[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 75 15 จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 75 15 จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 15 จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ

 

“อริซ?”

 

หลังจากที่มิร่าซังออกจากห้องไปสักพัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นระหว่างที่ฉันกำลังคุยกับเบลล์ซัง สิ่งต่อมาที่ฉันได้ยินคือเสียงของเพื่อนรักที่ฉันได้ยินมาตลอดในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ลูน่าล่ะ ดูเหมือนข้อความที่ฉันขอฝากกับมิร่าซังจะถูกส่งออกไปแล้ว ในแง่ของเวลา บางทีทุกคนกำลังหยุดพักในห้องอาหารหลังเลิกเรียนกันล่ะมั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าเธอมาถึงที่นี่ทันทีที่คลาสจบลง …..ไม่สิ แต่ว่า ก็ยังเร็วมาก ประมาณแค่ชั่วโมงกว่า ๆ หลังจากที่มิร่าซังออกไป ฉันสงสัยว่าเธอเป็นกังวลมากขนาดไหนกัน

ในเวลาเดียวกันที่ฉันสังเกตถึงเสียงที่คุ้นเคย เบลล์ซังก็ยกเอวขึ้นจากขอบเตียงของฉันที่นั่งอยู่ มุ่งหน้าไปทางประตู ฉันเองก็นั่งวางเท้าลงบนพื้นขณะอุ้มคู่หูเอาไว้ ยกเว้นหัวเข่าที่ถูกผ้าปูคลุมไว้

 

“ค่ะ ท่านเจ้าฟ้าหญิงใช่รึไหมคะ?”

 

“ใช่ ฉันได้ยินข้อความจากอัศวินผู้พิทักษ์คนหนึ่งของฉัน …..อริซ ตื่นอยู่ไหม?”

 

“ขออนุญาตค่ะ ค่ะ ตื่นอยู่แล้ว และรอพบท่านอยู่เลยค่ะ”

 

เมื่อเบลล์ซังเปิดประตูเบา ๆ และอากาศจากทางเดินไหลเข้ามา ฉันก็ลุกขึ้นยืน ผมสีบลอยด์ของลูน่าแกว่งไปมาหลังช่องประตู ฉันออกวิ่งเสียงเตาะแตะโดยลืมใส่รองท้อง ข้างหลังประตูที่เปิดออกคือลูน่า และแน่นอนสเตลล่าซัง ถัดจากนั้นจากตรงนี้ที่เป็นจุดบอด เกราะของใครบางคนกำลังหลบฉากออกไป บางทีอาจจะเป็นอัศวินผู้พิทักษ์ ฉันแน่ใจว่าเขาพยายามทำตัวไม่ให้เด่นโดยการซ่อนตัวตนของตัวเองไม่ให้ขัดขวาง ฉันกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนเหมือนการพึมพำเพื่อไม่ให้ความกังวลหลุดออกไป ฉันไม่รู้ว่าจะสื่อไปถึงเขารึเปล่า จากนั้นก็กลับมามองลูน่าอีกครั้ง

 

“ลูน่า!”

 

“…….อริซ”

 

ลูน่าตอบรับฉันที่เรียกชื่อเธอด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและโล่งใจ และเรียกชื่อฉันกลับในแบบเดียวกัน นั่นทำให้ในอกของฉันอุ่นขึ้น แม้จะไม่ได้อยู่ห่างกันมาก ฉันก็วิ่งเตอะแตะเร็วขึ้นตามแรงกระตุ้นทางอารมณ์ในใจของฉันที่พุ่งทะยาน ลูน่าลืมตากว้างราวกับประหลาดใจเล็กน้อย ขณะที่ฉันกระโดดเข้าไปที่หน้าอกของเธอสุดกำลังจนสายตาที่เฝ้ามองมาส่ายขึ้นลง สเตลล่าซังรีบเข้ามาพยุงหลังและหยุดลูน่าไว้อย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าฉันใช้แรงมากเกินไปหรือเปล่า เธอถึงท่าทางเกือบล้มแบบนี้

 

“วะ วา…… !?”

 

“ลูน่า~!”

 

“ดะ เดี๋ยวก่อน เป็นอะไรไปน่ะ อริซ?”

 

“เอ๊ะเฮะ”

 

“คุ…..อ้า โม๊ว กลายเป็นเด็กเจ้าเล่ห์ไปซะแล้วนะ…….เอาล่ะ เอาล่ะ”

 

แม้จะยังสับสน แต่ลูน่าก็วางมือกอดหลังฉันแน่นแล้วเริ่มลูบหัวของฉัน อนึ่ง การจับมือเป็นการสกินชิพที่พวกเราทำอยู่เสมอ แต่นี่อาจเป็นครั้งแรกที่กอดฉันแบบนี้ แต่ทว่าก็ทำให้แก้มของฉันเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอาย แต่ก็ดีใจที่เธอยอมรับโดยไม่แสดงสีหน้ารังเกียจ ฉันรู้สึกเหมือนคึกคักกว่าปกติจนเอาแก้มถูไถกับไหล่ของเธอ ลูน่าตัวแข็งทันที

 

“ยะ ยะยะยะยะยะยะยังไงก็เถอะ ตอนนี้เข้าไปข้างในกันก่อนดีไหม! ถ้ามีคนมาเห็นตอนนี้เดี๋ยวจะเข้าใจผิดอย่างมหันต์กันหมด!”

 

“นู๋ ก่ะ”

 

“….ช่างเป็นคุณหนูที่บาปหนาจริง ๆ เจ้าค่ะ”

 

“….ค่ะ ต้องขออภัยด้วยค่ะ”

 

สเตลล่าซังยังคงแสดงออกอย่างไร้ความรู้สึก แต่ก็ดูจะรู้สึกระอานิดหน่อย และเบลล์ซังก็ฝืนยิ้มขมขื่นกับบทสนทนานั้น ส่วนฉันก็ดึงมือของลูน่าเข้ามาในห้องแน่น แล้วก็ตอบขอโทษและโล่งใจหลังถูกดุให้สวมรองเท้าตอนเดินให้เรียบร้อย ลูน่าดูพอใจระหว่างที่เดินตามฉันมา

 

“ยินดีต้อนรับ!”

 

“อืม ขอบคุณ”

 

และ ลูน่ามองไปรอบ ๆ ห้อง อ้า ว่าไปแล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้ให้เข้าห้องเลย เมื่อลองคิดดูดี ๆ พวกเราก็ไม่เคยแม้แต่จะอยู่ด้วยกันที่หน้าห้องเลย นับประสาอะไรกับภายในห้อง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันรู้สึกเหมือนเธอมาที่ห้องหลายครั้งแล้ว ฉันสงสัยว่าลูน่าจัรู้สึกเหมือนกันไหมในตอนที่ฉันไปที่ห้องของเธอครั้งแรกเมื่อวันก่อน …..แต่ ก็เรื่องน่าอายเหมือนกันที่เธอสามารถมองไปรอบ ๆ ห้องได้แบบนี้

 

“ลูน่า”

 

“หืม? ……อ้า ขอโทษ คงอายสินะ”

 

“อืม”

 

“ฉันเองก็เหมือนกัน”

 

“ขะ ขอโทษก่ะ”

 

“พูดเล่นน่ะ นี่ไม่ใช่ห้องของอริซคนเดียวด้วย หยาบคายไปซะแล้วสิ”

 

เป็นอีกครั้งที่เบลล์ซังต้องรีบหยุดลูน่าซึ่งพยายามจะขอโทษเบลล์ซัง การปล่อยให้เจ้าฟ้าหญิงสามารถก้มหัวได้สำเร็จอาจเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แน่นอนว่าไม่หมายถึงว่าเบลล์ซังไม่ได้คุยกับลูน่าเลย อาจกล่าวว่ามีปฏิสัมพันธ์กันที่มากกว่าบุคคลภายนอกคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ แต่อย่างที่คิดยังไงเธอก็ไม่ใช่คนที่ได้โอกาสเป็นเพื่อนรักแบบฉัน ตั้งแต่แล้ว การใช้ความคิดของคนทั่วไปมาคิดก็แปลกไปแล้ว

 

“อึดอัดสินะ?”

 

“เอ๊ะ?”

 

“ก็ เล็กกว่าห้องลูน่าเยอะมาก”

 

ใช่ เพราะการได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดอาจทำให้เผลอลืมตัวไป แต่ลูน่าเป็นเจ้าฟ้าหญิง ยังไงก็ต้องมีความคิดที่ว่าห้องนี้ค่อนข้างคับแคบจากสภาพแวดที่เธอเติบโตขึ้นมาโดยไม่เกี่ยวกับบุคลิกของเธอ ห้องที่ชั้น4 ก็อาจเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เธอเป็นเจ้าฟ้าหญิงแห่งราชอาณาจักรที่อยู่บนจุดสูงสุดของสังคมชนชั้นสูง ก่อนที่จะมาโรงเรียน เธอต้องอาศัยอยู่ในห้องที่ใหญ่พอสมควร ทันใดนั้น ลูน่าก็ทำหน้ามั่นใจไม่นานก็หัวเราะ

 

“…..ก็กว้างไม่ใช่เหรอ ห้องน่ะคือ”

 

…..พูดอะไรบางอย่าง ไม่สิ เธอเริ่มพูดเหมือนกำลังคิดถึงใครบางคน ท่าทางอ้างว้างแสดงออกพริบตาหนึ่งแล้วหายไป และรวมถึงการยอมแพ้อยู่ที่ไหนสักแห่ง ทำให้ฉันค่อนข้างเศร้าเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

“ไม่ว่าจะหรูหรา สะดวกสบาย และกว้างขวางเพียงใด ก็เป็นเพียงของผิวเผินเท่านั้น”

 

“………อืม”

 

อ้า อืม แน่นอนว่าห้องก็คือห้อง พอฉันกลายมาเป็นอริซก็ได้มีห้องของตัวเองเป็นครั้งแรก เมื่อได้มาที่โรงเรียน และได้ตัดสินใจอาศัยอยู่ในหอพัก แต่ไม่นานฉันก็ชินกับความแตกต่างจากห้องส่วนตัวที่คฤหาสน์ เมื่อฉันมองย้อนกลับไปในความทรงจำ ฉันก็รู้ว่าลูน่าต้องการจะพูดอะไรในตอนนี้ ทั้งห้องส่วนตัวที่คฤหาสน์ ทั้งห้องนี้ ที่จำได้ฉันอยู่ในสายตาเสมอ

 

“ถึงจะเล็ก อืออึ สำหรับหนูการได้ใช้ชีวิตด้วยกันในห้องเล็ก ๆ อาจจะดีกว่าก็ได้ ……อะไรแบบนั้น”

 

มีเบลล์ซัง คาลเมียร์ซัง คุณพ่อ มิร่าซัง คลอริน่าซัง และ ลูน่า ไม่ว่าจะห้องไหน ๆ ใช้เวลาอยู่กับใคร ใครจะมาเยือน นั่นคือคุณค่าของห้อง ฉันแน่ใจว่าลูน่าต้องการจะบอกแบบนั้น และนั่นเป็นเหตุผลที่เธอรู้สึกเหงา ลูน่าดูหมิ่นตัวเองเช่นนั้น ความจริง……ไม่สิ ยิ่งกว่าที่คาดคะเนไว้ ฉันเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะก้าวเข้าหา สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนี้คือ การทำให้ลูน่าอบอุ่นขึ้น เหมือนที่ทุกคนทำ

 

“ลูน่า”

 

“กรี๊ด….. !?”

 

กรี๊ดล่ะ ฉันกอดเธออย่างแน่นและแรงด้วยร่างกายที่ยังอ่อนแอของตัวเอง ในช่วงเวลาแบบนี้ช่างน่าเศร้าที่ตัวฉันเตี้ยเกินไปจนไม่สามารถกอดรอบหัวของเธอได้ ลูน่าพยายามดิ้นให้หลุด แต่ฉันกอดแน่นไม่ปล่อย แล้วในที่สุดเมื่อสติของลูน่ากลับมา เธอก็หยุดต่อต้าน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโอบกอดหัวของฉันแล้วลูบเบา ๆ แทน

 

“ไม่ได้โดดเดี่ยวหรอกนะกะ”

 

” ―――― อริซ……”

 

จากนั้นก็เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหนึ่งในทันที ทันใดนั้นคางของเธอก็วางลงบนไหล่ของฉัน สู้เธอไม่ได้เลยจริง ๆ ลูน่ากำลังทำหน้าตาแบบไหนอยู่กันนะต่อที่พูดพึมพำแบบนั้นคนเดียว สิ่งที่ฉันเห็นมีเพียงส่วนหลังของหัวที่พิงบนไหล่ของฉันอย่างสงบนิ่ง 

พวกเรากอดแน่นอยู่แบบนั้น แล้วฉันก็สบตาเข้ากับสายตาสองคู่ซึ่งมองมาด้วยความรู้สึกที่ดูจะกังวลเล็กน้อย

 

“ฮะแอ่ม เจ้าฟ้าหญิงเจ้าคะ ทรงลืมอะไรไปรึเปล่า ดิฉันก็อยู่เคียงข้างพระองค์อยู่มาตลอดเลยนะเจ้าคะ”

 

“ฮะ………. !?”

 

“……….อุ”

 

ลืมไปสนิทเลย!

ตอนนี้ฉันกับลูน่าไม่ได้อยู่กันตามลำพัง! แน่นอนว่ามีเบลล์ซังกับสเตลล่าซังอยู่ในห้องด้วย พูดอีกอย่างคือ พวกเธอได้เฝ้าดูเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด…….ฉันกับลูน่าแยกออกจากกันพร้อมกันราวกับถูกดีด ใบหน้าของพวกเราเปลี่ยนเป็นสีแดงสดใสจนหมด เบลล์ซังยิ้มและหัวเราะเบา ๆ แต่สเตลล่าซังดูจะโกรธเล็กน้อย ไม่สิ อาจเป็นความรู้สึกเหงาอยู่ที่ไหนสักแห่ง ฉันไม่แน่ใจนัก เพราะปกติเธอจะทำตัวเกือบไร้ความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา 

ยังไงก็ตาม ฉันก็เข้าใจถึงความนัยทั้งสองที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น

 

“หะ หนวกหูน้า ฉันรู้อยู่แล้วน๊า!”

 

ฮ้าๆๆ ลูน่าจับหน้าผากของเธออย่างเขินอาย และก้มหน้าลงส่ายหัวหลายครั้ง

…..กระซิบกระซาบเบา ๆ พูดออกมาเพียงครั้งเดียว

 

“……..ขอบคุณเสมอมา”

 

คราวนี้ฉันพอจะเข้าใจการแสดงสเตลล่าซังบางเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าแก้มของเธอคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข ฉันไม่ต้องการที่จะรบกวนการสนทนาเงียบ ๆ ระหว่างทั้งสองคน ฉันจึงมองย้อนไปทางเบลล์ซังและยิ้มให้เท่านั้น ฉันเองก็ต้องการที่จะบอกเรื่องเดียวกัน

 

ขอบคุณเสมอ เบลล์

 

――――ทางนี้เองก็เช่นกันค่ะ อริซซามะ

 

“ยะ ยังไงก็เถอะ! เรื่องสำคัญกว่าคือทางนี้ต่างหาก!”

 

“ก่ะกะ”

 

จู่ ๆ ลูน่าก็ตะโกนออกมาแล้วหันกลับมาหาฉันอีกครั้งราวกับพยายามเปลี่ยนเรื่อง ฉันคิดว่าเธอคงอาย ที่เบื้องหลังนั้น สเตล่าซังกำลังยิ้มอยู่ …..รู้สึกเหมือนแบบนั้น บางทีน่ะ

 

“ฉันต่างหากที่เป็นคนมาเพื่อดูว่าไม่เป็นไรใช่ไหม แบบนี้รู้สึกแปลกเกินไปแล้ว สบายดีใช่ไหม? อริซ มีอาการปวดหรือไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

 

“อืม เหนื่อยนิดหน่อย แต่ม๊ายเป็นร๊าย”

 

“…..งั้นเหรอ ดีแล้ว”

 

แม้จะเป็นหัวข้อที่เปลี่ยนมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ก็อาจเป็นสิ่งที่ฉันอยากได้ยินจริง ๆ ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นแต่แรกแล้วที่ลูน่ามาที่นี่ก็เพื่อมาเยี่ยมฉัน นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าจะต้องพูดก่อนเรื่องไหน ๆ มากที่สุดแล้ว เป็นฉันเองที่พาไปทางอื่น แต่พอบอกไม่เป็นไร ใบหน้ายิ้มแย้มของลูน่าก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขมทั้งที่ยังแก้มแดงอยู่นิดหน่อย ยังไงก็ตามจากหน้าต่างฉันเห็นหยดน้ำใสเย็นตกลงมา

 

“อะ……”

 

“ดูเหมือนจะเริ่มตกแล้วสินะคะ ควรปิดหน้าต่างไว้ก่อนดีไหมคะ”

 

“อืม”

 

ทั้งสามคนมองตามสายตาฉันออกไป ดูหยดเล็ก ๆ ที่ตกกระทบพื้นจนเปลี่ยนสี ไม่นานหลังจากนั้นเบลล์ซังก็ไปที่หน้าต่างไม้ที่เปิดอยู่ ก่อนปิดด้วยการดึงบานหน้าต่างทั้งสองด้านซึ่งเปิดออกด้านนอกลับเอามา เปาะแปะ แล้วฉันก็ได้ยินเสียงฝนตกกระทบจากอีกฝั่ง ดูเหมือนเมฆที่อยู่ในสภาพสะสมจนกลายเป็นเมฆครึ้มมาเป็นเวลานานจะกลายเป็นฝนตกหนักในที่สุด

 

“ฝนล่ะ”

 

“ฝนสินะ”

 

ฉันแลกเปลี่ยนบทสนทนาเช่นนั้นกับลูน่า ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ และไม่มีคำพูดต่อจากนั้น แต่ฉันเมื่อได้อยู่ในช่วงเวลาอันเงียบสงัดเหลือเพียงเสียงของฝนเท่านั้นที่ก้องกังวาน ฉันก็รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด ฉันได้ยินเสียงร้องโวยวายจากที่ไหนสักแห่ง แน่ใจว่าต้องเป็นของนักเรียนที่กำลังกลับจากห้องอาหาร เป็นเรื่องที่สาหัสเอามาก ๆ ที่จะทำให้หนังสือเรียนที่เปียกกลับมาแห้ง อาจจะไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับคนที่เจอ แต่ก็ทำให้ฉันยิ้มได้ เมื่อได้ยินแค่เพียงเสียงจากห้องตัวเอง ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ฉัน ทั้งเบลล์ซัง ลูน่า และสเตลล่าซัง….ไม่สิ สเตลล่าซังก็น่าจะรู้สึกแบบนั้น จากมุมปากเธอที่ยกเล็กน้อย

 

“ลูน่า ดีใจที่ไม่เปียก”

 

“นั่นสินะ อาจเป็นเพราะความช่วยเหลือของอริซก็ได้”

 

“เอ๋ หนูควรทำหน้าแบบไหนดีล่ะ”

 

“หืม?”

 

“ม๊ายมีอาร๊าย”

 

ขณะที่พยายามแทรกเรื่องตลกที่ไม่สามารถถ่ายทอดได้อย่างเป็นธรรมชาติ ถึงอย่างงั้นทุกคนข้างนอกก็ส่งเสียงดังจริง ๆ ยังไงก็ตามก็มีเสียงที่กระจัดกระจายห่างไกลมากเกินไป……

 

――――นี่คือแค่เสียงโวยวายจริง ๆ เหรอ?

 

“อะ เอ๊ะ…….?”

 

“อริซ?”

 

ไม่สิ ฉันได้ยินเสียงโวยวายอย่างแน่นอน เสียงนักเรียนที่วิ่งกลางสายฝน แต่ว่าฉันก็รู้สึกว่าไม่ได้มีแค่นั้น ฉันหลับตาลง และตั้งใจฟัง ขณะที่ตกอยู่ภายใต้สายตาของทั้งสามคนที่เอียงคอมองมาอย่างสงสัย ฉันฟังแต่ละเสียงที่ผสมกับเสียงฝนตกทีล่ะเสียงจนเริ่มชัดขึ้น

 

“ทำไมฝนถึงมาตกตอนนี้กัน!”

 

“บ้าจริง ไม่เห็นได้ยินเลยว่าฝนจะตก”

 

เสียงแรกที่ดังคือ เสียงของเด็กผู้หญิงกับเสียงที่ดูเด็ก ๆ นี่คือเสียงภายในโรงเรียนนอกหน้าต่างอย่างแน่นอน รู้สึกว่ากำลังค่อย ๆ เข้ามาใกล้ที่นี่ คิดว่าพวกเขากำลังวิ่งเข้าหอพัก ต่อไปก็เสียงสะท้อนที่อยู่ห่างออกไป ทำสมาธิตั้งใจหาทิศทางที่ถูกต้อง

 

“……ต้องการ…….ทำไม”

 

รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงบางอย่างตะโกนที่ต่างจากการโวยวาย ในขณะที่รู้สึกว่าดวงตาของทั้งสามคนรวมตัวกันในทิศทางที่เสียงสะท้อนออกมาอย่างไม่คาดคิด ฉันก็เน้นไปที่ทางนั้นทันที เหมือนกับการพยายามดึงด้ายเส้นเล็ก ๆ เส้นเดียวกลางสายฝนที่สายลมปั่นป่วนที่ยังไม่รู้ว่าจะคว้าได้รึเปล่า

 

“……นนาง …….กำจัด!”

 

“――――เอ๊ะ………?”

 

ได้ยินแล้ว ถึงจะเบาจนเลือนลางจริง ๆ ยังไงก็ตาม ฉันก็ได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นกว่าเดิม เป็นเสียงตะโกน ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองคน แต่เป็นคลื่นความโกรธหลายสิบ หรือหลายร้อยลูกที่ทับซ้อนกันจนเขย่าอากาศมาถึงห้องนี้ที่อยู่ห่างไกล …..ฉันไม่ต้องการฟังอีกต่อไปแล้ว เสียงนั้นดังขึ้นและเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ฮ้า ฉันเปิดตาขึ้น ทั้งเบลล์ซัง ทั้งลูน่า ทั้งสเตลล่าซัง ระหว่างที่ฟังอย่างเงียบ ๆ ต่างก็เบิกตากว้างขึ้น

 

“นี่คือ”

 

“……รูนไฮม์ซามะ ดูเหมือนเห็นได้ชัดว่าไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ”

 

ไม่มีที่ว่างของสงบสุขที่ดำเนินมาถึงเมื่อกี้อีกแล้ว ความเดือดดาลผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของอก ฉันมองเบลล์ซังราวกับพยายามหนีจากความกังวล ฉันแอบมองสีหน้าเธออย่างหวาดกังวล ความหวังที่เลือนลางนั้นทั้งเปราะบางและสลายหายไปอย่างง่ายดาย

 

“…….อริซซามะ”

 

“บะ เบลล์”

 

ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องน่ากลัวแบบนั้นอีกแล้ว ไหล่ของฉันสั่นด้วยความหวาดกลัวและคิ้วบิ้วเบี้ยวอย่างรุนแรง กรี๊.. ครั้งนี้ฉันคว้ามือจับแน่นด้วยความหวาดกลัว ร่างกายของฉัน ตัวสั่นจนเห็นได้ชัดเจน

 

“…..ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอกนะ อริซ พวกเรา…”

 

เมื่อลูน่าพยายามตบไหล่ของฉันเพื่อทำให้สงบ ฉันก็ได้ยินเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่ได้ยินมา พุ่งตรงมาที่”พวกเรา”อย่างชัดเจน เปลวเพลิงที่เขย่าแก้วหูของคนทั้งโรงเรียน เปลี่ยนเม็ดฝนให้กลายเป็นก้อนกรวดที่ซัดกระหน่ำอย่างรุนแรง

 

“――――ต่อต้าน! ต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อประชาชน! ดึงพวกเด็กขุนนางเน่าเหม็นออกมา!”

 

อ้า อ้า ฉันมาสายเกินไปงั้นเหรอ ฉันต้องกรีดร้องยังไงถึงจะปฏิรูปได้มากขึ้น เร็วขึ้น ใหญ่ขึ้น ไม่มีระยะเวลาเตรียมการเหลือไว้ให้เลยงั้นเหรอ

 

ความทรงจำฟื้นกลับมา เลือดสด ๆ ที่เปอะเปื้อนย้อมสีวิสัยทัศน์ของฉัน ลูกธนูที่พุ่งทะลุเจาะกำแพงแห่งความสุขเข้ามาใกล้ฉัน

 

“มะ ม๊าย ม๊ายยยยยยยยย”

 

“อริซซามะ ได้โปรดใจเย็น ๆ ไว้นะคะ อริซซามะ!”

 

“อริซ!”

 

ปัง สิ่งที่ช่วยฉันไว้จากความสับสนที่กำลังกลืนกินคือ ประตูที่เปิดออกอย่างแรงจนฟาดกำแพงเสียงดัง แรงสะท้อนที่แล่นไปตามไขสันหลังถึงขั้นแทบทำให้สิ้นสติ ทุกอย่างรอบตัวหมุนอย่างรุนแรงจนรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงลงนรก ภายในหัวของฉันกลายเป็นสีขาว เบลล์ซังและสเตลล่าซังเข้ามาขวางที่ด้านหน้าทันที ทั้งสองคนอยู่ในท่าทางดุดัน แต่ในชั่วพริบตา ความอึดอัดเล็กน้อยก็ผ่อนคลายกลายเป็นความรู้สึกโล่งใจ

 

“――――ฮิเม๊ะ!”

 

“อริซ เบลล์! ตาเอง!”

 

“อริซซามะ เจ้าฟ้าหญิง! ปลอดภัยไหมพะยะค่ะ!”

 

ที่หน้าประตูที่ถูกเปิดออกด้วยแรงเตะ คนที่เข้ามาในสายตาของฉันคือ มิร่าซังกับคุณตาพร้อมกับอัศวินอีกบางส่วน และด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้แต่เพื่อนของคุณพ่อที่ไม่น่าจะอยู่ที่โรงเรียนนี้เองก็ด้วย แม่ทัพแห่งกองทัพราชอาณาจักร ลาบริกซ์ซัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด