[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 28 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 8 ประตู

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 28 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 8 ประตู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 8 ประตู

 

“จะไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอคะ”

 

“……ข้าก็ไม่รู้”

 

ดิฉันออกจากห้องของอริซซามะหลังจากที่มิแรนดาเข้ามารับช่วงต่อ และฝากคาลเมียร์ให้จัดการเรื่องอาหารเช้า เมื่อว่างแล้วจึงมาที่ห้องทำงานของฮัททีเรียซามะ

 

“ถ้าเจ้ารู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ ให้รีบพากันกลับมาในทันที แล้วข้าจะไปเป็นคนบอกยกเลิกการทดสอบในภายหลังเอง”

 

“รับทราบแล้วค่ะ”

 

แน่นอนว่าอริซซามะมีความสำคัญเหนือกว่ากำหนดการทดสอบเวทมนตร์ ตั้งแต่แรกแล้ว การที่จะได้ออกไปข้างนอกมันก็เป็นโอกาสที่หาได้ยากมากๆ  แต่ทั้งหมดนั้น หากดิฉันรู้สึกไม่ดีก็พร้อมที่จะพากลับมาในทันที

การแสดงออกว่ากำลังพยายามเอาชนะบาดแผลภายในใจเมื่อวานนั้นมีค่ามากกว่าสิ่งใดในโลก นั่นคือเหตุผลที่พวกเราจะปกป้องอย่างสุดกำลังเพื่อไม่ให้ดวงตาสีทองที่เริ่มฟื้นประกายแสง ต้องแตกสลายลงไปอีกรอบ

 

“แล้วอริซล่ะ?”

 

“ขณะนี้กำลังพูดคุยกับมิแรนดาซังอยู่ที่ห้องค่ะ”

 

“ดูเหมือนจะกระตือรือร้นหลายๆอย่างเอามากๆเลยน่ะ….”

 

“ค่ะ แน่นอน…..”

 

ทั้งเรื่องที่ให้ดิฉันนอนด้วยกัน ทั้งเรื่องที่บอกว่าต้องการไปทดสอบเวทมนตร์ที่โบสถ์ในวันนี้ มันช่างเป็นสิ่งที่แตกต่างกับอริซซามะในยามปกติโดยสิ้นเชิง

แต่ว่าสำหรับดิฉันแล้ว มันดูไม่เหมือนการเคลื่อนไหวที่เปิดใจเลย

 

ดิฉันแน่ใจว่าบางทีอริซซามะเองก็คงไม่รู้ตัว ตั้งแต่ยามตื่นนอนตอนเช้าจนถึงยามทานอาหารเช้า ดวงตาของอริซซามะดูเหมือนจะกลัวอะไรบางอย่าง และบางครั้งมือของเธอก็สั่น

อริซซามะซ่อนตัวได้ดี เธอจะกลบเกลื่อนด้วยคำว่า〝ม๊ายเป็นร๊าย〟อยู่เสมอ เธอพึมพำด้วยรอยยิ้มเงอะงะ และไม่แสดงอารมณ์ออกมาในทันที

แต่เมื่ออริซซามะต้องการที่จะออกไปข้างนอกด้วยกันอีกครั้ง ความกลัวก็ถูกปลดปล่อยออกมาจนไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้ ว่าแล้วเชี่ยว บาดแผลในวันนั้นใหญ่กว่าที่คิดไว้

เป็นบาดแผลร้ายแรงที่อันตรายยิ่งกว่าอาการบาดเจ็บที่หลังไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

 

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น อริซซามะก็ยังที่จะพยายามเอาชนะมัน ดิฉันคิดว่านี่อาจจะเป็นการพยายามขับไล่อารมณ์หลาดกลัวกังวลใจออกไปด้วยตนเอง พูดอีกอย่างคืออริซซามะไม่อยากรบกวนพวกดิฉัน

พยายามลบล้างคลื่นแห่งความกลัวออกไปด้วยการทำบางสิ่งอย่างฉับพลัน บางทีอาจจะกำลังพยายามทำเพื่อที่จะให้ตนเองสงบลง

 

“แต่…..”

 

แต่สุดท้ายมันก็จะไม่เกิดผลใดๆ

แม้ว่าคลื่นลูกแรกจะถูกสลายไป แต่เวลานี้มันเหมือนมีระลอกคลื่นสาดซัดระลอกแล้วระลอกเล่าจนทำให้ผิวน้ำบิวเบี้ยว

ในที่สุดมันก็กลายเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายที่ไม่สามารถฟื้นกลับมาได้

แทนที่จะพยายามฝืนสลายคลื่นอารมณ์ของอริซซามะ พวกเราควรจะรับเอาไว้แล้วรอจนกว่าจะสงบลงด้วยตัวเอง นั้นคือ บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ดิฉันเคยได้รับมาก่อน

 

เช่นนั้นแล้ว ดิฉันจะเป็นคนบอกเรื่องนี้กับอริซซามะเอง

ถ้าหากถ่ายทอดออกไปให้เข้าใจไม่ได้ ดิฉันก็จะแสดงให้เห็นเอง แม้ว่าอริซซามะจะไม่ชอบ แต่แค่รบกวนดิฉันเหมือนที่ผ่านๆมาก็พอ

แม้ว่านั้นจะเป็นหนทางที่เจ็บปวด

ยังไงก็ตามคนที่บอกเรื่องการทดสอบเวทมนตร์ออกไป ก็ไม่มีใครอื่นนอกจากดิฉันเอง

 

ดังนั้นหากทำให้ทุกอย่างยังคงเดินต่อไปได้ ดิฉันก็พร้อมจะเป็นคนที่รับความเจ็บปวดแทนอริซซามะเอง――――

 

“เบลล์”

 

“…..อะ ….มะ ไม่มีอะไรค่ะ”

 

ดิฉันตอบว่า ไม่มีอะไร และขณะที่พยายามจะทำอะไรต่อ เสียงของฮัททีเรียซามะก็มาหยุดเอาไว้

 

“เบลล์ เจ้าเองก็อย่าฝืนตัวเองให้มากเกินไปสิ หากจะแตกสลายไป เวลานั้นใครจะเป็นผู้โศกเศร้ามากที่สุด เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีกว่าใครๆ”

 

คำพูดของฮัททีเรียเสียดแทงเข้าใส่ดิฉันอย่างรุนแรง และทำให้ต้องหยุดคิด

…..ใช่แล้ว ดิฉันขอให้อริซซามะเห็นคุณค่าในตัวเอง ดิฉันพูดเช่นนั้นไป

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากดิฉันเป็นคนทำลายมันลงมาด้วยตนเอง

 

――――อยากที่จะมีความสุขอยู่กับดิฉัน วันนั้นอริซซามะได้กล่าวไว้เช่นนั้น

 

“…..ค่ะ”

 

“……อ้า ข้าเองเคยทำผิดแบบเดียวกันนั้นมาครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นเบลล์ เจ้าอย่าได้ทำผิดพลาดดังเช่นข้าเลย”

 

ดวงตาสีเข้มของฮัททีเรียซามะจ้องมองมาที่ดิฉันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจและความตั้งใจอันแรงกล้า ดิฉันจึงพยักหน้าเต็มที่ และสลักคำพูดลงในใจ

 

“…..ดูเหมือนจะได้เวลาแล้วสินะ”

 

ฮัททีเรียมองไปที่นาฬิกาที่วางไว้บนโต๊ะทำงาน ในมาเรียน่ามีเพียงที่นี่และที่โบสถ์เท่านั้นที่มี

จากนั้นก็หันกลับมาพยักหน้าให้กับดิฉัน

 

“เช่นนั้น ดิฉันขอตัวไปหาอริซซามะก่อนนะคะ”

 

“ฝากด้วย”

 

ดิฉันโค้งคำนับขอตัวออกจากห้องทำงาน และมุ่งหน้าตรงไปยังห้องของอริซซามะ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ฟู๊ー……”

 

ฉันอุ้มคู่หูยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ที่ที่นำไปสู่ด้านนอกของคฤหาสน์

ฉันแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นฉากความน่ากลัวในวันนั้น ที่มักจะย้อนกลับเข้ามาในหัวของฉันหลายต่อหลายครั้งในตอนที่ฉันคิดอยากออกไปข้างนอก

 

“อริซซามะ……”

 

“ม๊ายเป็น、ร๊าย”

 

เหล่าคนที่เฝ้ามองฉันอย่างใจจดใจจ่อจากข้างหลังหนึ่งก้าว คือ เบลล์ซังและมิแรนด้าซัง นอกจากนี้ยังร่วมถึงคุณพ่อและคาลเมียร์ด้วย

ถ้าหากฉันบอกว่าวันนี้ขอยกเลิก ทุกคนจะพร้อมใจกันยอมรับทันที แต่ในทางกลับกันที่ฉันเห็นสายตาของทุกคนแล้วมันก็ทำให้ฉันพูดไม่ออกจริงๆ

อ้าาาา ฉันควรทำยังไงดี

ฉันไม่ควรคิดอะไรมากมาย ฉันแค่โชคร้าย แค่บังเอิญ ฉันควรคิดอย่างนั้น

 

“――――อริซซามะ!!”

 

ตั้งแต่ที่ฉันมายืนอยู่ตรงนี้ ภาพสีหน้าอันเจ็บปวดจากบาดแผลในวันนั้นของเบลล์ซังก็ปรากฏออกมาไม่หยุด มันติดตาฉันอยู่ตลอด

รอยยิ้มที่เธอฝืนทำ กลายเป็นลูกศรแทงทะลุหลังฉัน

ฉันไม่ได้กลัวที่ตัวเองจะบาดเจ็บ หรือถูกโจมตี แต่มันเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าฉันกลัวที่สูญเสียเบลล์ซังไป

ฉันมองข้ามไหล่ไปที่เบลล์ซังอย่างรวดเร็ว คิ้วของเธอตกขมวดปม ดวงตาสีเข้มแสดงออกถึงความกังวล แต่ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้น เพราะเมื่อมองไปที่มิร่าซัง หรือคนอื่นๆ ทุกคนก็ทำหน้าเหมือนๆกัน ทุกคนที่คอยดูแลฉันมีสีหน้ากังวล

 

“ซูー、ฮาー”

 

ฉันหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อดึงสติแล้วมองตรงไปข้างหน้า

ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เก็บการรำลึกความหลังไปแล้วตั้งใจกับการออกไปข้างนอกให้แน่วแน่

กอดคู่หูเอาไว้แน่น แล้วหลอกตัวเองด้วยคำพูดที่ไม่มีมูลความจริง

จะเป็นคำโกหกหรืออะไรก็ตาม ตอนนี้ฉันต้องการพลังที่จะพาตัวเองก้าวออกไป

 

“เอา、ละ”

 

ฉันส่งเสียงเบาๆที่มีเพียงตัวเองที่ได้ยิน แล้วเอื้อมมือไปที่ประตู――――

 

“ฮิเมะ! น๊อกซ์เบลซัง!”

 

“อุ”

 

“…..อะ ………อริซซาม๊า、ไม่เป็น、ไร、ใช่ไหมคะ…….?”

 

“…..โล่งอก、ไปที”

 

“อือออ…….”

 

ฉันถูกมือกดหน้าฝากเอาไว้ทั้งๆแบบนั้น

ฉากน่ากลัวครั้งนั้นฉายกลับขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันรู้สึกเหมือนแผลบนหลังกำลังร้อนเป็นไฟ

ฉันรู้สึกเหมือนหัวหมุนไปรอบๆ สติของฉันเหมือนถูกกระแทกทำให้ทรุดลงไปนั่งบนพื้นอย่างฉับพลัน

 

“――――อริซซาม๊า!”

 

ฉันเกือบถูกเหวี่ยงออกไปยังบางที่ที่ทั้งมืด และลึก แต่เสียงของเบลล์ซังหยุดฉันไว้

ฉันลืมตาขึ้น มันไม่มีอะไร ตรงหน้าคือประตูหน้าอย่างที่ควรจะเป็น

 

“เบลล์……”

 

“อริซซามะ กรุณาอย่าฝืนตัวเองเกินไปเลยนะคะ……”

 

ฉันเงยหน้าขึ้นมองเบลล์ซังที่กอดแน่นมาจากด้านหลัง ฉันมองไล่ตามแนวสายตาไปรอบๆ

ทันใดนั้นมือของฉันก็ถูกดึงไปกุมไว้เบาๆ

มือและเท้าที่อ่อนปวกเปียก ร่างกายของฉันสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้

 

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ว่าอริซซามะจะอยู่ที่ใด ดิฉันก็จะอยู่เคียงข้างเสมอไปค่ะ”

 

“เบลล์、เบลล์……………”

 

ฉันไม่มีกำลังพอที่จะแก้ไขอะไรได้เลย ทำได้เพียงยึดติดมันเอาไว้

ทำไม่ได้แม้แต่จะเช็ดน้ำตาที่ไหลโดยไม่รู้ตัว

ฉันกอดและฝังหน้าลงบนอกของเบลล์ซัง พยายามที่กำจัดอารมณ์พวกนี้ออกไป

เบลล์ซังที่ถูกกอด ยอมรับฉันเข้าสู่อ้อมกอดและลูบหลังฉันอย่างเงียบๆ

 

ฉันรู้สึกเหมือนกระจกมากมายบนพื้นผิวของหัวใจของฉันกำลังแตกร้าว

เพราะร่างกายนี้ยังคงเป็นเด็กจึงทำให้ถูกดึงไปมาอย่างง่ายดาย ฉันมักจะมีข้อแก้ตัวกับตัวเองเสมอ

 

แต่ครั้งนี้ มันแตกต่าง

 

“ท่านป้อ、ท่านแม้…….”

 

คุณพ่อคุณแม่ทำงานอย่างหนักตั้งแต่ฉันเกิด

ตั้งแต่จำความได้ ฉันก็อยู่รายล้อมไปด้วยความสะดวกสบาย

แต่ถึงอย่างงั้น ฉันก็ไม่มีโอกาสได้รับความรักเลย ฉันจึงสร้างห่วงโซ่มาปิดกั้นหัวใจโดยไม่รู้ตัว

ตลอดมา ฉันเหมือนมองลงมาจากที่สูง มองดูตัวเองกำลังใช้ชีวิตอยู่ด้านหลังกรงกำแพงแก้ว

ภาพที่เห็นคือตัวตนของฉันที่ยังคงเหมือนเด็กๆ มันทำให้ฉันรู้ตัวว่า ตัวเองไม่ได้เติบโตขึ้นมาเลยนับตั้งแต่เวลานั้น

 

เบลล์ซังพูดในวันหนึ่งว่า กรุณาอย่าปิดกั้นหัวใจของตนเอง

ในตอนนั้นฉันคิดไปว่าเธอแค่เข้าใจผิดไปเอง แต่ว่ามันคือเรื่องจริง

 

เบลล์ซังมองเห็นมัน และเข้าใจในตัวฉันมากกว่าใครๆ มากกว่าตัวฉันเอง

เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของ〝ฉัน〟ที่ซ่อนลึกอยู่ภายใน

 

ฉันไม่มีแรงเหลือพอที่จะกังวลกับสายตารอบตัวฉันอีกแล้ว

ไม่สิ ฉันไม่จำเป็นต้องกังวลมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ในที่สุดฉันก็เข้าใจ ฉันที่กำลังร้องไห้ได้ถูกห่อหุ้มไปด้วยดวงตาที่อ่อนโยนของทุกคนที่นี่

 

“อึก แง๊ แงงงงงงงง๊……… !”

 

“……ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องฝืนอีกแล้วนะคะ อริซซามะ”

 

ถ้าทำได้ ไม่สิ

ฉัน ครั้งนี้เป็นการออกไป〝ข้างนอก〟ครั้งแรกอย่างแท้จริง

……..จากนั้นอีกสิบนาที หรืออาจจะเป็นชั่วโมง ฉันก็ยังคงร้องไห้อยู่

ร้องจนกว่าเสียงจะแหบแห้ง ร้องจนกว่าน้ำตาจะแห้งเหือด

ทั้งคุณพ่อ ทั้งเบลล์ซัง ทั้งมิร่าซัง แม้แต่คาลเมียร์ ทุกคนต่างก็มีงานกองกันเป็นเหมือนภูเขา แต่ทุกคนก็อยู่เป็นเพื่อนฉันมาตลอด

 

“อริซซามะ”

 

“…….ม๊ายเป็นร๊าย ขอบ、กุนก่ะ”

 

ขณะที่ขยี้ตาจนเปลี่ยนเป็นสีแดง ฉันก็ปรับลมหายใจคร่าวๆ

ป๊อก ป๊อก เบลล์ซังตบหลังฉันเบาๆเพื่อเป็นการปลอบประโลมไล่สิ่งที่อาจจะยังค้างคาอยู่ ฉันร้องไห้จนน้ำตาของฉันเปลี่ยนสีของผ้าตรงหน้าอกของเบลล์ซังไปเลย

เบลล์ซังเหมือนสังเกตเห็นแนวสายตาของฉัน จึงยกหน้าฉันขึ้นและยิ้มให้ราวกับกำลังบอกว่ากรุณาอย่าเป็นกังวลไปเลยค่ะ

 

“ฉัน、ห้าขวบ”

 

“ใช่แล้วค่ะ เพราะอย่างงั้นจะเอาแต่ใจให้มากกว่านี้ก็ได้นะคะ ดิฉันจะมีความสุขมากๆเลยหากอริซซามะจะเอาแต่ใจ”

 

“มีความสุข”

 

“ค่ะ ดิฉันมีความสุข”

 

ความสุขของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ถ้าหากเบลล์ซังเรียกนั้นว่าความสุข ฉันก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธ

ในเมื่อเธอพูดแบบนั้น ฉันก็มั่นใจว่าฉันจะเข้าใจแน่นอน เข้าใจถ้อยคำดีๆที่มีเหตุผล แต่แบบนี้ฉันคงไม่สามารถหยุดนิสัยเอาแต่ใจได้แล้วแน่ๆ

 

“อริซ”

 

“…..ท่านป้อ”

 

คุณพ่อนั่งคลุกเข่าลงข้างๆฉันที่สงบลงเล็กน้อยแล้ว

คุณพ่อไม่ได้พูดอะไรนอกจากใช้มือแข็งแกร่งลูบหัวฉันจนรู้สึกดี

ฉันหลับตาลง พยายามรับรู้ถึงอุณหภูมิจากมือให้มากที่สุด

 

“ฮิเมะ”

 

“อริซซามะ”

 

มิร่าซังและคาลเมียร์ซังวิ่งมาที่ข้างหน้า ก่อนนั่งคลุกเข่าลงและจ้องมองมาด้วยดวงตาเป็นห่วง

ในตอนนี้ ทุกคนล้อมเข้ามาเป็นรูปวงแหวนโดยที่มีฉันที่ถูกเบลล์ซังกอดไว้เป็นศูนย์กลาง

 

“ครอบครัว”

 

“…..ใช่แล้วค่ะ อริซซามะ ครอบครัว”

 

ในที่สุด วันนี้ฉันก็ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า〝ครอบครัว〟

 

“…..แล้วลูกอยากจะทำยังไงต่อไปล่ะ อริซ วันนี้จะยกเลิกไปก่อนไหม?”

 

“อืー”

 

คุณพ่อถามฉันด้วยความกังวล

ฉันร้องไห้มานานนับชั่วโมง จนตอนนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจ

และสำหรับทุกสิ่ง การทดสอบเวทมนตร์ มันไม่ใช่อะไรที่จะหยุดก่อนที่จะได้ทดลอง หากทำได้ก็ต้องทำเลย หรือก็คือ ที่นั้น……ฉันถูกบอกว่าโบสถ์ที่ฉันกำลังจะไปในวันนี้เป็นของคลอริน่าซัง ซึ่งเธอน่าจะเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ฉันจะทำให้มันสูญเปล่าไม่ได้

นอกจากนี้ ฉันยังรู้สึกว่าตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องก้าวเดินต่อไปแล้ว

 

“อ้า หากอริซซามะกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องการประสานงานและการเตรียมการ ก็ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ นี่อาจเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าพูดออกมามากนัก แต่…….ปกติแล้วเด็กๆที่เข้าทดสอบเวทมนตร์ที่โบสถ์นั้นเป็นลูกหลานของขุนนางเกือบทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะมีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงกำหนดการทั้งหลายเนื่องจากอารมณ์ที่แปรปรวน”

 

“งั้นเหรอ”

 

“แต่ว่าสำหรับครั้งนี้ อริซซามะมีเหตุผลที่ดีสำหรับการยกเลิก นอกจากนี้ทุกคนก็ทราบดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะออกจากคฤหาสน์หลังจากเหตุการณ์เช่นนั้น”

 

จากนั้นคุณพ่อที่หลั่งน้ำตาก็มองไปที่ทุกคน ก่อนพยักหน้าให้กันเล็กน้อย วันนี้คุณพ่อดูจะอยากให้ฉันกลับไปพักผ่อนก่อน ไม่สิ ไม่ใช่แค่คุณพ่อ แต่เป็นทุกคนเลย

ยังไงก็ตามท่าทีของทุกคนก็ยังคงเคารพความต้องการของฉัน

ฉัน ควรจะทำยังไงดี

 

“อืม…………………………”

 

…..ว่าแล้ว、วันนี้、ตอนนี้、อยากไป

ฉันยืนยันความคิด แต่ก็มีเสียงคัดค้านหนึ่งในใจดังขึ้นมาว่าหากฉันฝืนรีบเกินไปมันจะทำลายทุกสิ่ง แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้กำลังรีบอะไรเลย

หลังจากได้ระบายอารมณ์ที่สะสมเอาไว้ออกไปจนหมด หัวใจของฉันก็สดชื่น สงบ บริสุทธิ์ ตอนนี้ฉันต้องการก้าวไปข้างหน้า ก้าวไปข้างนอกอีกครั้ง ดังนั้นสิ่งที่ฉันจะพูดคือ

 

“――――ไป”

 

ไปกันเถอะ

ที่จริงฉากนั้นยังไม่หายไปไหน ฉันยังหยุดสั่นไม่ได้

แต่ว่าฉันรู้สึกว่าถ้าด้วยกันกับเบลล์ซัง ต้องไม่เป็นไร

 

“…..งั้นเหรอ ถ้านั้นเป็นการตัดสินใจของอริซ เช่นนั้นพ่อก็จะสนับสนุนมันเอง”

 

“อืม ขอบกุนก่ะ”

 

“มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนเป็นพ่ออยู่แล้ว”

 

ถึงแม้คุณพ่อจะยังดูเป็นกังวลเล็กน้อยจนต้องฝืนยิ้มออกมา แต่ถึงแบบนั้นคุณพ่อก็ลูบหัวฉันอีกครั้งก่อนที่จะยืนขึ้น พร้อมๆกับที่คนอื่นๆลุกขึ้นตาม

ฉันมองสบตากับเบลล์ซังที่ยังคงกอดฉันไม่ปล่อย เธอกอดฉันแน่นอีกครั้ง

ก่อนในที่สุดจะยอกปล่อยฉันเป็นอิสระ ฉันยืนขึ้น

 

“ม๊ายเป็นร๊าย”

 

ฉันพูดพึมพำบอกตัวเอง ก่อนที่ก้าวเข้าหาประตูทีละก้าว

ก่อนหน้านี้มันดูบิดเบี้ยวเหมือนประตูนรก แต่ตอนนี้มันดูเหมือนเป็นประตูเดียวที่จะพาฉันออกจากห้องปิดตาย

 

“เบลล์”

 

“ค่ะ อริซซามะ”

 

“……..มือ、จับได้ไหม?”

 

“แน่นอนค่ะ”

 

ทันทีที่ฉันจับมือของเบลล์ซัง ความทรงจำทั้งหลายก็หลั่งไหลกันออกมา จนช่วยให้ฉันสามารถผลักความกลัวและความวิตกกังวลออกไปได้ มือขวาของฉันยื่นออกไปอย่างช้าๆ คราวนี้มันจับประตูได้อย่างที่มันควรจะเป็น

คราวนี้มือของมิร่าซังวางทับลงมาบนมือของฉันจนมันหยุดสั่นไหว

เธอยื่นอยู่หนึ่งก้าวข้างหน้าฉัน ส่งสายตาให้กำลังใจบอกว่าไม่เป็นไร

 

“ฮิเมะ”

 

“อริซซามะ”

 

ไม่มีคำพูดอื่นอีก แต่แค่นี้ ฉันก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ถูกส่งตรงมายังหัวใจของฉัน

 

“ถ้าหากรู้สึกไม่ดีให้รีบบอกเบลล์หรือมิแรนต้าทันทีเลย เข้าใจไหม”

 

“…..อืม!”

 

“แล้วก็มีแมเรียนเตรียมไว้สำหรับมื้อกลางวันด้วย!”

 

“แมเรียน”

 

ตาของฉันเปล่งประกายด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติทันทีต่อคำที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้

แบบนี้ ต้องรีบทดสอบเวทมนตร์ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด แล้วต้องรีบกลับมาก่อนที่จะพลาดมื้อเที่ยง

 

“…….อะ เดี๋ยวก่อน”

 

“มีอะไรผิดปกติหรือคะ?”

 

“คู่หู”

 

อันตราย ฉันเกือบจะลืมคู่หูอีกรอบแล้ว

ฉันปล่อยมือและก้มลงไปหยิบคู่หูของฉันที่กลิ้งกระเด็นไปตอนที่ฉันทรุดตัวลงนั่ง ฉันกอดคู่หูเอาไว้แนบอก

 

“เอาล่ะ”

 

มิร่าซังตอบสนองต่อภาพที่เห็นด้วยเสียง อุกิ๊ว เบาๆ

แล้วจากนั้น สิ่งที่ฉันได้เห็นคือ ท้องฟ้าใสกระจ่างไร้เมฆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 28 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 8 ประตู

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 28 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 8 ประตู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 8 ประตู

 

“จะไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอคะ”

 

“……ข้าก็ไม่รู้”

 

ดิฉันออกจากห้องของอริซซามะหลังจากที่มิแรนดาเข้ามารับช่วงต่อ และฝากคาลเมียร์ให้จัดการเรื่องอาหารเช้า เมื่อว่างแล้วจึงมาที่ห้องทำงานของฮัททีเรียซามะ

 

“ถ้าเจ้ารู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ ให้รีบพากันกลับมาในทันที แล้วข้าจะไปเป็นคนบอกยกเลิกการทดสอบในภายหลังเอง”

 

“รับทราบแล้วค่ะ”

 

แน่นอนว่าอริซซามะมีความสำคัญเหนือกว่ากำหนดการทดสอบเวทมนตร์ ตั้งแต่แรกแล้ว การที่จะได้ออกไปข้างนอกมันก็เป็นโอกาสที่หาได้ยากมากๆ  แต่ทั้งหมดนั้น หากดิฉันรู้สึกไม่ดีก็พร้อมที่จะพากลับมาในทันที

การแสดงออกว่ากำลังพยายามเอาชนะบาดแผลภายในใจเมื่อวานนั้นมีค่ามากกว่าสิ่งใดในโลก นั่นคือเหตุผลที่พวกเราจะปกป้องอย่างสุดกำลังเพื่อไม่ให้ดวงตาสีทองที่เริ่มฟื้นประกายแสง ต้องแตกสลายลงไปอีกรอบ

 

“แล้วอริซล่ะ?”

 

“ขณะนี้กำลังพูดคุยกับมิแรนดาซังอยู่ที่ห้องค่ะ”

 

“ดูเหมือนจะกระตือรือร้นหลายๆอย่างเอามากๆเลยน่ะ….”

 

“ค่ะ แน่นอน…..”

 

ทั้งเรื่องที่ให้ดิฉันนอนด้วยกัน ทั้งเรื่องที่บอกว่าต้องการไปทดสอบเวทมนตร์ที่โบสถ์ในวันนี้ มันช่างเป็นสิ่งที่แตกต่างกับอริซซามะในยามปกติโดยสิ้นเชิง

แต่ว่าสำหรับดิฉันแล้ว มันดูไม่เหมือนการเคลื่อนไหวที่เปิดใจเลย

 

ดิฉันแน่ใจว่าบางทีอริซซามะเองก็คงไม่รู้ตัว ตั้งแต่ยามตื่นนอนตอนเช้าจนถึงยามทานอาหารเช้า ดวงตาของอริซซามะดูเหมือนจะกลัวอะไรบางอย่าง และบางครั้งมือของเธอก็สั่น

อริซซามะซ่อนตัวได้ดี เธอจะกลบเกลื่อนด้วยคำว่า〝ม๊ายเป็นร๊าย〟อยู่เสมอ เธอพึมพำด้วยรอยยิ้มเงอะงะ และไม่แสดงอารมณ์ออกมาในทันที

แต่เมื่ออริซซามะต้องการที่จะออกไปข้างนอกด้วยกันอีกครั้ง ความกลัวก็ถูกปลดปล่อยออกมาจนไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้ ว่าแล้วเชี่ยว บาดแผลในวันนั้นใหญ่กว่าที่คิดไว้

เป็นบาดแผลร้ายแรงที่อันตรายยิ่งกว่าอาการบาดเจ็บที่หลังไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

 

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น อริซซามะก็ยังที่จะพยายามเอาชนะมัน ดิฉันคิดว่านี่อาจจะเป็นการพยายามขับไล่อารมณ์หลาดกลัวกังวลใจออกไปด้วยตนเอง พูดอีกอย่างคืออริซซามะไม่อยากรบกวนพวกดิฉัน

พยายามลบล้างคลื่นแห่งความกลัวออกไปด้วยการทำบางสิ่งอย่างฉับพลัน บางทีอาจจะกำลังพยายามทำเพื่อที่จะให้ตนเองสงบลง

 

“แต่…..”

 

แต่สุดท้ายมันก็จะไม่เกิดผลใดๆ

แม้ว่าคลื่นลูกแรกจะถูกสลายไป แต่เวลานี้มันเหมือนมีระลอกคลื่นสาดซัดระลอกแล้วระลอกเล่าจนทำให้ผิวน้ำบิวเบี้ยว

ในที่สุดมันก็กลายเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายที่ไม่สามารถฟื้นกลับมาได้

แทนที่จะพยายามฝืนสลายคลื่นอารมณ์ของอริซซามะ พวกเราควรจะรับเอาไว้แล้วรอจนกว่าจะสงบลงด้วยตัวเอง นั้นคือ บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ดิฉันเคยได้รับมาก่อน

 

เช่นนั้นแล้ว ดิฉันจะเป็นคนบอกเรื่องนี้กับอริซซามะเอง

ถ้าหากถ่ายทอดออกไปให้เข้าใจไม่ได้ ดิฉันก็จะแสดงให้เห็นเอง แม้ว่าอริซซามะจะไม่ชอบ แต่แค่รบกวนดิฉันเหมือนที่ผ่านๆมาก็พอ

แม้ว่านั้นจะเป็นหนทางที่เจ็บปวด

ยังไงก็ตามคนที่บอกเรื่องการทดสอบเวทมนตร์ออกไป ก็ไม่มีใครอื่นนอกจากดิฉันเอง

 

ดังนั้นหากทำให้ทุกอย่างยังคงเดินต่อไปได้ ดิฉันก็พร้อมจะเป็นคนที่รับความเจ็บปวดแทนอริซซามะเอง――――

 

“เบลล์”

 

“…..อะ ….มะ ไม่มีอะไรค่ะ”

 

ดิฉันตอบว่า ไม่มีอะไร และขณะที่พยายามจะทำอะไรต่อ เสียงของฮัททีเรียซามะก็มาหยุดเอาไว้

 

“เบลล์ เจ้าเองก็อย่าฝืนตัวเองให้มากเกินไปสิ หากจะแตกสลายไป เวลานั้นใครจะเป็นผู้โศกเศร้ามากที่สุด เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีกว่าใครๆ”

 

คำพูดของฮัททีเรียเสียดแทงเข้าใส่ดิฉันอย่างรุนแรง และทำให้ต้องหยุดคิด

…..ใช่แล้ว ดิฉันขอให้อริซซามะเห็นคุณค่าในตัวเอง ดิฉันพูดเช่นนั้นไป

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากดิฉันเป็นคนทำลายมันลงมาด้วยตนเอง

 

――――อยากที่จะมีความสุขอยู่กับดิฉัน วันนั้นอริซซามะได้กล่าวไว้เช่นนั้น

 

“…..ค่ะ”

 

“……อ้า ข้าเองเคยทำผิดแบบเดียวกันนั้นมาครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นเบลล์ เจ้าอย่าได้ทำผิดพลาดดังเช่นข้าเลย”

 

ดวงตาสีเข้มของฮัททีเรียซามะจ้องมองมาที่ดิฉันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจและความตั้งใจอันแรงกล้า ดิฉันจึงพยักหน้าเต็มที่ และสลักคำพูดลงในใจ

 

“…..ดูเหมือนจะได้เวลาแล้วสินะ”

 

ฮัททีเรียมองไปที่นาฬิกาที่วางไว้บนโต๊ะทำงาน ในมาเรียน่ามีเพียงที่นี่และที่โบสถ์เท่านั้นที่มี

จากนั้นก็หันกลับมาพยักหน้าให้กับดิฉัน

 

“เช่นนั้น ดิฉันขอตัวไปหาอริซซามะก่อนนะคะ”

 

“ฝากด้วย”

 

ดิฉันโค้งคำนับขอตัวออกจากห้องทำงาน และมุ่งหน้าตรงไปยังห้องของอริซซามะ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ฟู๊ー……”

 

ฉันอุ้มคู่หูยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ที่ที่นำไปสู่ด้านนอกของคฤหาสน์

ฉันแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นฉากความน่ากลัวในวันนั้น ที่มักจะย้อนกลับเข้ามาในหัวของฉันหลายต่อหลายครั้งในตอนที่ฉันคิดอยากออกไปข้างนอก

 

“อริซซามะ……”

 

“ม๊ายเป็น、ร๊าย”

 

เหล่าคนที่เฝ้ามองฉันอย่างใจจดใจจ่อจากข้างหลังหนึ่งก้าว คือ เบลล์ซังและมิแรนด้าซัง นอกจากนี้ยังร่วมถึงคุณพ่อและคาลเมียร์ด้วย

ถ้าหากฉันบอกว่าวันนี้ขอยกเลิก ทุกคนจะพร้อมใจกันยอมรับทันที แต่ในทางกลับกันที่ฉันเห็นสายตาของทุกคนแล้วมันก็ทำให้ฉันพูดไม่ออกจริงๆ

อ้าาาา ฉันควรทำยังไงดี

ฉันไม่ควรคิดอะไรมากมาย ฉันแค่โชคร้าย แค่บังเอิญ ฉันควรคิดอย่างนั้น

 

“――――อริซซามะ!!”

 

ตั้งแต่ที่ฉันมายืนอยู่ตรงนี้ ภาพสีหน้าอันเจ็บปวดจากบาดแผลในวันนั้นของเบลล์ซังก็ปรากฏออกมาไม่หยุด มันติดตาฉันอยู่ตลอด

รอยยิ้มที่เธอฝืนทำ กลายเป็นลูกศรแทงทะลุหลังฉัน

ฉันไม่ได้กลัวที่ตัวเองจะบาดเจ็บ หรือถูกโจมตี แต่มันเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าฉันกลัวที่สูญเสียเบลล์ซังไป

ฉันมองข้ามไหล่ไปที่เบลล์ซังอย่างรวดเร็ว คิ้วของเธอตกขมวดปม ดวงตาสีเข้มแสดงออกถึงความกังวล แต่ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้น เพราะเมื่อมองไปที่มิร่าซัง หรือคนอื่นๆ ทุกคนก็ทำหน้าเหมือนๆกัน ทุกคนที่คอยดูแลฉันมีสีหน้ากังวล

 

“ซูー、ฮาー”

 

ฉันหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อดึงสติแล้วมองตรงไปข้างหน้า

ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เก็บการรำลึกความหลังไปแล้วตั้งใจกับการออกไปข้างนอกให้แน่วแน่

กอดคู่หูเอาไว้แน่น แล้วหลอกตัวเองด้วยคำพูดที่ไม่มีมูลความจริง

จะเป็นคำโกหกหรืออะไรก็ตาม ตอนนี้ฉันต้องการพลังที่จะพาตัวเองก้าวออกไป

 

“เอา、ละ”

 

ฉันส่งเสียงเบาๆที่มีเพียงตัวเองที่ได้ยิน แล้วเอื้อมมือไปที่ประตู――――

 

“ฮิเมะ! น๊อกซ์เบลซัง!”

 

“อุ”

 

“…..อะ ………อริซซาม๊า、ไม่เป็น、ไร、ใช่ไหมคะ…….?”

 

“…..โล่งอก、ไปที”

 

“อือออ…….”

 

ฉันถูกมือกดหน้าฝากเอาไว้ทั้งๆแบบนั้น

ฉากน่ากลัวครั้งนั้นฉายกลับขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันรู้สึกเหมือนแผลบนหลังกำลังร้อนเป็นไฟ

ฉันรู้สึกเหมือนหัวหมุนไปรอบๆ สติของฉันเหมือนถูกกระแทกทำให้ทรุดลงไปนั่งบนพื้นอย่างฉับพลัน

 

“――――อริซซาม๊า!”

 

ฉันเกือบถูกเหวี่ยงออกไปยังบางที่ที่ทั้งมืด และลึก แต่เสียงของเบลล์ซังหยุดฉันไว้

ฉันลืมตาขึ้น มันไม่มีอะไร ตรงหน้าคือประตูหน้าอย่างที่ควรจะเป็น

 

“เบลล์……”

 

“อริซซามะ กรุณาอย่าฝืนตัวเองเกินไปเลยนะคะ……”

 

ฉันเงยหน้าขึ้นมองเบลล์ซังที่กอดแน่นมาจากด้านหลัง ฉันมองไล่ตามแนวสายตาไปรอบๆ

ทันใดนั้นมือของฉันก็ถูกดึงไปกุมไว้เบาๆ

มือและเท้าที่อ่อนปวกเปียก ร่างกายของฉันสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้

 

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ว่าอริซซามะจะอยู่ที่ใด ดิฉันก็จะอยู่เคียงข้างเสมอไปค่ะ”

 

“เบลล์、เบลล์……………”

 

ฉันไม่มีกำลังพอที่จะแก้ไขอะไรได้เลย ทำได้เพียงยึดติดมันเอาไว้

ทำไม่ได้แม้แต่จะเช็ดน้ำตาที่ไหลโดยไม่รู้ตัว

ฉันกอดและฝังหน้าลงบนอกของเบลล์ซัง พยายามที่กำจัดอารมณ์พวกนี้ออกไป

เบลล์ซังที่ถูกกอด ยอมรับฉันเข้าสู่อ้อมกอดและลูบหลังฉันอย่างเงียบๆ

 

ฉันรู้สึกเหมือนกระจกมากมายบนพื้นผิวของหัวใจของฉันกำลังแตกร้าว

เพราะร่างกายนี้ยังคงเป็นเด็กจึงทำให้ถูกดึงไปมาอย่างง่ายดาย ฉันมักจะมีข้อแก้ตัวกับตัวเองเสมอ

 

แต่ครั้งนี้ มันแตกต่าง

 

“ท่านป้อ、ท่านแม้…….”

 

คุณพ่อคุณแม่ทำงานอย่างหนักตั้งแต่ฉันเกิด

ตั้งแต่จำความได้ ฉันก็อยู่รายล้อมไปด้วยความสะดวกสบาย

แต่ถึงอย่างงั้น ฉันก็ไม่มีโอกาสได้รับความรักเลย ฉันจึงสร้างห่วงโซ่มาปิดกั้นหัวใจโดยไม่รู้ตัว

ตลอดมา ฉันเหมือนมองลงมาจากที่สูง มองดูตัวเองกำลังใช้ชีวิตอยู่ด้านหลังกรงกำแพงแก้ว

ภาพที่เห็นคือตัวตนของฉันที่ยังคงเหมือนเด็กๆ มันทำให้ฉันรู้ตัวว่า ตัวเองไม่ได้เติบโตขึ้นมาเลยนับตั้งแต่เวลานั้น

 

เบลล์ซังพูดในวันหนึ่งว่า กรุณาอย่าปิดกั้นหัวใจของตนเอง

ในตอนนั้นฉันคิดไปว่าเธอแค่เข้าใจผิดไปเอง แต่ว่ามันคือเรื่องจริง

 

เบลล์ซังมองเห็นมัน และเข้าใจในตัวฉันมากกว่าใครๆ มากกว่าตัวฉันเอง

เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของ〝ฉัน〟ที่ซ่อนลึกอยู่ภายใน

 

ฉันไม่มีแรงเหลือพอที่จะกังวลกับสายตารอบตัวฉันอีกแล้ว

ไม่สิ ฉันไม่จำเป็นต้องกังวลมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ในที่สุดฉันก็เข้าใจ ฉันที่กำลังร้องไห้ได้ถูกห่อหุ้มไปด้วยดวงตาที่อ่อนโยนของทุกคนที่นี่

 

“อึก แง๊ แงงงงงงงง๊……… !”

 

“……ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องฝืนอีกแล้วนะคะ อริซซามะ”

 

ถ้าทำได้ ไม่สิ

ฉัน ครั้งนี้เป็นการออกไป〝ข้างนอก〟ครั้งแรกอย่างแท้จริง

……..จากนั้นอีกสิบนาที หรืออาจจะเป็นชั่วโมง ฉันก็ยังคงร้องไห้อยู่

ร้องจนกว่าเสียงจะแหบแห้ง ร้องจนกว่าน้ำตาจะแห้งเหือด

ทั้งคุณพ่อ ทั้งเบลล์ซัง ทั้งมิร่าซัง แม้แต่คาลเมียร์ ทุกคนต่างก็มีงานกองกันเป็นเหมือนภูเขา แต่ทุกคนก็อยู่เป็นเพื่อนฉันมาตลอด

 

“อริซซามะ”

 

“…….ม๊ายเป็นร๊าย ขอบ、กุนก่ะ”

 

ขณะที่ขยี้ตาจนเปลี่ยนเป็นสีแดง ฉันก็ปรับลมหายใจคร่าวๆ

ป๊อก ป๊อก เบลล์ซังตบหลังฉันเบาๆเพื่อเป็นการปลอบประโลมไล่สิ่งที่อาจจะยังค้างคาอยู่ ฉันร้องไห้จนน้ำตาของฉันเปลี่ยนสีของผ้าตรงหน้าอกของเบลล์ซังไปเลย

เบลล์ซังเหมือนสังเกตเห็นแนวสายตาของฉัน จึงยกหน้าฉันขึ้นและยิ้มให้ราวกับกำลังบอกว่ากรุณาอย่าเป็นกังวลไปเลยค่ะ

 

“ฉัน、ห้าขวบ”

 

“ใช่แล้วค่ะ เพราะอย่างงั้นจะเอาแต่ใจให้มากกว่านี้ก็ได้นะคะ ดิฉันจะมีความสุขมากๆเลยหากอริซซามะจะเอาแต่ใจ”

 

“มีความสุข”

 

“ค่ะ ดิฉันมีความสุข”

 

ความสุขของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ถ้าหากเบลล์ซังเรียกนั้นว่าความสุข ฉันก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธ

ในเมื่อเธอพูดแบบนั้น ฉันก็มั่นใจว่าฉันจะเข้าใจแน่นอน เข้าใจถ้อยคำดีๆที่มีเหตุผล แต่แบบนี้ฉันคงไม่สามารถหยุดนิสัยเอาแต่ใจได้แล้วแน่ๆ

 

“อริซ”

 

“…..ท่านป้อ”

 

คุณพ่อนั่งคลุกเข่าลงข้างๆฉันที่สงบลงเล็กน้อยแล้ว

คุณพ่อไม่ได้พูดอะไรนอกจากใช้มือแข็งแกร่งลูบหัวฉันจนรู้สึกดี

ฉันหลับตาลง พยายามรับรู้ถึงอุณหภูมิจากมือให้มากที่สุด

 

“ฮิเมะ”

 

“อริซซามะ”

 

มิร่าซังและคาลเมียร์ซังวิ่งมาที่ข้างหน้า ก่อนนั่งคลุกเข่าลงและจ้องมองมาด้วยดวงตาเป็นห่วง

ในตอนนี้ ทุกคนล้อมเข้ามาเป็นรูปวงแหวนโดยที่มีฉันที่ถูกเบลล์ซังกอดไว้เป็นศูนย์กลาง

 

“ครอบครัว”

 

“…..ใช่แล้วค่ะ อริซซามะ ครอบครัว”

 

ในที่สุด วันนี้ฉันก็ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า〝ครอบครัว〟

 

“…..แล้วลูกอยากจะทำยังไงต่อไปล่ะ อริซ วันนี้จะยกเลิกไปก่อนไหม?”

 

“อืー”

 

คุณพ่อถามฉันด้วยความกังวล

ฉันร้องไห้มานานนับชั่วโมง จนตอนนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจ

และสำหรับทุกสิ่ง การทดสอบเวทมนตร์ มันไม่ใช่อะไรที่จะหยุดก่อนที่จะได้ทดลอง หากทำได้ก็ต้องทำเลย หรือก็คือ ที่นั้น……ฉันถูกบอกว่าโบสถ์ที่ฉันกำลังจะไปในวันนี้เป็นของคลอริน่าซัง ซึ่งเธอน่าจะเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ฉันจะทำให้มันสูญเปล่าไม่ได้

นอกจากนี้ ฉันยังรู้สึกว่าตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องก้าวเดินต่อไปแล้ว

 

“อ้า หากอริซซามะกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องการประสานงานและการเตรียมการ ก็ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ นี่อาจเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าพูดออกมามากนัก แต่…….ปกติแล้วเด็กๆที่เข้าทดสอบเวทมนตร์ที่โบสถ์นั้นเป็นลูกหลานของขุนนางเกือบทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะมีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงกำหนดการทั้งหลายเนื่องจากอารมณ์ที่แปรปรวน”

 

“งั้นเหรอ”

 

“แต่ว่าสำหรับครั้งนี้ อริซซามะมีเหตุผลที่ดีสำหรับการยกเลิก นอกจากนี้ทุกคนก็ทราบดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะออกจากคฤหาสน์หลังจากเหตุการณ์เช่นนั้น”

 

จากนั้นคุณพ่อที่หลั่งน้ำตาก็มองไปที่ทุกคน ก่อนพยักหน้าให้กันเล็กน้อย วันนี้คุณพ่อดูจะอยากให้ฉันกลับไปพักผ่อนก่อน ไม่สิ ไม่ใช่แค่คุณพ่อ แต่เป็นทุกคนเลย

ยังไงก็ตามท่าทีของทุกคนก็ยังคงเคารพความต้องการของฉัน

ฉัน ควรจะทำยังไงดี

 

“อืม…………………………”

 

…..ว่าแล้ว、วันนี้、ตอนนี้、อยากไป

ฉันยืนยันความคิด แต่ก็มีเสียงคัดค้านหนึ่งในใจดังขึ้นมาว่าหากฉันฝืนรีบเกินไปมันจะทำลายทุกสิ่ง แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้กำลังรีบอะไรเลย

หลังจากได้ระบายอารมณ์ที่สะสมเอาไว้ออกไปจนหมด หัวใจของฉันก็สดชื่น สงบ บริสุทธิ์ ตอนนี้ฉันต้องการก้าวไปข้างหน้า ก้าวไปข้างนอกอีกครั้ง ดังนั้นสิ่งที่ฉันจะพูดคือ

 

“――――ไป”

 

ไปกันเถอะ

ที่จริงฉากนั้นยังไม่หายไปไหน ฉันยังหยุดสั่นไม่ได้

แต่ว่าฉันรู้สึกว่าถ้าด้วยกันกับเบลล์ซัง ต้องไม่เป็นไร

 

“…..งั้นเหรอ ถ้านั้นเป็นการตัดสินใจของอริซ เช่นนั้นพ่อก็จะสนับสนุนมันเอง”

 

“อืม ขอบกุนก่ะ”

 

“มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนเป็นพ่ออยู่แล้ว”

 

ถึงแม้คุณพ่อจะยังดูเป็นกังวลเล็กน้อยจนต้องฝืนยิ้มออกมา แต่ถึงแบบนั้นคุณพ่อก็ลูบหัวฉันอีกครั้งก่อนที่จะยืนขึ้น พร้อมๆกับที่คนอื่นๆลุกขึ้นตาม

ฉันมองสบตากับเบลล์ซังที่ยังคงกอดฉันไม่ปล่อย เธอกอดฉันแน่นอีกครั้ง

ก่อนในที่สุดจะยอกปล่อยฉันเป็นอิสระ ฉันยืนขึ้น

 

“ม๊ายเป็นร๊าย”

 

ฉันพูดพึมพำบอกตัวเอง ก่อนที่ก้าวเข้าหาประตูทีละก้าว

ก่อนหน้านี้มันดูบิดเบี้ยวเหมือนประตูนรก แต่ตอนนี้มันดูเหมือนเป็นประตูเดียวที่จะพาฉันออกจากห้องปิดตาย

 

“เบลล์”

 

“ค่ะ อริซซามะ”

 

“……..มือ、จับได้ไหม?”

 

“แน่นอนค่ะ”

 

ทันทีที่ฉันจับมือของเบลล์ซัง ความทรงจำทั้งหลายก็หลั่งไหลกันออกมา จนช่วยให้ฉันสามารถผลักความกลัวและความวิตกกังวลออกไปได้ มือขวาของฉันยื่นออกไปอย่างช้าๆ คราวนี้มันจับประตูได้อย่างที่มันควรจะเป็น

คราวนี้มือของมิร่าซังวางทับลงมาบนมือของฉันจนมันหยุดสั่นไหว

เธอยื่นอยู่หนึ่งก้าวข้างหน้าฉัน ส่งสายตาให้กำลังใจบอกว่าไม่เป็นไร

 

“ฮิเมะ”

 

“อริซซามะ”

 

ไม่มีคำพูดอื่นอีก แต่แค่นี้ ฉันก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ถูกส่งตรงมายังหัวใจของฉัน

 

“ถ้าหากรู้สึกไม่ดีให้รีบบอกเบลล์หรือมิแรนต้าทันทีเลย เข้าใจไหม”

 

“…..อืม!”

 

“แล้วก็มีแมเรียนเตรียมไว้สำหรับมื้อกลางวันด้วย!”

 

“แมเรียน”

 

ตาของฉันเปล่งประกายด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติทันทีต่อคำที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้

แบบนี้ ต้องรีบทดสอบเวทมนตร์ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด แล้วต้องรีบกลับมาก่อนที่จะพลาดมื้อเที่ยง

 

“…….อะ เดี๋ยวก่อน”

 

“มีอะไรผิดปกติหรือคะ?”

 

“คู่หู”

 

อันตราย ฉันเกือบจะลืมคู่หูอีกรอบแล้ว

ฉันปล่อยมือและก้มลงไปหยิบคู่หูของฉันที่กลิ้งกระเด็นไปตอนที่ฉันทรุดตัวลงนั่ง ฉันกอดคู่หูเอาไว้แนบอก

 

“เอาล่ะ”

 

มิร่าซังตอบสนองต่อภาพที่เห็นด้วยเสียง อุกิ๊ว เบาๆ

แล้วจากนั้น สิ่งที่ฉันได้เห็นคือ ท้องฟ้าใสกระจ่างไร้เมฆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+