[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 54 14 ล้มเจ็ดหนเดินหนึ่งก้าว

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 54 14 ล้มเจ็ดหนเดินหนึ่งก้าว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 14 ล้มเจ็ดหนเดินหนึ่งก้าว

 

“อึก…..ฟู”

 

โพ ในที่สุดฉันก็มองเห็นเพดานที่คุ้นเคย ฉันยังไม่ตื่นจากการหลับใหลอย่างเต็มที่ และขณะที่หาวอยู่พักหนึ่งตาที่พร่ามัวเพราะแสงสว่างก็เริ่มมองเห็นได้ชัดขึ้น พอหันไปมองเตียงข้าง ๆ ทั้งสองเตียง ก็เห็นผ้าห่มถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย ดูเหมือนว่าเบลล์ซังและมิร่าซังจะตื่นแล้ว ต้องใช้ความพยายามในการลุกเอามาก ๆ ถ้าไม่ได้ตื่นแต่เช้า ในตอนนั้นเองก็มีเสียงทักทายเริ่มต้นยามเช้ามาจากทิศทางที่เท้าของฉันหันไป

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ อริซซามะ”

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฮิเมะ”

 

แน่นอนว่าเป็นเสียงของทังสองคน ฉันแน่ใจว่าพวกเธอรอฉันอยู่แล้วหลังเตรียมเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนไว้ให้ฉันแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนอยากดื่มด่ำกับความเกียจคร้านในการตื่นนอนให้มากกว่านี้อีกหน่อย แต่จะเป็นปัญหาหากไปเรียนสาย ฉันใช้มือทั้งสองข้างดันตัวเองลุกขึ้นช้า ๆ

 

“อรุณสาหวัด”

 

ฉันตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย พร้อมขยี้ตาที่ยังเบลออยู่เบา ๆ ขยับตัวไปที่ข้างเตียงยื่นเท้าออกในขณะที่หยิบคู่หูที่ล้มลงมาบนตักอย่างเหมาะเจาะกลับไปวางนอนอีกครั้ง หลังวางเท้าลงบนรองเท้าเย็น ๆ ฉันก็สามารถลุกขึ้นได้

 

“ตื่นช้ากว่าปกตินิดหน่อยนะคะ?”

 

“นั้นสิคะ ดูนอนหลับสนิทกว่าปกติด้วย”

 

“งั้นเหรอ ต้องรีบแล้ว”

 

ตามที่ร่างกายรู้สึก ดูเหมือนว่าฉันจะนอนหลับนานกว่าปกติ ประมาณราว 30 นาทีล่ะมั้ง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว แต่ฉันไม่มีเวลาให้พักมากนัก ฉันรีบเข้าไปหาทั้งสองคน แล้วปลดสายรัดชุดด้านหลังอย่างรวดเร็ว

 

“อาร๊า….เช้านี้มีธุระอะไรงั้นหรือคะ?”

 

“…..หืม?”

 

ขณะที่ฉันพยายามดึงแขนออกจากแขนเสื้อ ฉันก็ต้องเอียงหัวไปกับคำถามของเบลล์ซัง ธุระอะไรงั้นเหรอ ก็กำลังเตรียมตัวไปโรงเรียน……อะ ไม่สิ

 

“ฟุๆๆ ลืมไปแล้วรึคะ? ว่าวันนี้เป็นวันหยุดน่ะค่ะ อริซซามะ”

 

“นั่นสินะ”

 

ใช่แล้ว ฉันเผลอเคลื่อนไหวไปตามปกติที่ทำจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว แต่วันนี้เป็นวันหยุดเรียน เป็นวันหยุดเต็มวันในทุก ๆ เจ็ดวัน ฉันน่าจะจำได้ก่อนนอน แต่เป็นเพราะฉันผล็อยหลับไป นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันหลับลึกกว่าปกติ ฉันใส่แขนเสื้อกลับเข้าไปในชุดเดรสตัวบางที่กำลังค่อย ๆ ถอดด้วยความเขินอายยังไงไม่รู้

 

“น่าร๊าก”

 

“มิแรนด้าซัง”

 

“อึ๋ย”

 

ฉันกลับไปที่เตียงเพื่อหลบสายตาของทั้งสองคนที่เห็นได้ชัดว่ากำลังยิ้มอยู่ ก่อนหยิบคู่หูขึ้นกอดอก ถอดรองเท้าที่เพิ่งใส่แล้วนั่งเขย่าขาโดยไม่มีเหตุผล วันหยุดล่ะ วันหยุดล่ะ นั่นเคยเป็นทุกวันของฉันตอนที่อยู่คฤหาสน์ แต่ฉันก็รู้สึกมีความสุขมากที่ได้มีวันที่ไม่ใช่วันหยุด ทั้งที่เมื่อก่อนการได้พักผ่อนแม้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เปรียบดังกับเป็นขุมทรัพย์ จีซ ความเคยชินเป็นสิ่งที่น่ากลัว 

 

“ฮิเมะ วันนี้จะทำอะไรกันดีคะ?”

 

“อืมมมมมม……..”

 

หลังจากรอให้ฉันเหม่อจนเสร็จ มิร่าซังก็ถามขึ้นมา แต่อีกครั้งที่ฉันส่ายหัว วันหยุดที่รอคอยมานาน ยังไงก็ตามฉันก็มีความปรารถนาที่จะทำอะไรบางอย่างเช่นกัน แต่ว่าฉันก็ยังอยากพักอยู่ในห้องเหมือนเดิม ถ้าหากได้รับคำเชิญจากรูนไฮม์ซัง ฉันคงรีบออกไปจากห้องด้วยอารมณ์เหมือนต้องวิ่งไป แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นที่ห้องอาหารเมื่อวาน ฉันเลยไม่ได้รับคำเชิญใด ๆ เช่นนั้น อาจเป็นเพราะเธอกังวลเรื่องนั้นเลยปล่อยให้ฉันได้พักผ่อนเต็มที่ ม๊า พอได้นอนไปครั้งหนึ่งแล้วก็ดีขึ้นล่ะ แต่ก็คงเป็นการโกหกหากบอกว่าไม่มีความเสียหายอะไร นอกจากนี้ ครั้งต่อไปที่ได้พบกันจะทำตัวยังไงดี และ อาจจะถูกเกลียดก็ได้ เป็นต้น ทันทีที่เริ่มคำนึงถึงเรื่องเหล่านั้นเล็กน้อย ก็มีแต่ความคิดเชิงลบก็ล้นออกมา อันที่จริงหลังจากนั้น เสียงฝีเท้าระหว่างเดินไปทานมื้อเย็นก็ค่อนข้างหนักอึ้ง โชคดีที่ไม่ได้เจอกันเพราะไปกันคนละช่วงเวลา

 

“……อืม”

 

ว่าแล้ววันนี้ ฉันก็อยากพักผ่อนกับเบลล์ซังและมิร่าซังตลอดทั้งวัน แม้ว่าจะออกไปในสถานการณ์แบบนี้ ฉันก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้น 

ฉันส่ายหัวไม่ให้คิดมาก ก่อนมองกลับไปที่ดวงตาของมิร่าซังที่กำลังรอคำตอบอยู่

 

“อยู่ที่ห้อง”

 

“งั้นเหรอค่ะ เช่นนั้น เรามาพักผ่อนกันดีกว่า”

 

“อืม”

 

ฉันพยักหน้าไม่พูดอะไรในขณะที่รู้สึกขอบคุณทั้งสองคน แน่นอนว่าฉันรู้ว่าพวกเธอสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ฉันถอนหายใจพูดหลอกตัวเองว่าฉันก็แค่เด็กเอาแต่ใจคนหนึ่ง เอาคู่หูวางไว้บนตักและยืดตัวเล็กน้อย

 

“อือออ อะ….ฟุเนี๊ยว”

 

หลังของฉันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด และความรู้สึกสบายจากการผ่อนคลายก็แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ปล่อยมือทั้งสองที่ยืดประสานกันออกจากกันเหมือนด้ายขาด ตามด้วยหนึ่งหาว แล้วก็กอดคู่หูอีกครั้งหลังจากวางไว้ ฉันล้มตัวลงนอนอย่างเฉื่อยฉา ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันสังเกตเห็นสายตาของคนสองคนจ้องมาที่ฉันทั้งที่ยืนอยู่ อะไรเหรอ ฉันถามกลับไปด้วยสายตา จากนั้นทั้งสองคนก็ผงะตาโต แล้วราวกับเวลาที่หยุดนิ่งก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

 

“มะ ไม่มี ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อริซซามะ”

 

“ชะ ใช่ มาทานแมเรียนที่ไม่ได้ทานตอนอาหารเช้าเมื่อวานนี้กันเถอะค่ะ!”

 

ใช่แล้ว ในขณะที่เบลล์ซังรีบดึงผ้าออกมาปูบนโต๊ะเพื่อใช้แทนเขียง มิร่าซังก็ยกผลไม้ทรงกลมที่อยู่บนชั้นลงมา…….

 

“……แมเรียน!”

 

ในชั่วพริบตาที่รับรู้ ความเฉื่อยฉาทั้งหมดก็ปลิวหายไปในทันที ฉันรีบลุกขึ้นจนลืมใส่รองเท้า วิ่งไปที่โต๊ะทันที ว่าไปแล้ว เมื่อฉันก็หลับไปทันทีหลังอาหารเย็นเลยไม่ได้ทานแมเรียน การไม่ได้ดูดซึมแมเรียนเป็นสถานการณ์ที่แย่มาก ทำไมถึงลืมได้กัน ต้องรีบเติมเต็มแล้ว

 

“ฮะ ฮิเมะ ได้โปรดใจเย็น ๆ ก่อนค่ะ”

 

“แมเรียนไม่หนีไปไหนหรอกนะคะ อริซซามะ”

 

“แมเรียน”

 

แกนกลางแห่งภาษาได้ถูกความคลั่งไคล้ทำลายลงไปเสียแล้ว ในหัวของฉันเต็มไปด้วยสไลด์โชว์ของแมเรียน ในท้ายที่สุด แม้แต่ในความทรงจำของรสชาติก็ยังถูกวาดซ้ำลงบนลิ้น ฉันเช็ดน้ำลายที่หยดออกจากปาก

 

“กรุณารออีกสักครู่นะคะ ตอนนี้ให้ดิฉันปอกเปลือกให้เสร็จก่อน”

 

“แมเรียน”

 

เบลล์ซังปอกแมเรียนด้วยมีดที่ยืมมาจากมิร่าซัง ในขณะที่ฉันพยักหน้าและพยักหน้า ไม่สิ ตาของฉันระยิบระยับในขณะกลืนน้ำลายจนเสียงดังในลำคอหลายต่อหลายครั้ง อึก เมื่อใบมีดจมลงไปในเนื้อราวกับไม่มีแรงต้าน กลิ่นหอมหวานก็ลอยออกมามอบความอบอุ่นให้แก่จมูกของฉันทันที ฉันรู้สึกหิวอย่างรวดเร็ว

 

“ก่อนอื่น ข้าซื้อเนื้อหมูตากแห้งมาด้วย……”

 

มิร่าซังโชว์กระเป๋าหยังบนชั้นวางเล็ก ๆ ข้างเตียงด้วยสายตา แน่นอน แมเรียนแค่อย่างเดียวไม่ทำให้อิ่มท้อง ต้องบอกว่าน่าเสียดายจริง ๆ ถ้ากินเยอะเกินไปในหนึ่งวัน ความสุขของวันพรุ่งนี้ก็จะมีน้อยลง

 

“กิน”

 

“ค่ะ ข้าจะเตรียมน้ำให้ด้วยนะคะ!”

 

ฉันกลับมาใช้คำพูดแทนการ”กรีดร้องที่ออกเสียงว่าแมเรียน” จากนั้นมิร่าซังที่ดูมีความสุขก็กลับไปที่เตียงเอากระเป๋าหนังพร้อมขวดน้ำมาอย่างรวดเร็ว

จะว่าไปแล้ว ดูเหมือนว่าน้ำในขวดจะเติมมาจากน้ำพุที่จัตุรัส เดิมทีที่นั่นถูกสร้างเป็นสถานีจ่ายน้ำ ไม่ใช่เพื่อการตกแต่งภูมิทัศน์อย่างที่ฉันเข้าใจ เลยทำให้ฉันกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับสุขอนามัยในตอนนี้ แต่ว่าถ้ามีอะไรไม่ปลอดภัยตั้งแต่ก็คงไม่มีใครใช้งาน พวกเขาน่าจะมีมาตรการบางอย่างดูแลอยู่ ยังไงก็ตามฉันคิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะเบลล์ซังกับมิร่าซังตัดสินว่าไม่เป็นไร

 

“ขอบกุณ”

 

“ไม่หรอกค่ะ!”

 

มิร่าซังจัดเนื้อแห้งและขวดน้ำสำหรับสามคนไว้บนโต๊ะ เช่นเดียวกันเบลล์ซังก็จัดเรียงแมเรียนอย่างเรียบร้อย โดยวางไว้ที่ข้างหน้าของฉัน ฉันพยายามรอในขณะที่เบลล์ซังเก็บแมเรียนที่เหลือห่อด้วยผ้าแล้วนำไปวางไว้บนชั้น

 

“มีอะไรงั้นเหรอคะ?”

 

“อืม เบลล์กับมิร่าล่ะ?”

 

“เอ๊ะโตะ…..หมายถึง ส่วนของพวกเรางั้นเหรอคะ?”

 

“อืม”

 

“เรื่องนั่นก็เพราะว่านี่คือแมเรียนของอริสซามะ”

 

“กินด้วยกัน”

 

“แต่ว่า……”

 

แม้ว่าเบลล์ซังจะดูกังวลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้ายอมแพ้ แมเรียนกลับมาที่โต๊ะและถูกเปิดผ้าที่พึ่งถูกห่อไปอีกครั้ง แน่นอนว่าฉันดีใจที่พวกเธอซื้อมาให้ฉัน แต่เพราะแบบนั้นการได้กินแค่คนเดียวต่อหน้าทั้งสองคนก็ทำให้เจ็บปวดเหมือนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ฉันไม่ได้ต้องอะไรแบบนั้นเพื่อที่จะได้แมเรียนมา ทั้งสองคนคู่ควร ไม่สิ มีสิทธิ์ที่จะได้กินมากกว่าฉัน นอกจากนี้แทนที่จะกินอยู่คนเดียว ฉันอยากสนุกกับการได้พูดคุยกันสามคน

 

“แน่ใจแล้วเหรอคะ ฮิเมะ”

 

“อืม ถ้าฉันเป็นคนเดียวที่ได้กิน ไม่รู้ว่าจะเสียก่อนจะกินหมดรึเปล่า”

 

“คุ…..อะเฮม เข้าใจแล้วค่ะ!”

 

ถึงจะเก็บรักษาดีแค่ไหน แต่ถ้ามองอีกมุมหากไม่รีบกินโดยเร็วก็จะเน่าได้เหมือนกัน แมเรียนที่ปล่อยให้สุกอีกสักหน่อยก็จะอร่อยขึ้น แต่ถ้ากินไม่ได้ก็จบกัน ในกรณีแบบนั้นการได้กินพร้อมกันสามคนในขณะที่ยังอร่อยก็เป็นความคิดที่ดีกว่า

เมื่อฉันตอบด้วยความคิดเช่นนั้น จู่ ๆ มิร่าซังก็กุมอกและก้มหน้าลง …..สบายดีหรือเปล่าน่ะ บางครั้งฉันก็กังวลว่าเธอจะป่วยเป็นอะไรรึเปล่า เพราะเธอมักจะกุมหน้าอกท่าทางทรมานแบบนี้เวลาคุยกันเป็นบางครั้ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะคุยตอนนี้ เบลล์ซังบอกว่าเป็นอาการที่มีนัยเหมือนอาการป่วย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างก็ทำให้เธอรู้สึกสดชื่นด้วย

 

“เช่นนั้น ดิฉันจะปอกส่วนของดิฉันและมิแรนด้าซังก่อนนะคะ”

 

“อืม”

 

“ขอบคุณมากค่ะ”

 

มิร่าซังอุ้มฉันขึ้นไปนั่งลงบนเกาอี้ตัวใหญ่ ฉันเขย่าขาดังพรึบพรับอย่างอารมณ์ดีแตกต่างจากก่อนหน้านี้ ฉันรอให้เบลล์ซังเตรียมแมเรียนสำหรับสามคนให้เสร็จ เมื่อเบลล์ซังเก็บแมเรียนขึ้นชั้นวางอีกครั้ง คราวนี้ขนาดถุง――――ใหญ่ราว ๆ ต้องใช้สองมือถือ สำหรับฉันความใหญ่รอบนี้――――เหลือแค่ครึ่งเดียว

 

“ขออภัยที่ทำให้ต้องรอนะคะ อริซซามะ มาทานกันเลยไหมคะ”

 

“บางทีข้าอาจจะถูกจับโดยฮิเมะเร็ว ๆ นี้ และคิดว่าแมเรียนอาจจะกลายเป็นของโปรดของข้าเช่นกัน”

 

“เป็น”

 

ไม่แค่คิด ฉันอยากให้กลายเป็นจริง ๆ จะสนุกและมีความสุขมากกว่าที่ได้แบ่งปันความชอบที่เหมือนกัน ที่เหลือก็แค่ยอมรับในรสชาติแสนวิเศษอย่างเชื่อฟังและกลายเป็นแมเรียนนิสต์ซะโดยดี ยินดีต้อนรับสหายมิร่าซัง พวกเรามาร่วมกันสร้างไร่แมเรียนที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันเถอะ

 

“แมเรียน บันไซ”

 

“บะ บันซะ…..?”

 

…….อืม แม้จะเป็นคำพูดในชาติที่แล้วที่เคยใช้มาแล้วแต่เมื่อพูดอย่างกระทันหัน มิร่าซังก็ไม่เข้าใจ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่สิ แต่ว่า เห็นได้ชัดว่าเคยมีเรื่องที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นมาก่อน ในช่วงเวลาเดียวกับที่ฉันพึมพำ เบลล์ซังก็ดูยืดอกภูมิใจเล็กน้อย ใหญ่

 

“เดจาวู”

 

“บันซาย ค่ะ มิแรนด้าซัง เน๊ะ? อริซซามะ”

 

…..อ้า ใช่แล้ว! ฉันนึกออกแล้ว ฉันเคยคุยกับเบลล์ซังแบบนี้เมื่อนานมาแล้ว ฉันไม่มีโอกาสใช้อีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา แต่ฉันรู้สึกเหมือนได้สอนความหมายไปแล้วในตอนนั้น 

ฟุๆๆ ฉันยิ้มจากก้นบึ้งหัวใจให้กับเบลล์ซัง ไม่ว่าสิ่งที่อยู่ในเนื้อหาความหมายจะเป็นเช่นไร ความลับที่รู้กันแค่สองคน แม้จะเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำในชีวิตประจำวันก็ทำให้ฉันมีความสุขมาก

 

“อืม บันซาย ล่ะ เอ๊ะเฮะๆๆ”

 

แก้มของฉันผ่อนคลายช้า ๆ อย่างมี”ความสุข”ในแบบที่มีแต่ตัวเองที่เข้าใจ เมื่อควบคู่ไปกับการมีแมเรียนอยู่ตรงหน้า ฉันก็มีความสุขแล้ว ในสภาพที่ดีเช่นนี้ ฉันประสานมือและเริ่มพูดเหมือนอย่างทุกครั้ง คราวนี้เป็นเบลล์ซังที่กุมหน้าอกก้มหน้าลง

 

“――――กู๊ว…… !?”

 

“เอ๊ะ”

 

พี๊ ใบหน้าที่มั่นคงเมื่อกี้แสดงความเจ็บปวด แต่บนใบหน้าที่แสดงออกอย่างซับซ้อนมีความสุขวาดเอาไว้อยู่ ฉันเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน เมื่อเห็นมิร่าซังลูบหลังเบลล์ซังอย่างคุ้นเคยและมั่นคง

 

“นะ น็อกซ์เบลซัง หายใจเข้าลึก ๆ นะคะ หายใจเข้าลึก ๆ!”

 

“ซู๊ด ฮา…… ซู๊ด ฮา ฮ่า…….”

 

“ความรู้สึกอยู่บนใบหน้าหมดแล้วค่ะ น็อกซ์เบลซัง”

 

“ทำไม มิแรนด้าซังถึงยังสบายดีกันคะ….. !?”

 

“ข้ากระพริบตาพอดีจนพลาดไปค่ะ อยากย้อนเวลาจัง”

 

“เอ๊ะ”

 

ฉันถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกแล้ว กี่ครั้งแล้วที่ฉันต้องคิดแบบนี้ สำหรับครั้งนี้เหมือนจะสนุกกัน เลยตัดสินใจว่าปลอดภัย ไม่มีอะไรต้องกังวล อาจจะไม่ดีที่จะรบกวน แต่ฉันอยากกินแมเรียนเร็ว ๆ แล้ว เลยส่งเสียงออกไป

 

“…..ขะ ขออภัยด้วยค่ะ อริซซามะ”

 

“ขออภัยจริง ๆ ค่ะ ฮิเมะ!”

 

“อะ อืม”

 

ท้ายที่สุดแม้จะเป็นในตอนกำลังขอโทษแบบนี้ ใบหน้าของพวกเธอก็ดูมีความสุขวาดอยู่ อะไรกันน่ะ ฉันสับสนไปหมดแล้ว ปล่อยไว้คราวหน้าก่อนก็แล้วกัน ประสานมือกันอีกครั้ง คืนสติจดจ่อกับผลไม้ที่สุกใสบนโต๊ะ ได้เวลา แมเรียน!

 

“จะทานแล้วนะกะ”

 

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ก่อนทานอาหารพวกเราทั้งสามคนจะมาแนบชิดกัน และบ้วนปากด้วยน้ำก่อน ไม่เย็นที่จะให้หัวสดชื่น แต่ก็เย็นกำลังพอดี ต่อไปฉันสงสัยว่าจะกินเนื้อแห้งดี หรือจะจู่ ๆ ก็กินแมเรียนเลยดี แต่สุดท้ายฉันก็เอื้อมมือไปหาเนื้อแห้งอย่างเงียบ ๆ พูดแบบนี้อาจจะเป็นการเสียมารยาท แต่เนื้อแห้งนั้นหาไม่ได้ง่ายเลย ได้ยินว่าเป็นหมู ในแง่ราคาแล้วประมาณครึ่งแมเรียนต่อหนึ่งถุง

ขึ้นอยู่กับชนิดของเนื้อสัตว์ แต่แทบไม่มีการเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภคเนื้อ เช่น ม้า แกะ โคนม เป็นต้นเลย สำหรับคนทั่วไป เนื้อสัตว์คือ ของสำหรับงานเลี้ยงที่พวกเขาจะทานเพื่อรำลึกให้กับสัตว์ที่สร้างผลประโยชน์ให้กับพวกเขามากมาย ส่วนที่ฉันเคยทานก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ที่คฤหาสน์ เป็นเนื้อวัวจากวัวในฟาร์มของท่านอาจารย์……แฮงค์ล็อตเต้ซังที่ไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ เช่น อาการบาดเจ็บ หรือ ความแก่ชรา

 

――――อย่างไรก็ตาม ในหมู่พวกเขา เมื่อเร็ว ๆ นี้ “หมู” กลายเป็นที่นิยมในฐานะผลิตภัณฑ์ที่กินได้ เดิมที หมูเป็นสัตว์รบกวนทำลายทุ่งนาที่ระบาดเฉพาะในบางพื้นที่เท่านั้น และดูเหมือนเริ่มแรกการกินสัตว์พวกนี้จะขัดกับคำสอนของเนยูมุร์ที่ให้แค่ฆ่าเท่านั้น แต่ในเวลานั้น มีประชาชนทั่วไปคนหนึ่งซึ่งชีวิตตกอยู่ในช่วงเวลาวิกฤตเนื่องจากการเก็บเกี่ยวที่ไม่ดี ก็ได้เริ่มคิดว่าทำไมไม่เลี้ยงเจ้าพวกนี้เพื่อขายเป็นเนื้อล่ะ ถึงแม้ว่าจะต้องขายเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษก็ตาม ตัวอย่างเช่น เป็นสินค้าหายากในมาเรียน่า แต่แน่นอนว่ามีพ่อค้ามาค้าขายในเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก ทำให้ดูเหมือนว่าจะแพร่หลายไปในรูปแบบต่าง ๆ 

 

“อร่อย”

 

“ฟุๆๆ ดีใจจังค่ะ ฮิเมะ”

 

ขณะที่นึกถึงเกร็ดความรู้ที่ถูกสอนโดยรูนไฮม์ซัง ฉันก็เคี้ยวเนื้อที่แห้งและแน่นไปด้วย ฉันชอบเนื้อวัวมากกว่า แต่ก็อร่อยทั้งคู่ อันที่จริงฉันไม่ได้มีขอบเขตความความชอบจริง ๆ ฉันหมายถึง ฉันทั้งชอบและทั้งไม่ชอบสินค้าฟุ่มเฟือยแบบนี้ เพราะมาตรฐานของฉัน คือ เยลลี่โภชนาการที่รสชาติเหมือนน้ำเสียที่อัดแน่นไปด้วยส่วนผสมที่จำเป็นเท่านั้น ทำให้ทั้งหมดนี้ยอดเยี่ยมเลิสล้ำไปหมด

 

“ว่าไปแล้ว อริซซามะคะ”

 

“หืม แค่กๆ?”

 

ฉันฝืนตอบกลับเบลล์ซังขณะกำลังกลืนลิ้มรสชาติเนื้อแน่น ๆ เมื่อเห็นว่าฉันหันไปสนใจฟังแล้ว เธอก็เริ่มพูดที่เหลือต่อ

 

“ดิฉันไม่รู้วันที่แน่ชัด แต่ดิฉันได้ยินมาว่าทุกปีหลังจากนักเรียนใหม่เข้ามาได้ไม่นาน ในช่วงเวลานี้ก็จะมี「งานเทศกาลโรงเรียน」บางอย่างจัดขึ้นค่ะ”

 

“งานเทศกาลโรงเรียน…..?”

 

“ค่ะ เป็นเทศกาลที่ในแต่ละคลาสและแต่ละชั้นปีจะจัดการแสดงอะไรก็ได้”

 

“เทศกาล”

 

สิ่งที่เรียกว่าเทศกาลโรงเรียน เป็นคำศัพท์ที่ฉันไม่คุ้นเคยเลย แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นเทศกาล ฉันก็เข้าใจ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นเทศกาลเปิดที่จัดขึ้นในโรงเรียนทั้ง ๆ แบบนั้น แล้วการแสดงหมายถึงอะไร อย่างที่คิดไว้ฉันสงสัยว่าต้องลองเปิดร้านเล็ก ๆ ดูหรือเปล่า เทศกาลที่ฉันรู้จักมีภาพลักษณ์ที่คลุมเคลือเช่นนั้น

 

“นั่นสินะคะ ก็มีการแสดงละคร การแสดงดนตรี และการขับร้องประสานเสียง หรือไม่ก็การทำวิจัยบางอย่างค่ะ เหมือนกับการทำงานร่วมกันในคลาสเรียนเพื่อแสดงให้เห็นความสำเร็จบางอย่าง”

 

“โฮ๊ว”

 

เข้าใจแล้ว บรรยากาศดูจะแตกต่างจากเทศกาลที่ฉันคิด ถ้าหากจะให้อธิบายเป็นงานแบบไหน สำหรับส่วนตัวฉันแล้วคงบอกว่าเหมือนงานสัมมนาวิชาการมากกว่า ในกรณีนั้นก็มีอยู่ในโรงเรียนของชาติก่อนเช่นกัน ถึงในความเป็นจริงจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการล้างสมองเพื่อยกย่องสังคมปัจจุบันในรูปแบบหนึ่งก็ตาม

ยังไงก็ตาม งานนี้สำหรับฝั่งโรงเรียนอาจจะมีจุดประสงค์เพื่อสอนถึงความสำคัญของความร่วมมือให้กับเหล่าลูกขุนนางที่มักหยิ่งผยองอยู่บนจุดสูงสุดของตัวเองและให้ตระหนักถึงความผูกพันและความสามัคคีระหว่างเพื่อนร่วมชั้น นี่เป็นเพียงการคาดคะเนโดยไม่มีพื้นฐานความจริง แต่ฉันก็รู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองจำคำพูดของคุณตาได้อย่างไม่คาดคิด

 

“จะทำอะไร กันน้า”

 

“ดิฉันเคยได้ยินเรื่องนี้มาว่า ไอริสคลาส มักจะ「แสดงละคร」เสมอค่ะ”

 

“แสดงละคร”

 

แสดงละคร แสดงละคร…….อืมมมม ไม่สิ ฉันรู้ว่าแสดงละครเป็นอย่างไร แต่ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองจะสามารถทำได้ เพราะฉันคอยแต่จะมองเข้าไปในจิตใจของคนโดยรอบอยู่เสมอ และถึงแม้ฉันจะพูดได้มากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่คล่องอยู่ดี ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเล่นบทแบบไหนได้ดีเลย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เป็นอย่างอื่น อย่างเช่น ฉันจะขอบคุณมากถ้าเป็นการร้องประสานเสียงที่ฉันพอจะมั่นใจอยู่บ้าง แต่นี่ฉันคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย ถ้าเป็นการแสดงละคระจริง ๆ ก็ช่วยไม่ได้ ยังไงซะการแสดงละครอย่างพิถีพิถันก็ไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเรามาทำให้ดีที่สุดกันเถอะ

 

“งั้นเหรอ”

 

“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ดิฉันจะรอคอยการแสดงของอริซซามะอย่างใจจดใจจ่อเลยยค่ะ”

 

“ระ เหรอ?”

 

“แต่ฮิเมะต้องไม่ใช่นางร้ายอย่างแน่นอน เพราะฮิเมะน่ารักเหนือผู้ใดค่ะ”

 

“นั่น…..เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอนค่ะ ฟุๆๆๆ”

 

“……อู้”

 

ฉันไม่รู้จะตอบโต้ยังไงดี จึงกัดแมเรียนเพื่อซ่อนความรู้สึกทั้งสุขทั้งอาย พอรู้ตัวอีกทีฉันก็ลืมความรู้สึกด้านลบที่อยากลืมไปแล้ว

 

“อะ อร่อย……..”

 

ท้ายที่สุด แมเรียนอร่อยเสมอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด