็นแค่ความฝัน ถ้าจะมีอะไรที่แปลกประหลาดที่สุดในความฝันนี้ก็คงเป็นตัวฉันเอง เข้าไม่พูดอะไรอีก และจ้องมองมาที่ฉันอีกครั้ง ดวงตาสีดำสนิทดูน่ากลัวราวกับไม่ใช่มนุษย์ ว่าแล้ว น่ากลัว ฉันเกลียดที่นี่ ฉัยอยากออกจากความฝันนี้ให้เร็วที่สุด

 

“อาริซ”

 

“อะ อื…..?”

 

“อริซ”

 

ความกลัวในตอนแรกเริ่มกลายเป็นความว้าวุ่นใจแทน ฉันพยายามจะเปล่งเสียงเพื่อประท้วง ยังไงก็ตาม กึก ไม่มีแม้แต่เสียงแหบแห้งหลุดออกไป เพราะมือของเขาจิกลงมาบนไหล่ของฉันที่เขาจับไว้แน่น มีอะไร อะไร จะทำอะไร หยุดที…..

 

“อาริสุ อริซ อาริซ อาริสุ อริซอาริซอริซอาริสุอริซอาริซอริซซซซซซซซซ――――”

 

“――――ฮะ ฮี่!? ไม่ ม๊ายน๊า……… !”

 

นั่นไม่ใช่เสียงของมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เป็นเสียงขุ่นตกตะกอนที่ทับซ้อนกันหลายครั้ง เสียงอันน่าสะพรึงกลัวเหมือนเสียงเครื่องจักรที่ดังกึกก้องปะปนกัน จนบังเอิญได้ยิน”เสียง”ดังกล่าวเป็นคำพูด ถึงจะเป็นคำที่ไม่มีความหมาย แต่ฉันก็ตกอยู่ในอำนาจของความหวาดกลัวที่มากเกินกว่าปกติจนหลับตาลงด้วยไม่ตั้งใจ ฉันกอดคู่หูอย่างสิ้นหวัง จบที จบที ฉันร้องขออยู่ในหัว ฝันร้ายนี่ ช่วยจบเร็ว ๆ ที

 

“…….อ……ง”

 

ฉันไม่เข้าใจอะไรอีกแล้ว ยังไงก็ตาม ฉันหดตัวให้แน่นที่สุดเพื่อรอรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ……แต่ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อรู้สึกตัวก็พบว่าเสียงน่ากลัวที่เรียกฉันก็หยุดไปแล้ว ฉันกลัวที่จะเอาตาแม้แต่ข้างเดียวออกจากหัวของคู่หูที่ฉันกดหน้าลงไป แต่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ฉันเปิดเปลือกตาขึ้นแค่นิดหน่อย

 

“อะ…..?”

 

ไม่มีอะไรอยู่ที่นั่น ไม่มีแม้แต่ของที่รูปร่างเหมือนมนุษย์หรือของที่ใกล้เคียงเลย ไม่มีอะไรเลย มีเพียงภูมิทัศน์ของโคโลนี่ที่คุ้นเคยเท่านั้น แกร๊ง แกร๊ง มีเพียงเสียงของแป้นเหยียบขึ้นสนิมของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขับเคลื่อนโดยมนุษย์ที่แกว่งไปแกว่งมาอยู่ที่ขอบตาเท่านั้นที่ส่งเสียงหลอนน่าขอลุก และแล้ว………

 

 

 

“――――ซามะ อริซซาม๊า!”

 

….ฮ้า ฉันมองไปที่เพดาน

 

เสาที่ยื่นออกมาจากมุมทั้งสี่ของลานสายตา และผ้าม่านบางทรงลูกพีชที่ห้อยลงมาจากเสาเหล่านั้น ….ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น นอกจากเตียงในห้องของฉัน ฉันนอนอยู่บนเตียง และคนที่กำลังเขย่าไหล่ฉันอยู่คือเบลล์ซัง ไม่ใช่อดีตเพื่อนร่วมงาน เธอขมวดคิ้วและมองมาที่ฉันอย่างกังวลใจ

 

“เบลล์”

 

“ค่ะ อริซซามะ ……ขออภัยด้วยนะคะ แต่ดิฉันเป็นกังวลอย่างมาก เพราะอริซซามะส่งเสียงราวกับกำลังฝันร้าย”

 

“……งั้นเหรอ”

 

ในที่สุดเบลล์ซังก็ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นจากฝันร้ายนั่น ฉันเริ่มสรุปความเข้าใจ ดูเหมือนว่าฉันจะฝันร้ายเอามาก ๆ ทั้งสีหน้าที่ร้อนใจของเบลล์ซัง เสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ และเหงื่อที่เปียกชุ่มไปทั้งตัว ม๊า ก็เล่นมีความฝันแบบนั้น 

 

“ฮะ”

 

…..ไม่เป็นไร ไม่รั่วไหล ฉันรีบวางมือบนท้องน้อยของตัวเอง แต่ดูเหมือนจะไม่มีแอ่งน้ำท่วมแปลก ๆ ไม่มีแอ่งน้ำแห่งความน่าสงสาร ฉันรู้สึกโล่งใจจนลูบหน้าอกตัวเอง เมื่อฉันมองย้อนกลับไปที่เบลล์ซัง เธอมองมาเหมือนกับถามว่าเกิดอะไรขึ้นคะ และช่วยจัดผมหน้าที่ติดกันเพราะเหงื่อให้ฉัน ฉันแน่ใจว่าเธอแสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นว่าฉันยืนยันอะไรไป

 

“……ขอบกุณ”

 

“ไม่หรอกค่ะ…..ยังไงก่อนอื่น ให้เตรียมชุดสำหรับเปลี่ยนเลยไหมคะ”

 

“อืม”

 

ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับที่ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นจากฝันร้าย สำหรับตอนนี้ฉันเห็นด้วยที่จะเปลี่ยนชุด ดูแย่มากที่ไปเพิ่มงานซักชุดนอนทันทีที่กลับมา แต่เรื่องนี้ทำให้ฉันอึดอัดใจอย่างที่คาดไว้ ฉันถอดชุดนอนที่เหนียวเหนอะหนะออกด้วยความช่วยเหลือของเบลล์ซังก่อนยื่นให้เธอ อากาศที่เย็นเล็กน้อยทำให้เหงื่อเย็นลงอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ทำอะไรจะเป็นหวัดได้

 

“ช่วยกรุณารอสักครู่นะคะ”

 

“ก่ะ”

 

แน่นอนว่าเบลล์ซังรู้ดี หลังจากนั้นก็ม้วนผ้าปูที่นอนและผ้านวมขึ้นไว้บนแขน และหายไปในทางเดินอย่างรวดเร็ว เธอจะนำผ้าเช็ดตัวและชุดสำหรับเปลี่ยนมาให้ฉันในไม่ช้า

 

“คู่หู ขอโทษน้า”

 

ฉันอุ้มคู่หูขึ้นมานั่งบนตักแล้วพูดด้วย แน่นอนว่าเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่คู่หูจะทั้งชื้นและเปียก เบลล์ซังใช้ความรู้สึกว่าควรปล่อยเขาไว้กับฉัน แต่ฉันจะขอให้ช่วยทำความสะอาดคู่หูทีหลัง ดูน่าสงสารนิดหน่อยที่ต้องปล่อยให้เขาเปียกเหงื่อของฉันอยู่แบบนี้

 

“….ฝัน ประหลาด”

 

อ้า จริงด้วย เป็นความฝันที่แปลกประหลาด ทำไมฉันถึงมาฝันถึงโลกก่อนเอาในเวลาแบบนี้ เพราะฉันได้กลับบ้าน เลยทำให้หวนนึกถึงเรื่องในอดีตอย่างงั้นเหรอ ยังไงก็ตามเป็นความฝันที่ฉันไม่อยากจะเห็นอีกแล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันรู้สึกหนาวสั่นทุกครั้งเมื่อจำเสียงของแป้นเหยียบนั่นได้ ฉันรู้สึกไม่ชอบที่ได้ยินเลย

 

“ขออภัยที่ทำให้รอนะคะ อริซซามะ”

 

“เร็ว”

 

ไม่สิ แต่ก็เร็วจริง ๆ คิดว่าคงมีการเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ช่างเป็นการจัดการที่ดีมาก เธออกจากห้องไปเพียงแค่ไม่กี่นาที ช่วงเวลาที่เบลล์ซังใช้ไม่เหนือธรรมชาติเกินไปหน่อยเหรอ ไม่ ก็มีเวทมนตร์อยู่นิหน่า น่าจะเป็นไปได้

 

“อืมอืม”

 

“หาคำตอบบางสิ่งที่ต้องการพบแล้วเช่นนั้นหรือคะ? ฟุๆๆ”

 

“ฟุเนี๊ยว”

 

เมื่อฉันกอดอกพร้อมพยักหน้า เบลล์ซังก็เอานิ้วมาจิ้มแก้มของฉัน พอฉันพยายามเอียงหัวหลบ เธอก็กล่าวขออภัยและยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าจะเป็นสกินชิพที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ

 

“เช่นนั้น ดิฉันจะเช็ดตัวให้นะคะ”

 

“อืม”

 

เมื่อเบลล์ซังได้ยินฉันยืนยัน เธอก็เอาผ้าขนหนูเปียกหมาด ๆ ที่พันอยู่รอบแขนมาถูรอบ ๆ คอของฉัน ช่วงคอเหนือหน้าอกถึงไหล่ถูกเช็ดจากซ้ายไปขวา

 

“อริซซามะ บันซ๊าย”

 

“บันซ๊าย”

 

คำพูดเหล่านั้นได้ซึบซับเข้าสู่เบลล์ซังอย่างสมบูรณ์แบบ ฉันยกแขนทั้งสองขึ้นจนเผยให้เห็นรักแร้ ทำความสะอาดบริเวณที่เหนียวเหนอะไม่พึงประสงค์ด้วยผ้าเย็นที่ให้ความรู้สึกเย็นสบาย รู้สึกดีจัง

 

“อืมมม~”

 

“….เช่นนั้น ต่อไปก็หน้าอกและหลังนะคะ”

 

“ก่ะ”

 

ฉันหยุดทำบันไซแล้วปล่อยแขนกลับที่เดิมอย่างผ่อนคลาย หน้าอกและหลังถูกถูเบา ๆ รู้สึกจักจี้น่าอายนิดหน่อย หยดน้ำเล็ก ๆ ที่เย็นช่วยทำให้ผิวเย็นสบายและเปล่งปลั่งขึ้น รู้สึกแตกต่างอย่างมากจากความเย็นที่เกิดจากเหงื่อ ในขณะเดียวกัน หัวใจของฉันดูเหมือนจะสงบลงได้แล้ว

 

“ฟู๊วเนี๊ยว”

 

“ค่ะ ต่อไปช่วยอ้าขาด้วยค่ะ”

 

“ก่ะ”

 

หลังจากนั้นผ้าขนหนูก็เช็ดผ่านเอวลงไปที่ช่วงล่างทั้งแบบนั้น เช็ดโคนขา เข่า และบริเวณที่เหงื่อมีแนวโน้มที่จะสะสมได้ง่ายอย่างระมัดระวัง ฉันอ้าขาตามที่เธอบอก ผ้าขนหนูลูบผ่านต้นขาจนถึงนิ้วเท้า

 

“เช่นนั้น จะเช็ดตัวให้แห้งเลยนะคะ”

 

“อืม”

 

หลังจากเช็ดเหงื่อออกจากร่างกายแล้ว คราวนี้ก็เป็นการซับน้ำส่วนเกินด้วยการกดผ้าหายนุ่มฟูตามจุดต่าง ๆ คอ ร่างกายส่วนบน ร่างกายส่วนล่าง ตั้งแต่ข้อเท้าถึงปลายเท้า ทุกอย่างตามลำดับเหมือนเดิม เมื่อผ้าขนหนูเริ่มเปียก ร่างกายของฉันก็สะอาดเรียบร้อย

 

“สะอาดแล้วค่ะ”

 

“ฟู๊ว”

 

“…..น่าหลงใหล กลายเป็นสาวสวยแล้วนะคะ”

 

“ขอบกุณ”

 

“ไม่หรอกค่ะ รีบแต่งตัวก่อนที่จะตัวเย็นไปมากกว่านี้ดีกว่า”

 

“ก่ะ”

 

ฉันเริ่มใส่เสื้อผ้าขณะที่หันหลังให้เบลล์ซัง รู้สึกเหมือนกลายเป็นตุ๊กตา ระหว่างที่กำลังคิดเรื่องไร้สาระอยู่ ฉันก็สังเกตเห็นว่าเป็นชุดวันพีชที่ใส่อยู่ประจำ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความคิดถึง หลังจากที่ได้อยู่หอพักของโรงเรียน ฉันไม่สามารถสวมชุดบาง ๆ แบบนี้ได้ ถึงจะพยายามอยู่ในห้องของตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็ยังจำเป็นต้องเดินออกไปไหนมาไหนในหอพักอยู่ ฉันจึงสวมชุดนอนที่หนาปกปิดมิดชิดพอสมควร นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันนอนไม่ค่อยหลับเล็กน้อย แต่ที่นี่เป็นห้องของฉันที่คฤหาสน์ รับประกันความเป็นส่วนตัวอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องแบบนั้นอีกแล้ว รู้สึกได้ถึงความเป็นอิสระ

 

“ถึง…….อาจจะเร็วไปสักหน่อย แต่อยากทานอาหารเช้าเลยไหมคะ?”

 

“อือ~”

 

เบลล์ซังถามขณะหยิบผ้าขนหนูใช้แล้วขึ้นพับ อาหารช้าวเหรอ ฉันควรทำยังไงดี ฉันคิดระหว่างลูบท้องเพื่อตรวจพื้นที่ความหิว พูดตามตรงฉันไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาจเป็นเพราะฉันฝันร้ายตั้งแต่เช้าแบบนี้ แต่นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันควรจะทานอาหารเช้าให้เรียบร้อยเพื่อที่จะได้รู้สึกสดชื่น หลังกลุ้มใจสักพัก ท้ายที่สุดฉันก็พยักหน้าเล็กน้อยหนึ่งครั้ง

 

“…..เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้นจะนำมาให้ที่ห้องนะคะ”

 

แล้วเบลล์ซังก็เหมือนรับรู้ได้ถึงบางอย่าง จู่ ๆ เธอก็วางผ้าขนหนูลงบนพื้น และเริ่มใช้มือหวีผมของฉันเบา ๆ อืม ฉันแสดงความสับสนออกไปเล็กน้อย แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ไม่รู้สึกอยากปัดมือของเธอออกไปเลย

 

“เห็นฝันร้ายสินะคะ”

 

“อะอู”

 

ฉันตอบกลับเป็นการคร่ำครวญที่ดูคลุมเครือ ไม่มีแม้แต่คำพูด กิ๊ว ฉันถูกกอดจมลงในหน้าอกของเธอ มือที่ลูบหลังเหมือนกล่อมเด็กทำให้ตาของฉันสั่นไหวทันที

 

“เบลล์……….”

 

ว่าแล้ว ไม่นานมานี้ดูเหมือนการสกินชิพกับเบลล์ซังมีแต่จะเพิ่มขึ้น

ไม่ใช่แค่จากฝั่งเบลล์ซังอย่างเดียว แต่จากฉันเองก็ด้วย

 

….โม๊ว ทำให้ฉันเริ่มไม่รู้สึกสมเหตุสมผลไม่สบายใจกับการพูดกันด้วยสถานะความเป็นเจ้านาย-ข้ารับใช้

ฉันแน่ใจว่าเบลล์ซังก็รู้สึกเหมือนกัน

 

“…..รู้สึกดีขึ้นบางไหมค่ะ หากดิฉันทำเช่นนี้”

 

“อืม …..มีความสุข”

 

“อริซซามะ…..”

 

ด้วยเหตุนั้นเบลล์ซังเริ่มพูดติดขัด หัวใจที่เต้นแรงขึ้นมาสะท้อนตรงมาที่ฉัน มือที่หวีผมอยู่ข้างหลังรู้สึกเหมือนจะหายไปที่ไหนสักแห่ง ……ฉันไม่ได้ซื่อบื้อ ฉันสังเกตเห็นความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ ด้วยความรู้สึกนี้ฉันกำลังเผชิญหน้ากับเบลล์ซัง และความรู้สึกที่ว่าเบลล์ซังก็กำลังเผชิญหน้ากับฉัน แต่ทว่า

 

“ขออภัยด้วยค่ะ! คลอริน่าซังต้องการเข้าพบอริซซามะค……อะ”

 

…..แต่ ฉันแน่ใจนี่เป็นเรื่องที่ยังไม่ควรจะแสดงออกมา หากทำเช่นนั้นแล้ว ทั้งฉันและเบลล์ซังจะไม่สามารถย้อนกลับได้อีก และไม่ต้องบอกเลยว่าหลังจากนั้น ฉันจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเหนือสิ่งอื่นใด เพราะแบบนั้น อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ แม้จะรู้ใจกันและกันก็ตาม

 

“……ไม่มีพักกลางวันหรือคะ?”

 

“ไม่ค่ะ…… ขอบคุณค่ะ”

 

เป็นคำที่ควรแสร้งทำเป็นไม่รู้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด