[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 82 2 หิมะไม่ละลาย

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 82 2 หิมะไม่ละลาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2 หิมะไม่ละลาย

 

“อร่อย”

 

“ฮาๆๆ กินเท่าที่ลูกต้องการเลย….พ่อก็อยากจะพูดอย่างงั้นจริง ๆ “

 

“ไม่หรอกก่ะ หนู กินไม่เยอะ”

 

“…..งั้นเหรอ”

 

มีเรื่องราวมากมายที่อยากพูดถึง เลยตัดสินใจที่จะทานมื้อเที้ยงกันก่อน เป็นการใช้ห้องโถงของคฤหาสน์อีกครั้งหลังไม่ได้ใช้มานาน ฉันถือถ้วยน้ำยกดื่มให้ชุ่มคอ ฉันปลอบใจคุณพ่อที่มีสีหน้ามืดมนเล็กน้อยด้วยการบอกว่าไม่เป็นไรพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเทียบกับในชาติก่อนแล้วฉันก็ตัวเล็กจริง ๆ แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็กินน้อยเกินไป ที่ห้องอาหารของโรงเรียนเซฟดูแลฉันเป็นอย่างดี หลังจากช่วงแรกที่เข้าเรียนจนเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เขาก็ได้เลือกสรรประเภทอาหารที่เหมาะกับฉัน ยังไงก็ตามฉันเพิ่งสังเกตเห็นเมื่อไม่นานมานี้เอง จริง ๆ เลย ถ้าทุกคนดูแลซึ่งกันและกันแบบนี้ เรื่องพวกนั้นก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นจนถึงขั้นนั้น ……ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะคร่ำครวญ

 

“ฟู๊ว~”

 

ฉันห่อหุ้มลิ้นด้วยซุปที่ร้อนกำลังพอดี ว่าแล้วยังไงข้าวที่บ้านก็ดีที่สุด แน่นอนในแง่ของรสชาติอาหารแท้ ๆ ที่ห้องอาหารดีกว่า แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ร่างกายต้องการคือรสชาติของที่บ้าน อาหารไม่ใช่แค่กินเพื่ออิ่มท้องเท่านั้น แน่นอนองค์ประกอบของการทานอาหารไม่ใช่มีเพียงแค่ตัวอาหารเท่านั้น ยังเป็นพื้นที่พักผ่อนไปกับผู้ที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน และสุดท้ายถึงเป็นอาหาร ที่เหลือคือความหิวของตัวเอง เมื่อสภาพแวดล้อมสมบูรณ์แบบแล้ว ถ้าท้องอิ่มความเจ็บปวดก็จะดีขึ้น

 

“อร่อย ~”

 

“รู้สึกเป็นเกียรติมากเลยค่ะ อริซซามะ”

 

เป็นคาลเมียร์ซังที่ตอบสนองด้วยความยินดีอย่างยิ่ง ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเธอมีอีกฐานะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในหน่วยข่าวกรองของมาเรียนา・ไอริสด้วยเหมือนกัน ฉันกังวลมากว่าเธออาจได้รับบาดเจ็บในภารกิจอันตราย …..ไม่สิ บางทีอาจเป็นคำพูดที่ไม่ชวนเข้าใจผิดไปเล็กน้อยที่คิดแบบนั้น พูดให้ถูกต้องแล้ว ฉันเรียนรู้จากความจำที่ได้รับมาว่าเมดทุกคนในตระกูลแฟร์มีลเป็นสมาชิกหน่วยข่าวกรองอย่างน้อยก็ในช่วงเวลาที่คุณแม่ยังมีชีวิต ดังนั้นที่ว่าคาลเมียร์ซังที่มาทีหลังก็ไม่ควรเป็นข้อยกเว้นจึงเป็นการคาดเดา แต่เมื่อพิจารณาจากที่ว่าเธอเป็นลูกสาวของลาบริกซ์ซัง และเป็นเพื่อนกับมิร่าซัง ฉันก็ค่อนข้างแน่ใจ หลักฐานที่ดีที่สุดคือการที่เธอเรียกเบลล์ซังว่า”แมม”มาเป็นเวลานาน

 

“…..หลังจากนี้ พ่ออยากจะถามอะไรสักหน่อยได้ไหม อริซ”

 

“อึก……ก แน่นอน”

 

“ขอบใจนะ แล้วก็ขอโทษด้วย พ่อรู้ว่าเหนื่อย”

 

“อืม”

 

แน่นอนคงเป็นการโกหกหากบอกว่าไม่เหนื่อย พวกเราใช้เวลาสามวันในการเดินทางกลับมาจากเมืองหลวง การนั่งรถม้าเป็นเวลานาน ๆ ค่อนข้างเหนื่อยแต่ก็ยังดีกว่าตอนถูกบังคับให้นั่งโยกอยู่บนเกวียนขนสัมภาระตอนที่ไปเยี่ยมชมโรงเรียน ยังไงก็ตามนี่อาจเป็นความเป็นห่วงเกินเหตุของลาบริกซ์ซัง รถม้าที่ฉันนั่งถูกปูจนนุ่มด้วยผ้าและขนสัตว์ แถมถูกผลิตมาเพื่อให้ร่างกายสั่นน้อยที่สุดอีกด้วย เมื่อพิจารณาจากราคาตลาดของม้าและรถม้าจากที่ฉันได้เรียนมานิดหน่อยแล้ว บางทีอาจจะมีราคาแพงมากพอที่จะสร้างบ้านหลังเล็กได้เลย การตกแต่งมีอยู่พอสมควร บางทีแต่เดิมอาจเป็นของที่เหมือนกับที่ราชวงศ์ใช้กัน แม้จะเชื่ออย่างมีเหตุผลว่าลูน่าไม่ต้องการรถม้าเพราะบ้าน…..พระราชวังของเธออยู่ในเมืองหลวง แต่ในตอนที่ลูน่ายืนส่งฉันขึ้นรถม้าก่อนหน้า ฉันรู้สึกผิดหวัง 

…..ม๊า เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ด้วยเหตุนี้ฉันจึงไม่ได้เหนื่อยมากจนถึงขั้นอยากนอนเอาตอนนี้เลย เหนือสิ่งอื่นใด ฉันเอง ก็มีเรื่องที่อยากคุยกับคุณพ่อและทุกคนหลากหลายเรื่อง เรื่องเกี่ยวกับการคืนดีกันระหว่างลูน่ากับเด็กที่ถูกเกลียด เกี่ยวกับคุณปู่ สิ่งที่ได้เรียนรู้ในชั้นเรียน และเทศกาลงานโรงเรียน และการประท้วง มีเรื่องราวมากมายที่อยากจะพูด มั่นใจเลยว่าวันนี้วันเดียวก็ไม่สามารถพูดได้หมด

 

“ใช่แล้ว…..ชีวิตที่โรงเรียนเป็นยังบ้าง?”

 

“อึก”

 

คำถามแรกเป็นคำถามที่ยากมาก ถ้าถูกถามแบบเจาะจงถึงชีวิตในโรงเรียนเป็นเรื่อง ๆ ฉันสามารถตอบได้ทันที แต่เมื่อถามแบบกว้าง ๆ ฉันต้องใช้เวลารวบรวมประกอบข้อมูลเล็กน้อย ไม่ใช่ทุกเรื่องจะเป็นเรื่องดี เมื่อย้อนดูชีวิตในโรงเรียนที่ในแง่ของเวลาอาจเพียงไม่กี่เดือนเสร็จ ฉันก็พยักหน้าให้คุณพ่อที่ดูกังวลใจ

 

“สนุกมาก มาก ๆ มีหลายสิ่ง…..มากมายที่ถูกสอน”

 

….ใช่ สนุก ถึงจะมีเรื่องที่ไม่ชอบ โดดเดี่ยว หรือถูกคุกคาม มีบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจในชั้นเรียน ความรู้สึกประหม่าจนเกือบจะร้องไห้ตอนได้แสดงบนเวทีเป็นครั้งแรก หรือในตอนที่หลั่งน้ำตาก้มหัวลงอ้อนวอนกับประชาชนทั่วไป ไม่ได้ดีไปทั้งหมด แต่ก็มีช่วงเวลาที่ดี เป็นแต่ละวันที่แปลกใหม่ เหนือสิ่งอื่นใดคือการได้เผชิญหน้าที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นโชคชะตา เพื่อนคนแรก เพื่อนสนิท ทุกวันที่ได้เดินจับมือกับลูน่า สนุก นั่นเป็นสาเหตุที่ช่วยไม่ได้รอยยิ้มของฉันบิดเบี้ยว ฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้า และถึงแม้ฉันพยายามจะระงับอย่างสุดชีวิต แต่ความรู้สึกของฉันก็เหมือนกับหิมะถล่ม

 

“อะ เร๊ะ?”

 

“อริซ……. !?”

 

เช็ด เช็ด

ฝ่ามือเปียกชุ่ม

 

เช็ด เช็ด

….แก้มของฉันเปียก

 

ทำไม…..ไม่ เพราะแบบนั้นนั่นแหละ เพราะสนุก เป็นเหตุผลที่เมื่อรู้ว่าวันเหล่านั้นอาจจะไม่กลับมาอีกแล้ว ฉันก็รู้สึกเศร้าอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม น้ำตาไม่หยุดไหล ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนี้ ฉันสนุก ได้เพื่อนใหม่ ตั้งใจที่จะทำให้คุณพ่อ คาลเมียร์และทุกคนยิ้มได้

 

ไม่นะ ไม่นะ ถ้าร้องไห้ทุกคนจะเสียใจ ไม่ได้นะ

 

” ―――― อะ อึก…..อือ…..”

 

อา อา…… เรื่องราวในแต่ละคันท่วมท้นออกมามา ใบหน้าหลากหลายอารมณ์ของลูน่า ฉันสงสัยว่าเป็นเพราะไม่ได้บอกลากันอย่างเหมาะสม ฉันได้กลับมาที่คฤหาสน์และพบกับคุณพ่อ เพื่อการเตรียมตัวในสถานการณ์ที่โหมกระหน่ำ ในที่สุดก็ดูเหมือนจะตามทัน ความรู้สึกธรรมชาติที่จะเศร้ายามตรงลาจากเพื่อนสนิทและคุณตา

 

“ลูน่า ลูน่า อึก…..อือ ไม่เอา อยู่ด้วยกัน มากกว่านี้………..”

 

“อริซซามะ………”

 

ฉันจะเอาแต่ใจขนาดไหนกัน ทั้งที่รายล้อมไปด้วยทุกคน ทั้งเบลล์ซัง มิร่าซัง คุณพ่อ คาลเมียร์ ฉันก็ยังร้องไห้เมื่อเหงา กับคุณตา ลาบริกซ์ซัง สเตลล่าซัง และลูน่า ฉันร้องไห้เพราะอยากอยู่ด้วยให้มากกว่านี้ บางทีวันนั้นอาจเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน ความวิตกกังวลที่ไม่อาจต้านทานได้เติมเต็มหัวใจของฉันอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดก็เป็นเบลล์ซังที่เป็นคนมาลูบหัวฉันเบา ๆ จากด้านหลัง

 

“ไม่เป็นไรนะคะ ไม่เป็นไร ดิฉันแน่ใจ….ไม่สิ จะต้องได้กันอีกแน่นอนค่ะ”

 

“เบลล์……..”

 

“ไม่ต้องห่วงนะคะ อริซซามะ”

 

ท้ายที่สุดฉันก็ไม่ได้เห็นการแสดงออกของเบลล์ซังที่เข้ามาทำให้ฉันสงบลง เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ฉันเอาแต่ร้องไห้ ไม่มีทั้งการโวยวาย ไม่มีทั้งการคร่ำครวญ ฉันแค่หลั่งน้ำตาและสะอื้นไห้ ร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเบลล์ซัง แต่ถึงอย่างงั้นทุกต่างรอคอย ทุกคนแค่รอจนกว่าฉันจะสงบสติอารมณ์และเริ่มต้นพูดได้อีกครั้ง ขอบคุณมากสำหรับสิ่งนั้น

 

“…..ขอโทษก่ะ”

 

“ไม่ต้องกังวลไป ที่ต้องขอโทษคือพ่อเอง ที่ถามคำถามที่ทำให้เจ็บปวดไป เป็นพ่อที่แย่จริง ๆ “

 

“ไม่ก่ะ”

 

ฉันรีบหยุดคุณพ่อที่พยายามจะก้มหัว ทำให้ฉันรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็ควรที่จะเป็นแบบนั้น เพราะทันทีที่ถูกถาม ฉันก็เริ่มร้องไห้ต่อหน้าทันที ยังไงก็ตาม ตัวคำถามอาจจะเป็นตัวกระตุ้น แต่ฉันแน่ใจว่าถ้าเป็นตอนที่ฉันยังนอนติดเตียงอยู่ต่อให้มีคำถามหรือไม่มีคำถามก็จะให้ผลลัพธ์เหมือนกัน คุณพ่อไม่ได้มีส่วนไหนที่แย่เลย

 

“พอที่จะใจเย็นลงแล้วรึยังคะ?”

 

“อะ อืม”

 

เบลล์ซังยกแขนขึ้นจากหัวของฉันที่เธอกอดไว้หลอม ๆ ขึ้นมาเช็ดแก้มที่แดงและเปียก หลังจากยืนยันว่าเสียงสะอื้นของฉันบรรเทาลงบ้างแล้ว ฉันมองไปที่คุณพ่อด้วยความรู้สึกผิด ฉันหยุดพูดไปเพราะเริ่มร้องไห้ ปล่อยให้คำตอบยังค้างคา บางทีคุณพ่อคงเดาได้ในทันทีจึงยิ้มอย่างอ่อนโยน

 

“ไว้คุยกันใหม่พรุ่งนี้ก็ได้ หรือจะวันอื่น ๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ เอาไว้ใจเย็นลงแล้วค่อยคุยกันก็ได้ ตอนนั้นยังอยากคุยอยู่ไหม?”

 

“…..อืม”

 

แต่ฉันพูดแบบนั้นไม่ได้ ถ้าลองคิดจากมุมมองความรู้สึกของคุณพ่อแล้ว ก็คงอยากจะได้ยินในทันทีว่า ฉันใช้ชีวิตในโรงเรียนแบบไหน เกิดอะไรขึ้นบ้าง ทำอะไรอยู่ในช่วงเวลาที่เกิดการประท้วง แม้น่าจะรู้ข้อมูลบ้างแล้ว แต่ก็คงอยากยินเรื่องบางอย่างจากปากของฉันโดยตรง คุณพ่อคือพ่อของฉัน เช่นเดียวกันฉันก็คือลูกสาวของคุณพ่อ ยังไงก็ตามอย่างที่คุณพ่อบอก ตอนนี้ฉันยังพูดไม่ค่อยเก่ง หลังจากที่ร้องไห้จนสุด ฉันก็รู้สึกเหนื่อยมาก ไม่ใช่ที่ร่างกายแต่เป็นที่จิตใจ แม้แต่ตอนนี้ฉันก็อยากจะเอาฟูกคลุมหัวแล้วหลับไปทั้งแบบนี้เลย

 

“เย็นชืดหมดแล้วสินะ”

 

และคุณพ่อพูดขณะจิบซุป บางทีคงอยากทำให้บรรยากาศกลับมาเรียบง่ายอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดเพื่อบังคับให้กลับไปกิน เป็นการพูดเพื่อให้ฉันสามารถเลือกเรื่องที่จะทำได้ง่ายขึ้น ฉันจะยังกลับไปกินเหมือนเดิม หรือเลือกที่จะถอยกลับห้องไป แน่นอนฉันเลือกที่จะกินต่อไป ถึงแม้ฉันอยากที่จะเข้าห้องไปเลย แต่ฉันก็ไม่อยากทิ้งอาหารที่ตั้งใจทำไว้ให้กับฉัน และนั่นเป็นเรื่องไม่ควรทำในภาวะสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดวิกฤติขาดแคลนอาหารเช่นนี้ ฉันยกซุปขึ้นจิบตามคุณพ่อ

 

“อร่อย จัง”

 

“….อ้า อร่อยจริง ๆ “

 

ท้ายที่สุดก็ไม่มีคำพูดใดออกมาอีก แต่ฉันกับไม่รู้สึกถึงกำแพงกั้นระหว่างพวกเราอย่างน่ามหัศจรรย์ ฉันรู้ดีว่าถ้าฉันเริ่มคุยด้วย คุณพ่อจะตอบกลับมาทันที แต่ฉันเลือกที่จะเงียบเพื่อพยายามเข้าใจ ….จนกระทั้งเมื่อไม่กี่ปีก่อน ฉันมีความเข้าใจผิดว่าคุณพ่ออยู่ในอารมณ์ไม่พอใจ แต่ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจความหมายของความรักขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว การชอบคือการมุ่งเป้าไปที่ใครสักคน การรักคือการเผชิญหน้ากับใครสักคน คำว่ารักจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณมุ่งเป้าไปที่คน ๆ นั้นและเชื่อว่าคน ๆ นั้นก็มุ่งเป้ามาที่คุณด้วยเช่นกัน

…..เป็นสิ่งล้ำค่าแค่ไหน จะยากแค่ไหนที่จะเชื่อว่ามีคนชอบและรักตัวเอง ฉันเข้าใจเหตุผลนั้นด้วยประสบการณ์ของตัวเอง วันนั้นที่ฉันได้คุยกับคุณพ่อเป็นครั้งแรก เขาบอกว่ารักฉัน ได้ความรักจากคุณพ่อ ฉันก็รักเหมือนกัน แต่ก็อายเกินกว่าจะกล้าพูดกลับไป ถึงกระนั้นฉันก็คิดแบบนั้นด้วยความเชื่อมั่นอยู่ในใจ ไม่ใช่แค่คุณพ่อที่ได้ยินคำพูดโดยตรงเท่านั้น ฉันสามารถสังเกตเห็นได้ว่ามีหลายคนที่มุ่งเป้ามาที่ฉัน ฉันไม่อยากเรียงลำดับในความคิด แต่ว่าฉันมีความรู้สึกที่เชื่อว่าคนที่สำคัญที่สุดในโลก….เบลล์ซังรักฉันมากกว่าคุณพ่อ

 

“อบอุ่น”

 

และนั่นเป็นเหตุผลที่ซุปเย็นชืดถึงอบอุ่น เนื่องจากอากาศหนาว ฉันจึงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของโต๊ะมากขึ้น ฉันซึบซับคำสุดท้ายอย่างแน่วแน่ลงท้อง ความรู้สึกแห่งความสุขที่ค่อย ๆ ผุดขึ้นทำให้รู้สึกอบอุ่นละลายความวิตกกังวลของฉัน แล้วพอได้นอนหลับสนิทและตื่นขึ้นหลังจากนี้ ฉันแน่ใจว่าจะสามารถพูดคุยอย่างใจเย็นได้เล็กน้อย ทั้งเรื่องชีวิต…….และเรื่องปฏิวัติด้วย การรักษาความเหนื่อยล้าด้วยอาหารและการนอนไม่ได้จำกัดแค่กับร่างกายเท่านั้น

 

“ขอบคุณสำหรับอาหารก่ะ”

 

เหมือนอย่างเคย ไม่สิ เหมือนช้ากว่าทุก ๆ ครั้ง คุณพ่อเองก็ผสานมือและพึมพำคำเดียวกันโดยไม่ต้องรอให้พูดซ้ำ ฮาฟู๊ว ฉันลูบท้องที่แน่นตึงของตัวเอง จากนั้นอุ้มคู่หูไว้บนตักก่อนลุกจากเก้าอี้ ฉันยืดอกมั่นใจเต็มร้อยให้กับคาลเมียร์ซังที่ทำสีหน้ากังวล ฟุฟุๆๆ ฉันลงเองได้อย่างปลอดภัย!

 

“น่าร๊าก”

 

“มิแรนด้าซัง…..มีความผิด คาลเมียร์”

 

“คราวนี้ข้าหยุดไว้ในใจแล้วนะค๊า”

 

มิแรนด้าซังประท้วงบางอย่าง ถัดจากนั้นเป็นเบลล์ซังที่เริ่มเทศนาเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ เช่น กฏเกณฑ์ของข้ารับใช้ การแสดงความรักในหัวใจโดยไม่พูด โดยมีคาลเมียร์ซังกำลังตั้งใจฟังอย่างจริงจัง เมื่อฉันเริ่มมองว่าจะทำยังไงดี คุณพ่อก็ฝืนยิ้มออกมาด้วยท่าทางราวกับกลัวบางอย่าง ม๊า แต่ว่าถ้าพวกเรายังอยู่ที่นี่ต่อไป พวกเบลล์ซังก็จะไม่สามารถทานอาหารกลางวันกันได้ ฉันเลยเลือกกลับห้องของตัวเองที่ห่างหายไปนานเงียบ ๆ สัมภาระถูกขนลงจากรถม้าทันทีที่มาถึงคฤหาสน์ และพวกคุณเมดก็นำไปไว้ที่ห้องให้แล้ว

 

“ไปที่ห้องกันเถอะ อริซ”

 

“ขอบคุณก่ะ โอโตซามะ”

 

ฉันเดินวนรอบโต๊ะย้ายไปอยู่เคียงข้างคุณพ่อ และจับมือกันไว้ 

ในที่สุดก็เริ่มการบรรยายลึกลับของเบลล์ซัง และสายตาของเหล่าเมดที่จ้องมองเงียบ ๆ ราวกับรู้ว่าควรรับมือเช่นไรก็ดูน่าสนใจเล็กน้อย มุมปากของฉันคลายออกเล็กน้อย เมื่อฉันก้าวขึ้นบันได พวกเบลล์ซังที่สังเกตเห็นฉันกับคุณพ่อพยายามจะกลับโดยไม่บอกจึงรีบมาทันที แต่คุณพ่อชำเลืองมองจากด้านข้างเพื่อสั่งว่าไม่เป็นไร ฉันขึ้นบันได้ช้า ๆ ระวังไม่ให้ล้ม

 

“อริซชอบตุ๊กตาตัวนั้นมากเลยเหรอ”

 

“อืม เป็นคู่หู”

 

“ฮาๆๆ งั้นเหรองั้นเหรอ……..”

 

ในตอนที่แวะพักที่ชานบันไดชั้นสอง คุณพ่อก็ชวนคุยสัพเพเหระและมองมาที่ฉันราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง อะไรเหรอ ฉันตอบกลับด้วยสายตา ทันใดนั้นก็พูดด้วยเสียงที่ราวกับขอร้องเล็กน้อย

 

“…..มาอ่านหนังสือกันจนกว่าเบลล์จะกินอาหารกับธุระเสร็จกันเถอะ”

 

“ฟุ๊เอ๊ะ”

 

ทั้งที่น่าจะมีงานกองอยู่เป็นภูเขา แต่คงจะสังเกตเห็นได้ว่าฉันมีความเหงาอยู่เลยยื่นข้อเสนอมาแบบนี้ จริง ๆ เลย ไม่นานมานี้การอยู่คนเดียวในห้องนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เอาแต่ใจจัง

 

“ว่าไง ให้พ่อเข้าไปอยู่ในห้องด้วยได้ไหม?”

 

……แต่ยังไงก็ตาม สถานการณ์คือฉันกลับบ้านมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ถ้าคุณพ่ออยากใช้เวลาด้วยกันก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย

 

“…….อืม!”

 

“โย๊วชิ!มีหนังสือเล่มไหนที่อยากจะอ่านไหม?”

 

“อาโนเน๊ะ อาโนเน๊ะ! มีหนังสือที่ยืมมาจากโรงเรียนตอนที่ต้องกลับบ้าน……..”

 

ฉันคิดถึงหนังสือบางเล่มที่นำกลับมาด้วยจากห้องสมุดที่เบลล์ซังได้รับอนุญาตจากคุณตา ใช่แล้ว มาอ่านหนังสือ”ราชินีและนักบวช”ที่ลูน่าแนะนำกันเถอะ ทุกอย่างกล่าวกันว่าเป็นเรื่องราวความรักระหว่างราชินีคลาร่า ราชาเมื่อหลายร้อยปีก่อน กับนักบวชที่ชื่อ เบเนเดตต้า เพื่อนรักของเธอ แม้ว่าลูน่าจะบอกว่าเป็นเรื่องแต่ง แต่ก็ยังค่อนข้างน่าสนใจ

 

……เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ “พรรณนาความรัก” เข้มข้นกว่าที่ฉันคาดไว้มาก และจบลงด้วยสถานการณ์ที่คุณพ่อกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกแพ้ภัยตัวเองไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด