[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 68 8 หิมะถล่ม

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 68 8 หิมะถล่ม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 8 หิมะถล่ม

 

“ฮา~ สดชื่นจัง”

 

ฉันเช็ดเหงื่อที่กลายเป็นเมือกบนผิวด้วยผ้าชุบน้ำหมาด ๆ แล้วใช้ผ้าแห้งซับน้ำให้แห้ง ในที่สุดฉันก็รู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อยจากความไม่สบายตัวจากเหงื่อ และนั่งลงบนเตียง ฉันอยากจะนอนลงอย่างไร้กังวลด้วยร่างที่เปลือยเปล่าไร้ด้ายบนตัวสักเส้นเดียวไปทั้ง ๆ แบบนี้เลย แต่คงดูไร้ยางอายไปหน่อย ฉันเห็นสเตลล่ากำลังโกรธอยู่

 

“รูนไฮม์ซซามะ”

 

“รู้แล้ว ๆ จะแต่งตัวเดี๋ยวนี้แหละ”

 

เมื่อถูกตำหนิฉันก็ยืนขึ้นอย่างสงบเสงี่ยม สอดเท้าเข้าไปสวมกางเกงในฟักทอง แล้วรอสเตลล่าพันชายขอบด้วยริบบิ้นอย่างอดทน จริง ๆ แล้วกางเกงในฟักทองพวกนี้ ฉันเพิ่งเริ่มใส่เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ฉันไม่เคยสนใจในชุดชั้นในเลย หรือจะพูดให้ถูกคือ น้อยคนนักที่จะรู้ถึงการมีอยู่ของชุดชั้นใน และถึงรู้ก็มีน้อยคนลงไปอีกที่จะมีไว้ในครอบครองและสวมใส่เป็นประจำ ฉันได้ยินมาว่าค่อนข้างแพร่หลายเป็นที่นิยมในจักรวรรดิ แต่ไม่ใช่ในราชอาณาจักร ข่าวลือเดียวที่ฉันได้ยินคือ เป็นของที่ถ้าให้พูดล่ะก็……คือเป็นของที่นิยมในหมู่คู่รักบางส่วนที่ไม่ชอบการปกปิดร่างกายยามอยู่ด้วยกัน พูดง่าย ๆ ก็คือของที่ตอบสนองความต้องการแปลก ๆ สำหรับคนที่ “กล้าแสดงออกทางเพศ” บางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกหลังได้ยินมีแต่เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ ฉันจึงรู้ว่าสิ่งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน

 

“……ตอนที่ได้รู้ว่าอริซสวมไว้ ฉันรู้สึกประหลาดใจจริง ๆ”

 

“กางเกงในฟักทองหรือเจ้าคะ?”

 

“ใช่”

 

ดังนั้น เมื่อฉันได้เห็นอริซสวมกางเกงในฟักทอง ช่วงเวลานั้นติดตาฉันจริง ๆ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอริซจะใส่ ยังไงก็ตาม มาคิดย้อนหลังแล้วก็ค่อนข้างเป็นการหยาบคายเหมือนกันที่จ้องเขม็งไปใต้กระโปรงคนอื่น….. ถึงจะผ่านไปแล้วฉันก็ยังอยากขอโทษ เป็นอดีตที่อยากแก้ไขที่ทำให้แก้มร้อนผ่าวทุกครั้งที่นึกถึง

แน่นอน ในขณะนั้นความคิดต่าง ๆ เข้ามาในหัวของฉัน ทั้งความตกตะลึงที่เรียบง่ายดาย และความสับสนที่แตกต่างจากปกติจากความใจกล้าอย่างเกินคาด แต่เมื่อได้ลองมาคิดดูให้ดีแล้ว ความคิดของฉันนั้นเป็นความเข้าใจผิดอย่างสุดโต่ง อย่างแรกเลย กางเกงในฟังทองไม่ได้เกิดมาเพื่อจุดประสงค์นั้น และถ้าอริซเป็นก็คงอึดอัดในหลาย ๆ อย่าง ไม่สิ กับหลาย ๆ คน

 

“การไม่สวมอะไรใต้ชุดเดรส น่าอาย แบบนั้นสินะ”

 

นั่นคือคำตอบที่ฉันได้เมื่อถามไป ยังไงก็ตามฉันไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น เธอยังพูดถึงเรื่องสุขอนามัยด้วยว่า ถึงแม้จะสวมชุดเดรสอย่างมิดชิด ฝุ่นที่ลอยขึ้นมาถึงจะไม่ได้สัมผัสกับผิวหนังโดยตรงแต่ก็ไม่ได้หายไปไหน สิ่งสกปรกจะสัมผัสก้นโดยตรงเมื่อนั่งลงบนอะไรบางอย่าง เป็นการยืนยันที่ไม่สามารถเข้าใจได้เลย ฉันไม่เคยหยุดสังเกตเรื่องเหล่านั้นเลย เพราะนั่นไม่ได้เป็นสามัญสำนึกพื้นฐาน แต่เมื่อยิ่งฉันคิดอย่างใจเย็นเกี่ยวกับการพูดอธิบายของอริซ ฉันก็ยิ่งรู้สึกยอมรับมากขึ้น เลยค่อนข้างทำให้ฉันรู้สึกว่าทำไมฉันถึงยังสบายดีมาจนถึงตอนนี้ และฉันยังได้ยินมาอีกว่าเธอมอบกางเกงในฟักทองที่ทำมือให้ข้ารับใช้ที่ชื่อน็อกซ์เบล และเกริ่นอีกว่าเธอกำลังวางแผนลับ ๆ ตั้งใจจะทำและมอบให้กับอัศวินมิแรนด้าในภายหลังด้วยเช่นกัน 

ยังไงก็ตาม ฉันเริ่มใส่กางเกงในฟักทองเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากคำพูดของอริซ คำพูดและพฤติกรรมที่ผิดปกติที่อริซแสดงเป็นครั้งคราวเหล่านั้น หากตั้งใจรับฟังเรื่องราวให้ดีก็จะมีเหตุผลที่สามารถเข้าใจได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ในหลายกรณีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านั้นเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับอริซ ถึงจะมีความแตกต่างทางสถานะ แต่พวกเราก็เติบโตมาในชนชั้นสูงของราชอาณาจักรเดียวกัน ทั้งที่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนเธอจะมาจากดินแดนอื่น

…..ม๊า ข้อมูลของอริซที่ฉันได้รับเกี่ยวกับรูปแบบการใช้ชีวิตและสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่จนกระทั่งมาพบฉันค่อนข้างคลุมเครือ

ถ้ามีอดีตแบบนั้นจริง ๆ ฉันแน่ใจว่าโลกของเธอคงถูกเรียบเรียงขึ้นมาจากแค่ความคิดของเธอเท่านั้น ถึงได้ยังมีส่วนที่ไร้เดียงสาแสดงออกมาเช่นนั้น อริซเป็นลูกสาวไข่ในหินที่ยิ่งกว่าฉันแน่นอน ฉันรู้สึกว่าสถานการณ์คล้ายกันเล็กน้อย แต่ฉันไม่ได้โดดเดี่ยวจากโลกภายนอก

 

“ค๊า รูนไฮม์ซามะ บันซ๊าย”

 

“บันซ๊าย”

 

หลังจากผูกริบบิ้นที่ชายกระโปรงแล้วก็สวมเสื้อจัดแต่งชุดให้เรียบร้อย ฉันไม่รู้ว่าเล็งไว้รึเปล่าแต่งชิ้นส่วนบาง ๆ ที่แบ่งส่วนบนล่างแอบเหมือนกับของอริซ …..ไม่สิ เล็งไว้แน่ ๆ การแสดงออกที่ดูมีความสุขตลอดเวลาบนใบหน้านั่นส่วนใหญ่แสดงออกยามที่ได้กลั่นแกล้งฉัน คงมีแต่ฉันที่บอกได้ และในตอนหลัง เมื่อเห็นฉันยืนเคียงข้างอริซแล้วเธอคงพูดว่าเหมือนกันเลยนะเจ้าคะแบบนั้นแน่ ๆ 

ยังไงก็ตาม เสียงตะโกนบันซ๊ายที่ไม่เข้าใจความหมายนี่ก็เป็นอิทธิพลจากอริซเช่นกัน ในตอนที่พวกเราซ้อมละครสำหรับงานเทศกาลโรงเรียนด้วยกัน ในเวลานั้นอริซได้เปลี่ยนชุดลำลองและพึมพำออกมา สเตลล่าที่ได้ยินก็รู้สึกชอบใจในทันที

 

“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ ยังคงงดงามเช่นเดิม”

 

“เรื่องนั้นยังไง…….ก็ช่าง พวกเราใช้เวลากันมานานพอแล้ว รีบไปกันได้แล้ว”

 

“กรุณาระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ หากเร่งรีบเกินไปอาจได้ชนเข้ากับบุคคลในโชคชะตาที่มุมทางเดินก็ได้”

 

“……ฉันไม่คิดที่จะตามกระแสอะไรแบบนั้นหรอกนะ”

 

“แบบนั้นรึเจ้าคะ”

 

“แบบนั้นแหละ”

 

ผลกระทบของการแสดงละครในงานเทศกาลโรงเรียน อริซเอฟเฟกต์ หรือเรื่องราวความรักกำลังได้รับความนิยมในหมู่สาว ๆ คุณหนูที่อยู่ในโรงเรียนตอนนี้ ชนเข้ากับบุคคลในโชคชะตาที่มุมทางเดิน เป็นฉากเริ่มต้นของผลงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดงานหนึ่งก็ไม่ผิด 

แต่ ใช่แล้ว นอกเหนือจากคำแนะนำของฉันแล้ว ลองแนะนำหนังสือที่กำลังเป็นที่นิยมและใกล้ตัวไปด้วยน่าจะดี ถ้าหากเธอตามประเด็นที่เป็นที่นิยมรอบตัวได้ทัน มิตรภาพกับเพื่อนนักเรียนของอริซก็จะ………..

 

“แล้วฉันกลายเป็นแม่ของเด็กคนนั้นไปแล้วรึไงกันน๊า”

 

“ไม่ใช่พี่สาวรึเจ้าคะ”

 

“ไม่เหมือนกัน”

 

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ อยากเป็นน้องสาวนี่เอง”

 

“เงียบไปเลยนะย๊ะ”

 

หลังเสียงกล่าวขออภัย มีเพียงฉันคนเดียวที่ถอนหายใจกับสเตลล่าที่ดูจะสนุกสนานน่าดู ขณะฟังเสียงหัวเราะเบา ๆ ฉันก็ตระหนักได้ว่าไหล่ของตัวเองอ่อนแรงลงแค่ไหน อาจเป็นเพราะความกระตือรือร้นที่อยากจะแนะนำหนังสือให้อริซมีมากไปเลยทำเคลียดเล็กน้อย ระหว่างที่คิดว่าจะแนะนำอะไรให้ดี ฉันก็สวมรองเท้าส้นเตี้ยที่ไม่เป็นภาระกับเท้า ……จริงสิ จากนี้ไปฉันจะแบ่งปันความสนุกของสิ่งที่ชอบกับอริซ ปล่อยตัวไปตามสบายมากกว่านี้อีกหน่อย จะง่ายกว่าเล็กน้อยสำหรับอริซ หากเธอได้รู้สึกเหมือนปล่อยให้ร่างกายลอยไปตามธรรมชาติ กำลังพูดว่าอะไรอย่น่ะ สเตลล่า?

 

“…..ฟุๆๆๆ”

 

“ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้นั้น” 

 

“แต่ดิฉันแน่ใจว่าได้พูดอะไรออกมานแน่นอน

 

“ฉันไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษออกไปแน่นอน”

 

บทสนทนากับสเตลล่าแบบนี้ ถ้าคนที่ไม่รู้จักมาได้ยินจะต้องแปลกใจแน่นอน เพราะไม่มีทางเลยที่ข้ารับใช้จะกล้าเย้าแหย่ผู้เป็นเจ้าหญิง เจ้านายของตนเช่นนี้ ซึ่งปกติไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นได้เด็ดขาด แต่ทว่า ฉันรู้ดีว่าเธอเป็นห่วงฉันมากแค่ไหน ในขณะที่กำลังพูดเรื่องตลกที่ไร้อารมณ์และไร้จุดหมาย เพราะแบบนี้ฉันจึงไม่เคยโกรธทัศนคติของสเตลล่าเลย

คนรอบข้างที่รู้เหลือนี้จึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร แต่ยังมีการแสดงออกอ้อม ๆ อยู่เล็กน้อย

 

“พวกเราคุยกันมากพอแล้ว รีบไปกันเถอะ”

 

“รับทราบแล้วเจ้าค่ะ”

 

หลังได้ยินเสียงประตู พวกเราก็เดินมุ่งตรงไปที่ทางออกตามทางเดินเงียบ ๆ ที่สะท้อนเสียงรองเท้าดัง กึกๆๆ ฉันแน่ใจว่าเธอคืนหนังสือเสร็จแล้ว และทีนี้พวกเราสามคนจะไล่ดูชั้นหนังสือด้วยกัน เท้าของฉันก้าวเร็วขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

 

“…..อาร๊า ดูเหมือนว่าฝนกำลังจะตกเลยนะเจ้าคะ”

 

“ครั้งแรกในรอบสิบวันสินะ”

 

เกี่ยวยังไงกับเรื่องนี้? ระยะห่างทางเดินสั้น ๆ ที่จะมุ่งหน้าไปหาอริซที่รู้อยู่ที่ห้องสมุด อ้า แต่ว่าหากพวกเรากลับจากห้องสมุดช้าจนฝนเริ่มตกไปแล้ว หนังสือที่ยืมมาอาจเปียกเสียหายได้ เมื่อฉันเข้าใกล้น้ำพุ ฉันมองย้อนกลับไปที่อัศวินในชุดเกราะที่เดินผ่านมา เขาหยุดคำนับและกลับไปลาดตระเวนอีกครั้ง

 

“เน๊ เดี๋ยวก่อน”

 

“พะยะค่ะ ฝ่าบาทเจ้าฟ้าหญิง!”

 

เขาเป็นหนึ่งในอัศวินผู้พิทักษ์ที่ถูกส่งมาพร้อมกับฉัน ยังไงก็ตามการที่มีคนในชุดเกราะเต็มตัวตามติดไปที่ต่าง ๆ ตลอดเวลาก็ทำให้ทั้งฉันทั้งอีกฝ่ายต่างเหนื่อยล้าในจิตใจ เพราะแบบนั้น ประมาณหนึ่งเดือนก่อน ฉันจึงเกลี้ยกล่อมให้อีกฝั่งยอมเข้าใจว่าในเวลากลางวันมีแค่สเตลล่าเพียงคนเดียวก็พอแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาก็ย้ายจากเฝ้าห้องฉันไปเป็นลาดตระเวนในโรงเรียนแทน ม๊า ฉันไม่คิดว่าจะมีใครกล้าก่อการทำอะไรผิดในใจกลางเมืองหลวงได้ แต่สำหรับพวกเขาจะทำเป็นไม่สนใจแบบนั้นไม่ได้ เพราะการปกป้องฉันคือหน้าที่อันสูงสุด แต่ท้ายที่สุด ความจริงที่ว่ามีอัศวินคอยปกป้องฉันอยู่ก็ทำให้รู้สึกถึงความปลอดภัย ดังนั้นฉันจึงสั่งให้ทำตามใจชอบได้เลย ส่งผลให้อัศวินผู้พิทักษ์ยังคงผลัดกันปฏิบัติหน้าที่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยลาดตระเวนและเฝ้ายามหน้าห้องในเวลากลางวัน และอีกส่วนที่เหลือจะทำหน้าเฝ้าหอพักในเวลากลางคืน ความจริงคือ เรื่องนี้แม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่าได้รับการคุ้มครองที่เพียงพอ แต่ก็คล่องตัวกว่าพวกที่ศูนย์กลางเป็นอย่างมาก

 

และเหตุผลที่ฉันหยุดเขาในตอนนี้ก็คือการขอยืมพลังของคนที่”ยืดหยุ่น”เช่นนั้น วันนี้ในตอนที่อริซมาเยือนหน้าที่เฝ้าหน้าห้องถูกถอดออกชั่วคราว การที่เห็นเขามุ่งหน้าตรงไปที่หอพัก บางทีอาจอาจถึงเวลาเข้าเวรเฝ้าหน้าห้องของเขาก็ได้ 

 

“ดูแล้วฝนกำลังน่าจะตก แต่ฉันทิ้งร่มไว้ที่ห้อง ฉันอยากรบกวนให้เจ้าไปนำมาให้ฉันหน่อยได้หรือไม่”

 

“รับพระบัญชาพะยะค่ะ จะมิทำให้ผิดหวังพะยะค่ะ …..เช่นนั้นแล้วจะให้นำไปมอบให้ที่ใดหรือพะยะค่ะ?”

 

เข้าตอบรับคำสั่งในทันที แม้จะมีชะงักไปชั่วครู่ หากเป็นอัศวินธรรมดาล่ะก็คงไม่กล้าเข้าไปในห้องของเจ้าฟ้าหญิงโดยพลกาล และต่อให้ฉันอนุญาตก็คงต้องเสียเวลาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขายอมเข้าไปในห้องอีกอยู่ดี หรือบางมีอาจไม่ยอมรับคำสั่งเลยก็ได้ แต่เหล่าอัศวินผู้พิทักษ์รู้ว่าฉันไม่ชอบการตอบโต้แบบนั้น

และแน่นอนว่าเขาคงรู้คำตอบของคำถามอยู่แล้ว นอกจากนี้เรื่องที่ฉันจะไปห้องสมุดต่อจากนี้ก็จะถูกถ่ายทอดไปยังอัศวินผู้พิทักษ์คนอื่นด้วยแน่นอน อันที่จริงตั้งแต่ทันทีที่เห็นอริซออกไปห้องสมุดก่อนได้ไม่นาน สเตลล่าก็ได้สื่อสารออกไปแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะปรับตัวเข้าหาอย่างสุดกำลังเท่าไร ก็ไม่ได้หมายความพวกเขาจะทำตามคำขอ…….คำสั่งของฉันได้โดยไม่สอบถามรายละเอียด นี่จึงเป็นการพูดคุยอย่างเป็นทางการที่ใกล้เคียงกับการออกคำสั่งยืนยัน

 

“ช่วยเอาไปให้ที่ห้องสมุด ฉันจะพยายามอยู่ให้ใกล้ทางเข้าให้มากที่สุด”

 

“ได้โปรดอย่าได้เป็นกังวลพะยะค่ะ …….เช่นนั้นกระหม่อมจะรีบไปนำมาให้เร็วที่สุด”

 

“ขอบคุณ”

 

“เช่นนั้นขอประทานอนุญาตพะยะค่ะ ขอให้สนุกกับการแลกเปลี่ยนมิตรภาพอันล้ำค่าพะยะค่ะ”

 

“…..เอ๊ะ อ้า ใช่”

 

ฉันเหลือบมองสเตลล่าเล็กน้อย กับคำสุดท้ายที่ดูเหมือนจะมีความหมายนัยแปลกๆๆ ที่ถูกทิ้งไว้ให้ฉันโดยไม่คาดคิด ฉันแน่ใจว่าต้องเป็นยัยเมดตัวแสบคนนี้แน่นอนที่แอบใส่ไฟกระจายเรื่องการนัดกันธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นความลับระดับการแอบพบกันของคู่รัก แต่ฉันคิดว่าเขาคงคิดว่าเป็นการไปคุยเรื่องละครบทพิเศษ หรือการประชุมลับอะไรทำนองนั้น แต่ฉันไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะรับข้อมูลแบบนี้ทั้งที่กำลังเดินทางอยู่

 

“เกิดอะไรขึ้นรึเจ้าคะ”

 

“…..จริง ๆ เลย ไม่มีอะไรทั้งนั้น”

 

ครั้งนี้ ไม่สิ ครั้งนี้ก็อีกแล้ว ฉันจะยอมให้อภัยไปก่อน เพราะการทำงานอย่างขยันขันแข็ง ช่วยไม่ได้

วันนี้ฉันถอนหายใจสองสามครั้งแล้ว จากนั้นขึ้นบันไดข้ามห้องอาหารอย่างรวดเร็ว ถ้าเลี้ยวเข้าไปในทางเดิน ห้องสมุดจะอยู่ตรงนั้น พูดไปแล้วนี่เป็นครั้งที่สองที่ฉันได้มาที่นี่ด้วยตัวเอง แต่นี่เป็นครั้งแรกในฐานะนักเรียน เท่าที่ฉันยืนยันได้เมื่อตอนที่ได้รับคำแนะนำในระหว่างการเยี่ยมชม เท่าที่ฉันสามารถบอกได้มีหนังสือหลายเล่มที่ฉันอ่านแล้วหรือไม่สนใจ และฉันก็เต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับอริซมากจนฉันไม่คิดออกนอกเส้นทางไปไกล แต่ถ้าลองมองหาอย่างตั้งใจอาจพบของหายากที่ไม่คาดคิดก็ได้ มาใช้โอกาสนี้ทดสอบตัวเองด้วยเลยดีกว่า สเตลล่าเปิดประตูขณะถูกเร่งด้วยท่าทางอยากสนุกของฉัน ฉันเข้าไปข้างในเพื่อค้นหาผมสีเงินสวยงามที่เด่นสะดุดตา

 

“เธออยู่ที่ไหนกันน๊า………”

 

กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของแผ่นกระดาษพาร์ชเมนต์และหมึกได้เข้ามาห่อหุ้มร่างกายไว้อย่างอ่อนโยน ชั้นวางหนังสือสูงเรียงกันแน่นจนแทบไม่มีช่องว่าง แม้จะด้อยกว่าหอสมุดในพระราชวัง แต่ก็มีงดงามประทับใจจนไม่มีใครเทียบได้ เนื่องจากใช้พื้นที่เกือบทั้งหมดบนชั้นสองของอาคารขนาดใหญ่แห่งนี้ จึงมีขนาดแตกต่างจากที่ห้องสมุดติดโบสถ์

 

“……เรียน แม……….”

 

ฉันรู้สึกว่าเหมือนได้ยินเสียงของอริซพึมพำเบา ๆ จากแถวที่สามหรือสี่ ฉันรู้ได้ทันทีเลยว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่จากเสียงที่ได้ยินแค่เพียงเล็กน้อย ฉันเดินเข้าไปหาในสภาพฝืนยิ้มโดยไม่ตั้งใจ ที่พอจะเดาคือเธอยังคงกำลังมองหาหนังสือเกี่ยวกับแมเรียน พูดไปก็เหมือนหมดหวังหากต้องไปเทียบกับสิ่งนั้น

 

“ช่างเหมือนคนที่คลั่งไคล้จริง ๆ”

 

“แน่นอน หนูชอบผลไม้ที่มีต้อนกำเนิดในมาเรียนา”

 

“ใช่ ยามที่เธอพูดถึงแม้เพียงน้อยนิดเหตุผลและสติของเธอก็แทบจะลอยไปไกลเลยน๊า ดูท่าจะชอบมากจริง ๆ”

 

ใช่ นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้รู้สึกเหมือนว่าอริซเป็นเด็กแปลกหน้า เด็กคนนี้รักแมเรียนมาก ชอบในระดับที่เกินกว่าคำว่าบ้าคลั่งไปแล้วด้วยซ้ำ เมื่อชื่อของแมเรียนปรากฏขึ้นมา ไม่สิ แม้จะไม่มีชื่อ แต่ทันทีที่เธอสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของแมเรียนแม้เพียงกลิ่นอันน้อยนิด นัยน์ตาสีมองก็เปล่งประกายทันที แม้จะไม่ได้กินจริง ๆ แต่น้ำลายก็ยังล้นออกมาอย่างมีความสุขในระดับที่น่าสงสัยว่ากำลังเคี้ยวภาพหลอนอยู่ในปากเลยหรือเปล่า ฉันเคยเห็นอริซเป็นแบบนั้นหลายครั้ง จนฉันสามารถคาดเดาเอาผ้าเช็ดปากค่อยเช็ดให้ ยังเรียกสอง สามครั้งให้กลับมาสติสมบูรณ์ได้ แต่ลักษณ์นี้ราวกับเสพย์ติดโดยสิ้นเชิง ยามเมื่อพูดถึงแมเรียนแล้วก็ราวกับเป็นคนรักสุราที่ค่อยพูดถึงสุราที่ยอดเยี่ยม และดังติดในนรกยามมิได้ดื่ม แน่นอนว่าแมเรียนมีชื่อเสียงโด่ดดังในฐานะสินค้าพิเศษของมาเรียน่าที่ได้รับความนิยม และฉันเองก็ชอบมากจนติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของผลไม้ที่ชอบ แต่ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นเด็กคนนี้ สิ่งใดในโลกที่เป็นแรงขับเคลื่อนความหลงใหลที่มีในแมเรียนของเธอกัน

 

ฉันเปลี่ยนการฝืนยิ้มให้เป็นการยิ้มเต็มที่ และมุ่งหน้าตรงไปทางเสียง หลังจากผ่านชั้นหนังสือไปสักพัก และมองดูในทางเดินของแถวที่สี่ ก็เห็นสีเงินแกว่งไปมา ถัดจากนั้นคือ น็อกซ์เบล และมิร่า ที่กำลังมองด้วยรอยยิ้มราวกับกำลังลำบากใจอยู่ข้าง ๆ เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ 

 

“อริซ นี่ฉันเอง รอ……..”

 

ต้องไปหยุด แต่เมื่อฉันเดินมาได้ครึ่งทาง ทันใดนั้น ฉันก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่แปลกประหลาดจากเงาของชั้นวางหนังสืออีกตู้ข้าง ๆ เมื่อจู่ ๆ ฉันก็เงียบไป สติของคนทั้งสี่รวมสเตลล่าที่เอียงหัวก็รวมไปที่จุดเดียวกัน ทุกคนค่อย ๆ เอนหน้ามองอย่างหวาดระแวงไปยังจุดเดียวกันกับฉัน……

 

“…..อาร๊า? เธอ คนที่ห้องอาหารนั่น ――――”

 

“มะ ไม่ใช ――――、อะ”

 

เด็กสาวที่ดูคุ้นตาพยายามถอยออกไปอย่างรีบร้อน แต่เพราะการทำแบบนั้นทำให้ขาของเธอพันกัน และล้มกระแทกชั้นวางหนังสืออย่างแรง น่าเสียดายที่เดิมทีตู้ไม้นั้นก็เสื่อมโทรมและไม่เสถียรอยู่แล้ว ชั้นวางหนังสือจึงรับแรงกระแทกขนาดนี้ไม่ได้ ช้า ช้า และ ในช่วงเวลานั้นเอง

 

” ――――อริซซซ!”

 

ชั้นวางเริ่มล้มไปทางอริซ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด