[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 81 บทที่ 5 เหตุใดบุตรีขุนนางฮิคิโคโมริเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ 1 ทางกลับ

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 81 บทที่ 5 เหตุใดบุตรีขุนนางฮิคิโคโมริเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ 1 ทางกลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 5 เหตุใดบุตรีขุนนางฮิคิโคโมริเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์

ตอนที่ 1 ทางกลับ

 

ฉันกำลังนั่งตัวสั่นอยู่บนรถม้า ในขณะที่ถูกคุ้มกันโดยกองอัศวินลิลลี่ขาวทั้งหน้าและหลัง ดูเหมือนพวกเขาเพิ่งเดินทางไปทำธุระที่เมืองหลวงพอดี ฉันมองวิวตามเส้นทางกลับบ้านข้ามหลังของมิร่าซังที่กำลังกุมบังเหียนพร้อมกับเบลล์ซังกับอีกสองคน ไม่สิ พร้อมกับคู่หูกับอีกสามคน

 

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ได้ยินแผนการ โรงเรียนก็ปิดทันที ดูเหมือนหลังจากที่คุณตาอธิบายให้นักเรียนทุกคนฟังเสร็จก็ทำการส่งม้าเร็วไปยังแต่ละครอบครัวทั้งแบบนั้นเลย บ้านเกิดของฉัน มาเรียนาอยู่ห่างจากเมืองหลวงมากที่สุดในบรรดาขุนนางที่อยู่ในโรงเรียน แต่ข่าวน่าจะไปถึงก่อน เพราะพวกเราเดินทางพร้อมกันสัมภาระจึงจำเป็นต้องแวะพักระหว่างทางหลายคืน ให้เฉพาะเจาะจงก็น่าจะประมาณหนึ่งหรือสองวันหลังจากที่ข่าวส่งไปถึง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทางกับผู้ส่งสาร ตอนนี้ก็น่าจะส่งข่าวให้กับทางคฤหาสน์รู้แล้วว่าพวกเรากำลังกลับไป ถึงจะยังเป็นเรื่องที่กะทันหันไปหน่อย แต่ก็น่าจะเตรียมพร้อมการต้อนรับกลับไว้บ้างแล้ว คงไม่เกิดความสับสนวุ่นวายที่หน้าประตู ……ไม่สิ อาจเกิดความสับสนขึ้นก็ได้

 

“เบลล์”

 

“คะ อริซซามะ”

 

ฉันมองไปยังท้องฟ้า นึกถึงเพื่อนสนิทที่ไม่สามารถบอกลากันได้ แน่นอนว่าในวันเดินทาง เธอมาส่งฉันขึ้นรถม้าที่ลาบริกซ์ซังเตรียมไว้ให้ แต่พวกเราก็ไม่มีโอกาสพูดคุยส่วนตัวกันอย่างเหมาะสม สถานที่แห่งการจลาจลจึงกลายเป็นสถานที่สุดท้ายที่ฉันได้พูดคุยกับลูน่าอย่างใกล้ชิด หลังจากนั้นก็ช่วงเวลาแห่งการเก็บของของแต่ละคนเพื่อกลับบ้าน และพวกเราสามารถแลกคำพูดได้เพียงแค่คำเดียวเท่านั้นเมื่อแยกจากกัน ถึงอย่างนั้นก็เหมือนได้กำลังใจอันยิ่งใหญ่และการยืนยันความรู้สึกของกันและกันด้วยคำว่า”พบกันใหม่”

 

“ลูน่า จะม๊ายเป็นร๊ายสินะ”

 

“……..ถ้าเป็นเจ้าฟ้าหญิง ดิฉันแน่ใจว่าจะไม่เป็นไรแน่นอนค่ะ อีกทั้งยังมีลาบริกซ์ซามะกับแม็กพ็อดซามะอยู่ที่เมืองหลวง และสเตลล่าซังกับเหล่าอัศวินผู้พิทักษ์อยู่เคียงข้างตลอดเวลา”

 

“นั่นสินะ …….อืม ใช่แล้ว”

 

เบลล์ซังยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่ลูบหลังของฉันเบา ๆ ทำให้ฉันรู้สึกเบาใจขึ้นเล็กน้อย ใช่แล้ว เหมือนที่ฉันมีเบลล์ซัง ลูน่าก็มีพวกสเตลล่าซังเหมือนกัน พอคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกเหงานิดหน่อย แต่ความกังวลเรื่องที่ว่าลูน่าจะเหงาก็ถูกบดขยี้ไป พูดไปแล้ว เด็กสาวคนนั้นที่กลายเป็นเพื่อนใหม่จากคดีในห้องสมุดเองก็อาศัยอยู่ใกล้ ๆ กับเมืองหลวง

 

…..อืม ไม่เป็นไร ลูน่ามีบางอย่างต้องทำที่มีแค่ลูน่าที่ทำได้ ดังฉันเองก็จะทำในสิ่งที่ควรทำ ฉันแน่ใจว่าหนทางจะพาพวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน ดังนั้นมาทำให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ใครมาหาว่าทำเล่น ๆ ได้

 

“ต้องทำให้ดีที่สุด”

 

“ใช่แล้วค่ะ อริซซามะ แต่ว่ากรุณาอย่าหักโหมจนมากเกินไปเข้าใจไหมคะ?”

 

“อืม จะระวัง”

 

ชั่วพริบตา ถึงแม้จะไม่ได้หันกลับมามอง แต่ในช่วงจังหวะหนึ่ง ฉันก็รู้สึกได้ว่ามิร่าซังกำลังฟังการพูดคุยอยู่เช่นกัน บางทีเธออาจจะกังวลเรื่องเดียวกันกับเบลล์ซัง เพราะยังไงก็ตามฉันมีประวัติทำผิดมาก่อนเป็นภูเขา ฉันบอกได้แค่ว่าฉันขอโทษจริง ๆ แม้ว่าฉันจะพยายามมีสติเอาไว้อยู่เสมอ แต่ในกรณีฉุกเฉินร่างกายก็เคลื่อนไหวก่อนเสมอ อย่างแรกเลยก็อาจจะพูดได้ว่ามาตรฐานของการ”ฝืนทำ”นั้นไม่ตรงกัน เมื่อพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ฝังแน่นจากชาติก่อนแล้วก็ค่อนข้างที่จะเป็นไปได้ ตอนนี้ในขณะที่พูด ฉันอาจจะทำในสิ่งที่พวกเบลล์ซังเรียกว่าดันทุรังมากเกินไปที่ไหนสักแห่งอีกครั้ง ฉันแค่หวังว่าเวลานั้นจะไม่มาถึงถ้าเป็นไปได้ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป สถานการณ์ที่ฉันทำแบบนั้นก็เป็นเพราะคนที่ฉันรักอยู่ในความเสี่ยง

 

“…..อะ”

 

“อริซซามะ?”

 

มีแสงระยิบระยับพร่างพรายตกกระทบใบหน้าของฉันเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเมฆแยกตัว ฉันเอามือปิดตาพร้อมมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกเดจาวู มาคิดดูแล้วถนนเส้นนี้ก็เป็นถนนที่ฉันเคยผ่านหลายครั้งในระหว่างที่ไปเยี่ยมชมโรงเรียนและไปเข้าเรียน สามารถมองเห็นทะเลสาบที่อยู่ไกลออกไป ด้านซ้ายและขวาล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้า ถ้าจำไม่ผิด นั่นเป็นทิวทัศน์ที่จะได้เห็นหลังจากที่ออกจากมาเรียนาได้ไม่นาน

 

“ถนนนี้ จำได้”

 

“ใช่ค่ะ พวกเราใกล้จะถึงมาเรียนาเร็ว ๆ นี้แล้วค่ะ ฮิเมะ!”

 

มิราซังยังตอบด้วยน้ำเสียงที่คงความมีชีวิตชีวาของเธอไว้ทั้งที่คอยคุมบังเหียนอยู่ตลอดในช่วงเวลาสามวันที่ผ่านมา แน่นอนเธอบอกว่าไม่ต้องกังวล ถึงยังไงฉันก็ยังแอบรู้สึกเป็นห่วงอยู่ แต่ว่าแล้วความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกเราแตกต่างกันมากเกินไป เพราะเป็นอัศวินล่ะนะ ฉันรู้สึกประทับใจเล็กน้อย

 

“โต้ซามะ จะสบายดีไหม”

 

ฉันนึกถึงหน้าคุณพ่อซึ่งรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอกันมานานทั้งที่จริง ๆ แล้วพึ่งผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน คุณพ่อที่ดูงุ่มง่ามนิดหน่อยแต่อ่อนโยนคอยตอบสนองความเอาแต่ใจของฉัน ฉันคิดถึงมือที่แกร่งหยาบกระด้างที่ชอบลูบหัวจนผมของฉันยุ่งทุกครั้ง

 

“คาลเมียร์ สบายดีไหมนะ”

 

อาจารย์สอนเวทมนตร์ เจ้าของผมสีแดงสดใสที่น่าประทับใจ คาลเมียร์ซัง แม้เธอจะสอนฉันเป็นเวลาสั้น ๆ ในตอนที่ยังอยู่ที่คฤฤหาสน์ แต่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันสามารถควบคุมพลังเวทมนต์ได้ จากการสอนทีละขั้นตอนและให้ใช้จริง

 

――――อ้า ใช่แล้ว

 

ในวันหนึ่งที่คาลเมียร์ซังมาคุยกับฉันเรื่องที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกให้กับคนในครอบครัว พอนึกถึงตอนนี้ก็รู้ได้ว่าเป็นลาบริกซ์ซัง ความทรงจำที่คุณแม่ทิ้งไว้ให้มอบคำตอบให้กับฉัน …..ไม่สิ ใช่แล้ว ความสัมพันธ์ในแบบครอบครัวกับลาบริกซ์ซัง ในที่สุดฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจเหตุผลที่เขามองมาที่ฉันแปลก ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันได้เจอเขา เข้าใจแล้ว เป็นแบบนั้นเองสินะ ไม่แน่บางทีสำหรับเขาแล้ว อาจจะคิดเกี่ยวกับฉันที่เป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทซึ่งสนิทสนมกับครอบครัวของตัวเอง ราวกับเป็นครอบครัวเดียวกันก็ได้ นอกจากนี้เขายังเป็นหัวหน้าของคาลเมียร์ ลูกสาวของตัวเอง จึงไม่น่ามีอะไรต้องเป็นห่วงตั้งแต่แรก ฉันรู้สึกขอบคุณลาบริกซ์ซังสำหรับรถม้าและผู้คุ้มกันในครั้งนี้ รวมทั้งความช่วยเหลือทั้งหมด ท้ายที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด คือ การแต่งตั้งมิร่าซังให้เป็นอัศวินผู้พิทักษ์ของฉัน หากไม่มีลาบริกซ์ซังแล้วล่ะก็คงไม่มีทางได้พบกับมิร่าซัง ได้พบกับคนที่สามารถเชื่อได้อย่างสุดหัวใจ ที่สามารถยิ้มเคียงข้างกันได้เสมอ และมอบความไว้วางใจและความหวังดีให้กัน

 

“….คลอริน่าซัง อาจารย์ อายาเมะ”

 

ความทรงของผู้คนในมาเรียนาถูกปลุกขึ้นในใจฉันทีละคน มาเรียนาเป็นบ้านเกิดของฉันอย่างสมบูรณ์แบบ ฉันพึ่งจะจำความได้แค่สี่ปีเท่านั้น แต่ฉันกลับคิดว่านั่นคือรากเหง้าของฉันและคุ้นเคยอย่างสมบูรณ์แบบ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นกัน ฉันรู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย ก่อนที่จะฟื้นคืนสติเมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองมาที่ฉัน

 

“…..อริซซามะ? ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”

 

“อะ อืม ม๊าย――――เป็นร๊าย”

 

กิ๊ว ฉันถูกบางสิ่งที่ทั้งนุ่มทั้งใหญ่เข้าปกคลุมวิสัยทัศน์อย่างสมบูรณ์แบบ …..หย๊าย กู๊ว หากถามว่าเกิดอะไรขึ้นก็คือ จู่ ๆ เบลล์ซังก็เข้ามากอดฉันโดยไม่ทันให้ตั้งตัว สงสัยว่าเธอคงคิดว่าฉันกำลังรู้สึกเหงาระหว่างที่กำลังจดจ่อกับความรู้สึกลึก ๆ บางอย่างภายใน และเมื่อฉันดิ้นหัวไปมาพยายามหนีออกจากความยิ่งใหญ่จนคอหลุดขึ้นไปด้านบนได้ เบลล์ซังก็จ้องลงมาราวกับมองหาบางสิ่ง

 

“ฟุเอ๊”

 

“…แย่แล้ว ขออภัยด้วยค่ะ ยังไงก็ดิฉันรู้สึกราวกับว่าอริซซามะกำลังจะหายไป”

 

“หนูอยู่ที่นี่”

 

“…..ค่ะ ดัฉันรู้สึกถึงไออุ่นในอ้อมแขน เบลล์จะขออยู่กับอริซซามะเสมอไปค่ะ”

 

“เอ๊ะเฮ๊ะ”

 

คราวนี้เป็นฉันเองที่เอาหน้าฝังลงบนหน้าอกของเบลล์ซังด้วยความแต่ใจอย่างเป็นธรรมชาติ และสำหรับตัวฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบาย เห็นได้ชัดว่าจิตใจของฉันไม่มั่นคงตั้งแต่ที่ได้สืบทอดความทรงจำของคุณแม่ ไม่สิ ควรพูดว่าอัตตาไม่มั่นคงมากกว่าจิตวิญญาณหรือเปล่า 

เหมือนกับว่าตัวเองไม่ใช่ตัวเอง ถึงกระนั้นก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าฉันเป็นตัวของตัวเองได้อย่างชัดเจน…..เหมือนกับตัวตนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมาตลอดได้เปิดเผยตัวเองโดยที่ฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ พูดได้เต็มปาก นั่นแหละคือขีดจำกัด จะยังไงก็ตามไม่จำเป็นต้อง”เล่น”เป็น”สาวน้อย”อีกต่อไป ราวกับว่าตัวฉันเองเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่แรก เมื่อฉันรู้สึกตัว ฉันก็ใช้คำพูดและการกระทำของเด็กอายุหกขวบไปแล้วจริง ๆ จิตใจถูกครอบง่ำด้วยร่างกายอย่างงั้นเหรอ …..ไม่ได้หายไป แต่รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกันเล็กน้อย

 

ฉันครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างคลุมเครือ ขณะที่ปล่อยให้มือของเบลล์ซังลูบเบา ๆ ที่หลังหัว และทันใดนั้นมือก็หยุดลง เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยดวงตาเล็ก ๆ ของตัวเอง สิ่งแรกที่เห็นคือเบลล์ซังกำลังมีสีหน้ากังวลและแย่ ฉันเอียงคอถามอีกครั้ง

 

“…..มีอะไรเหรอ?”

 

“ไม่ค่ะ….. ―――― อริซซามะคืออริซซามะค่ะ”

 

“เอ๊ะ อา……อะ อืม”

 

ฉันเกือบไหล่สะดุ้งตกใจกับคำพูดที่แม่นยำราวกับว่าอ่านใจของฉันได้ แต่ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็เดาว่าเธอกำลังพูดถึงการต้องแบกรับตำแหน่ง”สตรีศักดิ์สิทธิ์” เบลล์ซังขอบคุณนะ ฉันตอบกลับด้วยการกอดเธอ เพื่อบอกว่าฉันไม่เป็นไร และรู้สึกได้ว่าแรงแขนที่กอดฉันอยู่แรงขึ้นกว่าเดิม พวกเราอยู่อย่างงั้นซักพัก เป็นช่วงเวลาหนึ่งภายใต้แสงแดดอ่อน ๆ ฉันและเบลล์ซังแค่กอดกันโดยไม่พูดอะไร

 

“ฮะแอม คะ คือว่า…….ฮิเมะ น็อกซ์เบลซัง…….”

 

ไม่นานนัก พวกเราก็ได้ยินเสียงมิร่าซังจากด้านหน้า เป็นตอนนั้นเองที่ฉันกับเบลล์ซังดึงสติกลับมาได้ ฮะ พวกเราปล่อยมือที่โอบกอดกันออกอย่างเร่งรีบ พอนึกได้ว่าตอนนี้รถม้าไม่มีเพดานหรือผนัง ฉันก็แก้ตัวว่าแก้มถูกย้อมเป็นสีแดงสดเพราะแสงแดด

 

“กรี๊ด…..!เห็นแล้ว เห็นแล้ว!?”

 

“ร้อนแรงกันสุด ๆ เลยล่ะค่ะ!”

 

ฉันได้ยินเสียงจากบนหลังม้าทั้งสองที่กำลังคุ้มกันด้านหลังของรถม้า เสียงที่ได้ยินนั้นชัดเจนในหูอย่างน่าประหลาด ขณะที่ซุกใบหน้าลงกับคู่หูเพื่อซ่อนเอาไว้ ร่างกายของฉันก็ยังเกาะติดกับเบลล์ซังไม่ห่าง หลังจากนั้นอีกไม่กี่ชั่วโมงพวกเราก็กลับถึงคฤหาสน์ ยังไงก็ตามความร้อนบนใบหน้าไม่เย็นลงเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“โรงเรียนปิด การจลาจลของประชาชน…..งั้นรึ”

 

ข้าก้มหน้าครุ่นคิดถึงข้อมูลที่ได้รับจากม้าเร็วที่ท่านพ่อตาส่งมาให้ แน่นอนว่าข้าเองก็เช่นกันว่าแรงกระเพื่อมเช่นนั้นกำลังก่อตัวในหมู่ประชาชนทั่วไปอย่างรวดเร็ว ในฐานะที่เป็นขุนนางปกครองมาเรียนาแห่งนี้ ข้าย่อมต้องรู้ข้อมูลของประชาชนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ใช่แค่มาเรียนา ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะไม่รู้ถึงความไม่พอใจที่แพร่กระจายอยู่ในหมู่ประชาชนทั่วไปทั่วราชอาณาจักร เหนือสิ่งอื่นใด เดิมทีข้าเองก็เป็นสามัญชนมาก่อน ดังนั้นไม่มีทางที่ข้าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของประชาชนที่อยู่ชนชั้นล่างสุด เป็นเรื่องแปลกที่มีการเอารัดเอาเปรียบเพียงฝ่ายเดียวมาจนถึงตอนนี้จากฝั่งขุนนางที่สร้าง”ความมั่งคั่ง”และเพลิดเพลินไปกับสิ่งเหล่านั้น ถึงแม้จะเป็นกลไกของโลกแต่ก็เป็นกลไกที่ผิด ข้าเคยคิดมาแล้วหลายครั้ง การมาถึงของวิกฤตการเก็บเกี่ยวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถึงกระนั้นนโยบายของศูนย์กลางราชอาณาจักรก็ไม่เปลี่ยนแปลง และจำนวนภาษีที่สั่งให้เก็บก็ยังเท่าเวลาปกติ ในทางตรงกันข้าม มีบางกรณีที่มีการบังคับใช้แรงงานเพื่อชดเชยภาษีที่ไม่เพียงพอ เป็นเรื่องธรรมดามากที่ความไม่พอใจจะระเบิดขึ้น ต้องบอกว่าค่อนข้างที่จะเป็นปาฎิหาริย์แล้วที่ยังคงรักษาระบอบความเป็นชาติเอาไว้ได้ เห็นได้ชัดว่า”เรื่องนั้น”จะเกิดขึ้นในระดับอาณาจักรในอนาคตอันใกล้นี้

…..มาถึงขีดจำกัดแล้ว ข้าควรรู้ว่าสิ่งนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว ถึงจะลดหย่อนภาษีไปแล้วก็ยังจำเป็นต้องส่งอาหารให้กับบ้านที่ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพในชีวิตประจำวันได้ ข้าทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ในฐานะลอร์ดของมาเรียนาไปแล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัด ท้ายที่สุดข้าก็ทำได้แค่ใน”มาเรียนา”เท่านั้น เนื่องจากมีส่วนที่ต้องส่งมอบไปยังศูนย์กลางของราชอาณาจักรในฐานะของตระกูลแฟร์มีลจึงมีบางส่วนที่ไม่สามารถผ่อนผันได้ นอกจากนี้ ถึงจะมีอารมณ์รู้สึกรังเกียจ แต่ในขณะเดียวกัน ข้าก็ไม่สามารถแสดงออกอย่างเปิดเผยได้ เพราะหน้าที่ที่ต้องแทนคุณ ข้าไม่ได้เลิศเลอ เหตุผลที่ตอนนี้ข้ายังสามารถหาอาหารในแต่ละวันมาได้ และสามารถส่งอริซไปโรงเรียนได้ ก็เพราะสถานะขุนนางนี้และรางวัลมากมายที่ได้รับจากศูนย์กลางของราชอาณาจักรในฐานะลอร์ดผู้ปกครอง

 

“เป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้แล้วล่ะนะ”

 

แม้แต่ความคิดที่โง่เขลาเช่นเรื่องสถานะขุนนางก็ปรากฎออกมาในเวลาเช่นนี้ ถ้าข้าเลือกเส้นทางที่แตกต่างในเวลานั้น อริซคงไม่ได้มีตัวตนอยู่ ณ ตอนนี้ และในตอนนี้ข้าก็ได้รับนามแห่ง”ฟอน”เอาไว้แล้ว ข้าไม่สามารถหันหลังกลับไปได้อีกแล้ว แต่ถึงอย่างงั้นข้าก็เจ็บปวดยิ่งนัก ในฐานะมนุษย์ที่ชื่อฮัททีเรีย ข้ารู้สึกสนับสนุน――――การจลาจล――――ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงระบบในปัจจุบัน แต่ในฐานะตระกูลแฟร์มีล ข้าต้องปราบปราม และในฐานะพ่อ ข้าต้องหลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่ออริซ ตัวข้ารู้สึกราวกับถูกแบ่งเป็นสาม แน่นอนว่าความรู้สึกที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ลังเลในหมู่ตัวตนนั้นคือ การทำให้อริซปลอดภัย ข้าอยากให้เด็กคนนั้นมีความสุข เรียกว่าไม่มีสิ่งใดที่คุ้มค่าต่อการมีชีวิตมากไปกว่านี้อีกแล้ว ข้าอยากต่อยตัวเองเมื่อหลายปีก่อนที่เอาแต่หนีหน้า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายที่แค่บอกว่าควรให้…ความความสำคัญสูงสุดแล้วจะแก้ได้ ในระยะยาวต้องเล็งที่จะปฏิรูประบบด้วยการยืนเคียงข้างประชาชนทั่วไป หรือมุ่งสู่ศูนย์กลางของราชอาณาจักรในฐานะขุนนางทั้ง ๆ แบบนี้ ข้าควรเลือกทางไหนดีถึงจะสามารถทำให้ลูกสาวของตัวเองมีความสุขได้ ข้าไม่รู้เลย

เป็นความจริงที่มีการทุจริตมากมายอย่างที่กล่าวถึง แต่เพราะสัญญาเอาไว้ ข้าตั้งใจที่จะป้องกันการจลาจลนี้ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าให้สำเร็จให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้น หากใช้กำลังบังคับลงไปแม้เพียงครั้งเดียว ไฟก็จะยิ่งลุกลามรุนแรงขึ้นเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะไม่มีทางป้องกันได้อีกต่อไป แม้จะเข้าร่วมไปกับกระแสของการจลาจลสุดท้ายก็อาจถูกกลืนกินจากแรงกระตุ้น และความเป็นอยู่ที่ดีของอริซก็ไม่สามารถรับประกันได้เสมอไป ……เพราะสุดท้ายพวกเราก็ยังเป็น”ขุนนาง” ไม่ว่าจะพูดหรือลงมือทำไปมากแค่ไหน ก็จะมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่เชื่อในพวกเราอยู่เสมอ ข้าไม่อยากจินตนาการเลยว่าพวกเขาจะทำอะไรและปฏิบัติเช่นไรต่ออริซในยามที่ความรุนแรงมาถึงจุดเดือด และนอกจากนี้อริซมีรูปร่างหน้าตางดงาม หากถูกพรากไปจากอ้อมอกพ่อแม่แล้วล่ะก็ เห็นได้ชัดว่าจะเกิดเรื่องที่แย่ยิ่งกว่าที่จะเกิดกับข้า ความบาดหมางระหว่าง “สามัญชน” กับ “ขุนนาง” ลึกซึ้งมาก

 

“……ฮัททีเรียซามะ นั่น”

 

ความคิดของข้าวนเป็นวงกลมจนเผลอก้มหน้าหนักยิ่งกว่าเดิม ข้ารู้สึกท้อแท้ราวกับกำลังจะยอมแพ้เมื่อคิดว่าตนเองไม่สามารถทำอะไรได้เลย แล้วก่อนที่จะรู้ตัว ข้าก็ทุบกำปั้นที่กำแน่นลงกับโต๊ะอย่างรุนแรง มือขาวเรียวของหญิงสาวเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมากุมมือข้าให้ใจเย็น ๆ ….อ้า ใช่แล้ว เห็นได้ชัดว่าข้าในตอนนี้มุมมองคับแคบลงจนแม้แต่ข้ารับใช้ที่เข้ามาในห้องก็ไม่สังเกตเห็น

 

“…..อ้า คาลเมียร์ ขอโทษด้วย”

 

” มะ ไม่ค่ะ …..บางเวลาดิฉันก็มีความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้เหมือนกันค่ะ”

 

แก้มของคาลเมียร์ที่พูดเช่นนั้นกำลังสั่นอยู่แน่นอน ราวกับว่ากำลังอดทนต่อบางอย่าง ไม่เพียงแค่คาลเมียร์ที่อยู่ที่นี่ ที่ด้านหลังของข้าเหล่าข้ารับใช้ชั้นเลิศทุกคนที่โดยปกติจะไม่เปิดเผยตัวตนต่างอยู่ที่นั่น

 

“ฟู๊ว……”

 

…….ไม่ว่าจะมองทางไหนข้าก็ไม่สามารถนึกถึงความคิดดี ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ได้เลย อันที่จริง ข้าแค่คร่ำครวญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เหมือนเมื่อก่อน และไม่ได้มองหาวิธีแก้ปัญหาด้วยซ้ำ ข้ากระดกถ้วยในมือลงคอ แล้วหายใจเข้าเฮือกใหญ่ พยายามทำให้หัวเย็นลงเล็กน้อย จากนั้นก็คิดเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เหนือสิ่งอื่นใดนี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะสามารถตัดสินใจเองได้ ก่อนอื่นต้องได้คุยกับอริซ ลูกสาวสุดที่รักของข้า คุยแบบเห็นหน้ากับเจ้าตัว

 

“แล้ว เกิดอะไรขึ้นคาลเมียร์”

 

“ค่ะ ตอนนี้ หนึ่งในอัศวินลิลลิ่ขาวที่รับหน้าที่คุ้มกันการเดินทางขากลับของอริซซามะ ได้เดินทางล่วงหน้ามาเพื่อรายงานกับนายท่านว่าอริซซามะและคนอื่น ๆ จะถึงที่นี่ในเร็ว ๆ นี้…..”

 

อริซกำลังจะกลับมาถึงในเร็ว ๆ นี้ ข้าจะได้เห็นหน้าลูกสาวในอีกไม่ช้า

เพียงเท่านี้แรงดึงดูดที่ครอบครุมทั้งตัวก็ไหลหายไป พอเงยหน้าขึ้นได้ข้าก็ลุกขึ้นทันที ข้าต้องไปเตรียมตัวสำหรับการต้อนรับโดยเร็ว อย่างน้อยก็ไม่ใช่ด้วยหน้าแบบนี้ ข้าไม่สามารถต้อนรับลูกสาวที่กลับมาบ้านด้วยสีหน้าที่กังวลใจได้

 

“นี่ค่ะ”

 

“……ขอโทษด้วย”

 

ข้าล้างหน้าด้วยน้ำที่ถูกเตรียมเอาไวก่อนที่ข้าจะทันได้ถามหา ไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะเร่งรีบมากเช่นนี้ แต่ข้าก็เช็ดหน้าด้วยผ้าแห้งอย่างหยาบ ๆ จากนั้นเดินลงบนไดของคฤหาสน์อย่างเร่งรีบ คาลเมียร์และคนอื่น ๆ มาเตรียมตัวทีละคนอย่างต่อเนื่องโดยไม่พูดอะไร

 

“….เอาล่ะ เป็นยังไงบ้าง ไม่มีอะไรแปลกสินะ?”

 

“เอ๊ะโตะ ค่ะ! ดิฉันคิดว่าไม่ต้องห่วงค่ะ!”

 

ข้ารออย่างกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขนานกว่าสิบนาที ข้ารับใช้คนหนึ่งเข้ามาเพื่อบอกว่าทุกคนได้มาถึงแล้ว ข้ากระโดดออกจากคฤหาสน์ไปทางประตูก่อนที่จะฟังจบ คาลเมียร์ตามหลังมาอย่างเร่งรีบ เมื่อข้าไปถึงที่หมายโดยไม่สนสายตาของผู้พบเห็น มีรถม้าคันหนึ่งที่มีอัศวินคุ้มกันทั้งหน้าและหลังหยุดอยู่ ที่ลงมาก่อนคือผมสีฟ้าอ่อนและผมสีดำ มิแรนด้าที่หันมาเห็นรีบทำความเคารพข้าอย่างเร่งรีบ ข้ากังวลนิดหน่อยว่าทำท่าทางดูคุกคามมากไปหน่อยหรือเปล่า ก่อนพยายามทำให้เธอใจเย็นลง

 

“…….มิแรนด้า เบลล์”

 

“กลับมาแล้วค่ะ ฮัททีเรียซามะ”

 

“อะ อ๊ะ”

 

ข้าคิดว่าพวกเธอควรได้รับคำขอบคุณจากใจจริง

แต่จิตสำนึกทั้งหมดของข้ามุ่งตรงไปยังแสงสีเงินน่ารักที่กำลังส่องประกายเจิดจ้าที่กำลังลงมาจากรถม้าโดยมีเบลล์กำลังจูงมือพยุงตัวเอาไว้ นี่เป็นช่วงเวลาที่ข้าไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลย ถึงแม้จะรู้ว่าปลอดภัยแต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ……ย่อมเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เมื่อได้ยินว่าลูกสาวกำลังตกอยู่ในอันตรายจะมีพ่อแม่ที่ไหนไม่เป็นห่วงบ้าง ถ้าไม่ได้ยินว่ากำลังเดินทางกลับมาคฤหาสน์แล้ว ข้าคงจะยกเลิกงานทั้งหมดแล้วรีบเดินทางไปรับเองทันที

 

“อา……..”

 

ราวกับทุกอย่างที่ห่อหุ้มข้าได้คลี่คลายออกไปอย่างหมดจด

สีทองดุจจันทรา รอบล้อมด้วยเกร็ดดอกไม้หิมะที่เบ่งบานงดงาม

 

“――――กลับมาแล้วก่ะ โอโต้ซาม๊า!”

 

…..อา

 

――――ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ อริซ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด