[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 53 13 ดาบ

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 53 13 ดาบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 13 ดาบ

 

“ทะ ท่านคือ…… !”

 

ปรากฎว่าเจ้าหญิง รูนไฮม์ซังที่มีใบหน้าไม่ชอบใจตอบสนองต่อปฏิกิริยาดังกล่าว ได้ดึงดูดความสนใจของทั้งห้องอาหาร แทนที่จะได้คุยกันลับ ๆ ทุกคนกลับส่งเสียงเอะอะพยายามดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แน่นอนว่าฉันคือคนที่สับสนที่สุด

แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน รูนไฮม์ซังก็มาถึงในจังหวะที่เบลล์ซังอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายในระหว่างที่กำลังพยายามปกป้องฉัน แม้ว่าจะอุตส่าห์ได้เป็นเพื่อนที่ปราศจากการเลือกปฏิบัติกันได้แล้ว แต่เมื่อคิดอย่างใจเย็นฉันก็รับรู้ได้ถึงความวิตกกังวลที่ดูเหมือนจะมากเกินไป ที่ยิ่งเร่งความรู้สึกอึดอัดทั้งด้านความคิดและอารมณ์ของฉัน ในสภาพแบบนี้ ฉันไม่สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ ทำให้ฉันทำได้แค่อ้าปากพะงาบ ๆ และตกใจ

 

“มีใครอธิบายได้ไหม? ฉันสงสัยว่าเพื่อนของฉันทำอะไรลงไปหรือเปล่า”

 

“มะ ไม่ คือ…….”

 

จากนั้นเธอที่จ้องมาที่ฉันอย่างขุ่นเคืองจนถึงเมื่อกี้ ใบหน้าที่ดูกระวนกระวายมากกว่าหวาดกลัวก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่อ่อนน้อมในทันที …….เป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจเลย ทั้งที่เธอคิดว่าตัวเองไม่ผิดโดยสิ้นเชิง แต่เธอก็พูดออกมาได้ไม่ดีนัก เมื่อโดนกดดันจากเจ้าหญิงที่ดูไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความประมาทของฉัน และท่าทางที่พยายามรับผิดชอบแทนของเบลล์ซัง ฉันควรจะอธิบายให้ชัดเจนที่นี่ว่าฉันได้หยาบคายกับเธอ

ฉันหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อจัดการสงบหัวใจที่เต้นเสียงดัง ฉันควบคุมเสียงที่สั่นเทาอย่างสิ้นหวัง อธิบายให้รูนไฮม์ซังฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“อึม……แล้ว?”

 

“เพราะแบบนั้น หนูไม่ดี ต้องขอโทษให้ถูกต้อง”

 

“ฟู๊ว”

 

เกิดความโกลาหล คำพูดของฉันทำให้แย่ลงกว่าเดิม รัมไฮม์ซังฟังพร้อมพยักหน้าเพียงเล็กน้อย เมื่อฉันพูดจบ เธอก็ถอนหายใจผ่านริมฝีปากสีชมพูอ่อน

….รู้สึกผิดหวัง ความคิดเช่นนั้นหนักหนาในใจทำให้ฉันก้มหน้าลงอย่างเป็นธรรมชาติ ฉันแน่ใจว่าตัวเองกำลังพุ้งซ่านอยู่ ฉันได้รู้จักเพื่อนที่เปิดใจของฉันจนสามารถไปเข้าชั้นเรียนได้ ฉันรู้สึกโล่งใจเกินไปจากที่มีชีวิตในโรงเรียนราบรื่นอย่างไม่คาดคิด นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันทำเรื่องผิดพลาดที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นหากฉันยังระมัดระวังตัวมากกว่านี้แม้เพียงเล็กน้อย ฉันรับรู้ได้ว่าเบลล์ซังและมิร่าซังกำลังพยายามเรียกฉันจากข้างหลัง แต่ไม่ว่าฉันจะคิดยังไง นี่ก็เป็นความผิดของฉันเอง ฉันไม่รู้ว่าจะได้รับการให้อภัยไหม แต่ ไม่ว่ายังไง ฉันก็ต้องขอโทษ

หันไปเงียบ ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง ฉันขอโทษและพยายามก้มหัว ยังไงก็ตาม เสียงที่ดังขึ้นต่อมาก็ไม่ได้มีเป้าหมายที่ฉัน

 

“ฉันเข้าใจแล้ว แต่ฉันมีข้อสงสัยบ้างอย่าง”

 

“รูนไฮม์ซัง…..?”

 

“ไม่ ไม่ใช่เธอ แต่เป็นคนที่กำลังหดตัวผิดปกตินั่น”

 

เมื่อพูดเช่นนั้นแล้วรูนไฮม์ซังก็ก้าวเข้าไปหาเธอคนนั้น เมื่อมองขึ้นไปที่ดวงตาของเธอก็เห็นสายตาไม่เป็นสุขแกว่งไปมา ฉันไม่เข้าใจความตั้งใจของรูนไฮม์ซังจึงขยับตัวไม่ได้

 

“จะ…… เจ้าฟ้าหญิง มะ มีอะไรเพคะ”

 

“ทำไมเจ้าถึงต้องกลัวด้วยล่ะ หากเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็ควรทำตัวให้สง่างามเข้าไว้สิ ว่าไหม?”

 

เมื่อถามด้วยน้ำเสียงราวกับกระตุ้นเตือนเสร็จ เธอก็หันกลับไปมองดวงตาที่จ้องมองมาจากรอบ ๆ เด็กผู้หญิงบางคนหลบตาไปทางอื่น เมื่อมองไปจนถึงข้ารับใช้สเตลล่าเป็นคนสุดท้าย รูนไฮม์ซังก็ถอนหายใจอีกครั้งขณะที่ทำท่ายักไหล่

 

“ซ้า ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ลูกสาวขุนนางต้องทำงานบริกรด้วยตัวเองแบบนี้ นี่ไม่ใช่งานเต้นที่ต้องทำตัวสง่างามและใจกว้างให้มาก”

 

“เรื่องนั้น…..คือว่า ในฐานะขุนนาง เราไม่ควรยึดถือเอาว่าเหล่าบริกรจะปรนนิบัติพวกเราได้อย่างเต็มที่ตลอดเวลา และ”

 

“แต่ถึงอย่างไร การโกรธรุนแรงใส่ความประมาทเล็กน้อยของเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าตัวเองอย่างมาก อืม แน่นอนเธอเป็นขุนนางที่ยังเยาว์วัย นอกจากนี้ยังเป็นบุตรสาวที่ซื่อสัตย์ต่อสถานะทางสังคมเป็นอย่างดี”

 

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอเริ่มพูดราวกับกำลังตำหนิหญิงสาวคนนั้น ฉันพยายามที่จะรีบหยุดแต่ก็ถูกสั่งด้วยมือให้เงียบไว้ ฉันไม่สามารถพูดถึงรูปร่างของความเศร้าและความเมตตาในสายตาของฉันได้หลังถูกชี้ในทันที มือของเธอชี้กลับไปมาระหว่างที่ที่นั่งในแนวทแยงมุมจากฉันที่อยู่ข้างเคาน์เตอร์บริกร

 

“จากข้อมูลของข้า ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องนั่งเป็นเพื่อนกับท่านหญิงที่อยู่ตรงนั้นหรอกรึ วันนี้ไม่ทานอาหารด้วยกันรึ?”

 

“พะ…..เพคะ แต่เรื่องนั้นเกี่ยวอะไรด้ ―――― “

 

“แปลกประหลาดเสียจริงน้า”

 

รูนไฮม์ซังพูดชี้ชัดลงไปขัดการพูดของเธอที่พยายามจะพูดเรื่องอะไรสักอย่างไม่หยุดจนลิ้นสั่นรัว แม้ฉันจะเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่เมื่อถูกบีบคั้นโดยสถานการณ์ หัวของฉันก็ขาวโพลน เมื่อฉันมองย้อนกลับไปด้านหลัง เบลล์ซังและมิร่าซังมีสีหน้าโล่งใจยามมองไปที่รูนไฮม์ซัง ฉันเหลือบเห็นความเข้าใจและความโกรธเล็กน้อยในดวงตาของพวกเธอ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมายถึงอะไร

 

“ไม่ใช่ว่าเจ้าควรนั่งทานอาหารร่วมกับเพื่อน ๆ ที่ตรงนั้นหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้ว ข้าสงสัยจริงว่ามีสถานการณ์แบบไหนที่ทำให้เจ้าถึงเดินมาที่นั่งตรงนี้โดยที่มีเพียงซุปอยู่ในมือเดียว”

 

“………..!”

 

“ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าเป็นคนที่สง่างามและใจกว้างจริง ๆ สมมติให้เจ้าเป็นคนมีเมตตาต่อผู้มีฐานะต่ำกว่าไม่ถือสาบริกรและไปรับอาหารมาด้วยตัวเอง แล้วมีเหตุอะไรที่ทำให้เจ้าต้องเดินเบี่ยงมาไกลเช่นนี้ในเมื่อโต๊ะของเจ้าอยู่ติดกับเคาน์เตอร์บริกร?”

 

“มะ หม่อมฉัน เพราะเห็นเด็กเยาว์วัยเป็นอย่างมาก จึงเกิดความสนใจอยากเข้ามาสนทนาด้วยเพคะ…..!”

 

“หืม ……โดยมีซุปในมือเดียว?”

 

ที่รูนไฮม์ซังพูดมาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็ทำให้ฉันเริ่มเข้าใจความจริงของเรื่องราวแล้ว ฉันฟุ้งซ่านจนไม่ได้สังเกต เอาแต่โทษว่าเป็นความประมาทของตัวเอง แต่ถ้านั่นเป็นที่นั่งของเธอจริง เหตุใดเธอจึงทิ้งเพื่อนที่ทานอาหารด้วยและมาที่นี่พร้อมกับซุปร้อนๆ ในมือ อยากจะคุยกับฉันจริง ๆ เหรอ?

 

…..ไม่

 

“…..เข้าใจ แล้ว”

 

ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็พุ่งตรงมาที่ฉัน ดวงตาที่แหลมคมและเดือดดาลทิ่มแทงมาที่ฉัน

ฉันคุ้นเคยกับดวงตาแบบนั้นดี

 

นั่นคือ “ความเกลียดชัง” “ความอิจฉาริษยา” และ “ความเป็นศัตรู” เป็นไปที่ครั้งหนึ่งฉันเองก็ใช้เล็งไปยังผู้ที่ได้รับพร ไม่สามารถให้อภัยคนที่ได้ดีกว่าตัวเองได้ ฉันได้ใจเกินไป ฉันเอาแต่คิดบวกเกินไปโดยไม่รู้ตัว จนถึงตอนนี้มีแต่เรื่องดี ๆ คนดี ๆ อยู่รอบตัวฉัน ไม่มีคนที่มุ่งประสงค์ร้าย ทุกครั้งที่เดินออกไปตามถนนก็จะมีแต่คนที่ชี้มาที่ฉันอย่างยินดี ทำให้ฉันปักใจเชื่อไปเองว่าจะไม่ถูกเกลียดอย่างทันทีทันใดแน่นอน

 

……ผิดพลาด โลกไม่ได้ใจดีขนาดนั้น ผู้คนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สูงส่งขนาดนั้น รู้สึกเหมือนโอบกอดปมด้อยยามที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเอง แม้เป็นที่เคารพในตอนแรก แต่หากถูกย้อมดำมากพอก็จะอ้าความแตกต่างให้เห็น บางคนอาจไม่คิด แต่ทว่า มักมีชนกลุ่มน้อยอยู่เสมอ ถ้าไม่ อารยธรรมมนุษย์คงไม่พัฒนาถึงขั้นนี้ ถ้าไม่มีการแข่งขันก็ไม่มีการพัฒนา หากคุณไม่แสวงหาความเหนือกว่าคู่แข่ง ก็จะไม่มีการแข่งขัน

 

ฉันควรจะเข้าใจ แต่ฉันลืม ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบฉันเหมือนเบลล์ซัง มิร่าซัง รูนไฮม์ซัง และทุก ๆ คนที่รักฉัน หากมีคนที่สามารถมอบความรักให้คุณได้ ก็ต้องมีคนที่ไม่ชอบคุณเหมือนกัน ฉันไม่ใช่”สตรีศักดิ์สิทธิ์”ในเทพนิยายที่เป็นที่รักของทุกคน ฉันเป็นคนที่พูดอย่างนั้นเอง

 

“……ขอโทษก่ะ”

 

ถึงกระนั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันอดไม่ได้ที่จะขอโทษเธอ แน่นอน เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์แล้ว เธอคงจะพยายามสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา แม้ว่าจะไม่ใช่ความประมาทของฉันก็ตาม แต่ฉันอาจทำสิ่งที่คล้ายกันในทางใดทางหนึ่ง

แต่ว่า แต่เธอก็แค่ แค่เกลียดฉัน ใครจะถูกตำหนิได้ที่พยายามกำจัดสิ่งที่ไม่ชอบ อารมณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นเชิงลบ ไม่ใช่สิ่งที่จะระงับได้ง่าย ๆ ตัวอย่างเช่น หากเบลล์ซังถูกทำร้ายอีกครั้ง ฉันคงมีความรู้สึกเช่นนั้นต่อเธออย่างแน่นอน

 

“หนูขอโทษก่ะ”

 

………แต่ ฉันควรจะตัดสินใจได้แล้ว อย่างน้อยฉันก็อยากพยายามรับดาบที่เหวี่ยงมาด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากเป็นไปได้ก็อยากพยายามกอดกลับไป ใช่ ฉันสาบานแบบนั้นในใจ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ฉันก็ไม่อยากใช้ดาบฟันกลับคืนไปที่นี่ ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งจะเปลี่ยนความเกลียดเป็นความรักได้

 

“ต้องทำให้ดีที่สุด”

 

ด้วยเหตุผลบางอย่างในขณะที่จับหน้าอกที่เจ็บปวดของตัวเอง ดวงตาอันเศร้าโศกทั้งสามคู่ก็มุ่งไปยังรอยยิ้มที่ฉันทำขึ้นอย่างสิ้นหวัง

 

ฉันไม่ได้สังเกตในเวลานั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“ฮิเมะ”

 

ต้องขอบคุณเจ้าฟ้าหญิง พวกเราถึงสามารถออกมาจากที่นั่นได้ พอกลับมาถึงห้องฮิเมะก็ผล็อยหลับไปทันที ข้าแน่ใจว่าเป็นเพราะเธอรู้สึกเหนื่อยทั้งทางร่างกายและจิตใจ จากนั้น ขณะมองร่างเล็ก ๆ ของเธอนอนกอดตุ๊กตาหมีบนเตียงพร้อมหายใจอย่างน่ารัก ข้าได้แต่มองดูอยู่ข้าง ๆ กับน็อกซ์เบลกันสองคน

 

“น็อกซ์เบลซัง”

 

“….ค่ะ”

 

พวกเราเข้าใจความหมายของกันและกัน นั่นคือ เกี่ยวกับรอยยิ้มของฮิเมะที่กำลังจะแตกสลาย ข้ามีคิดว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดี มีเรื่องที่พูดได้ว่าทำให้ต้องแปลกใจคือ การได้เจ้าฟ้าหญิงเป็นเพื่อนใหม่คนแรก และสภาพแวดล้อมในคลาสเรียนที่ดูดีอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าความเป็นจริงกำลังทำงานอยู่และสิ่งที่อยู่ภายในนั้นไม่ได้ดีเสมอไป และสภาพสุขภาพของฮิเมะในตอนนี้ก็ยากที่จะพูด เมื่อถูกขอให้ยืนยัน น็อกซ์เบลซังซึ่งเข้าใจฮิเมะดีที่สุดก็หยักหน้าอย่างกังวล

 

“ว่าแล้วเชียว สภาพแวดล้อมใหม่ของโรงเรียนดูเหมือนเป็นภาระหนักสินะคะ”

 

“ข้าไม่ได้สังเกตเห็นเลยจนทุกอย่างเปิดเผยออกมาแจ่มชัด ข้าควรถูกตัดสิทธิ์การเป็นอัศวิน….”

 

“ไม่ค่ะ แม้แต่ดิฉันเองก็ไม่ได้สังเกตเห็น”

 

ม๊า ถ้าหากน็อกซ์เบลซังยังสังเกตไม่เห็น คนอื่นก็ยากที่จะสังเกตเห็นแน่นอน อย่างไรก็ตาม ข้าก็ยังเสียใจที่ไม่รู้ว่าบาดแผลของฮิเมะยังไม่หายดี หนึ่งปีผ่านไป ความทรงจำในวันนั้นก็ยังไม่สามารถลบเลือนได้ ฮิเมะที่ใบหน้าดูสิ้นหวังได้พยายามช่วยน็อกซ์เบลซังโดยไม่คิดถึงตัวเอง ไม่สามารถลืมเหตุการณ์นั้นได้อย่างง่ายดาย ข้าเดาเอาเองว่าความบิวเบี้ยวของฮิเมะมาจากความทรงจำนั้น

 

“ต้องทำให้ดีที่สุด งั้นเหรอ”

 

ทันใดนั้น น็อกซ์เบลซังที่ลูบแก้มฮิเมะด้วยหลังมือก็พึมพำออกมาเหมือนพูดคนเดียว มีอารมณ์มากมายเกินบรรยายอยู่บนใบหน้าที่เห็นจากด้านข้างจนข้าไม่สามารถอ่านได้ สิ่งเดียวที่ข้ารู้อย่างชัดเจนคือเธอรักฮิเมะอย่างสุดซึ้ง

 

“….พอแล้วค่ะ พอได้แล้ว อริซซามะทำดีที่สุดแล้วค่ะ”

 

“อึก…….อืม……”

 

น็อกซ์เบลซังเริ่มลูบหัวของเธอด้วยมืออีกข้าง ร่างกายที่ดิ้นไปมาก็จมลงสู่ฝันดีทันที เป็นความไว้เนื้อใจกันอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าข้าทำแบบเดียวกันล่ะ เธอจะตื่นขึ้นมาไหม หรือจะหลับไปอย่างสบายใจ

 

“อริซซามะ ดิฉัน พวกดิฉันจะอยู่เคียงข้างท่านค่ะ ได้โปรดจับมือดิฉันตลอดไปนะคะ”

 

“น็อกซ์เบลซัง……”

 

ข้าหลับตาลงเพื่อกลบเกลื่อนดวงตาที่ชื้นจนจะร้องไห้ มือของฮิเมะอยู่ในมือของน็อกซ์เบลซัง ข้าได้ยินมาว่าน็อกซ์เบลซังรับใช้เคียงข้างมาตั้งแต่ฮิเมะเกิด บางทีพวกเธออาจมีความสัมพันธ์และความไว้วางใจที่ลึกซึ้งกว่าครอบครัว เป็นมากกว่าเจ้านายและข้ารับใช้

และน็อกซ์เบลซังก็รู้สึกถึงสิ่งนั้นดี การพูดขอโทษของฮิเมะ รอยยิ้มเข้มแข็งยามพูดต้องทำให้ดีที่สุด ――――ไม่สิ ใบหน้าราวกับกำลังร้องไห้ ข้าแน่ใจว่า เพราะฮิเมะไม่ได้ถูกย้อมสีเหมือนพวกเรา เธอจึงทั้งบริสุทธิ์และอ่อนโยน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเกลียดตัวเองอย่างไร ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเกลียดตัวเองเพราะอะไร เธอเชื่อว่าสักวันจะได้รับการยอมรับและเปลี่ยนเป็นความรัก เป็นความคิดที่ใสสะอาด ยังเด็ก และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นอันตราย ถ้าไม่มีคนปกป้อง ก็จะถูกใช้ประโยชน์เพื่อเหยียบย่ำในทันที นั่นคือธงที่น่าวิตกของผู้ต่อต้านที่จะถูกนำไปใช้ในสักวันหนึ่ง

 

“สิ่งนั้นแน่นอน”

 

ข้าจะขัดขวางเอาไว้ ข้าจะปกป้องสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ให้ได้ เด็กสาวที่เป็นราวกับดอกตูมที่ผลิบานในทุ่งหญ้ารกร้าง ในที่สุดฮิเมะก็จะได้เบ่งบานเป็นดอกไม้ใหญ่งามสะพรั่ง พวกเราถูกดึงดูดและมารวมตัวกัน แม้ไม่จีรัง แต่พราวระยับ หลงใหลในดอกไม้หิมะดอกเดียวที่เบ่งบานเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดุจได้รับการเยียวยา และยิ่งไปกว่านั้น มี”ความสุข”

 

…..ข้ามั่นใจเช่นนั้น เพราะแบบนั้น เพราะแบบนั้น

 

“…….ฮิเมะ”

 

ตอนนี้ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเฝ้าดู ข้าจะทำทุกสิ่งเพื่อปกป้องฮิเมะ

แต่ทว่า ฮิเมะต้องไม่ลืมที่จะปกป้องตัวเอง พวกเรามีขีดจำกัดว่าจะถือโล่เอาไว้ได้มากแค่ไหน นอกจากนี้ความเมตตาที่จริงจังนั่นก็ไม่ต่างจากการทำร้ายและทรมานตัวเองไปเสียแล้ว ภายใต้รอยยิ้มนั้น ข้อมองเห็นมือที่สั่นเทาจับหน้าอกของตัวเองเอาไว้ หากเขี้ยวเล็บนั่นเข้าถึงดวงใจน้อย ๆ ได้ ประกายแสงสีทองในดวงตาอาจหายไปตลอดกาล หากนั้นยังไม่แย่พอ ฮิเมะจะสูญเสียหัวใจของเธอไป

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเฝ้าดู พร้อมสนับสนุนเคียงข้าง หากยังเจ็บ จงรักษา ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องให้เรียนรู้วิธีป้องกันตัวเองทีละเล็กทีละน้อย และคอยเฝ้าดูเมื่อแข็งแกร่งขึ้น น็อกซ์เบลซังอาจจะมีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป แต่ข้า สำหรับข้า สิ่งที่ข้าจะสามารถทำได้คงมีเพียงเท่านั้น สิ่งที่อัศวินเช่นข้าจะสามารถแสดงให้ฮิเมะเห็นได้ก็มีเพียงแผ่นหลังที่ไม่หวั่นเกรง

 

เพราะแบบนั้น ฮิเมะ ตอนนี้กรุณาพักผ่อนให้เพียงพอเถอ

ข้าจะไม่ยอมให้ใครมารบกวนการนอนของท่านเด็ดขาด

 

ข้า

 

“จะปกป้องท่านแน่นอน เสมอไป”

 

――――เพราะข้าคืออัศวินผู้พิทักษ์ของท่าน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด