[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 64 4 คลาร่า

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 64 4 คลาร่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 4 คลาร่า

 

“แล้วมีอะไรงั้นเหรอ? อริซ อยากฟังเรื่องอะไรรึ”

 

“อะ อือออ…..อะโน๊ กินข้าวเสร็จ คุยที่ห้อง ได้ไหม?”

 

“เอ๊ะ”

 

หลังจากใช้เวลามากมายในชั้นเรียน จู่ ๆ อริซก็พูดขึ้นมาว่าอยากไปนั่งทานอาหารกลางวันด้วยกันตามปกติ ก่อนเลิกเรียนเธอบอกว่ามีเรื่องอยากจะถามในภายหลัง ไม่นานหลังจากที่พวกเรานั่งลง จานอาหารก็วางเรียงกันเต็มโต๊ะ และฉันก็ถามขึ้นในขณะที่เคี้ยวเนื้อ แล้วคำตอบที่ไม่คาดคิดก็ทำให้ฉันต้องหยุดเคี้ยวชั่วครู่ ก่อนฝืนกลืนอย่างแน่นอคอแล้วฟังต่อ

 

“…..เอ๊ะ?”

 

“เอ๊ะโตะ คือ หนูคิดว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดต่อหน้าทุกคนจะดีกว่า ดังนั้น ที่ห้องของลูน่า….ห้องของหนูถ้าไม่รังเกียจ”

 

นะ เนื้อหาที่ไม่สามารถพูดถึงได้ในที่สาธารณะ? 

……ไม่ ไม่ ไม่มีทาง คงไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด เพราะแววตาของอริซที่กลัวการถูกปฏิเสธเล็กน้อยนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังและสีสันของความจริงจัง แน่นอนไม่มีความล้อเล่นไม่จริงจังโดดเด่นออกมา นอกจากนี้ฉันไม่รู้ว่าอริซหลงรักใคร ฉัน ฉันหมายถึงว่าคนส่วนใหญ่รอบตัวอริซระแคะระคายอาการหมดแล้ว มีเพียงพวกเจ้าตัวเท่านั้นที่ยังไม่รู้ตัว 

อ้า ก่อนอื่น ฉันคงต้องรีบตอบแล้วสิ ตาของอริซชักจะน้ำตาเอ่อล้นแล้ว …..อา น่ารัก

 

“ไม่ได้!”

 

“ฮี่……. !?”

 

แย่แล้ว เผลอพูดออกไปซะแล้ว ไม่ใช่นะ ขอโทษน๊า ขณะรีบขอโทษอริซซึ่งมีใบหน้าที่น่าสงสารและดูเหมือนจะเริ่มร้องไห้ ฉันก็เหลือบมองไปสบตากับสเตลล่าที่โต๊ะข้าง ๆ เมื่อเห็นว่าพยักหน้ารับรองว่าไม่มีปัญหากลับมา ฉันก็มองกลับคืนที่เดิม อริซจ้องมาที่ฉันด้วยดวงตาที่เปียกชื้นขณะเอียงหัวราวกับเป็นทุกข์ เป็นท่าทางที่ชวนให้สติหลุดจริง ๆ เลย ไม่ไหวเลย ช่างเย้ายวนใจดีอะไรอย่างงี้ จริง ๆ แล้ว ภายในคลาสนอกฉันแล้วยังมีผู้หญิงอีกหลายคนที่ถูกครอบงำด้วยเสน่ห์เย้ายวนของปีศาจน้อยตนนี้

 

“……ได้ ได้สิ แน่นอน”

 

“จริงเหรอ!?”

 

“จะ จริงสิ”

 

ตาเปลี่ยนเป็นเปร่งประกาย คิระคิระ ในช่วงพริบตา อาจเพราะเดิมที่เป็นสีทองอยู่แล้วจึงทำให้ตอนนี้ดวงตาของเธอเหมือนกับดวงดาวหรือดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนสีขาวบริสุทธิ์ สวยจนหากเผลอจ้องมองยาวนานเกินไปก็อาจจะถูกดึงสติออกไปได้ ฉันรู้สึกราวกับถูกแย่งสถานะผู้นำในสถานการณ์นี้ไปอย่างสมบูรณ์แบบ ฉันรีบส่ายหน้าเพื่อกลบเกลื่อน พูดถึงอิริยาบถนี้แล้วราวกับถูกท่ายทอดมาในขณะที่ได้ใช้ช่วงเวลากับอริซ ฉันได้รับอิทธิพลจากเด็กคนนี้มากแค่ไหนกันน่ะ ……แต่ว่า เธอก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนเดียวที่เข้ามายืนเคียงข้างฉันเป็นครั้งแรก แม้ว่าจะยอมแพ้เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แต่ก็จะยังมีความรู้สึกอีกมากมายให้โอบกอด นี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“ทานกันต่อเลยไหม”

 

“อืม”

 

ยังไงก็ตามอาหารในโรงอาหารที่นี่อร่อยมาก นอกจากนี้ยังสามารถใส่ส่วนผสมประเภทต่าง ๆ เข้าไปภายในวัตถุดิบที่ถูกมัดอยู่ได้ น่าอัศจรรย์ อ้า อยากพาแม่ครัวกลับวังมากเหลือเกิน แน่นอน ฉันต้องการให้ไปสอนให้กับพวกโง่เง่าที่เอาแต่พูดภาษาแปลก ๆ ว่าการทำอาหารที่แท้จริงคืออะไรถ้ากินของอร่อยแล้วทำให้บริสุทธิ์จากภายในก็น่าจะทำให้ท้องดำที่เต็มไปด้วยโคลนเน่าเสียของพวกโง่นั้นดีขึ้นสักนิด

 

“อร่อยเนอะ”

 

“ใช่ มาก”

 

เพราะพวกเน่าเสียนั้นโผล่เข้ามาในความคิดของฉัน สิ่งเดียวที่จะช่วยชำระล้างจิตใจให้กลับมาผ่องใสได้ ท้ายที่สุดก็คือสตรีศักดิ์สิตริ์ตัวน้อยตรงหน้าฉัน แค่ได้มองไปที่อริซที่แบ่งปันรอยยิ้มอร่อยจากก้นบึ้งของหัวใจกับฉัน อะไรแบบนั้นก็ทำให้ฉันดีขึ้นโดยทันที ตลกก็ตรงแค่มีเศษขนมปังติดอยู่ที่ขอบปากของเธอที่ทำให้ฉันยิ้มและรู้สึกอารมณ์ดี

 

“…..โม๊ว โฮระ อย่าพึ่งขยับนะ”

 

“อู๊ว?”

 

“เกล็ดขนมปังติดอยู่น่ะ ……ได้แล้ว”

 

“อู๊ว……”

 

และ อริซก้มลงด้วยด้วยความอาย แก้มที่มักพองเปลี่ยนเป็นสีแดง ขนมปังถูกกลืนเข้าไปในลำคอบาง ๆ พร้อมกับเสียงน่ารัก ขณะพยายามไม่มองเหตุการณ์ตรงหน้า ฉันก็นำขนมปังหั่นชิ้นหนึ่งเข้าปากเช่นกัน หลังจากนั้นไม่นาน อริซก็หยิบส้อมขึ้นมาและจิ้มลงบนเนื้อ อ้าปากเล็ก ๆ ออกกว้าง ส่งเนื้อเข้าปากแล้วเคี้ยว

 

“กินอย่างเอร็ดอร่อยจริง ๆ เลยน๊า”

 

“มุกุ…..โฮ๊ว?”

 

อลิซตอบสนองอย่างสุภาพต่อการพูดพึมพำที่ใกล้เคียงกับการพูดคนเดียวของฉันในขณะที่เอามือปิดปาก ไม่ค่อยพูดคุยระหว่างทานอาหาร แต่ก็ดูมีเสน่ห์ แม้จะเป็นขุนนาง แต่อริซก็อายุเพียงหกขวบ นอกจากนี้การมากพิธีในสถานที่สำหรับเพื่อนกันก็ไม่ใช่เรื่องสนุก เรื่องพิธีการ เอาไว้ตอนแสดงตนในที่สาธารณะ หรือเมื่อมีคนอื่นที่ไม่ใช่อลิซอยู่ด้วยก็เพียงพอแล้ว

 

“ลูน่า ชอบอันไหนเหรอ?”

 

“อึก?”

 

ฉันกลืนขนมปังพร้อมกับคำถามที่จู่ ๆ ก็ถามขึ้นมา ฉันส่งเสียงอืมยาวและกังวลพยายามสรุปอีกครั้งว่า เนื้อที่ชอบคือ ฉันชอบเนื้อแบบไหน ยังไงดี ฉันจดจ่อกับวิธีทำอาหารมากกว่าส่วนผสม และฉันไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลย เมื่อพูดถึงเรื่องเนื้อแล้วก็มีหลากหลายประเภท หากให้สรุปสิ่งที่ฉันกินบ่อย ๆ อย่างคร่าว ๆ อาจจะได้สี่อย่าง เช่น วัว หมู ปลา และนก เป็นต้น ส่วนแกะ และอื่น ๆ นาน ๆ ครั้งถึงจะมาเสิร์ฟบนโต๊ะ แต่ไม่ใช่ของทั่วไปในฐานะเนื้อ ฉันชอบมากแต่อิทธิพลของฝีมือเชฟนั้นใหญ่มากเป็นพิเศษ น่าจะต่างจากสิ่งที่อริซอยากได้ยินนิดหน่อย อาจเป็นคำถามโดยนัยที่บอกว่าอยากออกจากห้องอาหารแล้ว

 

“นั้นสิน๊า แล้วอริซล่ะ?”

 

“หนู คุณวัว”

 

“คุณวัว”

 

“อืม คุณวัว”

 

ขณะผ่อนคลายกับวิธีการพูดเช่นนั้น ฉันก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงบนไหล่หายไปอย่างเป็นธรรมชาติ …….เข้าใจแล้ว วัวสินะ ฉันเห็นพ้องด้วย หมายถึงหากมีการตัดสินความอร่อยของเนื้อในหลาย ๆ หัวข้อ โดยเฉลี่ยแล้วเนื้อวัวล้วนมีมาตรฐานที่สูง น้ำมันปานกลาง ยืดหยุ่นปานกลาง มีกลิ่นที่ไม่รุนแรง แน่นอนว่ามีความผันแปรมากมายขึ้นอยู่กับคุณภาพ แต่นั้นก็สามารถพูดได้ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับอาหารทุกชนิด

 

“วัวก็อร่อย ฉันไม่ได้เกลียดหมู แต่ว่าออกจะอ้วนไปหน่อย แถมนิสัย…..”

 

“หนูเหมือนกัน ถึงอร่อย แต่ว่าทำไมเนื้อของคุณหมูถึงมีน้ำมันเยอะ?”

 

“เรื่องนั้นให้ฉันอธิบายเอง”

 

หมูเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างใหม่ ในพื้นที่ต้นกำเนิดมีฟาร์มม้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของราชอาณาจักรซึ่งในอดีตดูเหมือนจะตกเป็นเป้าหมายของสัตว์กินเนื้อจำนวนมากที่ปรากฎตัวเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม ม้าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการอำนวยความสะดวกในการสัญจรของผู้คนและสินค้าในราชอาณาจักร และมีความต้องการอย่างมากจากกองทัพ ดังนั้นแล้วจะปล่อยให้สถานที่สำคัญเช่นนั้นถูกทำลายโดยเหล่ากินเนื้อไม่ได้ จึงมีการระดมนักล่า และอัศวินจำนวนมากมาเพื่อสังหารสัตว์ร้ายทั้งหมดที่พยายามจะโจมตีม้า เริ่มจากฝูงที่ฉลาดที่เริ่มตระหนักว่าอยู่ในสถานะเสียเปรียบในพื้นที่การล่าของตนเอง และด้วยเหตุนี้ พื้นที่รอบ ๆ ฟาร์มปศุสัตว์จึงกลายเป็นสวรรค์สำหรับสัตว์กินพืช ในบรรดาสัตว์กินพืชที่หลากหลาย มี”หมูป่า(ซอง-กลิ-เย*)”ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นมาตั้งแต่สมัยโบราณได้เปลี่ยนวิถีชีวิตไปเนี่องจากการหายตัวไปของศัตรูตามธรรมชาติ และพวกสัตว์ป่าก็ทำลายตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพราะจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นจนเกินควบคุมทำให้เกิดการขาดแคลนอาหาร กลับกันฝูงสัตว์ที่เลือกทางรอดด้วยการ”ตุนไขมัน”นั้นรุ่งเรืองขึ้น ผลที่ได้คือ”หมู(โก-ชง*)”ในปัจจุบัน ถ้าคุณเอื้อมมือไปหาหน่ออ่อน คุณจะไม่มีอะไรกินหลังจากนั้น นั้นเป็นเหตุผลที่พวกสัตว์กินสิ่งที่ต้องการแล้วสะสมไว้ในร่างกายในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ในช่วงเวลาอื่น ๆ ก็จะใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ ในถิ่นที่อยู่ของตนเอง สาเหตุที่มีไขมันเยอะคือ ร่างกายมีคุณสมบัติในการเก็บอาหารที่กินเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว

(*คำที่กำกับให้อ่านออกเสียงด้วยภาษาฝรั่งเศส)

 

” ―――― อย่างที่เล่า ฉันได้ยินมาจากสมมติฐานของนักเวทย์ที่กำลังค้นคว้ากันอยู่”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“เข้าใจจริงเหรอ”

 

ม๊า ฉันก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ฉันไม่ได้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาของสัตว์เท่านักเวทย์ และฉันก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากด้วย แต่ต้นเหตุการเก็บเกี่ยวที่ย่ำแย่ของทั่วทั้งราชอาณาจักรในช่วงไม่กี่ปีมานี้กำลังเกิดขึ้นนอกดินแดนที่มนุษย์ควบคุม ดังนั้นพวกสัตว์ป่าจึงถูกบังคับให้บุกไร่สวน ฟาร์มปศุสัตว์เพื่อค้นหาอาหาร แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ดังนั้นจึงง่ายที่จะคาดเดาเบื้องหลังได้ว่าเนื้อที่กำลังกระจายไปทั่วนั้น…….มาจากเนื้อที่ล่าได้ บางทีอริซอาจจะเคยได้ยินมาจากใครบางคนหรือคิดได้เอง นั้นอาจเป็นวิธีที่เธอเข้าใจ

 

ขณะที่ฉันกำลังอวดอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อยในความรู้ที่กว้างขวาง ฉันก็รู้สึกถึงสายตาจากเหล่าผู้ติดตามที่อยู่โต๊ะถัดไป ดูเหมือนจะเอียงหูฟังราวกับไม่เกรงกลัว

 

“อย่างที่คาดหวังเลย จะขอเรียกท่านทั้งสองว่า「ผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง(โนเบลส・คลาร่า*)」ด้วยจะดีไหมนะ…..”

(*คำที่กำกับให้อ่านออกเสียงด้วยภาษาฝรั่งเศส)

 

“ยังไม่นับที่ว่าทั้งสองท่านอายุน้อยกว่าเลขสองหลักด้วย ใช่ เหนือสิ่งอื่นใดรูนไฮม์ซามะดูมีความสุขมากเลย”

 

“สมแล้วฮิเมะ!”

 

ฉันไม่รู้ว่าคำพูดของอัศวินของอริซที่ดูเหมือนจะชื่อมิแรนด้าหมายถึงอะไร แต่ฉันก็รู้ว่าชื่อเล่น”ผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง”ที่ชี้ตรงมาที่ฉันและอริซค่อย ๆ แพร่หลายในโรงเรียนมาระยะหนึ่งแล้ว พวกเราที่อ่อนเยาว์ถูกจัดอยู่ไอริสด้วยกัน และอยู่ด้วยกันเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นบ่อยครั้ง อริซกับฉันในฐานะเจ้าหญิงจะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ของการสนทนาอย่างลับ ๆ มีแม้แต่การตั้งชื่อเล่นให้กับพวกเรายามอยู่ด้วยกันอีกด้วย และบางทีการปรากฎตัวอย่างโดดเด่นในงานเทศกาลโรงเรียน ก็กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เรื่องต่าง ๆ แพร่กระจายไปยังขุนนางและนักเวทย์ภายนอกที่เข้ามาเยี่ยมชมงานเทศกาลโรงเรียน ว่ากันว่ากลายเป็นชื่อเล่นที่รู้กันทั่วไปในหมู่บรรดาผู้รู้ ช่างเป็นเรื่องราวที่น่าอับอาย

นอกจากนี้ แต่เดิม”ส”ของการเปลี่ยนรูปพหูพจน์ของ”สูงศักดิ์(โนเบิล*)”จะไม่ได้ออกเสียงตั้งแต่แรก ดูเหมือนจะเป็นการตั้งใจออกเสียงโดยมีรากศัพท์มาจาก”ผู้สูงศักดิ์、ต้นกำเนิดอันสูงส่ง(โนเบลส*)” เมื่อลองพิจารณาว่าการที่ฉันเป็นเจ้าหญิงก็อาจเป็นปัจจัยเช่นกัน หากพูดคำที่ไม่สมควรออกมาก็เป็นไปได้ที่จะถูกลงโทษฐานกบฏซึ่งขึ้นอยู่กับการตีความ แน่นอนว่าฉันไม่คิดที่จะทำอย่างนั้น แต่มีคนจำนวนมากที่พร้อมใช้ประโยชน์

(*พยายามแปลให้เข้าใจที่สุดแล้ว แต่เป็นการเล่นคำภาษาญี่ปุ่นผสมฝรั่งเศส)

 

และ คลาร่าในครึ่งหลัง เป็นพระนามที่พระราชทานแด่สมเด็จพระราชินีนาถ*ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นผู้ทรงธรรมเมื่อหลายร้อยปีก่อน และบางครั้งก็ถูกตั้งให้กับหญิงสาวในตระกูลขุนนางชั้นสูงเช่นกัน ชื่อนี้มีความหมายแสดงถึง “เปล่งประกาย、มีชื่อเสียง、สง่างาม” ในกรณีคล้ายคลึงกัน ชื่อ “วิคตอเรีย” ซึ่งได้มาจากสมเด็จพระราชินีนาถ*ผู้ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในสงครามกับจักรวรรดิ มีความหมายว่า “ชัยชนะ、 ความสำเร็จ” ซึ่งเป็นชื่อที่เคียงคู่กันมากับชื่อคลาร่าในแง่ความนิยม

(*สมเด็จพระราชินีนาถ คือ พระมหากษัตริย์หญิงผู้ครองราชสมบัติด้วยสิทธิ์ของพระองค์เอง ต่างจาก “สมเด็จพระราชินี” ซึ่งเป็นพระมเหสีในพระมหากษัตริย์ที่ครองราชสมบัติ)

 

…..แต่ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมถึงเลือกใช้คลาร่า ในเมื่อยังมีชื่ออื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนที่มีความหมายคล้ายกัน จากการตรวจสอบของสเตร่าพบว่าสาเหตุน่าจะมาจากพื้นฐานการแสดงความเห็นของอริซ ดูเหมือนจะมีคนได้ยินว่าเธอจะทักท้วงว่า”หนูเป็นคลาร่าเหรอ”ทุกครั้งที่ได้รับคำชมจากน็อกซ์เบล ข้ารับใช้ของเธอในเวลาที่ทั้งคู่คุยกันในเรื่องอะไรก็ตาม ฉันแน่ใจว่าเธอพูดประชดประชันเหมือนที่ทุกคำพูดและทุกการกระทำของราชินีคลาร่าได้รับการยกย่องในทุกวันนี้ เป็นวิธีการประท้วงที่น่าสนใจ

 

“…..ฟุมุ เรื่องนั้นเด่นชัดจนเข้าใจแล้วแต่”

 

เรื่องนั้นของอริซเอาไว้ก่อน ใช่ ยังไงก็ตามสิ่งเหล่านั้นมีความหมายที่เด่นชัดในความเห็นของฉัน คนส่วนใหญ่อาจจะเรียกตาม ๆ กันมาทั้งอย่างงั้นโดยที่ไม่คิดอะไร แต่พวกแรกที่เริ่มพูดก่อนน่าจะใช้ในภาพลักษณ์ที่อาจจะคล้ายกับการประชดประชัน ไม่สิ พูดได้เลยว่าต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน นั้นก็เพราะมีเอกสารสองสามฉบับที่เอ่ยถึงเกี่ยวกับราชินีคลาร่าเอาไว้ว่า แม้จะเป็นผู้ปกครองที่ทรงธรรม แต่ก็ได้มีอาการวิกลจริตในช่วงบั้นปลายชีวิต ตามรายงานดังกล่าว พระนางทรงมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงสาวนางหนึ่งที่ชื่อว่า เบเนเดตต้า・คาร์มินา สหายสนิทเก่าแก่ซึ่งกำลังดำรงหน้าที่เป็นนักบวชในโบสถ์เนยูมุร์อยู่ในขณะนั้น ว่ากันว่าพระนางมิได้อภิเษกสมรสกับผู้ใดจนถึงช่วงบั้นปลายชีวิต ด้วยเหตุนี้การสืบทอดราชบัลลังก์จึงเกิดข้อพิพาทขัดแย้งขึ้นมา ท้ายที่สุดพระอนุชาของอดีตกษัตริย์ก็ได้ขึ้นครองบังลังก์ ว่ากันว่าหลังขึ้นครองบังลังก์ กษัตริย์พระองค์ใหม่ก็ทำการลิดรอนสถานะของพระนางทันที และไม่นานหลังจากนั้นก็ทำการประหารชีวิตพระนางไปพร้อมกับเบเนเดตต้าซึ่งกลายเป็นเรื่องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดินของราชอาณาจักร เป็นความจริงที่ว่าการสืบทอดราชบัลลังก์เกิดข้อพิพาท เพราะพระนางไม่ได้อภิเษกสมรส และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับนักบวชเบเนเดตต้าจริง แต่ไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งสองถูกประหารชีวิต ส่วนนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นการสร้างขึ้นมาด้วยเจตนามุ่งร้ายอย่างสมบูรณ์แบบ

ยังไงก็ตามแม้เอกสารเหล่านี้จะเปล่าประโยชน์ในฐานะบันทึก แต่เพราะเป็นเรื่องราวความรักที่น่าเศร้าที่มีความสมบูรณ์แบบในระดับสูงจึงกลายเป็นที่นิยมอย่างลับ ๆ และเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสื่อสำหรับอ่านในหมู่บุตรีคุณหนูวัยเยาร์ บางทีฉันที่เป็น เจ้าหญิง กับ อริซ ที่ดูเหมือนเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ และมีข่าวลือร่วมกัน อาจถูกพวกเขาประชดประชันด้วยการยัดเยียดความคาดหวังให้อย่างไร้เหตุผล หลายคนอาจคิดว่าฉันคิดมากไป แต่ขุนนาง โดยเฉพาะเหล่าบุตรีคุณหนู สามารถทำเช่นนั้นได้โดยไม่ลังเล ถ้ายังไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นจนถึงตอนนี้ บางทีฉันอาจจะยังสามารถคิดว่าพวกเขากำลังล้อเล่นอยู่ก็ได้ แต่ทว่าในความเป็นจริงมีฝ่ายที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเรา และอริซเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ 

 

“ลูน่า?”

 

เสียงของอริซดึงสติของฉันที่ซึ่งกำลังเต็มไปด้วยความโกรธอย่างท่วมท้นให้กลับมามีสติ …..อ้า ไม่ดีเลย เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานึกถึงบนโต๊ะอาหารแสนสนุกนี้ สายตาที่ถามฉันเต็มไปด้วยความหวังดีและความกังวลที่อ่อนโยน แม้จะเพียงความอิจฉาริษยา แต่ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงมุ่งการเป็นปรปักษ์ตรงไปอริซที่อ่อนโยน ฉลาด และน่ารักกัน สันดานคนพวกนั้นคงเน่าเสียเกินเยียวยาไปแล้ว

 

“ฟู๊ว…..อือฮึ ไม่มีอะไร ขอโทษน๊า?”

 

ฉันปลดปล่อยอารมณ์โกรธและเศร้าที่กำลังจะเดือดอีกครั้งออกไปด้วยการถอนหายใจ แล้วเปลี่ยนการแสดงออกทางสีหน้าเป็นรอยยิ้ม และฉันก็สังเกตเห็นว่าจานทั้งสองของพวกเราว่างเปล่าลงแล้ว

 

“งั้นเหรอ”

 

“ใช่แล้ว”

 

ในขณะที่ลูบท้องที่ความอิ่มเข้าแทนที่ ฉันก็ส่งสัญญาณด้วยสายตาให้สเตล่า ―――― โดยไม่ต้องพูด ข้ารับใช้ทั้งสามพร้อมแล้ว พวกเราเหมือนได้รับพรด้วยข้ารับใช้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้

นั้นทำให้อารมณ์ของฉันสดใสขึ้นทันที ฉันประสานมือโดยเลียนแบบอลิซก่อนพูดว่า “ขอบคุณสำหรับอาหาร” แล้วฉันก็ลุกขึ้นไปยืนข้าง ๆ เพื่อช่วยพยุงให้ลุกจากเก้าอี้ แปะแปะ จากนั้นก็ถือโอกาสปัดกระโปรงเธอเบา ๆ และจับมือทั้ง ๆ แบบนั้น

 

“ขอบกุณก่ะ”

 

เธอจับตอบอย่างอ่อนโยนโดยไม่มีการต่อต้านใด ๆ

ฉันแน่ใจว่าต่อไปอริซจะต้องถูกคุกคามในทางใดทางหนึ่ง และสุดท้ายฉันเองก็เช่นกัน

 

“……ไปกันเถอะ อริซ”

 

“อืม”

 

…..แต่

 

“กรุณาอย่าไปสัมผัสสถานที่แปลก ๆ นะเจ้าคะ รูนไฮม์ซามะ”

 

“อริซซามะ กรุณาระวังหกล้มด้วยนะคะ”

 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ข้าจะทำให้ได้ที่เพื่อที่จะรับตัวฮิเมะในตอนที่จะล้มเองค่ะ!”

 

―――― แต่ ฉันแน่ใจว่าจะไม่เป็นไร

เพราะรอบตัวพวกเรา มีเหล่าคนที่พร้อมสนับสนุนอยู่มากมาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด