[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 65 5 ฝนฤดูใบไม้ร่วง

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 65 5 ฝนฤดูใบไม้ร่วง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 5 ฝนฤดูใบไม้ร่วง

(เป็นฝนที่มักเกิดขึ้นเนื่องจากการเข้าใกล้ของพายุไต้ฝุ่น)

 

“ขะ ขอรบกวนด้วย นะกะ……”

 

“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้”

 

หลังจากออกจากห้องอาหาร พวกเราก็ตรงไปที่หอพักทันที ผ่านชั้นสามที่ห้องของฉันตั้งอยู่ ขึ้นมายังชั้นที่สี่ซึ่งไม่มีใครได้อาศัยอยู่นอกจากลูน่าและข้ารับใช้ของเธอ เธอได้รับการดูแลเป็นพิเศษอย่างที่คิดไว้สมกับที่เป็นเจ้าหญิง ……แต่ทว่าถึงอย่างงั้นกลับสุภาพอ่อนโยน เมื่อพิจารณาถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างขุนนางกับประชาชนทั่วไปแล้ว การเป็นถึงเจ้าหญิง คงไม่แปลกที่จะเช่าอาคารทั้งหลังแทนที่จะเป็นชั้นเดียว

 

หน้าห้องนั้นใหญ่กว่าห้องอื่นอย่างเห็นได้ชัด ฉันไม่สามารถคว้าช่วงเวลาเข้าห้องได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง สเตลล่าซังเปิดประตูโดยไม่ส่งเสียงดัง และลูน่าก็มองมาที่ฉันอย่างเอาใจใส่ มาลองคิดดูนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เข้าห้องของคนอื่น นอกจากของเบลล์ซัง นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันประหม่ามากเกินจำเป็น และกำลังมีปัญหาในการขยับขา ห้องของลูน่า เมื่อมองจากด้านนอกของประตูที่เปิดอยู่ ดูเหมือนจะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดอยู่บ้าง ทั้งการใช้ห้องอาหารโดยไม่ไปกินอาหารด้านนอกด้วยเหตุผลเดียวกัน ลูน่าจึงค่อนข้างธรรมดา ตรงกันข้ามกับตำแหน่งของเธอ แน่นอนว่าไม่ใช่การเสียดสีหรือประชด แต่เป็นคำชม นอกจากขนาดของห้องแล้ว ในแง่ของการตกแต่งภายใน และความหรูหราของของใช้ส่วนตัวแล้ว ของนักเรียนขุนนางคนอื่น ๆ อาจจะดูสวยกว่าด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นแค่การคาดเดาอย่างสมบูรณ์ เพราะฉันไม่สามารถแอบมองเข้าไปในห้องของคนอื่น ๆ ได้

 

“……อริซซามะ”

 

“ฮะ”

 

ขณะที่ฉันกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น เบลล์ซังก็เข้ามากระซิบข้างหู เมื่อมองไปข้างหน้า ก็เห็นลูน่าที่จ้องมาที่ฉันด้วยสีหน้าลำบากใจจากภายในห้อง ดูเหมือนจะปล่อยให้รอนานเกินไปแล้ว เข้าไปกันเถอะ ท้ายที่สุดฉันก็สามารถออกคำสั่งอย่างยากลำบากให้กับร่างกายที่เกร็งและประหม่าของฉันได้สำเร็จ และในที่สุดก็ผ่านประตูเข้าไปได้ ยังไงก็ตามเสียงฝีเท้าของอีกสองคนกลับไม่ดังตาม ฉันหันแค่คอกลับไปมอง …..อะ ใช่แล้ว ต่อให้ฉันเป็นเพื่อนสนิทกับลูน่ามากแค่ไหน เธอก็ยังเป็นเจ้าหญิง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ข้ารับใช้ของคนอื่นเข้าไปภายในห้องส่วนตัว ถึงแม้จะเป็นเรื่องมารยาทพื้นฐาน แต่เมื่อคิดฉันก็รู้สึกแย่หน่อย ๆ แล้วก่อนที่ฉันจะยอมแพ้ ลูน่าที่เอนหัวก่อนพูดขึ้นมา

 

“….อาร๊า จะรออยู่ข้างนอกงั้นรึ? จะเข้ามาก็ได้น่ะ”

 

“ระ เรื่องนั้นพวกเรามิกล้าถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ….!?”

 

“ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเราหรอกนะคะ เชิญเจ้าฟ้าหญิงกับฮิเมะใช้เวลากันตามลำพังให้สนุกเต็มที่เลยนะคะ!”

 

ฉันรู้สึกว่าสเตลล่าซังตอบสนองต่อคำว่า “เวลาสำหรับสองคน” ที่มิร่าซังพูด แต่ไมใช่เชิงกังวล ลูน่าฝืนยิ้มให้กับทั้งสองคนที่พยายามปฏิเสธ โดยบอกว่าไม่เป็นไร

 

“ม๊า ปกติก็ควรที่จะทำอย่างนั้น แต่พวกเธอน่ะแตกต่าง เพราะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากข้ารับใช้ของอริซ ถ้าไม่มีพวกเธออยู่ด้วย เด็กคนนี้คงจะประหม่าและไม่สบายใจสุด ๆ แน่นอน”

 

….เรื่องนั้นถูกต้องที่สุด เพราะแค่พึ่งเข้าห้องมาฉันก็มีอาการแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะสามารถผ่อนคลายได้หากทั้งสองคนไม่อยู่ด้วย ด้วยหัวที่ว่างเปล่าถึงกับทำให้ฉันพูดไม่ออก ฉันนึกถึงได้แต่อนาคตที่สร้างความเดือดร้อนให้ลูน่าและสเตลล่าซัง สำหรับฉัน สิ่งที่หวังไว้คือถ้อยคำยอมรับจากทั้งสองคน

 

“…..อะ แต่ถ้าพวกเธอคิดว่าอริซสามารถอยู่คนเดียวได้ ฉันก็จะเอาตามนั้น”

 

“อะ อือฮึ ด้วยกัน ม๊ายเป็นร๊าย”

 

ขณะที่อมทุกข์กับคำศัพท์ของตัวเอง ก็พูดว่าไม่เป็นไรออกไป การปฏิเสธข้อเสนอแบบนี้อาจจะเป็นการเสียมารยาทสินะ ทั้งสองคนมองมาที่ฉันอยู่ครู่หนึ่งเพื่อยืนยันว่าดีจริง ๆ แล้วใช่ไหม ฉันตอบกลับด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกว่าได้โปรด จากนั้นทั้งสองก็หันไปมองหน้ากัน ก่อนพยักหน้าให้กันด้วยความเคารพที่ไหนสักแห่งบนใบหน้าของพวกเธอถูกระบายไว้ด้วยสีแห่งความสุข

 

“เช่นนั้น ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ นับจากนี้พวกเราก็ขอฝากตัวอยู่ในความเมตตาขององค์เจ้าฟ้าหญิงด้วยค่ะ…..”

 

“ได้”

 

และลูน่าตอบกลับการขอบคุณอย่างสุภาพว่าไม่เป็น ไม่เป็น แล้วฉันก็ถูกดันเข้าไปในห้อง สเตลล่าซังก็ปิดประตูในขณะที่โค้งผงกหัวให้กับทั้งสองคน เมื่อมองรูปการณ์แล้ว ดูเหมือนว่าสเตลล่าซังเองก็กำลังวางแผนที่จะออกจากห้องในไม่ช้านี้ ดวงตาหลากสีก็ดูมีความประหม่าซ่อนอยู่เล็กน้อยคล้ายกับฉัน

 

“นั่งนี่สิ อริซ”

 

“อืม”

 

แม้ว่าจะมีข้าวของไม่กี่อย่าง แต่ แต่ละชิ้นก็ดูมีระดับ เก้าอี้ที่ลูน่าดึงให้ฉันนั่งไม่ใช่เก้าอี้ไม้ธรรมดาอย่างในห้องฉัน แต่เป็นของที่ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง ที่รองก้นก็เห็นได้ชัด ๆ ว่าบุด้วยหนังบางประเภทที่ถูกยืดออก ทำให้รู้เหมือนของที่”ดูเหมือน”เก้าอี้มากกว่า แม้ว่าเก้าอี้ไม้จะราคาแพงพอสมควร แต่ก็ด้อยกว่าสิ่งนี้มาก ๆ สมแล้วที่เป็นเจ้าหญิง สิ่งนี่เป็นการยืนยันอีกครั้ง ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกเร่งเร้าให้นั่งลงซึ่งเป็นหน้าโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับลูน่า จากนั้นเบลล์ซังกับมิร่าซังก็เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหลังฉันหนึ่งงก้าว อีกครั้งที่ลูน่าแสดงถึงความใจกว้างตามที่คิดไว้ แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้

 

“ดิฉันจะรินน้ำให้นะเจ้าคะ”

 

“ได้”

 

สเตลล่าซังนำถ้วยแก้ววางไว้บนถาดและเทน้ำลงไป ก่อนยกมาวางที่หน้าลูน่ากับฉันทันที เป็นถ้วยแก้วสองใบที่ดูแพงแทนที่จะเป็นถ้วยแก้วไม้แบบของฉัน นอกจากนี้ยังมีถ้วยอีกสองใบบนถาด――――ที่ทำจากไม้――――สเตลล่าซังเทน้ำลงในแก้วและมอบให้เบลล์ซังกับมิน่าซัง ทั้งสองรับไปอย่างเกรงใจ และทำท่าทางขอบคุณก่อนถือถ้วยไว้หน้าหน้าอกของตัวเอง ดูเหมือนเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าลูน่ากับฉันจึงไม่สามารถพูดเป็นเสียงออกมาได้ ขณะที่ลูน่าถือถ้วย ฉันก็ค่อย ๆ ยกขึ้นมา ฉันสงสัยว่าตัวเองจะเผลอทำถ้วยแก้วหรือเปล่า ……สุดยอด ถ้วยเย็นมาก

 

“ขอบคุณมากก่ะ”

 

“ไม่เป็นไร แค่น้ำเอง”

 

ฉันพูดขอบคุณเบา ๆ อีกครั้งสำหรับรอยยิ้มของลูน่า แล้วโค้งให้สเตลล่าซังอย่างเหมาะสม จากนั้นเธอก็กล่าวว่าด้วยความยินดีค่ะอย่างรีบร้อน และโค้งคำนับเล็กน้อย

 

“เพราะท่านเป็นบุคคลสำคัญเพียงหนึ่งเดียวของรูนไฮม์ซามะเจ้าค่ะ”

 

“งะ งั้นเหรอ……”

 

ฉันไม่สามารถพูดได้ว่าไม่จำเป็นต้อง…. ไม่สิ ฉันไม่ควรพูด สำหรับฉัน ลูน่าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียว และฉันก็อยากให้ลูน่าคิดเหมือนกัน และ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฉันได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากลูน่าอย่างชัดเจน ลูน่าเขินเล็กน้อยและมีใบหน้าที่มีความสุขเมื่อฉันมองไปที่เธอ แม้ในเวลาที่กระแอมไอเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ใบหน้าของฉันก็ร้อนขึ้น

 

“ชะ ใช่แล้ว อริซ อยากพูดเรื่องอะไรงั้นเหรอ……?”

 

“นะ นั้นสินะกะ เอ๊ะโตะ……. !”

 

เมื่อเข้าใจกันแล้วก็ไม่ใช่การกลบเกลื่อนทั้งหมด แต่เป็นการได้เวลากลับมายังหัวข้อหลักแล้ว ฉันต้องสรุปสิ่งที่ต้องการให้เป็นคำถามที่เข้าใจง่ายก่อน เพราะสิ่งที่อยากถามคือ ความกลัวที่ว่าตอนนี้ราชอาณาจักรจะกำลังตกอยู่ในสภาพยากลำบาก โกะคิ๊ว ฉันรู้สึกประหลาดใจที่จู่ ๆ น้ำในปากของฉันก็เย็นลง แต่ถ้าคายออกไปก็คงจะไม่ได้ เพื่อที่จะกลับเข้าเรื่องหลักจึงกลืนลงไปทั้ง ๆ อย่างนั้น ฉันแน่ใจว่าถูกทำให้เย็นด้วยเครื่องมือเวทมนตร์ หลังจากเห็นลูน่าที่น้ำเย็น ๆ แบบจิบ ๆ พร้อมฟังแล้ว ฉันก็สลัดเรื่องอื่นออกไป

 

“อาโนเน๊ะ เรื่องนั้นเกี่ยวกับเรื่องของราชอาณาจักร…..”

 

“ของราชอาณาจักร?”

 

ม๊า เป็นฉันเองก็คงไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้โผล่อออกมาจากฉันในการสนทนาในชีวิตประจำวัน ลูน่าเบิกตากลมโตที่โตอยู่แล้วให้โตไปอีก ก่อนที่ไม่นานจะพยักหน้าราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง

 

“คิดไว้แล้วเชียวว่าเรื่องที่อยากจะคุยด้วยต้องไม่ใชเรื่องธรรมดาเกี่ยวกับเรื่องราวในโรงเรียน แต่กลับเป็นเรื่องราวของทั้งราชอาณาจักรนี่ก็เกินคาดไปหน่อยเหมือนกัน”

 

“อืม หนูไม่เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้จริง ๆ”

 

“ใช่”

 

ดูเหมือนว่าจะเดาได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ฉันรู้สึกว่าหลาย ๆ คนรอบตัวฉันมีความสามารถในการสังเกตที่ดีมากซึ่งฉันก็รู้สึกขอบคุณตรงนั้น หรือว่าบางทีอาจจะเป็นการง่ายมากที่จะเข้าใจฉัน บางทีอาจตีความมากเกินไป หรืออาจจะเป็นความเข้าใจผิด

นั่นเป็นเหตุผลที่ลูน่าอยากให้ฉันพูดต่อ

 

“ตอนนี้ ราชอาณาจักร กำลังขาดแคลน อาหาร…..ใช่ไหมกะ?”

 

” ――――、”

 

ฉันคิดว่านี่เป็นคำถามที่สามารถสรุปสิ่งที่ฉันต้องการจะถามได้มากที่สุดแล้ว ฉันแค่เอาแต่คร่ำครวญถึงการขาดคำศัพท์ แต่ในท้ายที่สุด ฉันก็คิดว่าฉันเติบโตขึ้นถึงจุดที่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องยาก ๆ ได้แล้ว นี่ทำให้ฉันมีความสุขกับผลการเรียนและการอ่านในแต่ละวันที่ออกผลของฉัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

 

……ฮา ทุกคนยกเว้นฉันต่างกลืนลมหายใจ ลูน่ามองมาที่ฉันราวกับสูญเสียคำพูด เธอใช้เวลาสองสามวินาทีในการคิดเรื่องนี้สักครู่ ก่อนวางมือลงบนคาง

 

“ทำไม ถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

 

“เอ๊ะโตะ…….”

 

ฉันใช่เวลาคิดที่ลูน่าถามชั่วครู่เพื่อเลือกคำอย่างระมัดระวังทีละคำ มีประมาณสี่เหตุผลที่ฉันเข้าถึง คงจะยาวถ้าต้องอธิบายทุกอย่างตั้งแต่ 1 ถึง 10 และฉันไม่คิดว่าจะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้ ดังนั้นฉันจะพูดสั้น ๆ

 

“หนึ่ง เป็นเพราะสองปีมาแล้วที่ท่านพ่อพยายามลดภาษีจากการเก็บเกี่ยวที่ไม่ดี”

 

“อริซซามะ……..”

 

น้ำเสียงที่เบล่งออกมาโดยไม่รู้ตัวของเบลล์ซังมีส่วนผสมระหว่างความเชื่อมั่นและความตกใจ และเหตุผลต่อไป เป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ตอนที่ฉันได้พบกับอายาเมะเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน

 

“แล้วก็ อายาเมะ…..เพื่อนสีทองของหนู ตอนที่เจอกันครั้งแรกเด็กคนนั้นหิวมาก ถึงจะยังเป็นแค่เด็กแต่หากเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ก็น่าที่จะล่าได้โดยลำพัง”

 

“ฮิเมะ”

 

คราวนี้มิร่าซังทำเสียงคล้ายกับเบลล์ซัง แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ที่นั้น แต่แน่นอนว่ามิร่าซังรู้เรื่องดี เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเราผู้เกี่ยวข้องโดยตรงที่จะสามารถสังเกตเห็นได้ เพราะผลกระทบจากการถูกโจมตี แต่มิร่าซังที่ได้ฟังเรื่องราวทางอ้อมที่รู้สึกความติดขัดที่ไม่ปกติในตอนที่สงบแล้ว

 

“……โรงเรียน ห้องอาหาร มีแค่เนื้อ ไม่มีอย่างอื่นเลย เนื้อไม่ควรเป็นสิ่งที่สามารถมีกินได้ตลอดเวลา”

 

จากนั้นลูน่าและสเตลล่าซังก็แสดงออกว่าเข้าใจและแสดงสีหน้ายอมรับ แต่สามสิ่งนี้ถูกพบก่อนหน้านี้สักพักแล้ว เหตุผลข้อที่สี่ที่ตามมาเป็นประการสุดท้ายถูกพบเมื่อความคิดพัฒนาขึ้น เป็นเหตุผลสำคัญอันดับหนึ่งเลย จดหมายจากคุณพ่อมาช้า

 

“จดหมายของท่านพ่อ มาช้า แล้วก็หนูได้ยินจากเบลล์ว่าการขนส่งทั้งหมดล่าช้า ―――― นั่นคือ ขยับไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรจะกิน……ผิดไหม?”

 

เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากอาหาร ถ้าแค่ใกล้ ๆ นั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่การเดินทางระยะไกลจากมาเรียนามาถึงเมืองหลวง เช่น การขนส่งจดหมายของคุณพ่อมาหาฉัน ก็เป็นอีกเรื่องหนี่ง เพราะคนส่งจำเป็นต้องกินดื่ม และพักตามรายทางอย่างแน่นอน การเดินทางที่สะดวกสบายที่สุดนั้นคือการได้เข้าพักที่โรงแรมในเมืองทุกครั้งก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเป็นเรื่องยากไม่ว่าจะวางแผนอย่างรอบคอบเพียงใด มีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นได้เสมอ แล้วแน่นอนว่าจะต้องมีการเตรียมน้ำและอาหารสำหรับระหว่างงานเดินทาง การที่ต้องใช้เวลาในการเตรียมการเช่นนี้ย่อมเป็นธรรมดาที่การเดินทางจะล่าช้า หรือบางทีตั้งแต่แล้วที่จำนวนคนที่สามารถขนของไปยังที่ห่างไกลได้อาจลดลงเนื่องจากสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ซึ่งเกิดจากการขาดแคลนอาหาร ฉันพุ่งเป้าไปที่เหตุผลที่ขยับไม่ได้เพราะไม่มีอาหาร ฉันว่าอย่างงั้น

 

“อริซ เธอ จริงๆ…….”

 

ฉันจิบน้ำให้ความชุ่มชื้นกับปากที่แห้งของตัวเอง รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับความวิตกกังวลที่ว่าอาจกำลังทำผิดพลาด เพราะผ่านไปเท่าไรก็ไม่มีคำตอบกลับมา เกือบจะทันทีที่ฉันวางถ้วยลง ลูน่าก็คร่ำครวญออกมา เห็นได้ชัดว่าจะไม่ได้เข้าใจผิด อาจมีความแตกต่างในการรับรู้และเหตุผลอื่น ๆ แต่ในตอนนี้ฉันรู้สึกโล่งใจที่เรื่องที่คาดเดาไม่ได้ผิดทั้งหมด ถ้าเรื่องนี้ผิดทั้งหมดล่ะก็ฉันคงกลายเป็นเด็กแปลกหน้าทันทีที่อยู่ดี ๆ ก็เริ่มคิดและพูดอะไรแปลกประหลาดออกมาได้หน้าตาเฉย ฉันไม่รู้ว่าจะโดนทิ้งระยะห่างไหม แต่ฉันไม่ต้องการที่จะคิดถึงสภาพแบบนั้น ……..สายเกินไปแล้ว ฉันลืมคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก่อนซะสนิท

 

“……ใช่ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ราชอาณาจักรในขณะนี้กำลังประสบกำลังปัญหาขาดแคลนอาหารในระดับประเทศ ไม่สิ ต้องกล่าวอีกนัยถึงจะถูกต้องกว่าว่าเป็นเรื่องของประชาชนทั่วไป แม้จะมีการเก็บเกี่ยวที่ย่ำแย่มาหลายปีก็ตาม แต่กษัตริย์องค์ปัจจุบันและศูนย์กลางของราชอาณาจักรก็ไม่มีการดำเนินการพิเศษใด ๆ ออกมา ไม่มีการผ่อนคลายการจัดเก็บภาษี ส่งผลให้รายได้และสิ่งแวดล้อมรอบตัวพวกเราไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เพียงพอที่จะรักษาสภาพที่เป็นอยู่ …….ยกเว้นเพียงมาเรียนาที่ท่านพ่อของอริซปกครองอยู่น่ะ

 

……เป็นเรื่องที่แย่มาก กษัตริย์และขุนนางที่ศูนย์กลางที่ควบคุมกิจการภายในกลับไม่สนใจเพราะไม่มีผลกระทบต่อตนเอง จึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่จะดำเนินการจัดเก็บภาษีต่อไปตามปกติ แม้อาจจะได้น้อยกว่าปกติ แต่ก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังสามารถอยู่กันได้ตามปกติ ยังไงก็ตามนี่ก็คือการพลักภาระไปให้กับประชาชนทั่วไป ซึ่งฉันไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ บรรดาขุนนางของราชอาณาจักรที่ฉันเคยเห็นและได้ยินมาต่างก็คิดแบบนั้นอย่างแน่นอน

 

“ย่ำแย่”

 

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเช่นนั้น แต่ทว่าหากกษัตริย์และขุนนางที่ศูนย์กลางไม่ขยับ ก็ไม่มีอะไรที่คนที่เหลือจะสามารถส่งเสียงออกไปได้ ――――อาจมีความจริงดังกล่าวอยู่เบื้องหลังสิ่งที่ลูน่าพูด

 

“ใช่ แย่มาก พวกเขาเข้าใจผิดในการเป็นขุนนาง ในการเป็นกษัตริย์ นั่นเป็นเหตุที่ฉัน…….”

 

“――――รูนไฮม์ซามะเรื่องนั้นไม่ควรเจ้าค่ะ พวกเราไม่รู้ว่ามีหูสกปรกแอบอยู่หรือไม่”

 

คำพูดของลูน่าที่กำลังโกรธถูกสเตลล่าซังขัดจังหวะก่อนที่จะได้ทันพูดออกมา ยังไงก็ตามฉันเข้าใจคำศัพท์หลังจากนั้นโดยที่ไม่ต้องฟัง ฉันได้ยินเสียงเบลล์ซังกับมิร่าซังกลืนน้ำลายในอึกเดียว ฉันคิดว่าทั้งสองคนสามารถคาดเดาได้อย่างง่าย ๆ เช่นกัน

 

นั่นคือ ฉัน”ไม่ยอมรับพวกเขา”เด็ดขาด ลูน่าพยายามพูดอย่างเฉียบขาดตรงไปที่ใจกลางของราชอาณาจักรโดยตรง ในฐานะเจ้าหญิงคนแรกของราชอาณาจักรรูเนเลีย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ได้รับการยอมรับ…….จากพ่อแม่ของตัวเอง

 

“……นั่นสินะ ขอโทษด้วย”

 

……ฉันจะทำยังไงดี

 

เพื่อ”ความสุข”ฉันจึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างน้อย ๆ ก็รอบตัวฉัน 

ยังไงก็ตามฉันก็พอจะรู้ราง ๆ เพื่อจุดประสงค์นั้น ราชอาณาจักรเองก็ต้องถูกเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

 

ฉันรู้สึกตัวว่า ตัวฉันเองกำลังหวังให้มี”การปฏิวัติ”รออยู่ที่สุดปลายถนนสายนี้

สักวันฉันคงช่วยไม่ได้หากฉันเอาแต่อยู่คนเดียว สถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นคือเลือดที่ไหลนองเป็นแม่น้ำ

 

ฉันจะมีความกล้ามากขนาดนั้นเลยเหรอ

ฉันยังคงมีเจตจำนงที่แข็งแกร่งที่อยากจะเปลี่ยนแปลง แต่เพื่อ”ความสุข”กับคนที่รักแล้ว ฉันจะมีความกล้าที่จะทำร้ายคนที่รักได้ไหม

 

“ลูน่า”

 

“อะไรเหรอ อริซ”

 

…..แต่ แต่ถึงอย่างงั้น เพื่อเพื่อนสนิทคนสำคัญที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนคนนี้ ฉันจะแค่ยืนมองจากระยะไกลอยู่ข้างสนามปล่อยให้เธอต้องถูกคลื่นซัดอย่างโดดเดี่ยวและจมลงไม่ได้

 

“จากนี้ ตลอดไป หนูจะอยู่ข้าง ๆ ลูน่า”

 

ฉันไม่คิดว่าฉันจะทำได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด