[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 9 มาเรียนา・ไอริส

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 9 มาเรียนา・ไอริส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 9 มาเรียนา・ไอริส

 

“อิ่มแล้วก๊ะ”

 

“ค่ะ ขอบคุณสำหรับการทานอาหารจนหมดนะคะ”

 

ทำตัวเป็นเด็กดี ยิ้มให้กับเบลล์ซังที่กำลังเก็บจานอาหาร ฉันทานอาหารตามปกติได้จนท้องป่อง และนอกจากนี้ วันนี้ไม่รั่วละ

ฉันมองจานที่ค่อยๆถูกเก็บลงถาดทีละใบจนโต๊ะว่างเปล่า ก่อนถอนหายใจทีหนึ่ง ของที่ฉันจ้องคือเศษผลไม้สีทองที่เหลืออยู่บนจาน แมเรียนที่ถูกเอามาเสิร์ฟเต็มจานเช่นเดียวกับเมื่อวาน วันนี้ก็ยังคงอร่อยอยู่ นี่คงเป็นสิ่งลึกลับที่พระเจ้ามอบให้โลกเบื้องล่าง

 

“แมเรียน……”

 

“อริซซามะทำท่าราวกับหญิงสาวในห้วงรักเลยนะคะ”

 

“ห๊ะ….”

 

เบลล์ซังจ้องมาที่ฉันที่กำลังคร่ำครวญให้กับแมเรียนในจานที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็วเกินไป ความรัก ฉันได้ยินแบบนั้น แต่อาจจะจริงก็ได้ที่ฉันหลงรักแมเรียนไปซะแล้ว 

ใช่แล้ว นี่คือ―――

 

“ความรัก สินะ”

 

“ค่ะ?”

 

“ไม่มีอาร๊าย”

 

ฉันอุตสาหายดีจากความผิดพลาดเมื่อวานแล้ว จะมาพลาดแบบโง่ๆอีกไม่ได้แล้ว ม๊า แต่อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ละนะ ฉันหวังว่าจะไม่มีเรื่องแปลกๆโผล่มาอีกนะ

 

“ท่านพ่อล่ะ?”

 

“ฮัททีเรียซามะ ตอนนี้กำลังทำงานอยู่ค่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

พูดถึงเรื่องเมื่อวานแล้ว เบลล์ซังคงไม่ได้รู้สินะ สายตาที่มาทางฉันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรแปลกไปเป็นพิเศษ

แค่คิดว่าต้องถูกเบลล์ซังมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ฉันก็กลัวจับใจแล้ว แต่ถึงเกิดขึ้นมาจริงๆ มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยละนะ แต่ไม่ว่ายังไงก็โชคดีจริงๆที่ไม่มีอะไร

 

“ยังไงก็ตาม อริซซามะฉลาดหลักแหลมจริงๆเลยนะคะ ดิฉันได้ยินมาว่าสามารถเข้าใจเรื่องภาษีได้อย่างถูกต้องด้วย”

 

“เล่ามางั้นเหรอ”

 

“ค่ะ?”

 

“ไม่มีอาร๊าย”

 

สมกับเป็นที่ปรึกษาระดับหัวหน้า ถึงสามารถรู้ได้แทบทุกเรื่องสำคัญแบบนี้ 

ฉันทำได้แค่หัวเราะแห้งๆส่งยิ้มให้เบลล์ซังที่ถึงยิ้มแต่ก็มีเครื่องหมายคำถามเต็มหน้า ดูเหมือนฉันจะโมโหแล้วพาลใส่เบลล์ซังไปซะแล้ว

 

“ท่านพ่อเล่าให้ฟังงั้นเหรอ”                           

 

“ฟุๆๆ เป็นเช่นนั้นค่ะ นอกจากนี้ยังร่วมทั้ง..”

 

“หืม?”

 

“ความเฉลียวฉลาดที่เกินกว่าผู้ใดค่ะ”

 

“งั้นเหรอ……”

 

เบลล์ซังยืนขึ้นพร้อมถาดใส่จานในมือ แล้วเดินตรงไปที่ประตู แต่ก่อนที่จะเปิดประตู เธอก็หันมาพูดกับฉัน

 

“เมื่อดิฉันกลับมา วันนี้ดิฉันจะเป็นผู้พาอริซซามะเดินชมรอบๆคฤหาสน์เองค่ะ”

 

“กับเบลล์?”

 

“ค่ะ เพราะดูเหมือนงานวันนี้ของฮัททีเรียซามะจะกินเวลามากกว่าปกติค่ะ จึงต้องไปกับดิฉันแทนค่ะ”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“แต่หากยังรู้สึกเหนื่อยเกินไปอยู่ วันนี้จะไม่ไปก็ได้นะคะ” 

 

“ไม่ ไม่เป็นร๊าย”

 

“รับทราบแล้วค่ะ ถ้าเช่นนั้น ดิฉันขออนุญาตไปทำสะอาดก่อนนะคะ”

 

“อืม”

 

ฉันมองเบลล์ซังโค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนออกจากห้องไป หลังจากมองประตูอยู่สักพัก ฉันก็หันไปมองหน้าต่างที่มีผ้าม่านบังอยู่

 

“ช้า”

 

ตอนแรกที่ฉันรู้สึกตัวว่ากลายเป็นเด็ก ฉันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจเพราะยังไม่ชินกับมัน และหลังจากนั้นไม่นานเมื่อชินจนสามารถขยับร่างกายได้ตามใจ ก็เจออุปสรรคใหญ่ ภาษา

และหลังจากที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดกับเบลล์ซัง และการอ่านหนังสือภาพเมื่อฉันอยู่คนเดียว ทำให้เมื่อไม่นานมานี้ฉันเริ่มพูดได้เล็กน้อยแล้ว แม้คำศัพท์ยังเพี้ยนๆอยู่ แต่ฉันก็สามารถพูดคุยได้ทุกวันแล้ว

และหลังจากที่ได้พบกับคุณพ่อ ก็กล่าวได้ว่าอุปสรรคของชีวิตในตอนนี้ก็ได้หายไปเกือบหมด

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่การไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นจนทำให้ขี้เกียจมาตั้งสี่ปีแบบนี้ ดีแล้วรึเปล่านะ อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นปฏิกิริยาจากชาติก่อน

ไม่ ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่สนใจอะไรเลย ในโลกนี้มีเวทมนตร์ที่ฉันไม่รู้จักอยู่จริง มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของฉันสุดๆ ฉันอยากสัมผัสกับสิ่งลึกลับมาตลอด อยากรู้ว่าคนทั่วไปที่ไม่มีเวทมนตร์จะใช้ชีวิตแบบไหน ฉันมีความปรารถนาที่จะไปให้รอบโลก ไปเห็นสิ่งต่างๆ

แต่ว่าตอนนี้ความปรารถนาที่อยากจะนอนมีมากกว่า ความปรารถนาที่อยากจะนอนกลิ้งไปมาโดยที่มีเบลล์ซังและเหล่าเมดค่อยปรนนิบัติ

ม๊า แต่ท้ายที่สุด ฉันก็รู้ดีว่าไม่สามารถทำแบบนั้นได้ตลอดไป ดังนั้นมาพยายามเปลี่ยนจิตสำนึกขั้นพื้นฐานกันก่อนดีกว่า

 

“ใช่แล้ว เวทมนตร์”

 

พูดถึงสิ่งนั้น ในฐานะที่ฉันเกิดมาเป็น “ขุนนาง” ฉันก็ต้องมีเวทมนตร์ด้วยแน่นอน

ดูเหมือนว่าฉันจะได้รับการยืนยันด้วยวิธีบางอย่างในตอนที่กำเนิดขึ้นมา จึงทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ฉันก็ไม่เคยรู้สึกถึงอะไรที่วิเศษแปลกประหลาดในตัวเลย หรือว่าการตื่นขึ้นมาของบางอย่างจะมีช่วงเวลาของมันอยู่?

 

“อื~~ม”

 

หลังจากคิดอะไรๆมาหลายอย่าง ฉันคิดว่าต้องลองใช้เวทมนตร์ดู เพราะฉันมีเวทมนตร์ไงละ แต่ว่าฉันไม่รู้ทั้งวิธีการใช้ และวิธีการรับรู้พลังเวทมนตร์ ทำให้ตอนนี้ฉันก็ยังใช้ไม่ได้สักที

 

“เฮ๊ เอ๊”

 

ฉันลองเพ่งไปที่ท้องน้อยแล้วลองดู ลองแกว่งมือด้วยท่าแปลกๆ แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“กุเน๊ะ~~….”

 

“――― ขออภัยที่ทำให้ต้องรอนะคะ อริซซา….กำลังทำสิ่งใดอยู่งั้นเหรอคะ?”

 

“อะ อืมม เวทมนตร์ ลองใช้”

 

เพราะสิ่งที่ฉันพยายามลองทำ เลยทำให้ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเบลล์ซังที่เข้าห้องมาเป็นฉันพอดี ฉันตอบกลับเบลล์ซังที่เอียงคอน่ารักอย่างตรงๆ เธออาจจะสอนให้ฉันได้ก็ได้….หวังอะไรแบบนั้นนะ

 

“เข้าใจแล้วค่ะ ….แต่ว่าดิฉันเป็นประชาชนทั่วไปจึงไม่ทราบรายละเอียดเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าพลังเวทย์มนตร์จะเอ่อล้นออกจากร่างกายในช่วงอายุเท่าอริซซามะ รู้สึกถึงได้รึเปล่าคะ?”

 

“พลังเวทมนตร์ ไม่”

 

“ดูเหมือนว่าอารมณ์ที่รุนแรงบางอย่างจะเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้น…..แต่ว่ามันก็แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะต้องสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วแน่นอนค่ะ”

 

“อืม”

 

“ฟุๆๆ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”

 

ในขณะที่ฉันยังรู้สึกงุนงงกับคำพูดของเบลล์ซัง เธอก็ลูบแปลงผมของฉัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันเข้าใจแล้ว

นั้นคือหากร่างกายนี้สุขภาพดี พลังก็จะแสดงออกมาอย่างแน่นอน

ไม่สิ บางทีความทรงจำอัตตาที่ส่งผ่านมาจากชาติก่อน มันอาจจะกำลังรบกวนแรงกระตุ้นและอารมณ์รุนแรงที่จำเป็นอยู่ก็ได้

และมันจะเป็นเรื่องใหญ่เอามากๆหากว่าเวทมนตร์ไม่แสดงพลังออกมา ถึงจะยังเป็นเรื่องที่ฉันคิดไปเองก็เถอะ

ที่สำคัญที่สุดคือ ฉันในตอนนี้ยังไม่มีความรู้มากพอ ดังนั้นคิดไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

ยังมีเวลาอีกมากให้คิด ตอนนี้เอามันไปวางทิ้งไว้ที่สักมุมในสมองไปก่อนจะเป็นความคิดที่ดีกว่า แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ

 

“เบลล์”

 

“คะ”

 

“นี่ก็ เวทมนตร์?”

 

หลังฟังเรื่องราวของเวทย์มนตร์ ฉันเงยหน้ามองโคมระย้าที่แขวนอยู่บนเพดานแล้วถาม

ตามระดับเทคโนโลยีของโลกนี้ ฉันรู้ดีว่าไม่มีทางที่จะมีไฟฟ้าใช้แน่นอน และฉันก็ไม่เคยเห็นอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆเลยด้วย ดังนั้นฉันจึงคิดว่ามันต้องมีเวทมนตร์บรรจุอยู่อย่างแน่นอน แต่ฉันก็ต้องการคำยืนยันอยู่ดี

 

“ค่ะ ถูกต้องแล้ว นอกจากนี้ โคมไฟเกือบทั้งหมดในคฤหาสน์ก็เป็นเวทมนตร์ค่ะ นอกจากนี้ยังมีโคมไฟที่ใช้ไฟจริงๆอยู่ด้วยค่ะ ฮัททีเรียซามะจะใช้มันเป็นครั้งคราว”

 

“ทุกอย่าง”

 

“ค่ะ แต่ประชาชนทั่วไปจะใช้อุปกรณ์ที่ใช้ไฟจริงๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ และเครื่องมือเวทมนตร์ก็มีราคาแพงเกินไป”

 

“งั้นเหรอ”

 

ตามที่คิดไว้เลย มันใช้เวทมนตร์ และมีราคาแพงมากๆ ฉันเข้าใจแล้วละ นอกเหนือไปจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่เหล่าผู้มีอำนาจจะเพิ่มราคาของมันจากราคาดั้งเดิม เพื่อไม่ปล่อยให้ประชาชนทั่วไปซื้อได้ เพื่อปกป้องสิทธิพิเศษของตนเอง

 

“ถ้าเช่นนั้น จะออกจากห้องกันเลยไหมคะ?”

 

“อืม”

 

“ค่ะ งั้นไปกันเลยค่ะ”

 

ฉันจับมือของเบลล์แล้วลุกจากเตียง ระหว่างที่จับมือ ฉันก็นึกถึงความหลังนิดหน่อย

 

“Let’s Go”

 

“คะ?”

 

“ไม่มีอาร๊าย”

 

ในขณะที่ตอบว่าไม่มีอะไร เบลล์ซังก็พาฉันออกจากห้องผ่านประตูที่เปิดอยู่ และภาพแรกที่ฉันได้เห็นอีกครั้งก็คือรูปของสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทางเดิน ถึงจะเห็นเป็นครั้งที่สองก็ยังเป็นรูปที่สีสวยจริงๆ ระหว่างที่แสดงความสนใจในศิลปะเล็กๆน้อยๆที่ฉันก็ไม่ได้เข้าใจความหมายหรอก ฉันก็ถูกเบลล์ซังจูงมือมาจนถึงบันได

 

“เดินลงเองได้ใช่ไหมคะ?”

 

“อืม”

 

การถูกอุ้มลงบันไดมันดูน่าอายเกินไปสำหรับฉัน ถึงตอนนี้จะยังเหลือเรื่องเปลี่ยนผ้าอ้อมกับโถฉี่อยู่ก็เถอะ

 

“ทีละก้าว ทีละก้าว ค่อยๆช้าๆก็ได้ค่ะ”

 

“ก่ะ”

 

ก้าวลงบันไดทีละก้าวโดยจับมือเชื่อมต่อกันและกัน

ฉันรู้สึกว่า วันนี้จะสามารถลงได้เร็วกว่าเมื่อวาน

 

“โยย โช๊ะ…..ฟู่”

 

หลังลงมาจนถึงขั้นสุดท้าย ฉันก็ยื่นมือไปพิงกำแพงไว้ แล้วถอดหายใจเล็กๆด้วยความรู้สึกของความสำเร็จ ในขณะที่ปรับลมหายใจให้เข้าที่เล็กน้อย ฉันมองไปที่ทางเดินที่เปิดโล่งทางขวา เอาจริงๆเลย นี่เป็นร่างกายที่ไร้ความแข็งแรงสุดๆไปเลย เป็นความผิดของฉันเอง

 

“ค่ะ ทำได้ดีมากเลยค่ะ”

 

“กอบคุณ”

 

แม้จะเป็นทิวทัศน์เดิมที่ได้เห็นไปเมื่อวานนี้แล้ว ฉันก็ยังรู้สึกว่าที่นี่ช่างเป็นอาคารที่หรูหรามากๆ ทางเดินในห้องโถงใหญ่เพียงพอที่จะให้ผู้ใหญ่ตัวโตๆสองคนเดินสวนกัน

ตรงไปตามทางเดิน ประตูสุดท้ายดูเหมือนจะเป็นห้องนอนของคุณพ่อ

แล้วห้องติดกันจากนั้นคือห้องทำงานที่ฉันเข้าไปเมื่อวานนี้ มีเสียงขีดเขียนอะไรบางอย่างเบาๆผ่านเข้าหูของฉันตอนที่เดินผ่าน ที่ฝั่งตรงข้ามของประตูคือบันไดขนาดใหญ่ที่พาลงไปยังชั้นหนึ่ง

บริเวณใกล้บันไดเปิดกว้างสองถึงสามเมตร ไม่มีกำแพง มีการตกแต่งด้วยรั้วเพียงเท่านั้น

เพดานของที่นี่สูงกว่าห้องของฉันบนชั้นสาม มีโคมไฟระย้าขนาดใหญ่กว่าในห้องฉันสองเท่า

เมื่อเทียบกับชั้นสามซึ่งมีเพียงหนึ่งห้องนอนและระเบียงขนาดเล็ก ชั้นสองที่มีจุดเชื่อมต่อโดยตรงกับชั้นหนึ่งรวมถึงพื้นที่ที่เปิดหากัน ทำให้ดูเหมือนว่าชั้นสองจะมีขนาดใหญ่กว่าประมาณสองเท่า

เมื่อฉันลองมองย้อนกลับจากห้องโถงไปยังสุดทางเดินที่เดินจากมา สายตาของฉันก็สังเกตเห็นว่ายังมีอีกห้องหนึ่ง

เมื่อเบลล์หันตามไป รอยยิ้มอ่อนโยนก็หายไปจากหน้าเธอ กลายเป็นใบหน้าที่เศร้าหมองเล็กน้อย

 

“ที่ตรงนั้น คือ ห้องของอลิเซียซามะค่ะ ภายในยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนครั้งเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ค่ะ”

 

“…..ของคุณแม่?”

 

“ค่ะ …..อยากเห็นภายในรึเปล่าคะ?”

 

ฉันจ้องไปที่เบลล์ซังที่จ้องมาที่ฉันสลับกับจ้องไปที่ประตู หลังจากที่ลังเลอยู่พักหนึ่ง ฉันก็ตัดสินใจพยักหน้าให้

แน่นอนอยู่แล้วว่าในห้องนั้นไม่มีความจำใดๆของฉัน แต่ แต่ว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ฉันรู้สึกว่าฉันไม่สามารถละสายตาไปจากห้องนั้นได้เลย

 

“รับทราบแล้วค่ะ ภายในมีของแตกง่ายอยู่ โปรดระวังด้วยนะคะ”

 

คี เมื่อเบลล์ซังเปิดประตูออก กลิ่นหอมอ่อนหวาน แต่หรูหราและสง่างามก็ลอยออกมาแตะจมูก โอบล้อมรอบร่างกาย การตกแต่งภายในห้องนั้นเรียบง่าย และดูเหมือนกับห้องของฉัน

พูดถึงความแตกต่างก็คงมีแค่ชุดขนาดใหญ่ถูกเรียงไว้ในห้องจำนวนมาก ฉันสงสัยจังว่าพวกนี้มีไว้ใช้ทำอะไรกัน

ฉันรู้สึกเหมือนมีเงาถูกฉายอยู่ที่นั่น เงาของคุณแม่ที่ฉันไม่เคยเจอ

 

“ท่านแม่…..”

 

“อึก….อริซซามะ…..”

 

ทันใดนั้นเบลล์ซังก็ทำเสียงเศร้าๆด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอเหม่อลอยราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปทีกลางห้อง

ที่ถัดจากเตียงมีแจกันวางอยู่บนหิ้งข้างหน้าต่าง มีช่อดอกไม้สีขาวสวยเสียบอยู่ในแจกัน กลิ่นหอมหวานอ่อนโยนก่อนหน้านี้มาจากดอกไม้พวกนี้งั้นเหรอ

ฉันเดินเข้าไปเงยหน้าขึ้นหาดอกไม้ที่อยู่สูงเหนือศีรษะเล็กน้อย ก่อนเอาจมูกแนบกลีบดอกแล้วสูดดมกลิ่นเบาๆ

มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ฉันได้กลิ่นตอนเข้ามาในห้อง ฉันหลับตาลงรับกลิ่นนุ่มนวลที่เข้ามาโอบล้อมให้ความรู้สึกปลอดภัย

ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เงาของคุณแม่เด่นชัดขึ้นมาในใจ จนทำให้ฉันเผลอเปล่งเสียงออกไปโดยไม่ตั้งใจ

 

“กลิ่นของ ท่านแม่”

 

“――― อริซซามะ…..”

 

เมื่อมองกลับไปที่เบลล์ซัง เธอพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเข้ามากอดฉันจนตัวลอยด้วยความซาบซึ้งใจแบบสุดๆ

เธอกอดรอบหัวของฉัน ใบหน้าของฉันถูกฝังลงในหน้าอกใหญ่หนานุ่ม และหัวใจของฉันก็เต้นตึกตักๆเช่นเคย

เธอใช้มือลูบหลังของฉันไปด้วย

 

“เอ๊ะ”

 

“อริซซามะ อริซซาม๊า……”

 

“มู่ว อู้วๆๆๆ”

 

“ถึงดิฉันจะไม่สามารถเป็นตัวแทนท่านแม่ของอริซซามะได้ แต่ดิฉันจะรักอริซซามะให้มาก มากกว่าใครๆ….”

 

“อาอูๆ….”

 

ฉันส่งเสียงผิดปกติเหมือนเสียงอู้อี้ในหู ฉันพยายามเพิกเฉยกับความรู้สึกแปลกๆของตัวเองให้มากที่สุด การเคลื่อนไหวของฉันถูกหยุดอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นเบลล์ซังก็กอดรัดแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ถึงมันจะรู้สึกดีที่ได้ฝังหน้าลงกับหน้าอกนุ่มๆแบบนี้ แถมได้ซ่อนหน้าแดงๆของตัวเองได้ด้วย แต่ว่าตอนนี้ฉันหายใจไม่ออกแล้ว

 

“มู้วววว อูว~~ อูว~~~”

 

“อริซซามะ….? อ๊า”

 

ในที่สุดเบลล์ซังก็สังเกตเห็นอาการดิ้นรนแปลกๆของฉัน จึงรีบปล่อยฉันออกทันที คราวนี้ฉันหน้าแดงในอีกแง่หนึ่ง หลังถูกปล่อยฉันก็รีบปรับลมหายใจทันที

 

“ขะ-ขออภัยเป็นอย่างสูงค่ะ ดะ-ดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะ…..”

 

“……ม๊ายเป็นร๊าย”

 

ฉันทำปากจู๋เหมือนไม่พอใจนิดหน่อย อย่างไรก็ตามมันไม่ได้มาจากความโกรธ แต่มาจากความห่อเหี่ยวที่ฉันพึ่งสังเกตได้ว่าตัวเองลืมตุ๊กตายัดนุ่นตัวโปรด มันทำฉันรู้สึกเศร้า

 

“…..ให้ดิฉันไปนำมาให้ดีไหมคะ?”

 

เบลล์ซังถามฉันหลังเห็นว่าตุ๊กตาหายไปจากมือของฉัน ฉันพยักหน้าให้ ในขณะที่รู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองดูออกง่ายขนาดนั้น ฉันขอโทษเบลล์ซังเล็กน้อยที่ต้องให้เดินขึ้นลงบันไดไปหยิบตุ๊กตามาให้ฉัน

 

“ถ้าเช่นนั้น ได้โปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ได้ไหมคะ?”

 

“….อืม”

 

เอาล่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันอยู่ห่างจากมือเบลล์ซังในที่ๆไม่คุ้นเคย แล้วพอมาดูชุดเดรสของวันนี้ สีฟ้า สีฟ้าอ่อน สีขาว มันมีสีโทนเย็นมากเกินไป ฉันมองไปที่ชุดเดรสสีดำในห้อง แล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันลองนึกภาพตัวเองที่มีผมสีทองสวมชุดเดรสพวกนี้ ฉันเดาว่ามันต้องออกมาดูดีแน่นอน

แต่พอมาคิดแบบนี้แล้ว ผมสีเงินของฉันไม่ได้มาจากคุณพ่อหรือคุณแม่ มันทำให้ฉันไม่รู้จะอธิบายเรื่องสีผมของตัวเองยังไงดี จากนั้นฉันก็ทำได้แค่เอียงคอตัวเอง

 

“รอนานรึเปล่าคะ?”

 

“อึอ…..ผมของท่านแม่ สีอะไร?”

 

“เอ๊ะโตะ รู้สึกว่า จะเป็นสีทองสวยบริสุทธิ์ค่ะ”

 

สีเหมือนสีดวงตาของอริซซามะ เบลล์ซังตอบกลับมาแบบนั้นหลังจากที่ฉันถาม น่าสับสนจริงๆ ถ้าเธอตอบกลับมาว่าท่านแม่เป็นแค่แม่บุญธรรมที่ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกัน ฉันคงไม่ต้องสับสนขนาดนี้

อื~~ม เบลล์ซังมั่นใจว่าฉันกำลังมีเรื่องในใจจึงรีบเข้ามาหวีผมให้จนฉันรู้สึกดีทันที ราวกับสัญชาตญาณของคนรัก และเบลล์ซังยังตอบเรื่องที่ฉันคิดเหมือนมีพลังจิตอ่านใจได้เลย

 

“สีของเส้นผม จะถูกกำหนดโดยคุณสมบัติพิเศษของเวทมนตร์ที่ติดตัวมายามเกิดค่ะ”

 

“คุณสมบัติ?”

 

“ใช่ค่ะ นอกจากนี้ยังมีประเภทความถนัดของเวทมนตร์ด้วยค่ะ ตัวอย่างเช่น ถนัดเวทมนตร์ธาตุไฟ ก็จะเชี่ยวชาญในการปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือสร้างบางอย่างขึ้นมาค่ะ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะแตกต่างไปตามแต่ละคนด้วยค่ะ
ส่วนประชาชนทั่วไปที่ไม่มีเวทมนตร์ จะมีผมสีดำหรือสีน้ำตาลค่ะ แต่ในบางกรณีที่หาได้ยาก พวกเขาอาจจะมีสีผมสีอื่นๆได้ค่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

ฉันเข้าใจและยอมรับเรื่องนี้ได้ แน่นอนอยู่แล้วว่าถ้ามีพลังเวทมนตร์ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย มันก็ไม่แปลกที่พลังพวกนี้จะส่งผลกระทบต่อร่างกายที่ไหนสักแห่ง อืมๆ ฉันพยักหน้าให้กับคำตอบ ก่อนที่จะมีคำถามใหม่ผุดขึ้นมา

 

“ท่านพ่อ สีดำ เป็นขุนนาง….?”

 

ใช่ ถ้าจะถูกเรียกว่าขุนนางก็ต้องมีพลังเวทมนตร์ หรือมีลักษณะเด่นของเวทมนตร์ หรือว่าจะมีผมสีดำพิเศษที่แยกจากผมสีดำของประชาชนทั่วไป?

 

“อะ เอออออ ค่ะ ฮัททีเรียซามะไม่ได้เป็นขุนนางแต่กำเนิดค่ะ”

 

“หืม?”

 

“นายท่านได้รับการยอมรับจากพระราชา และกลายเป็นขุนนางค่ะ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากเล็กน้อยดังนั้นรอให้อริซซามะโตกว่านี้อีกสักนิด แล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่ดีกว่านะคะ”

 

“ก็ได้”

 

ท่าทางของเบลล์ซังดูจะเลือกคำบางคำด้วยอาการหงุดหงิด บางทีคงมีเบื้องหลังอะไรซับซ้อนมากกว่านี้ ฉันเลยไม่คิดอะไรอีก จากนั้นฉันเลยกลับไปที่คำถามเดิมที่เกี่ยวกับตัวเอง

 

“ผมสีเงิน มีเวทมนตร์ คืออะไร?”

 

“…..”

 

แล้วเบลล์ซังก็เงียบลงไปเหมือนนึกคำพูดไม่ออก ก่อนที่เธอจะเปิดริมฝีปากพูดกับฉันอย่างอายๆ

 

“นั้น นั้นสินะคะ…..ดิฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”

 

“ไม่รู้?”

 

“ค่ะ ผมสีเงินเหมือนของอริซซามะ ไม่มีใครในอาณาจักรนี้เคยมีมาก่อนเลยค่ะ”

 

“เอ๊ะ”

 

เรื่องราวดูยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าสีผมของฉันจะเป็นกรณีที่ค่อนข้างพิเศษหายาก ถึงอย่างงั้นจะเป็นไปได้เหรอที่จะไม่มีใครเคยมีมาก่อน? อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ ถ้าบอกว่าเป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันก็หมดคำพูดใดๆที่จะตอบกลับแล้ว แต่แบบนี้ฉันก็กลายเป็นของหายากเลยนะสิ ฉันยอมรับไม่ได้เลยจริงๆ มันไม่จริงใช่ไหม

 

“อะ แต่ว่า……”

 

“คะ?”

 

ฉันคุ้นเคยกับการมีชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบในชีวิตนี้แล้ว แต่ถ้าให้พูดตรงๆฉันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้คนของโลกนี้เลยแม้แต่น้อย ไม่สิ จริงอยู่ว่าฉันในตอนนี้เกิดและใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันเป็นฉันในตอนนี้คือความทรงจำและประสบการณ์ของชีวิตก่อน

อาจเป็นเพราะว่ามีจิตสำนึกของอีกโลกผสมปนเปเข้ามา จึงทำให้ไม่มีใครที่มีสีผมเหมือนของฉันจนถึงตอนนี้ ――― บางทีคุณสมบัติเวทมนตร์อาจจะเป็นสิ่งที่ติดมาจากโลกเก่า ยังไงก็เถอะตอนที่ฉันคิดว่าเข้าใจได้แล้ว ฉันกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“อริซซามะ?”

 

“……อ อือึอ ไม่มีอาร๊าย”

 

“เช่นนั้นเหรอคะ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะพิเศษยิ่งกว่าใคร ดิฉันรักผมสีเงินแสนสวยของอริซซามะมากๆเลยนะคะ?”

 

เบลล์ซังกอดฉันอีกครั้ง อย่างที่คิดไว้เลย หลังๆมานี้ฉันรู้สึกว่ามีพวกเราจะกอดสกินชิพกันมากขึ้น ถ้าบอกว่านี่คือช่วงเวลาของสาวน้อยในห้วงรักจะเป็นการเสียมารยาทไปรึเปล่านะ? ถ้าฉันปล่อยไว้แบบนี้คงไม่เป็นไร ฉันปล่อยให้เธอกอดจนพอใจถือว่าเป็นความใจกว้างของฉัน แต่ฉันรู้สึกเหมือนถูกความรักของเบลล์ซังโจมตีจนตกหลุมรักเธอแบบถอนตัวไม่ขึ้น

 

“เบลล์…..”

 

“อริซซามะ…..”

 

ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ จมลงในห้วงรัก

ฉันเสมองออกไปรอบๆหาบางสิ่งบางอย่างเพื่อสลัดความรู้สึก รีบเปลี่ยนบรรยากาศ

 

“บางที พิเศษ รึเปล่านะ”

 

“นั้นสินะคะ ดิฉันไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เลยจินตนาการไม่ออกเลย”

 

ฟุๆๆ เบลล์ซังกลับมายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ เธอก็ยังคงชมฉันเหมือนที่ผ่านมา

 

“บางทีอริซซามะอาจจะสามารถใช้เวทมนตร์รักษาอาการบาดเจ็บและอาการเจ็บป่วยได้ก็ได้นะคะ เพราะอริซซามะมีผมสีเงินเหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เลย”

 

“ฮีล”

 

“คะ?”

 

“ม๊ายมีอาร๊าย”

 

มันไม่สำคัญว่าชีวิตก่อนหน้าจะเป็นยังไง แต่คำที่หลุดออกมาจากความรู้ที่ได้จากงานอดิเรกเพื่อความบันเทิงก็มีประโยชน์เหมือนกัน

ถึงกระนั้นความสามารถในการรักษา ถ้าใช่จริงๆก็ยอดเยี่ยมมาก มันอาจเป็นความสามารถที่ฉันต้องการในชาติก่อนก็ได้

….ไม่สิ แต่ว่า นั้นน่ะ นั้นน่ะแปลว่าฉันจะสามารถถูกบังคับให้ต้องทำงานทั้งๆที่ร่างกายเสียหายหนักก็ได้ หรือก็คือ

 

“ถูกใช้งานจน…..”

 

” ――― อึก อริซซามะ นั้น….”

 

ใช่ มันหมายถึงการถูกใช้งานจนเกินขีดจำกัดมากยิ่งขึ้น ฉันเผลอพูดโดยไม่ระวังตัว ฉันต้องการได้รับการให้อภัย พอคิดขึ้นได้ ฉันก็ผงะทันที ดูเหมือนว่าอิทธิพลจากชาติก่อนจะยังไม่สิ้นสุด

ฉันไม่ได้เป็นทาสอีกต่อไปแล้ว ฉันส่ายหัวขับไล่ใบหน้าขมขื่นออกไป

 

“….อริซซามะเป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆค่ะ ถูกต้องแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นอริซซามะอาจถูกจับเข้าไปอยู่ในวังวนของปัญหาต่างๆได้”

 

เบลล์ซังที่แสดงออกอย่างจริงจัง จนดึงฉันกลับสู้ความเป็นจริง

ไม่สิ ฉันอยากให้เธอหยุดรอสักหน่อย เรื่องราวเหมือนกำลังเดินหน้าไปโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยสักนิด นอกจากนี้เหมือนจะเกิดความเข้าใจผิดที่แปลกประหลาดขึ้น มันกลายเป็นความวิตกกังวลไปแล้ว ฉันเลยพยายามที่จะหยุดแม้ในขณะนี้ฉันจะคุมการแสดงออกของตัวเองไม่ได้เลยก็ตาม

 

“บะ เบลล์?”

 

“อ้า……ได้โปรดอย่าทำใบหน้ากังวลเช่นนั้นเลยนะคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เวทมนตร์แห่งการรักษาเป็นเพียงแค่จินตนาการของดิฉันเอง แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นจริง เบลล์คนนี้ จะขอปกป้องอริซซามะจนชีวิตจะหาไม่เองค่ะ”

 

“เอ๊ะ เอ๊?”

 

เบลล์ซังให้ความมั่นใจในขณะที่จับมือฉัน เธอปลอบโยนฉันมากมายจนฉันไม่สามารถตามทันได้

 

“ตลอดไปๆ ดิฉันจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป อริซซามะ…..”

 

“อะ อืม…..”

 

กุเอ๊ะ และฉันก็ถูกหน้าอกสุดนุ่มกอดบดขยี้จนร้อนไปทั้งหน้าอีกครั้ง ฉันลองคิดดูว่าตอนนี้เบลล์ซังกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย แต่เช่นเดียวกับคำว่าเดจาวูก่อนหน้านี้ คำว่าฮีลจะออกเสียงเหมือนคำสักคำในภาษาของจักรวรรดิไหมนะ

และจากนั้นระหว่างค้นหาคำตอบ ฉันก็เงยหน้าขึ้นและประสานสายตาเข้าให้กับสายตาหวานเยิ้มของเบลล์ซัง

ความรู้สึกรักอันรุนแรงถูกถ่ายทอดผ่านดวงตาสีดำสวยทำให้ฉันละลายหลงเสน่ห์ทันที

 

“อริซซามะ…..”

 

“เบลล์…..”

 

ม๊า ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าในที่สุดความเข้าใจผิดจำนวนมากจะได้รับการแก้ไขแล้ว และ ความคิดบางอย่างก็ถูกโยนทิ้งไป

อันที่จริงแล้ว เรื่องที่ผ่านมาก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ส่วนตอนนี้ฉันขออยู่แบบนี้อีกสักนิด ขอถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่นจากร่างกายของเบลล์ซังอีกสักนิด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 9 มาเรียนา・ไอริส

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 9 มาเรียนา・ไอริส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 9 มาเรียนา・ไอริส

 

“อิ่มแล้วก๊ะ”

 

“ค่ะ ขอบคุณสำหรับการทานอาหารจนหมดนะคะ”

 

ทำตัวเป็นเด็กดี ยิ้มให้กับเบลล์ซังที่กำลังเก็บจานอาหาร ฉันทานอาหารตามปกติได้จนท้องป่อง และนอกจากนี้ วันนี้ไม่รั่วละ

ฉันมองจานที่ค่อยๆถูกเก็บลงถาดทีละใบจนโต๊ะว่างเปล่า ก่อนถอนหายใจทีหนึ่ง ของที่ฉันจ้องคือเศษผลไม้สีทองที่เหลืออยู่บนจาน แมเรียนที่ถูกเอามาเสิร์ฟเต็มจานเช่นเดียวกับเมื่อวาน วันนี้ก็ยังคงอร่อยอยู่ นี่คงเป็นสิ่งลึกลับที่พระเจ้ามอบให้โลกเบื้องล่าง

 

“แมเรียน……”

 

“อริซซามะทำท่าราวกับหญิงสาวในห้วงรักเลยนะคะ”

 

“ห๊ะ….”

 

เบลล์ซังจ้องมาที่ฉันที่กำลังคร่ำครวญให้กับแมเรียนในจานที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็วเกินไป ความรัก ฉันได้ยินแบบนั้น แต่อาจจะจริงก็ได้ที่ฉันหลงรักแมเรียนไปซะแล้ว 

ใช่แล้ว นี่คือ―――

 

“ความรัก สินะ”

 

“ค่ะ?”

 

“ไม่มีอาร๊าย”

 

ฉันอุตสาหายดีจากความผิดพลาดเมื่อวานแล้ว จะมาพลาดแบบโง่ๆอีกไม่ได้แล้ว ม๊า แต่อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ละนะ ฉันหวังว่าจะไม่มีเรื่องแปลกๆโผล่มาอีกนะ

 

“ท่านพ่อล่ะ?”

 

“ฮัททีเรียซามะ ตอนนี้กำลังทำงานอยู่ค่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

พูดถึงเรื่องเมื่อวานแล้ว เบลล์ซังคงไม่ได้รู้สินะ สายตาที่มาทางฉันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรแปลกไปเป็นพิเศษ

แค่คิดว่าต้องถูกเบลล์ซังมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ฉันก็กลัวจับใจแล้ว แต่ถึงเกิดขึ้นมาจริงๆ มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยละนะ แต่ไม่ว่ายังไงก็โชคดีจริงๆที่ไม่มีอะไร

 

“ยังไงก็ตาม อริซซามะฉลาดหลักแหลมจริงๆเลยนะคะ ดิฉันได้ยินมาว่าสามารถเข้าใจเรื่องภาษีได้อย่างถูกต้องด้วย”

 

“เล่ามางั้นเหรอ”

 

“ค่ะ?”

 

“ไม่มีอาร๊าย”

 

สมกับเป็นที่ปรึกษาระดับหัวหน้า ถึงสามารถรู้ได้แทบทุกเรื่องสำคัญแบบนี้ 

ฉันทำได้แค่หัวเราะแห้งๆส่งยิ้มให้เบลล์ซังที่ถึงยิ้มแต่ก็มีเครื่องหมายคำถามเต็มหน้า ดูเหมือนฉันจะโมโหแล้วพาลใส่เบลล์ซังไปซะแล้ว

 

“ท่านพ่อเล่าให้ฟังงั้นเหรอ”                           

 

“ฟุๆๆ เป็นเช่นนั้นค่ะ นอกจากนี้ยังร่วมทั้ง..”

 

“หืม?”

 

“ความเฉลียวฉลาดที่เกินกว่าผู้ใดค่ะ”

 

“งั้นเหรอ……”

 

เบลล์ซังยืนขึ้นพร้อมถาดใส่จานในมือ แล้วเดินตรงไปที่ประตู แต่ก่อนที่จะเปิดประตู เธอก็หันมาพูดกับฉัน

 

“เมื่อดิฉันกลับมา วันนี้ดิฉันจะเป็นผู้พาอริซซามะเดินชมรอบๆคฤหาสน์เองค่ะ”

 

“กับเบลล์?”

 

“ค่ะ เพราะดูเหมือนงานวันนี้ของฮัททีเรียซามะจะกินเวลามากกว่าปกติค่ะ จึงต้องไปกับดิฉันแทนค่ะ”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“แต่หากยังรู้สึกเหนื่อยเกินไปอยู่ วันนี้จะไม่ไปก็ได้นะคะ” 

 

“ไม่ ไม่เป็นร๊าย”

 

“รับทราบแล้วค่ะ ถ้าเช่นนั้น ดิฉันขออนุญาตไปทำสะอาดก่อนนะคะ”

 

“อืม”

 

ฉันมองเบลล์ซังโค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนออกจากห้องไป หลังจากมองประตูอยู่สักพัก ฉันก็หันไปมองหน้าต่างที่มีผ้าม่านบังอยู่

 

“ช้า”

 

ตอนแรกที่ฉันรู้สึกตัวว่ากลายเป็นเด็ก ฉันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจเพราะยังไม่ชินกับมัน และหลังจากนั้นไม่นานเมื่อชินจนสามารถขยับร่างกายได้ตามใจ ก็เจออุปสรรคใหญ่ ภาษา

และหลังจากที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดกับเบลล์ซัง และการอ่านหนังสือภาพเมื่อฉันอยู่คนเดียว ทำให้เมื่อไม่นานมานี้ฉันเริ่มพูดได้เล็กน้อยแล้ว แม้คำศัพท์ยังเพี้ยนๆอยู่ แต่ฉันก็สามารถพูดคุยได้ทุกวันแล้ว

และหลังจากที่ได้พบกับคุณพ่อ ก็กล่าวได้ว่าอุปสรรคของชีวิตในตอนนี้ก็ได้หายไปเกือบหมด

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่การไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นจนทำให้ขี้เกียจมาตั้งสี่ปีแบบนี้ ดีแล้วรึเปล่านะ อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นปฏิกิริยาจากชาติก่อน

ไม่ ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่สนใจอะไรเลย ในโลกนี้มีเวทมนตร์ที่ฉันไม่รู้จักอยู่จริง มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของฉันสุดๆ ฉันอยากสัมผัสกับสิ่งลึกลับมาตลอด อยากรู้ว่าคนทั่วไปที่ไม่มีเวทมนตร์จะใช้ชีวิตแบบไหน ฉันมีความปรารถนาที่จะไปให้รอบโลก ไปเห็นสิ่งต่างๆ

แต่ว่าตอนนี้ความปรารถนาที่อยากจะนอนมีมากกว่า ความปรารถนาที่อยากจะนอนกลิ้งไปมาโดยที่มีเบลล์ซังและเหล่าเมดค่อยปรนนิบัติ

ม๊า แต่ท้ายที่สุด ฉันก็รู้ดีว่าไม่สามารถทำแบบนั้นได้ตลอดไป ดังนั้นมาพยายามเปลี่ยนจิตสำนึกขั้นพื้นฐานกันก่อนดีกว่า

 

“ใช่แล้ว เวทมนตร์”

 

พูดถึงสิ่งนั้น ในฐานะที่ฉันเกิดมาเป็น “ขุนนาง” ฉันก็ต้องมีเวทมนตร์ด้วยแน่นอน

ดูเหมือนว่าฉันจะได้รับการยืนยันด้วยวิธีบางอย่างในตอนที่กำเนิดขึ้นมา จึงทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ฉันก็ไม่เคยรู้สึกถึงอะไรที่วิเศษแปลกประหลาดในตัวเลย หรือว่าการตื่นขึ้นมาของบางอย่างจะมีช่วงเวลาของมันอยู่?

 

“อื~~ม”

 

หลังจากคิดอะไรๆมาหลายอย่าง ฉันคิดว่าต้องลองใช้เวทมนตร์ดู เพราะฉันมีเวทมนตร์ไงละ แต่ว่าฉันไม่รู้ทั้งวิธีการใช้ และวิธีการรับรู้พลังเวทมนตร์ ทำให้ตอนนี้ฉันก็ยังใช้ไม่ได้สักที

 

“เฮ๊ เอ๊”

 

ฉันลองเพ่งไปที่ท้องน้อยแล้วลองดู ลองแกว่งมือด้วยท่าแปลกๆ แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“กุเน๊ะ~~….”

 

“――― ขออภัยที่ทำให้ต้องรอนะคะ อริซซา….กำลังทำสิ่งใดอยู่งั้นเหรอคะ?”

 

“อะ อืมม เวทมนตร์ ลองใช้”

 

เพราะสิ่งที่ฉันพยายามลองทำ เลยทำให้ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเบลล์ซังที่เข้าห้องมาเป็นฉันพอดี ฉันตอบกลับเบลล์ซังที่เอียงคอน่ารักอย่างตรงๆ เธออาจจะสอนให้ฉันได้ก็ได้….หวังอะไรแบบนั้นนะ

 

“เข้าใจแล้วค่ะ ….แต่ว่าดิฉันเป็นประชาชนทั่วไปจึงไม่ทราบรายละเอียดเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าพลังเวทย์มนตร์จะเอ่อล้นออกจากร่างกายในช่วงอายุเท่าอริซซามะ รู้สึกถึงได้รึเปล่าคะ?”

 

“พลังเวทมนตร์ ไม่”

 

“ดูเหมือนว่าอารมณ์ที่รุนแรงบางอย่างจะเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้น…..แต่ว่ามันก็แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะต้องสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วแน่นอนค่ะ”

 

“อืม”

 

“ฟุๆๆ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”

 

ในขณะที่ฉันยังรู้สึกงุนงงกับคำพูดของเบลล์ซัง เธอก็ลูบแปลงผมของฉัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันเข้าใจแล้ว

นั้นคือหากร่างกายนี้สุขภาพดี พลังก็จะแสดงออกมาอย่างแน่นอน

ไม่สิ บางทีความทรงจำอัตตาที่ส่งผ่านมาจากชาติก่อน มันอาจจะกำลังรบกวนแรงกระตุ้นและอารมณ์รุนแรงที่จำเป็นอยู่ก็ได้

และมันจะเป็นเรื่องใหญ่เอามากๆหากว่าเวทมนตร์ไม่แสดงพลังออกมา ถึงจะยังเป็นเรื่องที่ฉันคิดไปเองก็เถอะ

ที่สำคัญที่สุดคือ ฉันในตอนนี้ยังไม่มีความรู้มากพอ ดังนั้นคิดไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

ยังมีเวลาอีกมากให้คิด ตอนนี้เอามันไปวางทิ้งไว้ที่สักมุมในสมองไปก่อนจะเป็นความคิดที่ดีกว่า แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ

 

“เบลล์”

 

“คะ”

 

“นี่ก็ เวทมนตร์?”

 

หลังฟังเรื่องราวของเวทย์มนตร์ ฉันเงยหน้ามองโคมระย้าที่แขวนอยู่บนเพดานแล้วถาม

ตามระดับเทคโนโลยีของโลกนี้ ฉันรู้ดีว่าไม่มีทางที่จะมีไฟฟ้าใช้แน่นอน และฉันก็ไม่เคยเห็นอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆเลยด้วย ดังนั้นฉันจึงคิดว่ามันต้องมีเวทมนตร์บรรจุอยู่อย่างแน่นอน แต่ฉันก็ต้องการคำยืนยันอยู่ดี

 

“ค่ะ ถูกต้องแล้ว นอกจากนี้ โคมไฟเกือบทั้งหมดในคฤหาสน์ก็เป็นเวทมนตร์ค่ะ นอกจากนี้ยังมีโคมไฟที่ใช้ไฟจริงๆอยู่ด้วยค่ะ ฮัททีเรียซามะจะใช้มันเป็นครั้งคราว”

 

“ทุกอย่าง”

 

“ค่ะ แต่ประชาชนทั่วไปจะใช้อุปกรณ์ที่ใช้ไฟจริงๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ และเครื่องมือเวทมนตร์ก็มีราคาแพงเกินไป”

 

“งั้นเหรอ”

 

ตามที่คิดไว้เลย มันใช้เวทมนตร์ และมีราคาแพงมากๆ ฉันเข้าใจแล้วละ นอกเหนือไปจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่เหล่าผู้มีอำนาจจะเพิ่มราคาของมันจากราคาดั้งเดิม เพื่อไม่ปล่อยให้ประชาชนทั่วไปซื้อได้ เพื่อปกป้องสิทธิพิเศษของตนเอง

 

“ถ้าเช่นนั้น จะออกจากห้องกันเลยไหมคะ?”

 

“อืม”

 

“ค่ะ งั้นไปกันเลยค่ะ”

 

ฉันจับมือของเบลล์แล้วลุกจากเตียง ระหว่างที่จับมือ ฉันก็นึกถึงความหลังนิดหน่อย

 

“Let’s Go”

 

“คะ?”

 

“ไม่มีอาร๊าย”

 

ในขณะที่ตอบว่าไม่มีอะไร เบลล์ซังก็พาฉันออกจากห้องผ่านประตูที่เปิดอยู่ และภาพแรกที่ฉันได้เห็นอีกครั้งก็คือรูปของสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทางเดิน ถึงจะเห็นเป็นครั้งที่สองก็ยังเป็นรูปที่สีสวยจริงๆ ระหว่างที่แสดงความสนใจในศิลปะเล็กๆน้อยๆที่ฉันก็ไม่ได้เข้าใจความหมายหรอก ฉันก็ถูกเบลล์ซังจูงมือมาจนถึงบันได

 

“เดินลงเองได้ใช่ไหมคะ?”

 

“อืม”

 

การถูกอุ้มลงบันไดมันดูน่าอายเกินไปสำหรับฉัน ถึงตอนนี้จะยังเหลือเรื่องเปลี่ยนผ้าอ้อมกับโถฉี่อยู่ก็เถอะ

 

“ทีละก้าว ทีละก้าว ค่อยๆช้าๆก็ได้ค่ะ”

 

“ก่ะ”

 

ก้าวลงบันไดทีละก้าวโดยจับมือเชื่อมต่อกันและกัน

ฉันรู้สึกว่า วันนี้จะสามารถลงได้เร็วกว่าเมื่อวาน

 

“โยย โช๊ะ…..ฟู่”

 

หลังลงมาจนถึงขั้นสุดท้าย ฉันก็ยื่นมือไปพิงกำแพงไว้ แล้วถอดหายใจเล็กๆด้วยความรู้สึกของความสำเร็จ ในขณะที่ปรับลมหายใจให้เข้าที่เล็กน้อย ฉันมองไปที่ทางเดินที่เปิดโล่งทางขวา เอาจริงๆเลย นี่เป็นร่างกายที่ไร้ความแข็งแรงสุดๆไปเลย เป็นความผิดของฉันเอง

 

“ค่ะ ทำได้ดีมากเลยค่ะ”

 

“กอบคุณ”

 

แม้จะเป็นทิวทัศน์เดิมที่ได้เห็นไปเมื่อวานนี้แล้ว ฉันก็ยังรู้สึกว่าที่นี่ช่างเป็นอาคารที่หรูหรามากๆ ทางเดินในห้องโถงใหญ่เพียงพอที่จะให้ผู้ใหญ่ตัวโตๆสองคนเดินสวนกัน

ตรงไปตามทางเดิน ประตูสุดท้ายดูเหมือนจะเป็นห้องนอนของคุณพ่อ

แล้วห้องติดกันจากนั้นคือห้องทำงานที่ฉันเข้าไปเมื่อวานนี้ มีเสียงขีดเขียนอะไรบางอย่างเบาๆผ่านเข้าหูของฉันตอนที่เดินผ่าน ที่ฝั่งตรงข้ามของประตูคือบันไดขนาดใหญ่ที่พาลงไปยังชั้นหนึ่ง

บริเวณใกล้บันไดเปิดกว้างสองถึงสามเมตร ไม่มีกำแพง มีการตกแต่งด้วยรั้วเพียงเท่านั้น

เพดานของที่นี่สูงกว่าห้องของฉันบนชั้นสาม มีโคมไฟระย้าขนาดใหญ่กว่าในห้องฉันสองเท่า

เมื่อเทียบกับชั้นสามซึ่งมีเพียงหนึ่งห้องนอนและระเบียงขนาดเล็ก ชั้นสองที่มีจุดเชื่อมต่อโดยตรงกับชั้นหนึ่งรวมถึงพื้นที่ที่เปิดหากัน ทำให้ดูเหมือนว่าชั้นสองจะมีขนาดใหญ่กว่าประมาณสองเท่า

เมื่อฉันลองมองย้อนกลับจากห้องโถงไปยังสุดทางเดินที่เดินจากมา สายตาของฉันก็สังเกตเห็นว่ายังมีอีกห้องหนึ่ง

เมื่อเบลล์หันตามไป รอยยิ้มอ่อนโยนก็หายไปจากหน้าเธอ กลายเป็นใบหน้าที่เศร้าหมองเล็กน้อย

 

“ที่ตรงนั้น คือ ห้องของอลิเซียซามะค่ะ ภายในยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนครั้งเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ค่ะ”

 

“…..ของคุณแม่?”

 

“ค่ะ …..อยากเห็นภายในรึเปล่าคะ?”

 

ฉันจ้องไปที่เบลล์ซังที่จ้องมาที่ฉันสลับกับจ้องไปที่ประตู หลังจากที่ลังเลอยู่พักหนึ่ง ฉันก็ตัดสินใจพยักหน้าให้

แน่นอนอยู่แล้วว่าในห้องนั้นไม่มีความจำใดๆของฉัน แต่ แต่ว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ฉันรู้สึกว่าฉันไม่สามารถละสายตาไปจากห้องนั้นได้เลย

 

“รับทราบแล้วค่ะ ภายในมีของแตกง่ายอยู่ โปรดระวังด้วยนะคะ”

 

คี เมื่อเบลล์ซังเปิดประตูออก กลิ่นหอมอ่อนหวาน แต่หรูหราและสง่างามก็ลอยออกมาแตะจมูก โอบล้อมรอบร่างกาย การตกแต่งภายในห้องนั้นเรียบง่าย และดูเหมือนกับห้องของฉัน

พูดถึงความแตกต่างก็คงมีแค่ชุดขนาดใหญ่ถูกเรียงไว้ในห้องจำนวนมาก ฉันสงสัยจังว่าพวกนี้มีไว้ใช้ทำอะไรกัน

ฉันรู้สึกเหมือนมีเงาถูกฉายอยู่ที่นั่น เงาของคุณแม่ที่ฉันไม่เคยเจอ

 

“ท่านแม่…..”

 

“อึก….อริซซามะ…..”

 

ทันใดนั้นเบลล์ซังก็ทำเสียงเศร้าๆด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอเหม่อลอยราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปทีกลางห้อง

ที่ถัดจากเตียงมีแจกันวางอยู่บนหิ้งข้างหน้าต่าง มีช่อดอกไม้สีขาวสวยเสียบอยู่ในแจกัน กลิ่นหอมหวานอ่อนโยนก่อนหน้านี้มาจากดอกไม้พวกนี้งั้นเหรอ

ฉันเดินเข้าไปเงยหน้าขึ้นหาดอกไม้ที่อยู่สูงเหนือศีรษะเล็กน้อย ก่อนเอาจมูกแนบกลีบดอกแล้วสูดดมกลิ่นเบาๆ

มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ฉันได้กลิ่นตอนเข้ามาในห้อง ฉันหลับตาลงรับกลิ่นนุ่มนวลที่เข้ามาโอบล้อมให้ความรู้สึกปลอดภัย

ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เงาของคุณแม่เด่นชัดขึ้นมาในใจ จนทำให้ฉันเผลอเปล่งเสียงออกไปโดยไม่ตั้งใจ

 

“กลิ่นของ ท่านแม่”

 

“――― อริซซามะ…..”

 

เมื่อมองกลับไปที่เบลล์ซัง เธอพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเข้ามากอดฉันจนตัวลอยด้วยความซาบซึ้งใจแบบสุดๆ

เธอกอดรอบหัวของฉัน ใบหน้าของฉันถูกฝังลงในหน้าอกใหญ่หนานุ่ม และหัวใจของฉันก็เต้นตึกตักๆเช่นเคย

เธอใช้มือลูบหลังของฉันไปด้วย

 

“เอ๊ะ”

 

“อริซซามะ อริซซาม๊า……”

 

“มู่ว อู้วๆๆๆ”

 

“ถึงดิฉันจะไม่สามารถเป็นตัวแทนท่านแม่ของอริซซามะได้ แต่ดิฉันจะรักอริซซามะให้มาก มากกว่าใครๆ….”

 

“อาอูๆ….”

 

ฉันส่งเสียงผิดปกติเหมือนเสียงอู้อี้ในหู ฉันพยายามเพิกเฉยกับความรู้สึกแปลกๆของตัวเองให้มากที่สุด การเคลื่อนไหวของฉันถูกหยุดอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นเบลล์ซังก็กอดรัดแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ถึงมันจะรู้สึกดีที่ได้ฝังหน้าลงกับหน้าอกนุ่มๆแบบนี้ แถมได้ซ่อนหน้าแดงๆของตัวเองได้ด้วย แต่ว่าตอนนี้ฉันหายใจไม่ออกแล้ว

 

“มู้วววว อูว~~ อูว~~~”

 

“อริซซามะ….? อ๊า”

 

ในที่สุดเบลล์ซังก็สังเกตเห็นอาการดิ้นรนแปลกๆของฉัน จึงรีบปล่อยฉันออกทันที คราวนี้ฉันหน้าแดงในอีกแง่หนึ่ง หลังถูกปล่อยฉันก็รีบปรับลมหายใจทันที

 

“ขะ-ขออภัยเป็นอย่างสูงค่ะ ดะ-ดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะ…..”

 

“……ม๊ายเป็นร๊าย”

 

ฉันทำปากจู๋เหมือนไม่พอใจนิดหน่อย อย่างไรก็ตามมันไม่ได้มาจากความโกรธ แต่มาจากความห่อเหี่ยวที่ฉันพึ่งสังเกตได้ว่าตัวเองลืมตุ๊กตายัดนุ่นตัวโปรด มันทำฉันรู้สึกเศร้า

 

“…..ให้ดิฉันไปนำมาให้ดีไหมคะ?”

 

เบลล์ซังถามฉันหลังเห็นว่าตุ๊กตาหายไปจากมือของฉัน ฉันพยักหน้าให้ ในขณะที่รู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองดูออกง่ายขนาดนั้น ฉันขอโทษเบลล์ซังเล็กน้อยที่ต้องให้เดินขึ้นลงบันไดไปหยิบตุ๊กตามาให้ฉัน

 

“ถ้าเช่นนั้น ได้โปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ได้ไหมคะ?”

 

“….อืม”

 

เอาล่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันอยู่ห่างจากมือเบลล์ซังในที่ๆไม่คุ้นเคย แล้วพอมาดูชุดเดรสของวันนี้ สีฟ้า สีฟ้าอ่อน สีขาว มันมีสีโทนเย็นมากเกินไป ฉันมองไปที่ชุดเดรสสีดำในห้อง แล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันลองนึกภาพตัวเองที่มีผมสีทองสวมชุดเดรสพวกนี้ ฉันเดาว่ามันต้องออกมาดูดีแน่นอน

แต่พอมาคิดแบบนี้แล้ว ผมสีเงินของฉันไม่ได้มาจากคุณพ่อหรือคุณแม่ มันทำให้ฉันไม่รู้จะอธิบายเรื่องสีผมของตัวเองยังไงดี จากนั้นฉันก็ทำได้แค่เอียงคอตัวเอง

 

“รอนานรึเปล่าคะ?”

 

“อึอ…..ผมของท่านแม่ สีอะไร?”

 

“เอ๊ะโตะ รู้สึกว่า จะเป็นสีทองสวยบริสุทธิ์ค่ะ”

 

สีเหมือนสีดวงตาของอริซซามะ เบลล์ซังตอบกลับมาแบบนั้นหลังจากที่ฉันถาม น่าสับสนจริงๆ ถ้าเธอตอบกลับมาว่าท่านแม่เป็นแค่แม่บุญธรรมที่ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกัน ฉันคงไม่ต้องสับสนขนาดนี้

อื~~ม เบลล์ซังมั่นใจว่าฉันกำลังมีเรื่องในใจจึงรีบเข้ามาหวีผมให้จนฉันรู้สึกดีทันที ราวกับสัญชาตญาณของคนรัก และเบลล์ซังยังตอบเรื่องที่ฉันคิดเหมือนมีพลังจิตอ่านใจได้เลย

 

“สีของเส้นผม จะถูกกำหนดโดยคุณสมบัติพิเศษของเวทมนตร์ที่ติดตัวมายามเกิดค่ะ”

 

“คุณสมบัติ?”

 

“ใช่ค่ะ นอกจากนี้ยังมีประเภทความถนัดของเวทมนตร์ด้วยค่ะ ตัวอย่างเช่น ถนัดเวทมนตร์ธาตุไฟ ก็จะเชี่ยวชาญในการปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือสร้างบางอย่างขึ้นมาค่ะ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะแตกต่างไปตามแต่ละคนด้วยค่ะ
ส่วนประชาชนทั่วไปที่ไม่มีเวทมนตร์ จะมีผมสีดำหรือสีน้ำตาลค่ะ แต่ในบางกรณีที่หาได้ยาก พวกเขาอาจจะมีสีผมสีอื่นๆได้ค่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

ฉันเข้าใจและยอมรับเรื่องนี้ได้ แน่นอนอยู่แล้วว่าถ้ามีพลังเวทมนตร์ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย มันก็ไม่แปลกที่พลังพวกนี้จะส่งผลกระทบต่อร่างกายที่ไหนสักแห่ง อืมๆ ฉันพยักหน้าให้กับคำตอบ ก่อนที่จะมีคำถามใหม่ผุดขึ้นมา

 

“ท่านพ่อ สีดำ เป็นขุนนาง….?”

 

ใช่ ถ้าจะถูกเรียกว่าขุนนางก็ต้องมีพลังเวทมนตร์ หรือมีลักษณะเด่นของเวทมนตร์ หรือว่าจะมีผมสีดำพิเศษที่แยกจากผมสีดำของประชาชนทั่วไป?

 

“อะ เอออออ ค่ะ ฮัททีเรียซามะไม่ได้เป็นขุนนางแต่กำเนิดค่ะ”

 

“หืม?”

 

“นายท่านได้รับการยอมรับจากพระราชา และกลายเป็นขุนนางค่ะ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากเล็กน้อยดังนั้นรอให้อริซซามะโตกว่านี้อีกสักนิด แล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่ดีกว่านะคะ”

 

“ก็ได้”

 

ท่าทางของเบลล์ซังดูจะเลือกคำบางคำด้วยอาการหงุดหงิด บางทีคงมีเบื้องหลังอะไรซับซ้อนมากกว่านี้ ฉันเลยไม่คิดอะไรอีก จากนั้นฉันเลยกลับไปที่คำถามเดิมที่เกี่ยวกับตัวเอง

 

“ผมสีเงิน มีเวทมนตร์ คืออะไร?”

 

“…..”

 

แล้วเบลล์ซังก็เงียบลงไปเหมือนนึกคำพูดไม่ออก ก่อนที่เธอจะเปิดริมฝีปากพูดกับฉันอย่างอายๆ

 

“นั้น นั้นสินะคะ…..ดิฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”

 

“ไม่รู้?”

 

“ค่ะ ผมสีเงินเหมือนของอริซซามะ ไม่มีใครในอาณาจักรนี้เคยมีมาก่อนเลยค่ะ”

 

“เอ๊ะ”

 

เรื่องราวดูยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าสีผมของฉันจะเป็นกรณีที่ค่อนข้างพิเศษหายาก ถึงอย่างงั้นจะเป็นไปได้เหรอที่จะไม่มีใครเคยมีมาก่อน? อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ ถ้าบอกว่าเป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันก็หมดคำพูดใดๆที่จะตอบกลับแล้ว แต่แบบนี้ฉันก็กลายเป็นของหายากเลยนะสิ ฉันยอมรับไม่ได้เลยจริงๆ มันไม่จริงใช่ไหม

 

“อะ แต่ว่า……”

 

“คะ?”

 

ฉันคุ้นเคยกับการมีชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบในชีวิตนี้แล้ว แต่ถ้าให้พูดตรงๆฉันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้คนของโลกนี้เลยแม้แต่น้อย ไม่สิ จริงอยู่ว่าฉันในตอนนี้เกิดและใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันเป็นฉันในตอนนี้คือความทรงจำและประสบการณ์ของชีวิตก่อน

อาจเป็นเพราะว่ามีจิตสำนึกของอีกโลกผสมปนเปเข้ามา จึงทำให้ไม่มีใครที่มีสีผมเหมือนของฉันจนถึงตอนนี้ ――― บางทีคุณสมบัติเวทมนตร์อาจจะเป็นสิ่งที่ติดมาจากโลกเก่า ยังไงก็เถอะตอนที่ฉันคิดว่าเข้าใจได้แล้ว ฉันกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“อริซซามะ?”

 

“……อ อือึอ ไม่มีอาร๊าย”

 

“เช่นนั้นเหรอคะ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะพิเศษยิ่งกว่าใคร ดิฉันรักผมสีเงินแสนสวยของอริซซามะมากๆเลยนะคะ?”

 

เบลล์ซังกอดฉันอีกครั้ง อย่างที่คิดไว้เลย หลังๆมานี้ฉันรู้สึกว่ามีพวกเราจะกอดสกินชิพกันมากขึ้น ถ้าบอกว่านี่คือช่วงเวลาของสาวน้อยในห้วงรักจะเป็นการเสียมารยาทไปรึเปล่านะ? ถ้าฉันปล่อยไว้แบบนี้คงไม่เป็นไร ฉันปล่อยให้เธอกอดจนพอใจถือว่าเป็นความใจกว้างของฉัน แต่ฉันรู้สึกเหมือนถูกความรักของเบลล์ซังโจมตีจนตกหลุมรักเธอแบบถอนตัวไม่ขึ้น

 

“เบลล์…..”

 

“อริซซามะ…..”

 

ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ จมลงในห้วงรัก

ฉันเสมองออกไปรอบๆหาบางสิ่งบางอย่างเพื่อสลัดความรู้สึก รีบเปลี่ยนบรรยากาศ

 

“บางที พิเศษ รึเปล่านะ”

 

“นั้นสินะคะ ดิฉันไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เลยจินตนาการไม่ออกเลย”

 

ฟุๆๆ เบลล์ซังกลับมายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ เธอก็ยังคงชมฉันเหมือนที่ผ่านมา

 

“บางทีอริซซามะอาจจะสามารถใช้เวทมนตร์รักษาอาการบาดเจ็บและอาการเจ็บป่วยได้ก็ได้นะคะ เพราะอริซซามะมีผมสีเงินเหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เลย”

 

“ฮีล”

 

“คะ?”

 

“ม๊ายมีอาร๊าย”

 

มันไม่สำคัญว่าชีวิตก่อนหน้าจะเป็นยังไง แต่คำที่หลุดออกมาจากความรู้ที่ได้จากงานอดิเรกเพื่อความบันเทิงก็มีประโยชน์เหมือนกัน

ถึงกระนั้นความสามารถในการรักษา ถ้าใช่จริงๆก็ยอดเยี่ยมมาก มันอาจเป็นความสามารถที่ฉันต้องการในชาติก่อนก็ได้

….ไม่สิ แต่ว่า นั้นน่ะ นั้นน่ะแปลว่าฉันจะสามารถถูกบังคับให้ต้องทำงานทั้งๆที่ร่างกายเสียหายหนักก็ได้ หรือก็คือ

 

“ถูกใช้งานจน…..”

 

” ――― อึก อริซซามะ นั้น….”

 

ใช่ มันหมายถึงการถูกใช้งานจนเกินขีดจำกัดมากยิ่งขึ้น ฉันเผลอพูดโดยไม่ระวังตัว ฉันต้องการได้รับการให้อภัย พอคิดขึ้นได้ ฉันก็ผงะทันที ดูเหมือนว่าอิทธิพลจากชาติก่อนจะยังไม่สิ้นสุด

ฉันไม่ได้เป็นทาสอีกต่อไปแล้ว ฉันส่ายหัวขับไล่ใบหน้าขมขื่นออกไป

 

“….อริซซามะเป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆค่ะ ถูกต้องแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นอริซซามะอาจถูกจับเข้าไปอยู่ในวังวนของปัญหาต่างๆได้”

 

เบลล์ซังที่แสดงออกอย่างจริงจัง จนดึงฉันกลับสู้ความเป็นจริง

ไม่สิ ฉันอยากให้เธอหยุดรอสักหน่อย เรื่องราวเหมือนกำลังเดินหน้าไปโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยสักนิด นอกจากนี้เหมือนจะเกิดความเข้าใจผิดที่แปลกประหลาดขึ้น มันกลายเป็นความวิตกกังวลไปแล้ว ฉันเลยพยายามที่จะหยุดแม้ในขณะนี้ฉันจะคุมการแสดงออกของตัวเองไม่ได้เลยก็ตาม

 

“บะ เบลล์?”

 

“อ้า……ได้โปรดอย่าทำใบหน้ากังวลเช่นนั้นเลยนะคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เวทมนตร์แห่งการรักษาเป็นเพียงแค่จินตนาการของดิฉันเอง แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นจริง เบลล์คนนี้ จะขอปกป้องอริซซามะจนชีวิตจะหาไม่เองค่ะ”

 

“เอ๊ะ เอ๊?”

 

เบลล์ซังให้ความมั่นใจในขณะที่จับมือฉัน เธอปลอบโยนฉันมากมายจนฉันไม่สามารถตามทันได้

 

“ตลอดไปๆ ดิฉันจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป อริซซามะ…..”

 

“อะ อืม…..”

 

กุเอ๊ะ และฉันก็ถูกหน้าอกสุดนุ่มกอดบดขยี้จนร้อนไปทั้งหน้าอีกครั้ง ฉันลองคิดดูว่าตอนนี้เบลล์ซังกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย แต่เช่นเดียวกับคำว่าเดจาวูก่อนหน้านี้ คำว่าฮีลจะออกเสียงเหมือนคำสักคำในภาษาของจักรวรรดิไหมนะ

และจากนั้นระหว่างค้นหาคำตอบ ฉันก็เงยหน้าขึ้นและประสานสายตาเข้าให้กับสายตาหวานเยิ้มของเบลล์ซัง

ความรู้สึกรักอันรุนแรงถูกถ่ายทอดผ่านดวงตาสีดำสวยทำให้ฉันละลายหลงเสน่ห์ทันที

 

“อริซซามะ…..”

 

“เบลล์…..”

 

ม๊า ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าในที่สุดความเข้าใจผิดจำนวนมากจะได้รับการแก้ไขแล้ว และ ความคิดบางอย่างก็ถูกโยนทิ้งไป

อันที่จริงแล้ว เรื่องที่ผ่านมาก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ส่วนตอนนี้ฉันขออยู่แบบนี้อีกสักนิด ขอถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่นจากร่างกายของเบลล์ซังอีกสักนิด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 9 มาเรียนา・ไอริส

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 9 มาเรียนา・ไอริส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 9 มาเรียนา・ไอริส

 

“อิ่มแล้วก๊ะ”

 

“ค่ะ ขอบคุณสำหรับการทานอาหารจนหมดนะคะ”

 

ทำตัวเป็นเด็กดี ยิ้มให้กับเบลล์ซังที่กำลังเก็บจานอาหาร ฉันทานอาหารตามปกติได้จนท้องป่อง และนอกจากนี้ วันนี้ไม่รั่วละ

ฉันมองจานที่ค่อยๆถูกเก็บลงถาดทีละใบจนโต๊ะว่างเปล่า ก่อนถอนหายใจทีหนึ่ง ของที่ฉันจ้องคือเศษผลไม้สีทองที่เหลืออยู่บนจาน แมเรียนที่ถูกเอามาเสิร์ฟเต็มจานเช่นเดียวกับเมื่อวาน วันนี้ก็ยังคงอร่อยอยู่ นี่คงเป็นสิ่งลึกลับที่พระเจ้ามอบให้โลกเบื้องล่าง

 

“แมเรียน……”

 

“อริซซามะทำท่าราวกับหญิงสาวในห้วงรักเลยนะคะ”

 

“ห๊ะ….”

 

เบลล์ซังจ้องมาที่ฉันที่กำลังคร่ำครวญให้กับแมเรียนในจานที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็วเกินไป ความรัก ฉันได้ยินแบบนั้น แต่อาจจะจริงก็ได้ที่ฉันหลงรักแมเรียนไปซะแล้ว 

ใช่แล้ว นี่คือ―――

 

“ความรัก สินะ”

 

“ค่ะ?”

 

“ไม่มีอาร๊าย”

 

ฉันอุตสาหายดีจากความผิดพลาดเมื่อวานแล้ว จะมาพลาดแบบโง่ๆอีกไม่ได้แล้ว ม๊า แต่อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ละนะ ฉันหวังว่าจะไม่มีเรื่องแปลกๆโผล่มาอีกนะ

 

“ท่านพ่อล่ะ?”

 

“ฮัททีเรียซามะ ตอนนี้กำลังทำงานอยู่ค่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

พูดถึงเรื่องเมื่อวานแล้ว เบลล์ซังคงไม่ได้รู้สินะ สายตาที่มาทางฉันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรแปลกไปเป็นพิเศษ

แค่คิดว่าต้องถูกเบลล์ซังมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ฉันก็กลัวจับใจแล้ว แต่ถึงเกิดขึ้นมาจริงๆ มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยละนะ แต่ไม่ว่ายังไงก็โชคดีจริงๆที่ไม่มีอะไร

 

“ยังไงก็ตาม อริซซามะฉลาดหลักแหลมจริงๆเลยนะคะ ดิฉันได้ยินมาว่าสามารถเข้าใจเรื่องภาษีได้อย่างถูกต้องด้วย”

 

“เล่ามางั้นเหรอ”

 

“ค่ะ?”

 

“ไม่มีอาร๊าย”

 

สมกับเป็นที่ปรึกษาระดับหัวหน้า ถึงสามารถรู้ได้แทบทุกเรื่องสำคัญแบบนี้ 

ฉันทำได้แค่หัวเราะแห้งๆส่งยิ้มให้เบลล์ซังที่ถึงยิ้มแต่ก็มีเครื่องหมายคำถามเต็มหน้า ดูเหมือนฉันจะโมโหแล้วพาลใส่เบลล์ซังไปซะแล้ว

 

“ท่านพ่อเล่าให้ฟังงั้นเหรอ”                           

 

“ฟุๆๆ เป็นเช่นนั้นค่ะ นอกจากนี้ยังร่วมทั้ง..”

 

“หืม?”

 

“ความเฉลียวฉลาดที่เกินกว่าผู้ใดค่ะ”

 

“งั้นเหรอ……”

 

เบลล์ซังยืนขึ้นพร้อมถาดใส่จานในมือ แล้วเดินตรงไปที่ประตู แต่ก่อนที่จะเปิดประตู เธอก็หันมาพูดกับฉัน

 

“เมื่อดิฉันกลับมา วันนี้ดิฉันจะเป็นผู้พาอริซซามะเดินชมรอบๆคฤหาสน์เองค่ะ”

 

“กับเบลล์?”

 

“ค่ะ เพราะดูเหมือนงานวันนี้ของฮัททีเรียซามะจะกินเวลามากกว่าปกติค่ะ จึงต้องไปกับดิฉันแทนค่ะ”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“แต่หากยังรู้สึกเหนื่อยเกินไปอยู่ วันนี้จะไม่ไปก็ได้นะคะ” 

 

“ไม่ ไม่เป็นร๊าย”

 

“รับทราบแล้วค่ะ ถ้าเช่นนั้น ดิฉันขออนุญาตไปทำสะอาดก่อนนะคะ”

 

“อืม”

 

ฉันมองเบลล์ซังโค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนออกจากห้องไป หลังจากมองประตูอยู่สักพัก ฉันก็หันไปมองหน้าต่างที่มีผ้าม่านบังอยู่

 

“ช้า”

 

ตอนแรกที่ฉันรู้สึกตัวว่ากลายเป็นเด็ก ฉันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจเพราะยังไม่ชินกับมัน และหลังจากนั้นไม่นานเมื่อชินจนสามารถขยับร่างกายได้ตามใจ ก็เจออุปสรรคใหญ่ ภาษา

และหลังจากที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดกับเบลล์ซัง และการอ่านหนังสือภาพเมื่อฉันอยู่คนเดียว ทำให้เมื่อไม่นานมานี้ฉันเริ่มพูดได้เล็กน้อยแล้ว แม้คำศัพท์ยังเพี้ยนๆอยู่ แต่ฉันก็สามารถพูดคุยได้ทุกวันแล้ว

และหลังจากที่ได้พบกับคุณพ่อ ก็กล่าวได้ว่าอุปสรรคของชีวิตในตอนนี้ก็ได้หายไปเกือบหมด

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่การไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นจนทำให้ขี้เกียจมาตั้งสี่ปีแบบนี้ ดีแล้วรึเปล่านะ อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นปฏิกิริยาจากชาติก่อน

ไม่ ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่สนใจอะไรเลย ในโลกนี้มีเวทมนตร์ที่ฉันไม่รู้จักอยู่จริง มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของฉันสุดๆ ฉันอยากสัมผัสกับสิ่งลึกลับมาตลอด อยากรู้ว่าคนทั่วไปที่ไม่มีเวทมนตร์จะใช้ชีวิตแบบไหน ฉันมีความปรารถนาที่จะไปให้รอบโลก ไปเห็นสิ่งต่างๆ

แต่ว่าตอนนี้ความปรารถนาที่อยากจะนอนมีมากกว่า ความปรารถนาที่อยากจะนอนกลิ้งไปมาโดยที่มีเบลล์ซังและเหล่าเมดค่อยปรนนิบัติ

ม๊า แต่ท้ายที่สุด ฉันก็รู้ดีว่าไม่สามารถทำแบบนั้นได้ตลอดไป ดังนั้นมาพยายามเปลี่ยนจิตสำนึกขั้นพื้นฐานกันก่อนดีกว่า

 

“ใช่แล้ว เวทมนตร์”

 

พูดถึงสิ่งนั้น ในฐานะที่ฉันเกิดมาเป็น “ขุนนาง” ฉันก็ต้องมีเวทมนตร์ด้วยแน่นอน

ดูเหมือนว่าฉันจะได้รับการยืนยันด้วยวิธีบางอย่างในตอนที่กำเนิดขึ้นมา จึงทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ฉันก็ไม่เคยรู้สึกถึงอะไรที่วิเศษแปลกประหลาดในตัวเลย หรือว่าการตื่นขึ้นมาของบางอย่างจะมีช่วงเวลาของมันอยู่?

 

“อื~~ม”

 

หลังจากคิดอะไรๆมาหลายอย่าง ฉันคิดว่าต้องลองใช้เวทมนตร์ดู เพราะฉันมีเวทมนตร์ไงละ แต่ว่าฉันไม่รู้ทั้งวิธีการใช้ และวิธีการรับรู้พลังเวทมนตร์ ทำให้ตอนนี้ฉันก็ยังใช้ไม่ได้สักที

 

“เฮ๊ เอ๊”

 

ฉันลองเพ่งไปที่ท้องน้อยแล้วลองดู ลองแกว่งมือด้วยท่าแปลกๆ แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“กุเน๊ะ~~….”

 

“――― ขออภัยที่ทำให้ต้องรอนะคะ อริซซา….กำลังทำสิ่งใดอยู่งั้นเหรอคะ?”

 

“อะ อืมม เวทมนตร์ ลองใช้”

 

เพราะสิ่งที่ฉันพยายามลองทำ เลยทำให้ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเบลล์ซังที่เข้าห้องมาเป็นฉันพอดี ฉันตอบกลับเบลล์ซังที่เอียงคอน่ารักอย่างตรงๆ เธออาจจะสอนให้ฉันได้ก็ได้….หวังอะไรแบบนั้นนะ

 

“เข้าใจแล้วค่ะ ….แต่ว่าดิฉันเป็นประชาชนทั่วไปจึงไม่ทราบรายละเอียดเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าพลังเวทย์มนตร์จะเอ่อล้นออกจากร่างกายในช่วงอายุเท่าอริซซามะ รู้สึกถึงได้รึเปล่าคะ?”

 

“พลังเวทมนตร์ ไม่”

 

“ดูเหมือนว่าอารมณ์ที่รุนแรงบางอย่างจะเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้น…..แต่ว่ามันก็แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะต้องสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วแน่นอนค่ะ”

 

“อืม”

 

“ฟุๆๆ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”

 

ในขณะที่ฉันยังรู้สึกงุนงงกับคำพูดของเบลล์ซัง เธอก็ลูบแปลงผมของฉัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันเข้าใจแล้ว

นั้นคือหากร่างกายนี้สุขภาพดี พลังก็จะแสดงออกมาอย่างแน่นอน

ไม่สิ บางทีความทรงจำอัตตาที่ส่งผ่านมาจากชาติก่อน มันอาจจะกำลังรบกวนแรงกระตุ้นและอารมณ์รุนแรงที่จำเป็นอยู่ก็ได้

และมันจะเป็นเรื่องใหญ่เอามากๆหากว่าเวทมนตร์ไม่แสดงพลังออกมา ถึงจะยังเป็นเรื่องที่ฉันคิดไปเองก็เถอะ

ที่สำคัญที่สุดคือ ฉันในตอนนี้ยังไม่มีความรู้มากพอ ดังนั้นคิดไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

ยังมีเวลาอีกมากให้คิด ตอนนี้เอามันไปวางทิ้งไว้ที่สักมุมในสมองไปก่อนจะเป็นความคิดที่ดีกว่า แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ

 

“เบลล์”

 

“คะ”

 

“นี่ก็ เวทมนตร์?”

 

หลังฟังเรื่องราวของเวทย์มนตร์ ฉันเงยหน้ามองโคมระย้าที่แขวนอยู่บนเพดานแล้วถาม

ตามระดับเทคโนโลยีของโลกนี้ ฉันรู้ดีว่าไม่มีทางที่จะมีไฟฟ้าใช้แน่นอน และฉันก็ไม่เคยเห็นอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆเลยด้วย ดังนั้นฉันจึงคิดว่ามันต้องมีเวทมนตร์บรรจุอยู่อย่างแน่นอน แต่ฉันก็ต้องการคำยืนยันอยู่ดี

 

“ค่ะ ถูกต้องแล้ว นอกจากนี้ โคมไฟเกือบทั้งหมดในคฤหาสน์ก็เป็นเวทมนตร์ค่ะ นอกจากนี้ยังมีโคมไฟที่ใช้ไฟจริงๆอยู่ด้วยค่ะ ฮัททีเรียซามะจะใช้มันเป็นครั้งคราว”

 

“ทุกอย่าง”

 

“ค่ะ แต่ประชาชนทั่วไปจะใช้อุปกรณ์ที่ใช้ไฟจริงๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ และเครื่องมือเวทมนตร์ก็มีราคาแพงเกินไป”

 

“งั้นเหรอ”

 

ตามที่คิดไว้เลย มันใช้เวทมนตร์ และมีราคาแพงมากๆ ฉันเข้าใจแล้วละ นอกเหนือไปจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่เหล่าผู้มีอำนาจจะเพิ่มราคาของมันจากราคาดั้งเดิม เพื่อไม่ปล่อยให้ประชาชนทั่วไปซื้อได้ เพื่อปกป้องสิทธิพิเศษของตนเอง

 

“ถ้าเช่นนั้น จะออกจากห้องกันเลยไหมคะ?”

 

“อืม”

 

“ค่ะ งั้นไปกันเลยค่ะ”

 

ฉันจับมือของเบลล์แล้วลุกจากเตียง ระหว่างที่จับมือ ฉันก็นึกถึงความหลังนิดหน่อย

 

“Let’s Go”

 

“คะ?”

 

“ไม่มีอาร๊าย”

 

ในขณะที่ตอบว่าไม่มีอะไร เบลล์ซังก็พาฉันออกจากห้องผ่านประตูที่เปิดอยู่ และภาพแรกที่ฉันได้เห็นอีกครั้งก็คือรูปของสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทางเดิน ถึงจะเห็นเป็นครั้งที่สองก็ยังเป็นรูปที่สีสวยจริงๆ ระหว่างที่แสดงความสนใจในศิลปะเล็กๆน้อยๆที่ฉันก็ไม่ได้เข้าใจความหมายหรอก ฉันก็ถูกเบลล์ซังจูงมือมาจนถึงบันได

 

“เดินลงเองได้ใช่ไหมคะ?”

 

“อืม”

 

การถูกอุ้มลงบันไดมันดูน่าอายเกินไปสำหรับฉัน ถึงตอนนี้จะยังเหลือเรื่องเปลี่ยนผ้าอ้อมกับโถฉี่อยู่ก็เถอะ

 

“ทีละก้าว ทีละก้าว ค่อยๆช้าๆก็ได้ค่ะ”

 

“ก่ะ”

 

ก้าวลงบันไดทีละก้าวโดยจับมือเชื่อมต่อกันและกัน

ฉันรู้สึกว่า วันนี้จะสามารถลงได้เร็วกว่าเมื่อวาน

 

“โยย โช๊ะ…..ฟู่”

 

หลังลงมาจนถึงขั้นสุดท้าย ฉันก็ยื่นมือไปพิงกำแพงไว้ แล้วถอดหายใจเล็กๆด้วยความรู้สึกของความสำเร็จ ในขณะที่ปรับลมหายใจให้เข้าที่เล็กน้อย ฉันมองไปที่ทางเดินที่เปิดโล่งทางขวา เอาจริงๆเลย นี่เป็นร่างกายที่ไร้ความแข็งแรงสุดๆไปเลย เป็นความผิดของฉันเอง

 

“ค่ะ ทำได้ดีมากเลยค่ะ”

 

“กอบคุณ”

 

แม้จะเป็นทิวทัศน์เดิมที่ได้เห็นไปเมื่อวานนี้แล้ว ฉันก็ยังรู้สึกว่าที่นี่ช่างเป็นอาคารที่หรูหรามากๆ ทางเดินในห้องโถงใหญ่เพียงพอที่จะให้ผู้ใหญ่ตัวโตๆสองคนเดินสวนกัน

ตรงไปตามทางเดิน ประตูสุดท้ายดูเหมือนจะเป็นห้องนอนของคุณพ่อ

แล้วห้องติดกันจากนั้นคือห้องทำงานที่ฉันเข้าไปเมื่อวานนี้ มีเสียงขีดเขียนอะไรบางอย่างเบาๆผ่านเข้าหูของฉันตอนที่เดินผ่าน ที่ฝั่งตรงข้ามของประตูคือบันไดขนาดใหญ่ที่พาลงไปยังชั้นหนึ่ง

บริเวณใกล้บันไดเปิดกว้างสองถึงสามเมตร ไม่มีกำแพง มีการตกแต่งด้วยรั้วเพียงเท่านั้น

เพดานของที่นี่สูงกว่าห้องของฉันบนชั้นสาม มีโคมไฟระย้าขนาดใหญ่กว่าในห้องฉันสองเท่า

เมื่อเทียบกับชั้นสามซึ่งมีเพียงหนึ่งห้องนอนและระเบียงขนาดเล็ก ชั้นสองที่มีจุดเชื่อมต่อโดยตรงกับชั้นหนึ่งรวมถึงพื้นที่ที่เปิดหากัน ทำให้ดูเหมือนว่าชั้นสองจะมีขนาดใหญ่กว่าประมาณสองเท่า

เมื่อฉันลองมองย้อนกลับจากห้องโถงไปยังสุดทางเดินที่เดินจากมา สายตาของฉันก็สังเกตเห็นว่ายังมีอีกห้องหนึ่ง

เมื่อเบลล์หันตามไป รอยยิ้มอ่อนโยนก็หายไปจากหน้าเธอ กลายเป็นใบหน้าที่เศร้าหมองเล็กน้อย

 

“ที่ตรงนั้น คือ ห้องของอลิเซียซามะค่ะ ภายในยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนครั้งเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ค่ะ”

 

“…..ของคุณแม่?”

 

“ค่ะ …..อยากเห็นภายในรึเปล่าคะ?”

 

ฉันจ้องไปที่เบลล์ซังที่จ้องมาที่ฉันสลับกับจ้องไปที่ประตู หลังจากที่ลังเลอยู่พักหนึ่ง ฉันก็ตัดสินใจพยักหน้าให้

แน่นอนอยู่แล้วว่าในห้องนั้นไม่มีความจำใดๆของฉัน แต่ แต่ว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ฉันรู้สึกว่าฉันไม่สามารถละสายตาไปจากห้องนั้นได้เลย

 

“รับทราบแล้วค่ะ ภายในมีของแตกง่ายอยู่ โปรดระวังด้วยนะคะ”

 

คี เมื่อเบลล์ซังเปิดประตูออก กลิ่นหอมอ่อนหวาน แต่หรูหราและสง่างามก็ลอยออกมาแตะจมูก โอบล้อมรอบร่างกาย การตกแต่งภายในห้องนั้นเรียบง่าย และดูเหมือนกับห้องของฉัน

พูดถึงความแตกต่างก็คงมีแค่ชุดขนาดใหญ่ถูกเรียงไว้ในห้องจำนวนมาก ฉันสงสัยจังว่าพวกนี้มีไว้ใช้ทำอะไรกัน

ฉันรู้สึกเหมือนมีเงาถูกฉายอยู่ที่นั่น เงาของคุณแม่ที่ฉันไม่เคยเจอ

 

“ท่านแม่…..”

 

“อึก….อริซซามะ…..”

 

ทันใดนั้นเบลล์ซังก็ทำเสียงเศร้าๆด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอเหม่อลอยราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปทีกลางห้อง

ที่ถัดจากเตียงมีแจกันวางอยู่บนหิ้งข้างหน้าต่าง มีช่อดอกไม้สีขาวสวยเสียบอยู่ในแจกัน กลิ่นหอมหวานอ่อนโยนก่อนหน้านี้มาจากดอกไม้พวกนี้งั้นเหรอ

ฉันเดินเข้าไปเงยหน้าขึ้นหาดอกไม้ที่อยู่สูงเหนือศีรษะเล็กน้อย ก่อนเอาจมูกแนบกลีบดอกแล้วสูดดมกลิ่นเบาๆ

มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ฉันได้กลิ่นตอนเข้ามาในห้อง ฉันหลับตาลงรับกลิ่นนุ่มนวลที่เข้ามาโอบล้อมให้ความรู้สึกปลอดภัย

ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เงาของคุณแม่เด่นชัดขึ้นมาในใจ จนทำให้ฉันเผลอเปล่งเสียงออกไปโดยไม่ตั้งใจ

 

“กลิ่นของ ท่านแม่”

 

“――― อริซซามะ…..”

 

เมื่อมองกลับไปที่เบลล์ซัง เธอพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเข้ามากอดฉันจนตัวลอยด้วยความซาบซึ้งใจแบบสุดๆ

เธอกอดรอบหัวของฉัน ใบหน้าของฉันถูกฝังลงในหน้าอกใหญ่หนานุ่ม และหัวใจของฉันก็เต้นตึกตักๆเช่นเคย

เธอใช้มือลูบหลังของฉันไปด้วย

 

“เอ๊ะ”

 

“อริซซามะ อริซซาม๊า……”

 

“มู่ว อู้วๆๆๆ”

 

“ถึงดิฉันจะไม่สามารถเป็นตัวแทนท่านแม่ของอริซซามะได้ แต่ดิฉันจะรักอริซซามะให้มาก มากกว่าใครๆ….”

 

“อาอูๆ….”

 

ฉันส่งเสียงผิดปกติเหมือนเสียงอู้อี้ในหู ฉันพยายามเพิกเฉยกับความรู้สึกแปลกๆของตัวเองให้มากที่สุด การเคลื่อนไหวของฉันถูกหยุดอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นเบลล์ซังก็กอดรัดแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ถึงมันจะรู้สึกดีที่ได้ฝังหน้าลงกับหน้าอกนุ่มๆแบบนี้ แถมได้ซ่อนหน้าแดงๆของตัวเองได้ด้วย แต่ว่าตอนนี้ฉันหายใจไม่ออกแล้ว

 

“มู้วววว อูว~~ อูว~~~”

 

“อริซซามะ….? อ๊า”

 

ในที่สุดเบลล์ซังก็สังเกตเห็นอาการดิ้นรนแปลกๆของฉัน จึงรีบปล่อยฉันออกทันที คราวนี้ฉันหน้าแดงในอีกแง่หนึ่ง หลังถูกปล่อยฉันก็รีบปรับลมหายใจทันที

 

“ขะ-ขออภัยเป็นอย่างสูงค่ะ ดะ-ดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะ…..”

 

“……ม๊ายเป็นร๊าย”

 

ฉันทำปากจู๋เหมือนไม่พอใจนิดหน่อย อย่างไรก็ตามมันไม่ได้มาจากความโกรธ แต่มาจากความห่อเหี่ยวที่ฉันพึ่งสังเกตได้ว่าตัวเองลืมตุ๊กตายัดนุ่นตัวโปรด มันทำฉันรู้สึกเศร้า

 

“…..ให้ดิฉันไปนำมาให้ดีไหมคะ?”

 

เบลล์ซังถามฉันหลังเห็นว่าตุ๊กตาหายไปจากมือของฉัน ฉันพยักหน้าให้ ในขณะที่รู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองดูออกง่ายขนาดนั้น ฉันขอโทษเบลล์ซังเล็กน้อยที่ต้องให้เดินขึ้นลงบันไดไปหยิบตุ๊กตามาให้ฉัน

 

“ถ้าเช่นนั้น ได้โปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ได้ไหมคะ?”

 

“….อืม”

 

เอาล่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันอยู่ห่างจากมือเบลล์ซังในที่ๆไม่คุ้นเคย แล้วพอมาดูชุดเดรสของวันนี้ สีฟ้า สีฟ้าอ่อน สีขาว มันมีสีโทนเย็นมากเกินไป ฉันมองไปที่ชุดเดรสสีดำในห้อง แล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันลองนึกภาพตัวเองที่มีผมสีทองสวมชุดเดรสพวกนี้ ฉันเดาว่ามันต้องออกมาดูดีแน่นอน

แต่พอมาคิดแบบนี้แล้ว ผมสีเงินของฉันไม่ได้มาจากคุณพ่อหรือคุณแม่ มันทำให้ฉันไม่รู้จะอธิบายเรื่องสีผมของตัวเองยังไงดี จากนั้นฉันก็ทำได้แค่เอียงคอตัวเอง

 

“รอนานรึเปล่าคะ?”

 

“อึอ…..ผมของท่านแม่ สีอะไร?”

 

“เอ๊ะโตะ รู้สึกว่า จะเป็นสีทองสวยบริสุทธิ์ค่ะ”

 

สีเหมือนสีดวงตาของอริซซามะ เบลล์ซังตอบกลับมาแบบนั้นหลังจากที่ฉันถาม น่าสับสนจริงๆ ถ้าเธอตอบกลับมาว่าท่านแม่เป็นแค่แม่บุญธรรมที่ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกัน ฉันคงไม่ต้องสับสนขนาดนี้

อื~~ม เบลล์ซังมั่นใจว่าฉันกำลังมีเรื่องในใจจึงรีบเข้ามาหวีผมให้จนฉันรู้สึกดีทันที ราวกับสัญชาตญาณของคนรัก และเบลล์ซังยังตอบเรื่องที่ฉันคิดเหมือนมีพลังจิตอ่านใจได้เลย

 

“สีของเส้นผม จะถูกกำหนดโดยคุณสมบัติพิเศษของเวทมนตร์ที่ติดตัวมายามเกิดค่ะ”

 

“คุณสมบัติ?”

 

“ใช่ค่ะ นอกจากนี้ยังมีประเภทความถนัดของเวทมนตร์ด้วยค่ะ ตัวอย่างเช่น ถนัดเวทมนตร์ธาตุไฟ ก็จะเชี่ยวชาญในการปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือสร้างบางอย่างขึ้นมาค่ะ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะแตกต่างไปตามแต่ละคนด้วยค่ะ
ส่วนประชาชนทั่วไปที่ไม่มีเวทมนตร์ จะมีผมสีดำหรือสีน้ำตาลค่ะ แต่ในบางกรณีที่หาได้ยาก พวกเขาอาจจะมีสีผมสีอื่นๆได้ค่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

ฉันเข้าใจและยอมรับเรื่องนี้ได้ แน่นอนอยู่แล้วว่าถ้ามีพลังเวทมนตร์ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย มันก็ไม่แปลกที่พลังพวกนี้จะส่งผลกระทบต่อร่างกายที่ไหนสักแห่ง อืมๆ ฉันพยักหน้าให้กับคำตอบ ก่อนที่จะมีคำถามใหม่ผุดขึ้นมา

 

“ท่านพ่อ สีดำ เป็นขุนนาง….?”

 

ใช่ ถ้าจะถูกเรียกว่าขุนนางก็ต้องมีพลังเวทมนตร์ หรือมีลักษณะเด่นของเวทมนตร์ หรือว่าจะมีผมสีดำพิเศษที่แยกจากผมสีดำของประชาชนทั่วไป?

 

“อะ เอออออ ค่ะ ฮัททีเรียซามะไม่ได้เป็นขุนนางแต่กำเนิดค่ะ”

 

“หืม?”

 

“นายท่านได้รับการยอมรับจากพระราชา และกลายเป็นขุนนางค่ะ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากเล็กน้อยดังนั้นรอให้อริซซามะโตกว่านี้อีกสักนิด แล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่ดีกว่านะคะ”

 

“ก็ได้”

 

ท่าทางของเบลล์ซังดูจะเลือกคำบางคำด้วยอาการหงุดหงิด บางทีคงมีเบื้องหลังอะไรซับซ้อนมากกว่านี้ ฉันเลยไม่คิดอะไรอีก จากนั้นฉันเลยกลับไปที่คำถามเดิมที่เกี่ยวกับตัวเอง

 

“ผมสีเงิน มีเวทมนตร์ คืออะไร?”

 

“…..”

 

แล้วเบลล์ซังก็เงียบลงไปเหมือนนึกคำพูดไม่ออก ก่อนที่เธอจะเปิดริมฝีปากพูดกับฉันอย่างอายๆ

 

“นั้น นั้นสินะคะ…..ดิฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”

 

“ไม่รู้?”

 

“ค่ะ ผมสีเงินเหมือนของอริซซามะ ไม่มีใครในอาณาจักรนี้เคยมีมาก่อนเลยค่ะ”

 

“เอ๊ะ”

 

เรื่องราวดูยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าสีผมของฉันจะเป็นกรณีที่ค่อนข้างพิเศษหายาก ถึงอย่างงั้นจะเป็นไปได้เหรอที่จะไม่มีใครเคยมีมาก่อน? อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ ถ้าบอกว่าเป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันก็หมดคำพูดใดๆที่จะตอบกลับแล้ว แต่แบบนี้ฉันก็กลายเป็นของหายากเลยนะสิ ฉันยอมรับไม่ได้เลยจริงๆ มันไม่จริงใช่ไหม

 

“อะ แต่ว่า……”

 

“คะ?”

 

ฉันคุ้นเคยกับการมีชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบในชีวิตนี้แล้ว แต่ถ้าให้พูดตรงๆฉันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้คนของโลกนี้เลยแม้แต่น้อย ไม่สิ จริงอยู่ว่าฉันในตอนนี้เกิดและใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันเป็นฉันในตอนนี้คือความทรงจำและประสบการณ์ของชีวิตก่อน

อาจเป็นเพราะว่ามีจิตสำนึกของอีกโลกผสมปนเปเข้ามา จึงทำให้ไม่มีใครที่มีสีผมเหมือนของฉันจนถึงตอนนี้ ――― บางทีคุณสมบัติเวทมนตร์อาจจะเป็นสิ่งที่ติดมาจากโลกเก่า ยังไงก็เถอะตอนที่ฉันคิดว่าเข้าใจได้แล้ว ฉันกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“อริซซามะ?”

 

“……อ อือึอ ไม่มีอาร๊าย”

 

“เช่นนั้นเหรอคะ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะพิเศษยิ่งกว่าใคร ดิฉันรักผมสีเงินแสนสวยของอริซซามะมากๆเลยนะคะ?”

 

เบลล์ซังกอดฉันอีกครั้ง อย่างที่คิดไว้เลย หลังๆมานี้ฉันรู้สึกว่ามีพวกเราจะกอดสกินชิพกันมากขึ้น ถ้าบอกว่านี่คือช่วงเวลาของสาวน้อยในห้วงรักจะเป็นการเสียมารยาทไปรึเปล่านะ? ถ้าฉันปล่อยไว้แบบนี้คงไม่เป็นไร ฉันปล่อยให้เธอกอดจนพอใจถือว่าเป็นความใจกว้างของฉัน แต่ฉันรู้สึกเหมือนถูกความรักของเบลล์ซังโจมตีจนตกหลุมรักเธอแบบถอนตัวไม่ขึ้น

 

“เบลล์…..”

 

“อริซซามะ…..”

 

ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ จมลงในห้วงรัก

ฉันเสมองออกไปรอบๆหาบางสิ่งบางอย่างเพื่อสลัดความรู้สึก รีบเปลี่ยนบรรยากาศ

 

“บางที พิเศษ รึเปล่านะ”

 

“นั้นสินะคะ ดิฉันไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เลยจินตนาการไม่ออกเลย”

 

ฟุๆๆ เบลล์ซังกลับมายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ เธอก็ยังคงชมฉันเหมือนที่ผ่านมา

 

“บางทีอริซซามะอาจจะสามารถใช้เวทมนตร์รักษาอาการบาดเจ็บและอาการเจ็บป่วยได้ก็ได้นะคะ เพราะอริซซามะมีผมสีเงินเหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เลย”

 

“ฮีล”

 

“คะ?”

 

“ม๊ายมีอาร๊าย”

 

มันไม่สำคัญว่าชีวิตก่อนหน้าจะเป็นยังไง แต่คำที่หลุดออกมาจากความรู้ที่ได้จากงานอดิเรกเพื่อความบันเทิงก็มีประโยชน์เหมือนกัน

ถึงกระนั้นความสามารถในการรักษา ถ้าใช่จริงๆก็ยอดเยี่ยมมาก มันอาจเป็นความสามารถที่ฉันต้องการในชาติก่อนก็ได้

….ไม่สิ แต่ว่า นั้นน่ะ นั้นน่ะแปลว่าฉันจะสามารถถูกบังคับให้ต้องทำงานทั้งๆที่ร่างกายเสียหายหนักก็ได้ หรือก็คือ

 

“ถูกใช้งานจน…..”

 

” ――― อึก อริซซามะ นั้น….”

 

ใช่ มันหมายถึงการถูกใช้งานจนเกินขีดจำกัดมากยิ่งขึ้น ฉันเผลอพูดโดยไม่ระวังตัว ฉันต้องการได้รับการให้อภัย พอคิดขึ้นได้ ฉันก็ผงะทันที ดูเหมือนว่าอิทธิพลจากชาติก่อนจะยังไม่สิ้นสุด

ฉันไม่ได้เป็นทาสอีกต่อไปแล้ว ฉันส่ายหัวขับไล่ใบหน้าขมขื่นออกไป

 

“….อริซซามะเป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆค่ะ ถูกต้องแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นอริซซามะอาจถูกจับเข้าไปอยู่ในวังวนของปัญหาต่างๆได้”

 

เบลล์ซังที่แสดงออกอย่างจริงจัง จนดึงฉันกลับสู้ความเป็นจริง

ไม่สิ ฉันอยากให้เธอหยุดรอสักหน่อย เรื่องราวเหมือนกำลังเดินหน้าไปโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยสักนิด นอกจากนี้เหมือนจะเกิดความเข้าใจผิดที่แปลกประหลาดขึ้น มันกลายเป็นความวิตกกังวลไปแล้ว ฉันเลยพยายามที่จะหยุดแม้ในขณะนี้ฉันจะคุมการแสดงออกของตัวเองไม่ได้เลยก็ตาม

 

“บะ เบลล์?”

 

“อ้า……ได้โปรดอย่าทำใบหน้ากังวลเช่นนั้นเลยนะคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เวทมนตร์แห่งการรักษาเป็นเพียงแค่จินตนาการของดิฉันเอง แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นจริง เบลล์คนนี้ จะขอปกป้องอริซซามะจนชีวิตจะหาไม่เองค่ะ”

 

“เอ๊ะ เอ๊?”

 

เบลล์ซังให้ความมั่นใจในขณะที่จับมือฉัน เธอปลอบโยนฉันมากมายจนฉันไม่สามารถตามทันได้

 

“ตลอดไปๆ ดิฉันจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป อริซซามะ…..”

 

“อะ อืม…..”

 

กุเอ๊ะ และฉันก็ถูกหน้าอกสุดนุ่มกอดบดขยี้จนร้อนไปทั้งหน้าอีกครั้ง ฉันลองคิดดูว่าตอนนี้เบลล์ซังกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย แต่เช่นเดียวกับคำว่าเดจาวูก่อนหน้านี้ คำว่าฮีลจะออกเสียงเหมือนคำสักคำในภาษาของจักรวรรดิไหมนะ

และจากนั้นระหว่างค้นหาคำตอบ ฉันก็เงยหน้าขึ้นและประสานสายตาเข้าให้กับสายตาหวานเยิ้มของเบลล์ซัง

ความรู้สึกรักอันรุนแรงถูกถ่ายทอดผ่านดวงตาสีดำสวยทำให้ฉันละลายหลงเสน่ห์ทันที

 

“อริซซามะ…..”

 

“เบลล์…..”

 

ม๊า ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าในที่สุดความเข้าใจผิดจำนวนมากจะได้รับการแก้ไขแล้ว และ ความคิดบางอย่างก็ถูกโยนทิ้งไป

อันที่จริงแล้ว เรื่องที่ผ่านมาก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ส่วนตอนนี้ฉันขออยู่แบบนี้อีกสักนิด ขอถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่นจากร่างกายของเบลล์ซังอีกสักนิด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+