[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 49 9 เทวา กับ ซาตาน

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 49 9 เทวา กับ ซาตาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 9 เทวา กับ ซาตาน

 

“ถ้าอย่างงั้น ชั้นเรียนของวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ พรุ่งนี้เราจะเรียนคณิตศาสตร์กัน อย่าลืมเอาหนังสือเรียนมากันด้วยล่ะ”

 

“ขอบพระคุณมากครับ/ค่ะ คุณครู! “

 

คุณตาปิดหนังสือเรียนและประกาศจบคลาสเรียนหลังจากสอนมาหลายชั่วโมง แม้จะไม่ได้มีการตั้งข้อตกลงอะไรเป็นพิเศษ แต่ทั้งห้องก็พร้อมใจกันขอบคุณด้วยความรู้สึกขอบคุณ ทุกคนรวมถึงตัวฉันเองต่างก็หลงใหลในชั้นเรียนของคุณตา ทั้งการสอนที่เข้าใจง่าย ไม่ใช่แค่สอนตามเนื้อหาในหนังสือเรียนเท่านั้น นอกจากนี้ฉันยังรู้สึกขอบคุณมาก ๆ ที่คุณตาไม่ได้เริ่มต้นสอนด้วยเนื้อหาในหนังสือเรียนของคลาสไอริสทันที แต่เริ่มต้นอย่างรอบคอบตั้งแต่พื้นฐาน

 

“ฟู๊ว ปานกลาง……ไม่สิ มากกว่าที่ฉันคาดไว้”

 

รูนไฮม์ซังพึมพำขณะเก็บปากกา ม้วนกระดาษที่เขียนสรุปเนื้อหาบทเรียนอย่างเรียบร้อย มีหลายครั้งที่เธอดูเบื่อเล็กน้อย แต่โดยพื้นฐานแล้วดูเหมือนจะตั้งใจฟังดี มีบางที่พูดออกนอกเรื่อง แต่ความรู้เชิงปฏิบัติอาจเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับเธอ 

ที่อยู่ข้าง ๆ กัน คือฉันเองที่กำลังม้วนกระดาษที่เขียนด้วยลายมือไม่ดีและรัดด้วยเชือก กองหนังสือยังวางกองไว้เหมือนกับตอนที่เอามา ฉันวางปากกาและหมึกไว้แล้วพักสมอง เด็กบางคนเลือกกลับหอพักก่อนเวลา เด็กบางคนรุมถามคำถามกับคุณตา ในสถานการณ์แบบนั้น ดูเหมือนฉันคงเข้าไปคุยด้วยไม่ได้สักพัก ฉันยอมแพ้และเลือกที่จะกลับหอพัก แล้วฉันก็รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมา ฉันจึงหันไปด้านข้าง

 

“…..หลังจากนี้ ฉันสงสัยว่าเธอมีอะไรต้องทำไหม”

 

รูนไฮม์ซังเบือนสายตาไปเล็กน้อยและพูดเสียงเบาเหมือนเสียงกระซิบ ไม่มี ฉันไม่มีธุระอะไรเป็นพิเศษ แต่เธอถามทำกันนะ ไม่จริงน้า หรือว่าฉันจะทำอะไรที่เธอไม่ชอบออกไป……

 

“คือ ถ้าไม่ว่าอะไร ไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน……ว่าไง”

 

“เอ๊ะ”

 

เอ๊ะ หลายคนอาจคิดว่าเธอกำลังโกรธเพราะแก้มของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ที่จริงแล้วตรงกันข้าม ดูเหมือนว่าที่จริงเธอเป็นคนขี้อาย เธอถามว่าอยากไปทานอาหารกลางด้วยกันไหม เป็นคำเชิญจริง ๆ สินะ เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดอย่างสิ้นเชิง และหลังได้ยินฉันก็ตัวแข็งทื่อ

 

“…….อืม ไม่มี ก่ะ”

 

“ระ เหรอ”

 

นี่อะไรกัน อึดอัดใจ ไม่สบายใจ น่าอาย

ในที่สุดรูนไฮม์ซังก็หันหน้าหนี ฉันที่อยู่ข้าง ๆ ก็ก้มหน้าเหมือนกัน ด้วยเหตุผลบางอย่างเรื่องนี้ทำให้รู้สึกอาย แม้จะเป็นแค่การไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน ดูเหมือนรูนไฮม์ซังเองก็คิดเหมือนกัน ในที่สุดพวกเราสองคนก็เอาแต่เงียบ

 

ฉันควรทำยังไงดี ฉันควรพูดอะไรบางอย่างออกไปไหม หรือควรนิ่งเงียบ ในขณะที่ฉันกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วังวนที่ไร้จุดสิ้นสุด ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกมาจากด้านหลังของฉัน

 

“――――ดูเหมือนคลาสจะจบลงแล้วสินะคะ ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากนะคะ อริซซาม….เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ?”

 

“อะ……. !?”

 

“อริซซามะ?”

 

“เบล~ล์! เมสสิยาห์”

 

เจ้าของเสียงนั้นคือเบลล์ซัง แน่นอนว่ามิร่าซังก็อยู่ด้วย อ้า ดีจัง เธอเป็นพระผู้ช่วยจริง ๆ ถ้ายังต้องอยู่ในความเงียบที่อึดอัดแบบนี้ต่อไป ฉันต้องกลายเป็นรูปปั้นทองและเงินกับรูนไฮม์ซังแน่ ๆ ฉันลืมสายตารอบตัวและเข้ากอดเบลล์ซังโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

“ว้า ว้า อริซซามะ?”

 

“กิ๊ว”

 

“คู๊…… !?”

 

“ไม่ได้นะคะ น็อกซ์เบลซัง โปรดใจเย็น ๆ ไว้!”

 

ด้วยเหตุผลบางอย่างเบลล์ซังหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่ถูกมิร่าซังลูบหลัง ฟู๊ว ในที่สุดเธอก็สูดลมหายใจเข้าได้สำเร็จขณะที่มองขึ้นเพดาน เธอมีสีหน้าพึงพอใจที่ดูราวกับว่าได้รู้แจ้ง

 

“เบลล์?”

 

“….อึก อึก อะแอ่ม ไม่มีอะไรค่ะ แล้วเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ อริซซามะ”

 

“อะ อืม……เอ๊ะโตะ เอ๊ะโตะเนะ”

 

“ค่ะ ค่ะ”

 

“จ้าวหญิงซาม…….รูนไฮม์ซัง ชวนไปกินข้าวด้วยกัน”

 

“งั้นเหรอค่ะ แบบนั้นก็ดีไ…….เอ๋!?”

 

เบลล์ซังดูจะประหลาดใจอย่างที่คาดเอาไว้ ดูเหมือนรอยยิ้มจะหายไปและเธออ้าปากค้างทั้ง ๆ แบบนั้นก่อนที่จะลืมตากว้าง มิร่าซังมองมาที่ฉันและพูดไม่ออก ทันใดนั้นเมื่อฉันบอกว่าจะไปกินข้าวกับเจ้าหญิง ใช่แล้ว อ้า แย่แล้ว

 

“รูนไฮม์ซ……”

 

เมื่อนึกได้ว่าปล่อยรูนไฮม์ซังเอาไว้คนเดียวโดยไม่มีใครสนใจตั้งแต่เมื่อกี้ ฉันก็พยายามเรียกหาเธอ แต่ก็ต้องหยุดลงกลางคั้น เพราะเธอกำลังคุยกับเมดซังผมสีเขียวที่มารับเธอเหมือนกัน จะเป็นการดีที่จะไม่เข้าไปขัด

 

“เช่นนั้นแล้ว การรุกได้ผลไหมคะ?”

 

“ใช่ เป็นไปตามแผนที่วางไว้”

 

“พิจารณาดูแล้ว ดิฉันต้องขอบคุณจริง ๆ ที่ทำให้ได้เห็นอารมณ์ที่อ่อนไหวเช่นนี้”

 

“หะ หนวกหูน๊า ฉันชวนอย่างถูกต้องดีแล้ว!”

 

“แหม ต้องขออภัยสำหรับเรื่องนั้นด้วยเจ้าค่ะ เจ้าฟ้าหญิงรูนไฮม์ซามะ”

 

“นี่หล่อนเห็นเป็นเรื่องตลกสินะ”

 

“ก็ทราบดีนี่เจ้าค่ะ”

 

“ไปตายซะ”

 

“อย่าพูดคำหยาบสิเจ้าค่ะ”

 

ฉันได้ยินไม่ถนัดว่าพวกเธอพูดถึงเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนพวกเธอจะสนิทกันมาก ๆ หลักฐานคือ สีหน้าของรูนไฮม์ซังที่ตึงบึ้งระหว่างคาบเรียนแตกเป็นผุยผงดูอ่อนขึ้น ฉันมั่นใจว่าปกติแล้วเธอน่าจะเป็นแบบนี้มากกว่า จริง ๆ เลย เธอถอนหายใจด้วยความขุ่นเคืองก่อนที่จะมองมาที่ฉัน เมื่อสบตากันเธอก็จัดท่าทางของตัวเอง

 

“เอ๊ะโตะ นั้นแหละ ถ้ามีหนังสือเรียนอยู่ด้วยจะน่ารำคาญ ดังนั้นกลับไปที่ห้องและเตรียมตัวให้พร้อมซะ เสร็จแล้วก็มาเจอกันที่หน้าน้ำพุ”

 

“น้ำพุ เข้าใจแล้วก่ะ”

 

แน่นอนว่าการพกหนังสือเรียนกับเครื่องเขียนไปด้วยจะเกะกะ เราควรกลับไปที่ห้องก่อนสักครั้ง ฉันไม่ลืมที่จะยืนยันคำพูดของรูนไฮม์ซังออกมาดัง ๆ สลักคำว่าหน้าน้ำพุไว้ในหัว ฉันไม่มีทางลืมในช่วงเวลาสั้น ๆ แน่นอน แต่นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไม ถ้าฉันลืมและไปสายจะเป็นการหยาบคายที่น่าขันและน่าเกลียดมาก เมื่อฉันหันกลับไปมองเบลล์ซังกับมิร่าซัง พวกเธอก็พยักหน้าให้เล็กน้อย ถ้าทั้งสองคนได้ยินตรงกันก็ถือว่าปลอดภัย

 

“…..ฟู๊ว ฉันมั่นใจว่าเธอจะไม่ปล่อยให้ฉันรอ”

 

“กะ ก่ะ”

 

ปุ๊ย หลังจากนั้นรูนไฮม์ซังก็เดินเร็ว ๆ จากไปพร้อมกับข้ารับใช้ของเธอ ฉันเองก็ต้องรีบบ้างแล้ว ไม่ต้องคิดเลยว่าจะเลวร้ายแค่ไหนที่จะปล่อยให้เจ้าหญิงต้องรอ ฉันพยายามรีบหยิบหนังสือบนโต๊ะ แต่เมื่อหันไปก็ไม่มีหนังสืออยู่แล้ว อาเร๊ะ เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นก็เห็นมิร่าซังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก่อนที่ฉันจะรู้ตัว

 

“ขอบกุณก่ะ”

 

“ไม่ค่ะ ไม่จำเป็น เช่นนั้นรีบกลับห้องกันเถอะค่ะ ฮิเมะ!”

 

“อืม”

 

ฉันสังเกตเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ได้ออกจากห้องเรียนไปพร้อมกับคุณตากันหมดแล้ว ฉันแน่ใจว่าการทำงานผู้อำนวยการกับคุณครูพร้อมกันต้องลำบากและยุ่งมาก ในขณะที่คิดว่าคุณตาทำงานหนักแค่ไหน ฉันก็จับมือเบลล์ซังอย่างเป็นธรรมชาติ ฉันออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็วโดยระวังไม่ให้ล้ม

 

“เสื้อผ้า ม๊ายเป็นรัยรึเปล่าน้า”

 

“เสื้อผ้าเหรอคะ?”

 

“อืม เสื้อผ้า”

 

ขณะข้ามน้ำพุในจัตุรัสไปยังหอพัก ฉันก็คิดถึงรสนิยมการแต่งตัวของตัวเอง แม้จะไม่ใช่การทานอาหารค่ำมื้อใหญ่ แต่ก็เป็นการร่วมโต๊ะกับเจ้าหญิง ฉันคิดว่าสวมชุดที่ดูหรูหรากว่านี้หน่อยก็น่าจะดีกว่า เมื่อฉันถามเบลล์ซังถึงความคิดเห็นนี้ได้เพียงครึ่งเดียว อ้า เธอก็แสดงสีหน้าเข้าใจในถ้อยคำที่ไม่ดีของฉัน

 

“ในเรื่องนั้น โปรดวางใจได้เลยค่ะ ดิฉันได้ยินมาล่วงหน้าแล้วว่าเจ้าฟ้าหญิงจะทรงเข้าโรงเรียนในเวลาเดียวกัน ดิฉันจึงได้นำชุดที่เหมาะสมมาด้วยเผื่อกรณีเช่นนี้เกิดขึ้น”

 

“งั้นเหรอ”

 

….พูดไปแล้วฉันก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าบนชั้นวางมีชุดหรูหราผสมอยู่กับชุดที่ใช้สวมใส่ในชีวิตประจำวัน บางทีเธอคงได้ยินมาจากคุณพ่อ เห็นได้ชัดว่าการที่รูนไฮม์ซังจะเข้ามาในเวลาเดียวกันจะเป็นเรื่องที่รู้กันดีในหมู่เบลล์ซังและคนอื่น ๆ มีแค่ฉันที่พึ่งมารู้ครั้งแรกตอนพิธีเปิดภาคการศึกษา

ฉันไม่ได้ไม่พอใจ ฉันแค่อยากให้บอกฉันล่วงหน้าก่อน แต่ยังไงก็ตามพอฉันนึกดูดี ๆ ในตอนนั้นในหัวฉันก็เต็มไปด้วยความคิดที่ว่าฉันจะได้ไปโรงเรียน และอาศัยอยู่ในหอพัก มีคนบอกว่าเจ้าหญิงจะเข้ามาเป็นเพื่อนนักเรียน เป็นไปได้ไหมที่ฉันจะถูกเตรียมตัวให้พร้อมที่จะให้เป็นเพื่อนของเธอ …..ไม่ ฉันคงจะสับสนมากกว่านี้และไม่สามารถเตรียมใจได้ทันเวลา ถ้าเป็นเช่นนั้นการรับข้อมูลดังกล่าวคงไม่ดี ดูเหมือนว่าการตัดสินใจที่จะซ่อนไม่บอกฉันของคุณพ่อจะถูกต้องแล้ว

 

ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าความกังวลเรื่องเสื้อผ้าของฉันจะเป็นการกลัวไม่เข้าเรื่อง คำถามคือฉันจะมีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าไหม…..ไม่สิ เรื่องนั้น เธอบอกว่าให้”เตรียมตัว”ให้พร้อม ในตอนนั้นฉันคิดเพียงว่าสัมภาระเป็นของเกะกะ แต่พอมาคิดตอนนี้แล้ว เธออาจจะหมายถึงให้เตรียมตัวให้พร้อม ถึงรวมถึงการเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันมั่นใจในตัวเองขณะเดินผ่านประตูหอพัก เบลล์ซังพูดเข้าเรื่องทันที่ที่นึกได้

 

“…..นั้นสินะคะ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดูเหมือนการทำผมม้วนนุ่มฟูกำลังเป็นที่นิยม อยากลองเปลี่ยนทรงผมไปพร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าไหมคะ?”

 

“ฮิเมะที่ฟูฟ่องนุ่มฟูงั้นเหรอคะ แบบนั้นดูมีแนวโน้มที่จะมีพลังทำลายล้างสุดยอดแน่ค่ะ”

 

นอกเหนือไปจากคำชมแล้ว มิร่าซังมองไปรอบ ๆ ใบหน้าของฉัน เป็นที่นิยมหมายถึงในหมู่ขุนนางสินะ แน่นอนว่าถ้าถามฉัน รูนไฮม์ซังและเด็กคนอื่น ๆ ในคลาสไอริส ทุกคนต่างก็ดูเหมือนจะมีผมม้วนที่แม้ว่าจะขนาดที่แตกต่างกัน ฉันมีความผูกพันกับทรงผมปัจจุบันของตัวเอง แต่ถ้าบอกว่าเป็นแฟชั่น ฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้านเป็นพิเศษ ฉันเองก็อยากทำด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน แต่จะทำยังไงให้ม้วนกลม ๆ ได้แบบนั้น?

 

เบลล์ซังมองว่าการเงียบของฉันคือการปฏิเสธรึเปล่า ถึงได้รีบพูดเสริมอย่างเร่งรีบ

 

“นะ แน่นอนว่าผมยาวตรงสรวยของอริซซามะน่าอิจฉามาก ๆ คงเป็นความเจ็บปวดถ้าต้องถูกม้วน ตอนนี้ก็สวยมากเกินพอแล้ว…….”

 

“อะ อือึอ ม้วนม๊ายเป็นร๊าย แต่ จะทำยังไง?”

 

ว่ากันว่ามีวัฒนธรรมการเล่นกับทรงผมแม้แต่ในชาติก่อน ยังไงก็ตามตามปกติเป็นรสนิยมของชนชั้นปกครองโดยไม่มีข้อยกเว้น และฉันได้ยินมาว่าจะต้องใช้เครื่องพิเศษในการม้วนผม แน่นอนว่าฉันไม่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งจึงไม่รู้ว่าทำผมลอนยังไง

อย่างไรก็ตามแม้จะมี”ภูมิปัญญา”ที่ฟูมฟักมาตั้งแต่ถือกำเนิดจนถึงหายนะแห่งดวงดาว ก็ยังสรุปได้ว่าเราจะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ การที่จะมีผมม้วนโดยไม่ใช้เครื่องมือค่อนข้างเป็นเรื่องยากไม่น้อยเลย ฉันมองเส้นผมที่ไหลผ่านระหว่างนิ้วอย่างแผ่วเบา ฉันไม่คิดว่าจะสามารถม้วนผมโรลได้โดยไม่ปล่อยให้รูนไฮม์ซังต้องรอเป็นเวลานาน

 

“แต่เดิมดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เราสามารถทำให้ผมม้วนเป็นโรลได้ง่าย ๆ ด้วยความร้อนค่ะ”

 

“ความร้อน”

 

“ค่ะ ใช้ประโยชน์จากความร้อนในการม้วนผม เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์แสนวิเศษที่ต้องมีค่ะ”

 

“…..มี ไหม?”

 

เบลล์ซังพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนใช้สายตามองไปที่ด้านหลังฉัน มิร่าซังที่กำลังฟังเรื่องราวอย่างเงียบ ๆ จู่ ๆ ก็ดูเขินเล็กน้อย และหันหน้ามาหาฉัน

 

“…..ข้าพึ่งซื้อมาชิ้นหนึ่งค่ะ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีประโยชน์เร็วขนาดนี้”

 

ดูเหมือนเรื่องที่สงสัยว่าอาจเกิดขึ้นจริง มีการเตรียมความพร้อมไว้อย่างดี คาดว่าเพราะวัยที่แตกต่างกันมากเกินไป เธอเลยอยู่ในสภาพที่อย่างน้อยก็อยากมีส่วนรวมในเรื่องของรสนิยมแฟชั่นเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ คงมาจากการพิจารณาอย่างดีแล้วแน่นอน เมื่อกลายเป็นแบบนั้นก็ต้องอดทนต่อน้ำตาที่ดูเหมือนจะเอ่อล้นในส่วนลึกของความเสน่หา

 

“ขอบกุณ มิร่า”

 

“ไม่ ไม่ค่ะ….. ! เรื่องนั้น แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น”

 

เบลล์ซังยิ้มให้กับมิร่าซังที่ถ่อมตัว แต่ดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด

และคำตอบสำหรับคำถามของฉันนั้นง่ายมาก ดูเหมือนอุปกรณ์เวทมนตร์พิเศษที่ใช้ในการม้วนผมจะเหมือนกันโดยไม่คำนึงถึงความต่างของโลก แม้เวทมนตร์และวิทยาศาสตร์จะมีความคล้ายคลึงกัน และแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ดูเหมือนผู้คนจะคิดคล้ายกัน ถ้าฉันไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องในตอนนี้ ฉันก็คงแทบที่จะไม่รู้ตัวเลย

 

“เช่นนั้น มาเลือกชุดที่เหมาะกับทรงผมกันเถอะค่ะ”

 

“อืม ฝากด้วย”

 

มิร่าซังเปิดประตู ในขณะที่ฉันเริ่มปลดริบบิ้นที่หลังแล้ว ในเวลาเดียวกันกับที่ฉันถอดรองเท้า มิร่าซังก็เดินไปหยิบอุปกรณ์รูปร่างคล้ายท่อที่บริเวณรอบมีซี่คล้ายหวีจากชั้นวางเล็ก ๆ ข้างเตียงของเธอ เมื่อเธอจับที่จับแล้วก็เริ่มใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปทันที ฉันเคยเห็นของคล้าย ๆ กันแบบนี้ที่ห้องครัวที่คฤหาสน์ เป็นกลไกที่คล้ายกับเตาเวทมนตร์รึเปล่าน่ะ

 

“เหมือนกับการสร้างรูปร่างด้วยการม้วนและหวีในส่วนนี้ของหวีค่ะ แต่ห้ามให้สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดแผลไหม้ได้ค่ะ”

 

“รับทราบ”

 

มิร่าซังส่งอุปกรณ์ให้กับเบลล์ซังอย่างระมัดระวัง บางทีอาจเป็นเพราะเธอใส่พลังเวทมนตร์ลงไปมากพอแล้ว เบลล์ซังหมุนอุปกรณ์ในมือเพื่อเช็คให้แน่ใจ จากนั้นก็ทดสอบพันกับผมของฉันเพียงเส้นเดียวที่ปลายเส้นผมด้านข้าง หลังจากนั้น รอสักครู่แล้วจึงปล่อย ผมที่ม้วนไว้โค้งงออย่างสวยงาม

 

“สุดยอด”

 

“ฟุๆๆ ดิฉันเองก็แปลกใจเหมือนกันค่ะ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ลองใช้เครื่องนี้เลย”

 

“ม้วนได้สวยมากเลย”

 

พวกเราทั้งสามคนเอ่ยออกมาอย่างชื่นชม แต่พวกเราไม่เหลือเวลาให้แปลกใจมากนัก กรุณาอย่าขยับนะคะ ฉันทำตามคำแนะนำของเบลล์ซังและรออย่างเงียบ ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ลองใช้เครื่องนี่ แต่เพราะเป็นเบลล์ซัง ฉันเลยไม่กังวล

 

“อริซซามะ น่าจะเหมาะกับการทำเป็นลอนเล็ก ๆ มากกว่าที่จะทำให้เป็นม้วนโรลจนสุดนะคะ”

 

“เหรอ?”

 

“ค่ะ ดิฉันคิดว่าต้องออกมาน่ารักมากแน่นอนค่ะ”

 

จ๊า งั้นฉันจะยอมรับข้อเสนอตามนั้นเลย ยังไงก็ตาม ถ้าฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ฉันจะถามออกไปตรง ๆ จุดหมายสายตาถัดไปคือ มิร่าซังที่กำลังหยิบชุดเดรสมีครุยสีดำออกมาจากชั้นวางขนาดใหญ่ และคลี่รอยพับออกอย่างระมัดระวัง

 

“สีดำ”

 

….เข้าใจแล้ว เดรสสีดำสินะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองใส่เสื้อผ้าสีสดใสอยู่เสมอ การใส่สีนี้จะทำให้ดูสดใหม่ ไม่ได้หมายความว่าไม่เหมาะ เพราะเบลล์ซังเป็นคนเลือกและนำมาเอง เท่าที่เห็น รู้สึกว่าส่วนที่เปิดเผยผิวมีน้อย และการตกแต่งก็ดูค่อนข้างเยอะ เป็นชุดที่ดูแพงไปอีกแบบ

 

จากนั้นเบลล์ซังก็หยุดหวี ตอนนี้คือการรอให้ผมเซ็ตตัวให้เสร็จ ฉันรู้สึกได้ถึงแนวสายตา แต่ก็ไม่ได้ขยับไปมอง เพราะยังไม่ได้รับอนุญาต เมื่อดวงตาสีดำเคลื่อนมาจ้องกัน เธอก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ มิร่าซังเดินกลับมาพร้อมมอบชุดเดรสสีดำให้เธอ และเริ่มการเปลี่ยนชุดนั้นทันที พูดอีกอย่างคือ ฉันกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันสงสัยว่า ถ้าตุ๊กตามีหัวใจก็คงจะรู้สึกเหมือนฉันตอนนี้มาตลอดเลยใช่ไหม ช่างเป็นความคิดที่ไม่มีอะไรดีเลย เมื่อผูกริบบิ้นเส้นสุดท้าย พวกเธอก็มองมาที่ฉันพร้อมคลี่ยิ้ม

 

“….ดิฉันจะพูดยังไงดี ดิฉันอยากกอดอริซซามะที่สุดเลยค่ะ”

 

“ถ้าปกติฮิเมะเป็นนางฟ้า ตอนนี้ก็เป็นปีศาจน้อยรึเปล่าน่ะ”

 

“คำพูดที่เหมาะสมอย่างสมบูรณ์แบบ”

 

อย่าพึ่งไปกังวลกับคำพูดที่ไม่เข้าใจ ประเมินจากท่าทางของทั้งสองคนแล้ว ประเด็นดูเหมือนชุดนี้จะเหมาะกับฉันแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเปลี่ยนทรงผมและสวมชุดสีดำ ดังนั้นฉันจึงรู้สึกอายเล็กน้อย แต่ฉันไม่สามารถพูดออกไปได้ แม้ว่าฉันจะเตรียมพร้อมได้เร็วกว่าที่คาดไว้ แต่รูนไฮม์ซังก็อาจจะพร้อมแล้วในไม่ช้า และอาจมารออยู่แล้วก็ได้

 

“ฉันต้องทำได้”

 

“อ้า อริซซามะ! รองเท้ายัง――――”

 

เสียงเตาะแตะของฉันที่กำลังเดินไปที่ประตูถูกหยุดลงด้วยเสียงของเบลล์ซังและเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาที่ทำให้แก้มของฉันเปลี่ยนเป็นสีแดง ในขณะที่จับคู่ดูขึ้นมาซ่อนหน้าเอาไว้ เธอก็วางรองเท้าส้นสูงลงต่อหน้าฉันที่ปล่อยกลิ่นอายทั้งหดหู่และสิ้นหวัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด