[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 34 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 14 เชื่อมโยงความนึกคิด

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 34 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 14 เชื่อมโยงความนึกคิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 14 เชื่อมโยงความนึกคิด

 

“โรงเรียนงั้นรึ”

 

เมื่อวานซืน หลังการพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตกับกลุ่มอัศวินลิลลี่ขาวที่ปัจจุบันกำลังรับผิดชอบทำหน้าที่เสริมกำลังรักษาความปลอดภัยของเขตมาเรียนา เมื่อข้ากลับมาถึงที่บ้านก็มีเรื่องที่ต้องประหลาดใจถึงสองเรื่อง เรื่องแรกคือ ใบหน้าของท่านพ่อตาที่ออกมาต้อนรับเป็นคนแรก และอีกเรื่องคือ เกี่ยวกับการเข้าโรงเรียนของอริซ

 

เมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน ข้าได้รับจดหมายจากท่านพ่อตาว่าจะมาที่คฤหาสน์ในเร็วๆนี้ ข้าลืมบอกอริซเอาไว้เสียสนิท เพราะข้าเต็มไปด้วยเรื่องยุ่งๆของการรักษาความปลอดภัยในดินแดน แต่เดิมข้าก็ควรบอกเบลล์และอริซเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้พวกเธอเตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อมสำหรับการต้อนรับ ในเรื่องนี้ ข้าไม่มีข้อแก้ตัวจริงๆ โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นหน้าท่านพ่อตาเต็มๆ

ท่านพ่อตาตักเตือนใส่ข้าที่กำลังผงะโดยความคาดไม่ถึงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจปนความเป็นห่วงเล็กน้อย ข้าได้แต่กล่าวว่าครั้งหน้าข้าจะไม่ทำให้ผิดหวังอีก ม๊า แต่ให้พูดตามจริงแล้ว ความไม่พอใจเกือบทั้งหมดเป็นการบ่นอย่างโศกเศร้าที่อริซจำท่านไม่ได้

 

ในขณะที่ข้าได้แต่ขอโทษด้วยรอยยิ้มขมขื่นตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ดูเหมือนว่าอริซจะถูกเบลล์พาตัวกลับห้องไปแล้ว เรื่องโรงเรียนจึงถูกตัดบทไปทั้งๆแบบนั้น

เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อตาได้ยินเรื่องที่อริซปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมาในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ตลาด ข้าควรจะควบคุมผู้คนในอาณาเขตไม่ให้พูดถึงเวทมนตร์ของอริซ แต่…..ม๊า ข่าวลือของผู้คนย่อมเร็วกว่าม้า เลื้อยผ่านและแผ่กระจายดุจดังสายลม ยังไงก็ตาม…แต่

 

“ไม่สิ”

 

ท่านพ่อตาก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ท่านอยู่ในตำแหน่งที่ต้องคว้าข้อมูลข่าวสารไว้ให้ได้มากกว่าใครๆ นับประสาอะไรกับเรื่องราวการพยายามฆาตกรรมขุนนางที่เกิดขึ้นภายในเขตเป็นกลางระหว่างราชอาณาจักรกับจักรวรรดิ หากข้าตอบสนองอย่างไม่เป็นมืออาชีพด้วยการพยายามปกปิด การดำรงอยู่ของข้าคงถูกตั้งข้อสงสัย

 

“ซ๊า ข้าควรจะทำยังไงดี”

 

นอกเหนือจากนั้น อีกปัญหาคือการเข้าโรงเรียนของอริซ แน่นอนว่าคุณสมบัติสำหรับการรับเข้าเรียนขั้นต่ำคือ อายุ 6 ปีขึ้นไป หมายถึงอย่างเร็วที่สุดก็ประมาณปีหน้า แต่หากต้องการจะให้เข้าเรียนจริงๆ ข้าก็คิดที่จะรอจนถึงนาทีสุดท้ายที่สุด เพื่อเตรียมทุกอย่างให้พร้อม

เรื่องเงินนั่นไม่ใช่ปัญหา ข้ามีทั้งเงินรางวัลตอบแทนและเงินเดือนที่เก็บสะสมเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอัศวิน แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ เรื่องจิตใจของอริซ เป็นเรื่องยากที่จะพูดให้อริซต้องการที่จะออกจากบ้านไปอย่างเต็มใจ แม้จะใช้คำเยินยอก็ตาม

การพยายามทำความคุ้นเคยกับโลกภายนอกอย่างแข็งขันครั้งแรก จบลงด้วยสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไป ก็ดูเหมือนจะยังคงทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ข้าได้ยินมาว่าระหว่างทางที่ต้องผ่านตลาดเพื่อไปทดสอบเวทมนตร์ อริซดูค่อนข้างหวาดกลัว

ข้าจะสามารถส่งไปโรงเรียนในสภาพเช่นนี้ได้หรือ

 

“อื~ม……………..”

 

ยามเมื่อต้องเข้าเรียนที่โรงเรียน――――〝โรงเรียนเวทมนตร์หลวงรูเนเรีย〟 แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะเดินทางไปกลับโรงเรียนจากคฤหาสน์ได้แน่ๆ นอกจากนี้ ยังต้องใช้เวลาสามวันในการเดินทางจากที่นี่ไปยังเมืองหลวง แปลว่าอริซจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในหอพักของโรงเรียนเกือบตลอดเวลาจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา ยกเว้นการกลับบ้านในช่วงวันหยุด

 

“แต่”

 

แต่แน่นอนว่าท่าพ่อตาเองก็กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน แม้จะเป็นหอพัก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นห้องส่วนตัว และอนุญาตให้มีผู้ติดตามสองคนเข้าพักได้ด้วย โดยปกติมักเป็นอัศวินกับข้ารับใช้ แต่ก็มีกรณีพิเศษเช่น เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่จะมีอัศวินและข้ารับใช้ติดตามเป็นขบวน ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านพ่อตาเองก็รู้สึกหนักใจเช่นกัน

และข้าเองก็กำลังกังวลเรื่องนั้นเช่นกัน ตอนนี้หากบอกว่าต้องอยู่คนเดียว อริซคงปฏิเสธโดยไม่ลังเล แต่การให้ไปอาศัยอยู่กับคนหมู่มากก็เป็นอีกเรื่องที่ปัญหาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

“ต่อให้ยอมไป แต่ผลลัพธ์จะออกมาแบบไหนกัน”

 

หากพูดถึงผู้ติดตามแล้ว ก็คงเป็นเบลล์โดยไม่ต้องคิด ในฐานะพ่อแล้ว ข้าก็เหงานิดหน่อย แต่เบลล์เป็นคนที่อริซไว้ใจมากที่สุด แต่หากหัวหน้าข้ารับใช้ไม่อยู่เป็นเวลานาน นั้นก็จะส่งผลต่อการจัดสรรงานในคฤหาสน์ แต่ถ้าพูดในทางกลับกันนั่นคือมีเรื่องให้กังวลเพียงแค่นั้น

และอีกคนคือมิแรนดา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีอัศวินผู้พิทักษ์อยู่เคียงข้าง และอริซก็ดูเหมือนจะชอบเธอเช่นกัน

 

“เงื่อนไขดีที่สุด แต่”

 

ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์ของตัวอริซเองที่เป็นเหตุให้เงื่อนไขที่ดีทั้งหมดนี้ถูกพักเอาไว้ หากอริซปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของโรงเรียนได้ไม่ดี อาจทำให้บาดแผลในใจลุกลามมากยิ่งขึ้น จนอาจถึงขั้นที่แก้ไขไม่ได้อีกต่อไป

 

“อ้าาา ข้าควรจะทำเช่นไรดี อลิเซีย……..”

 

ข้าเผลอตัวเรียกหาภรรยาของข้าที่มักจะสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว ใจเย็น และถูกต้องในช่วงเวลาเช่นนี้ ข้าลูบแหวนบนนิ้วไปด้วยระหว่างที่ถาม

แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบกลับมา

ยังไงก็ตาม

 

――――『ไม่ใช่ทุกสิ่งที่หมุนรอบตัวของท่าน』

 

“……นั้นสินะ อลิเซีย”

 

วันหนึ่งระหว่างการทำศึก ข้าถูกศัตรูซุ่มโจมตีในสนามรบ ในเวลานั้นข้าได้ทิ้งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำหน้าที่เป็นกองระวังหลังการถอยทัพต้องตาย

อลิเซียได้เข้ามาพูดกับข้าซึ่งกำลังโทษตนเองอยู่ว่า ทำไมถึงไม่เป็นตนเอง ทำไมถึงไม่รู้ตัว และอีกมากมาย

พวกเขาได้เลือกหนทางชีวิตของตนเองแล้ว พวกเขาตัดสินใจสละชีพที่นั่น พวกเขาจับดาบด้วยความมุ่งมั่งอันแรงกล้า การที่ข้ามาเสียใจโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง มันเป็นการดูถูกเหยียบย่ำชีวิตของพวกเขา อลิเซียพูดออกมาแบบนั้น

 

……บทบาทตัวเอกในชีวิตของใครบางคน ก็ย่อมเป็นตัวของเขาเอง

ทำเท่าที่สามารถทำได้ ทุ่มเทความรักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ามีกำแพงมาขวางทางก็จงช่วยผลักดัน หากมีลูกศรตกลงมาก็จงเป็นเกราะกำบัง

 

ยังก็ตาม ข้าต้องไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจว่าจะไปทางไหน

 

“ดีล่ะ”

 

หากมีอะไรผิดพลาด แล้วอริซเจ็บปวดและร้องไห้กลับมา ข้าจะสนับสนุนเท่าที่จะทำได้จนกว่าความเจ็บปวดจะหาย และจนกว่าอริซจะยิ้มได้อีกครั้ง

อริซสามารถเริ่มต้นใหม่กี่ครั้งก็ได้ สามารถอยู่ในห้องได้ตลอดชีวิต

 

“ยังไงก็ตาม ต้องรวบรวมเงินทุนมาก่อนสินะ”

 

อริซต้องเป็นคนตัดสินใจชีวิตของอลิซเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“อื~~ม…….”

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ อริซซามะ”

 

ฉันนอนร้องคร่ำครวญอยู่บนเตียงขณะที่มองเบลล์ซังกำลังเขียนอะไรบางอย่าง แน่นอนว่าเรื่องที่ฉันกำลังกังวลอยู่คือ เรื่องโรงเรียน แค่การได้พบกับคุณตาตัวต่อตัวอย่างกระทันหันก็สับสนมากเพียงพอแล้ว พอถูกขอให้เข้าเรียนที่โรงเรียนอีก นั้นยิ่งทำให้หัวของฉันยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว อยากจะทำอะไร ฉันยังไม่รู้เลย

 

“……หมายถึงเรื่องโรงเรียนเหรอคะ?”

 

“อืม”

 

ฉันคลุ่นคิดแล้วมองย้อนกลับโดยไม่ได้ให้คำตอบ กับเบลล์ซังที่พูดพร้อมมองมาที่ฉัน เธอวางปากกาลงที่โต๊ะและยืนขึ้น เดินมานั่งลงข้างๆฉัน

 

“อริซซามะสนใจที่จะเรียนรู้เวทมนตร์และเรื่องอื่นๆอีกมากมายรึเปล่าคะ?”

 

“อืม”

 

ถ้าถามว่าสนใจไหม ก็สนใจแน่นอน ฉันอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกใบนี้ และเกี่ยวกับเวทมนตร์ นอกจากนี้ในแง่ของการเอาชนะความวิตกกังวลโลกภายนอกที่เหลืออยู่ด้วย การใช้เวลาอยู่ในสถานที่ดังกล่าว ฉันมั่นใจว่ามันไม่ใช่ผลเสียอย่างแน่นอน แน่นอนแม้ว่าจะหมายถึงฉันจะต้องอยู่โดดเดี่ยว

 

“ยังกลัวที่จะออกไปนอกคฤหาสน์รึเปล่าคะ?”

 

“อึ………..”

 

ถ้าบอกว่าไม่กลัวเลยคงเป็นการโกหก จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ภายในคฤหาสน์คือโลกทั้งใบของฉัน

การกระโดดออกไปยังสิ่งที่ไม่รู้จักมักจะมีความวิตกกังวลอยู่เสมอ

ยังไงก็ตาม มือที่ลูบผมเบาๆนั้นอบอุ่นมาก ฉันมั่นใจว่าหากมีเบลล์ซังอยู่ข้างๆฉันสามารถไปได้ทุกทที่อย่างแน่นอน แล้วฉันก็พยักหน้าเล็กน้อย

 

“ถ้ามีเบลล์อยู่ด้วย ก็ม๊ายเป็นร๊าย”

 

“เช่นนั้นรึคะ ดิฉันเองก็รู้สึกสบายใจที่สุดเมื่อได้อยู่ข้างๆอริซซามะเช่นกันค่ะ”

 

“เอะเฮะๆๆ”

 

ฉันมีความสุขมากกับคำพูดพร้อมรอยยิ้มของเบลล์ซัง ฉันเขินอายออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ

จากนั้นเบลล์ซังก็กุมหน้าอกด้วยเหตุผลบางอย่าง และส่งเสียงแปลกๆออกมา

 

“กุกุกุกุ………. ⁉ “

 

“เบลล์?”

 

“มะ ไม่มีอะไรค่ะ”

 

ฉันมองใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นดูเหมือนสง่างามและหนักแน่นอย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่จะส่ายหัว

 

“อริซซามะ?”

 

“ม๊ายมีอาร๊ายก่ะ”

 

ฉันตอบกลับไปแบบเดียวกัน จากนั้นรอยยิ้มจากที่ไหนก็ไม่รู้ก็ทะลักออกมา

ในที่สุดฉันก็รู้สึกผ่อนคลาย หัวของฉันที่ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายมาจนถึงตอนนี้ได้สงบลงอย่างสมบูรณ์ ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองใจเย็นลงแล้ว

ฮา、ฟู้ ฉันอยากเข้าใจให้มากกว่านี้ ฉันลุกขึ้นและเงยหน้ามองเบลล์ซัง

 

“……ขอบกุณ”

 

“หมายถึงเรื่องอะไรรึคะ?”

 

เบลล์ซังกางฝ่ามือทั้งสองข้างข้างไหล่ทำราวกับว่าไม่รู้เรื่อง และกอดฉันเบาๆจากด้านหน้าโดยไม่พูดอะไรเกี่ยวกับความกังวลใจ หางม้าสีดำวาวของเธอตกลงมาจักจี้ข้างหูฉัน

 

“สบายใจ”

 

“ดิฉันเองก็สบายใจเหมือนกันค่ะ อริซซามะ”

 

มือถูกกอดรอบเอวเพื่อไม่ให้สัมผัสบาดแผลที่หลัง พอฉันเงยหน้าขึ้นไปดวงตาคู่สีดำวาวก็ก้มลงมามองอย่างอ่อนโยน ด้วยเหตุผลบางอย่างหน้าอกของฉันก็เต้นดัง ตึกตัก

 

“บะ เบลล์”

 

“อะไรเหรอคะ”

 

จี่~ ทันใด ฉันก็รู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปหาดวงสีดำวาวของเธอที่มองมาที่ฉัน แล้วฉันก็ก้มหน้าลงโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

“ม๊ายมี……..อือึอ”

 

ฉันตอบกลับเสียงเรียก「อริซซามะ? 」ด้วยเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน แต่ไม่ใช่การกลบเกลื่อน เป็นเรื่องที่จู่ๆฉันก็อยากพูด

 

“รักที่สุด”

 

” ――――っ、…… “

 

ドクン ไม่ใช่ความผิดของฉันนะที่ทำให้เบลล์ซังใจเต้นแรงแบบนั้น แก้มของเธอถูกย้อมเป็นสีแดงอย่างรวดเร็วราวกับแสงที่ถูกจุด แรงที่ใช้กอดฉันเพิ่มมากขึ้น

ใบหน้าของฉันถูกฝังลงที่หน้าอกนุ่มนิ่ม

 

“ฟุกิ๊ว”

 

“อริซซามะ ไม่เอาสิคะ”

 

“อู…………?”

 

ฉันไม่ได้ยินคำห้ามที่พูดออกมา เพราะฉันกำลังพยายามเอาตัวรอดจากการขาดอากาศอย่างเต็มที่

เพราะมือของเธออยู่รอบเอวของฉัน ทำให้เมื่อเบลล์ซังเพิ่มแรงกอดขึ้น ก็ทำให้กลายเป็นท่าทางการกอดยกขึ้นในแนวเฉียงขึ้นเข้าหาหน้าอกอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ยากต่อการเอาหน้าออก

หลังพยายามต่อสู้กับการถูกหน้าอกหนีบหน้าเป็นแซนวิช ในที่สุดฉันก็ยกหัวขึ้นได้

 

“ฟู๊ว…….”

 

“วะๆๆๆ ขอประทานโทษด้วยค่ะ เจ็บตรงไหนรึเปล่าคะ?”

 

ในที่สุดเบลล์ซังก็สังเกตเห็นอาการไม่สู้ดีของฉันที่คอถูกหนีบไว้ด้วยหน้าอกของเธอ เธอฝืนยิ้มแล้วหัวเราะ อะฮะๆๆ 

ฉันทำปากพองประท้วง และจ้องหน้าเธอด้วยดวงตาที่ชุ่มชื้นเล็กน้อย

 

“ไม่”

 

“กู๊ว……. !? “

 

ฉันพูดสั้นๆออกไประหว่างหอบหายใจ ทันใดนั้นเบลล์ซังก็จับจมูกแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดาน

 

“โอ้ พระเจ้า”

 

“เบลล์………..?”

 

“อย่างที่ดิฉันคิดเสมอ เวทมนตร์ที่แท้จริงของอริซซามะคือ〝มนตร์เสน่ห์〟อย่างแน่นอน เฮะๆๆๆ”

 

“เอ่อ?”

 

ใบหน้าที่พึมพำบางอย่างราวกับเสียงกระซิบ ดูราวกำลังลอยไปมีความสุขอยู่ที่ไหนสักแห่ง

ฉันยอมแพ้ทันทีหลังเรียกไปแล้วเธอไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ ฉันทำได้แต่เอาคางวางไว้บนหน้าอกรอเบลล์ซังกลับมาที่โลกใบนี้

 

“…….ฮะแอม”

 

“ยินดีต้อนรับกลับ”

 

“ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ อริซซามะ”

 

“ไปที่ไหนมาเหรอ”

 

“ค่ะ น่าจะสรวงสวรรค์เล็กๆค่ะ”

 

“สรวงสรววค์?”

 

“ดิฉันเห็นนางฟ้าด้วยค่ะ”

 

เบลล์ซังพยักหน้าแรงๆพูดอะไรแปลกๆด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาของเธอดูจริงจังจนฉันต้องบอกตัวเองว่าอย่าไปแตะต้อง

ในที่สุดเธอก็คลายแขนที่กอดอยู่ออก แต่ฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนท่าทางของตัวเอง ไม่มีคำพูดใดๆ พวกเราแค่นั่งจ้องหน้ากัน

 

“อริซซามะ”

 

“กะ”

 

ทันใดนั้นเบลล์ซังก็มองไปที่หน้าต่างที่มีแสงอันอบอุ่นสาดส่องเข้ามา ฉันเองก็ถูกดึงดูดให้มองตามไป และมองเห็นท้องฟ้าใสผ่านกรอบหน้าต่างที่เปิดอยู่

วันนี้ข้างนอก ก็มีแดดสดใส

เบลล์ซังพูดต่อขณะมองท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มที่ถูกตัดผ่านด้วยกลุ่มเมฆหลายชั้นที่ไม่สม่ำเสมอและดูยาวไม่มีที่สิ้นสุด

 

“……พรุ่งนี้ อยากจะออกไปเดินเล่นกันสักหน่อยไหมคะ”

 

“เดินเล่น?”

 

“ค่ะ นั้นสินะคะ พาคาลเมียร์ไปที่สวนแมเรียนด้วย”

 

“แมเรียน”

 

ฉันตอบสนองต่อคีย์เวิร์ดมหัศจรรย์จนเกือบจะบอกว่าไปในทันที แต่ก็กลืนไว้ได้ทันก่อน

เดินเล่น เป็นคำชวนที่กะทันหันมากๆ โดยพื้นฐานแล้ว เบลล์ซังไม่ค่อยได้เดินจูงมือฉันข้างนอก กาทำเช่นนั้น จากจุดยืนของข้ารับใช้เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ อย่างเช่นตอนที่คุณตามาเยี่ยมฉันเมื่อวันก่อนเองก็เช่นกัน

ดังนั้นจึงค่อนข้างหายากที่เธอจะแนะนำอย่างยินดีให้ฉันออกไปเดินเล่น

 

“……เดินเล่น”

 

“ใช่ค่ะ ถึงจะไม่ควรทำนิดหน่อย แต่การได้นอนกลิ้งบนทุ่งหญ้าใกล้ๆสวน และมองไปยังท้องฟ้า ก็ทำให้รู้สึกดีมากๆเลยค่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

เสียงที่มาจากความรู้สึกที่แท้จริง ชวนให้ฉันลอกนึกภาพถึงฉากที่ว่า

อย่าง วางตะกร้าใส่อาหารเบาๆไว้ข้างๆ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีเบลล์ซังกับคาลเมียร์ซัง พวกเราสามคนนอนเคียงกัน มองขึ้นไปยังท้องฟ้า ทิ้งตัวลงในทะเลทุ่งหญ้าที่พลิ้วไหวตามสายลม

……..เข้าใจแล้ว นั่นดูสบายมากๆ

 

“…….อืม”

 

อาจเป็นความคิดที่ดีที่จะออกไปข้างนอกสักครั้งเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ นอกจากนี้ฉันรู้สึกว่าท้องฟ้าที่ฉันมองขึ้นไปจะทำให้ฉันลืมความกังวลและความกลัวไปได้

 

“……แต่ ทำไม?”

 

แล้วเบลล์ซังก็เกาแก้มโดยไม่รู้ตัว เหมือนที่คุณพ่อชอบทำ

 

“ดิฉันแค่อยากให้อริซซามะได้เห็นทิวทัษน์ที่ดิฉันรักค่ะ”

 

“…….ของเบลล์?”

 

“ค่ะ …….นี่เป็นการพูดกับตัวเองนะคะ”

 

เบลล์ซังพูดเกริ่นเอาไว้กิ่น แล้วในที่สุดก็เริ่มเล่า

ฉันเลือกที่จะไม่พูดขัด ทำเพียงแต่ฟังอย่างเงียบๆ

 

“ดิฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้จักหน้าตาพ่อแม่ของตัวเอง ตั้งแต่ที่จำความได้ดิฉันก็ทำงายอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งในเมืองที่เหมือนเป็นจุดรวมตัวของคนเร่ร่อน”

 

“อืม”

 

“…….วันหนึ่งดิฉันก็ทนไม่ไหวกับชีวิตแบบนั้น จึงตัดสินใจวิ่งหนีออกมาจากที่นั่น เงินกับอาหารก็หมดลงในไม่ช้า และมีคนจำนวนไม่มากที่จะช่วยเหลือเด็กกำพร้า สุดท้าย ดิฉันก็มาล้มลงที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่”

 

ที่กำลังเล่าอยู่คืออดีตของเธอ ประวัติของเบลล์ซังที่ฉันไม่เคยรู้จนกระทั้งถึงตอนนี้

ฉันไม่แม้แต่จะแปลกใจหรือพยักหน้า

 

“……คฤหาสน์”

 

“ค่ะ นั่นคือที่นี่ ที่พักอาศัยของตระกูลแฟร์มีล และ…….อลิเซียซามะก็เป็นผู้ที่มาพบดิฉัน และรับดิฉันเข้ามาดูแล ฮัททีเรียซามะและอลิเซียซามะได้ดูแลดิฉันเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่ง”

 

เบลล์ซังได้มาถึงที่นี่ด้วยผลลัพธ์ของเหตุการณ์ที่ซ้อนทับกันโดยบังเอิญ

แต่แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“ในช่วงนั้น ดิฉันก็ได้รับการสอนงานของข้ารับใช้ทีละเล็กทีละน้อย แต่ก็มีหลายช่วงเวลาที่ทำได้ไม่ดีนัก”

 

“อืม”

 

ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำทุกอย่างได้ตั้งแต่เริ่มต้น

ต้องมีสะดุดบ้างอย่างแน่นอน

 

“ตอนนั้น อลิเซียซามะได้พาดิฉันไปที่สวนแมเรียนเพื่อเดินเล่น ……ณ ที่แห่งนั้น พวกเราไม่ได้พูดอะไรกันเลย ทำเพียงนอนมองท้องฟ้า”

 

“อืม”

 

เมื่อพูดถึงตรงนั้น เบลล์ซังก็เบนสายตาจากหน้าต่างกลับมามองที่ฉัน

ทันใดนั้นฉันรู้สึกว่ารูปลักษณ์ของคุณแม่ที่ฉันไม่ควรรู้จักได้ซ้อนทับกันกับเธอ

 

“จากนั้นระหว่างการเดินทางกลับที่ดิฉันเดินอยู่ถัดจากอลิเซียซามะ ด้วยเหตุผลบางอย่างดิฉันรู้สึกสดชื่นมากๆ”

 

แผ่นหลังทั้งสองที่ปรากฏมารางๆให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหงาเล็กๆนิดๆหน่อยๆ

เบลล์ซังลูบผมของฉันเพื่อปลอบใจ

 

“――――ดิฉันอยากให้อริซซามะเป็นกังวลในตอนนี้ได้เป็นทิวทัศน์เดียวกันกับที่อลิเซียซามะเคยใช้สอนดิฉันค่ะ”

 

นั่นเป็นคำพูดของเบลล์ซัง ในขณะเดียวกันก็เป็นคำพูดของคุณแม่

ฉันเงยหน้าขึ้นมองเบลล์ซังที่กำลังเช็ดน้ำตาที่ไหลทะลักของเธอ

 

“อืม”

 

“……ขอบพระคุณมากค่ะ อริซซามะ”

 

คำพูดที่หนักแน่นและเข้าใจ ไม่เพียงพอเหมือนอย่างเคย

จากนั้นเบลล์ซังก็ออกห้องไปโดยบอกว่าจะไปเอาผ้าสำหรับเปลี่ยนที่หลังมาให้ ฉันกังวลมากจนสงสัยว่าเธออาจจะเป็นเอสเปอร์จริงๆ

เมื่อฉันอยู่คนเดียวได้สักพัก”

 

“อึก……ท่านแม่…….ท่านแม่…….. !”

 

ฉันร้องไห้โดยกอดเงาของคุณแม่ที่ “ ไม่ได้รักษาเอาไว้ ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 34 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 14 เชื่อมโยงความนึกคิด

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 34 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 14 เชื่อมโยงความนึกคิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 14 เชื่อมโยงความนึกคิด

 

“โรงเรียนงั้นรึ”

 

เมื่อวานซืน หลังการพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตกับกลุ่มอัศวินลิลลี่ขาวที่ปัจจุบันกำลังรับผิดชอบทำหน้าที่เสริมกำลังรักษาความปลอดภัยของเขตมาเรียนา เมื่อข้ากลับมาถึงที่บ้านก็มีเรื่องที่ต้องประหลาดใจถึงสองเรื่อง เรื่องแรกคือ ใบหน้าของท่านพ่อตาที่ออกมาต้อนรับเป็นคนแรก และอีกเรื่องคือ เกี่ยวกับการเข้าโรงเรียนของอริซ

 

เมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน ข้าได้รับจดหมายจากท่านพ่อตาว่าจะมาที่คฤหาสน์ในเร็วๆนี้ ข้าลืมบอกอริซเอาไว้เสียสนิท เพราะข้าเต็มไปด้วยเรื่องยุ่งๆของการรักษาความปลอดภัยในดินแดน แต่เดิมข้าก็ควรบอกเบลล์และอริซเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้พวกเธอเตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อมสำหรับการต้อนรับ ในเรื่องนี้ ข้าไม่มีข้อแก้ตัวจริงๆ โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นหน้าท่านพ่อตาเต็มๆ

ท่านพ่อตาตักเตือนใส่ข้าที่กำลังผงะโดยความคาดไม่ถึงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจปนความเป็นห่วงเล็กน้อย ข้าได้แต่กล่าวว่าครั้งหน้าข้าจะไม่ทำให้ผิดหวังอีก ม๊า แต่ให้พูดตามจริงแล้ว ความไม่พอใจเกือบทั้งหมดเป็นการบ่นอย่างโศกเศร้าที่อริซจำท่านไม่ได้

 

ในขณะที่ข้าได้แต่ขอโทษด้วยรอยยิ้มขมขื่นตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ดูเหมือนว่าอริซจะถูกเบลล์พาตัวกลับห้องไปแล้ว เรื่องโรงเรียนจึงถูกตัดบทไปทั้งๆแบบนั้น

เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อตาได้ยินเรื่องที่อริซปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมาในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ตลาด ข้าควรจะควบคุมผู้คนในอาณาเขตไม่ให้พูดถึงเวทมนตร์ของอริซ แต่…..ม๊า ข่าวลือของผู้คนย่อมเร็วกว่าม้า เลื้อยผ่านและแผ่กระจายดุจดังสายลม ยังไงก็ตาม…แต่

 

“ไม่สิ”

 

ท่านพ่อตาก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ท่านอยู่ในตำแหน่งที่ต้องคว้าข้อมูลข่าวสารไว้ให้ได้มากกว่าใครๆ นับประสาอะไรกับเรื่องราวการพยายามฆาตกรรมขุนนางที่เกิดขึ้นภายในเขตเป็นกลางระหว่างราชอาณาจักรกับจักรวรรดิ หากข้าตอบสนองอย่างไม่เป็นมืออาชีพด้วยการพยายามปกปิด การดำรงอยู่ของข้าคงถูกตั้งข้อสงสัย

 

“ซ๊า ข้าควรจะทำยังไงดี”

 

นอกเหนือจากนั้น อีกปัญหาคือการเข้าโรงเรียนของอริซ แน่นอนว่าคุณสมบัติสำหรับการรับเข้าเรียนขั้นต่ำคือ อายุ 6 ปีขึ้นไป หมายถึงอย่างเร็วที่สุดก็ประมาณปีหน้า แต่หากต้องการจะให้เข้าเรียนจริงๆ ข้าก็คิดที่จะรอจนถึงนาทีสุดท้ายที่สุด เพื่อเตรียมทุกอย่างให้พร้อม

เรื่องเงินนั่นไม่ใช่ปัญหา ข้ามีทั้งเงินรางวัลตอบแทนและเงินเดือนที่เก็บสะสมเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอัศวิน แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ เรื่องจิตใจของอริซ เป็นเรื่องยากที่จะพูดให้อริซต้องการที่จะออกจากบ้านไปอย่างเต็มใจ แม้จะใช้คำเยินยอก็ตาม

การพยายามทำความคุ้นเคยกับโลกภายนอกอย่างแข็งขันครั้งแรก จบลงด้วยสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไป ก็ดูเหมือนจะยังคงทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ข้าได้ยินมาว่าระหว่างทางที่ต้องผ่านตลาดเพื่อไปทดสอบเวทมนตร์ อริซดูค่อนข้างหวาดกลัว

ข้าจะสามารถส่งไปโรงเรียนในสภาพเช่นนี้ได้หรือ

 

“อื~ม……………..”

 

ยามเมื่อต้องเข้าเรียนที่โรงเรียน――――〝โรงเรียนเวทมนตร์หลวงรูเนเรีย〟 แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะเดินทางไปกลับโรงเรียนจากคฤหาสน์ได้แน่ๆ นอกจากนี้ ยังต้องใช้เวลาสามวันในการเดินทางจากที่นี่ไปยังเมืองหลวง แปลว่าอริซจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในหอพักของโรงเรียนเกือบตลอดเวลาจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา ยกเว้นการกลับบ้านในช่วงวันหยุด

 

“แต่”

 

แต่แน่นอนว่าท่าพ่อตาเองก็กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน แม้จะเป็นหอพัก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นห้องส่วนตัว และอนุญาตให้มีผู้ติดตามสองคนเข้าพักได้ด้วย โดยปกติมักเป็นอัศวินกับข้ารับใช้ แต่ก็มีกรณีพิเศษเช่น เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่จะมีอัศวินและข้ารับใช้ติดตามเป็นขบวน ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านพ่อตาเองก็รู้สึกหนักใจเช่นกัน

และข้าเองก็กำลังกังวลเรื่องนั้นเช่นกัน ตอนนี้หากบอกว่าต้องอยู่คนเดียว อริซคงปฏิเสธโดยไม่ลังเล แต่การให้ไปอาศัยอยู่กับคนหมู่มากก็เป็นอีกเรื่องที่ปัญหาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

“ต่อให้ยอมไป แต่ผลลัพธ์จะออกมาแบบไหนกัน”

 

หากพูดถึงผู้ติดตามแล้ว ก็คงเป็นเบลล์โดยไม่ต้องคิด ในฐานะพ่อแล้ว ข้าก็เหงานิดหน่อย แต่เบลล์เป็นคนที่อริซไว้ใจมากที่สุด แต่หากหัวหน้าข้ารับใช้ไม่อยู่เป็นเวลานาน นั้นก็จะส่งผลต่อการจัดสรรงานในคฤหาสน์ แต่ถ้าพูดในทางกลับกันนั่นคือมีเรื่องให้กังวลเพียงแค่นั้น

และอีกคนคือมิแรนดา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีอัศวินผู้พิทักษ์อยู่เคียงข้าง และอริซก็ดูเหมือนจะชอบเธอเช่นกัน

 

“เงื่อนไขดีที่สุด แต่”

 

ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์ของตัวอริซเองที่เป็นเหตุให้เงื่อนไขที่ดีทั้งหมดนี้ถูกพักเอาไว้ หากอริซปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของโรงเรียนได้ไม่ดี อาจทำให้บาดแผลในใจลุกลามมากยิ่งขึ้น จนอาจถึงขั้นที่แก้ไขไม่ได้อีกต่อไป

 

“อ้าาา ข้าควรจะทำเช่นไรดี อลิเซีย……..”

 

ข้าเผลอตัวเรียกหาภรรยาของข้าที่มักจะสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว ใจเย็น และถูกต้องในช่วงเวลาเช่นนี้ ข้าลูบแหวนบนนิ้วไปด้วยระหว่างที่ถาม

แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบกลับมา

ยังไงก็ตาม

 

――――『ไม่ใช่ทุกสิ่งที่หมุนรอบตัวของท่าน』

 

“……นั้นสินะ อลิเซีย”

 

วันหนึ่งระหว่างการทำศึก ข้าถูกศัตรูซุ่มโจมตีในสนามรบ ในเวลานั้นข้าได้ทิ้งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำหน้าที่เป็นกองระวังหลังการถอยทัพต้องตาย

อลิเซียได้เข้ามาพูดกับข้าซึ่งกำลังโทษตนเองอยู่ว่า ทำไมถึงไม่เป็นตนเอง ทำไมถึงไม่รู้ตัว และอีกมากมาย

พวกเขาได้เลือกหนทางชีวิตของตนเองแล้ว พวกเขาตัดสินใจสละชีพที่นั่น พวกเขาจับดาบด้วยความมุ่งมั่งอันแรงกล้า การที่ข้ามาเสียใจโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง มันเป็นการดูถูกเหยียบย่ำชีวิตของพวกเขา อลิเซียพูดออกมาแบบนั้น

 

……บทบาทตัวเอกในชีวิตของใครบางคน ก็ย่อมเป็นตัวของเขาเอง

ทำเท่าที่สามารถทำได้ ทุ่มเทความรักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ามีกำแพงมาขวางทางก็จงช่วยผลักดัน หากมีลูกศรตกลงมาก็จงเป็นเกราะกำบัง

 

ยังก็ตาม ข้าต้องไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจว่าจะไปทางไหน

 

“ดีล่ะ”

 

หากมีอะไรผิดพลาด แล้วอริซเจ็บปวดและร้องไห้กลับมา ข้าจะสนับสนุนเท่าที่จะทำได้จนกว่าความเจ็บปวดจะหาย และจนกว่าอริซจะยิ้มได้อีกครั้ง

อริซสามารถเริ่มต้นใหม่กี่ครั้งก็ได้ สามารถอยู่ในห้องได้ตลอดชีวิต

 

“ยังไงก็ตาม ต้องรวบรวมเงินทุนมาก่อนสินะ”

 

อริซต้องเป็นคนตัดสินใจชีวิตของอลิซเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“อื~~ม…….”

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ อริซซามะ”

 

ฉันนอนร้องคร่ำครวญอยู่บนเตียงขณะที่มองเบลล์ซังกำลังเขียนอะไรบางอย่าง แน่นอนว่าเรื่องที่ฉันกำลังกังวลอยู่คือ เรื่องโรงเรียน แค่การได้พบกับคุณตาตัวต่อตัวอย่างกระทันหันก็สับสนมากเพียงพอแล้ว พอถูกขอให้เข้าเรียนที่โรงเรียนอีก นั้นยิ่งทำให้หัวของฉันยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว อยากจะทำอะไร ฉันยังไม่รู้เลย

 

“……หมายถึงเรื่องโรงเรียนเหรอคะ?”

 

“อืม”

 

ฉันคลุ่นคิดแล้วมองย้อนกลับโดยไม่ได้ให้คำตอบ กับเบลล์ซังที่พูดพร้อมมองมาที่ฉัน เธอวางปากกาลงที่โต๊ะและยืนขึ้น เดินมานั่งลงข้างๆฉัน

 

“อริซซามะสนใจที่จะเรียนรู้เวทมนตร์และเรื่องอื่นๆอีกมากมายรึเปล่าคะ?”

 

“อืม”

 

ถ้าถามว่าสนใจไหม ก็สนใจแน่นอน ฉันอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกใบนี้ และเกี่ยวกับเวทมนตร์ นอกจากนี้ในแง่ของการเอาชนะความวิตกกังวลโลกภายนอกที่เหลืออยู่ด้วย การใช้เวลาอยู่ในสถานที่ดังกล่าว ฉันมั่นใจว่ามันไม่ใช่ผลเสียอย่างแน่นอน แน่นอนแม้ว่าจะหมายถึงฉันจะต้องอยู่โดดเดี่ยว

 

“ยังกลัวที่จะออกไปนอกคฤหาสน์รึเปล่าคะ?”

 

“อึ………..”

 

ถ้าบอกว่าไม่กลัวเลยคงเป็นการโกหก จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ภายในคฤหาสน์คือโลกทั้งใบของฉัน

การกระโดดออกไปยังสิ่งที่ไม่รู้จักมักจะมีความวิตกกังวลอยู่เสมอ

ยังไงก็ตาม มือที่ลูบผมเบาๆนั้นอบอุ่นมาก ฉันมั่นใจว่าหากมีเบลล์ซังอยู่ข้างๆฉันสามารถไปได้ทุกทที่อย่างแน่นอน แล้วฉันก็พยักหน้าเล็กน้อย

 

“ถ้ามีเบลล์อยู่ด้วย ก็ม๊ายเป็นร๊าย”

 

“เช่นนั้นรึคะ ดิฉันเองก็รู้สึกสบายใจที่สุดเมื่อได้อยู่ข้างๆอริซซามะเช่นกันค่ะ”

 

“เอะเฮะๆๆ”

 

ฉันมีความสุขมากกับคำพูดพร้อมรอยยิ้มของเบลล์ซัง ฉันเขินอายออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ

จากนั้นเบลล์ซังก็กุมหน้าอกด้วยเหตุผลบางอย่าง และส่งเสียงแปลกๆออกมา

 

“กุกุกุกุ………. ⁉ “

 

“เบลล์?”

 

“มะ ไม่มีอะไรค่ะ”

 

ฉันมองใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นดูเหมือนสง่างามและหนักแน่นอย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่จะส่ายหัว

 

“อริซซามะ?”

 

“ม๊ายมีอาร๊ายก่ะ”

 

ฉันตอบกลับไปแบบเดียวกัน จากนั้นรอยยิ้มจากที่ไหนก็ไม่รู้ก็ทะลักออกมา

ในที่สุดฉันก็รู้สึกผ่อนคลาย หัวของฉันที่ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายมาจนถึงตอนนี้ได้สงบลงอย่างสมบูรณ์ ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองใจเย็นลงแล้ว

ฮา、ฟู้ ฉันอยากเข้าใจให้มากกว่านี้ ฉันลุกขึ้นและเงยหน้ามองเบลล์ซัง

 

“……ขอบกุณ”

 

“หมายถึงเรื่องอะไรรึคะ?”

 

เบลล์ซังกางฝ่ามือทั้งสองข้างข้างไหล่ทำราวกับว่าไม่รู้เรื่อง และกอดฉันเบาๆจากด้านหน้าโดยไม่พูดอะไรเกี่ยวกับความกังวลใจ หางม้าสีดำวาวของเธอตกลงมาจักจี้ข้างหูฉัน

 

“สบายใจ”

 

“ดิฉันเองก็สบายใจเหมือนกันค่ะ อริซซามะ”

 

มือถูกกอดรอบเอวเพื่อไม่ให้สัมผัสบาดแผลที่หลัง พอฉันเงยหน้าขึ้นไปดวงตาคู่สีดำวาวก็ก้มลงมามองอย่างอ่อนโยน ด้วยเหตุผลบางอย่างหน้าอกของฉันก็เต้นดัง ตึกตัก

 

“บะ เบลล์”

 

“อะไรเหรอคะ”

 

จี่~ ทันใด ฉันก็รู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปหาดวงสีดำวาวของเธอที่มองมาที่ฉัน แล้วฉันก็ก้มหน้าลงโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

“ม๊ายมี……..อือึอ”

 

ฉันตอบกลับเสียงเรียก「อริซซามะ? 」ด้วยเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน แต่ไม่ใช่การกลบเกลื่อน เป็นเรื่องที่จู่ๆฉันก็อยากพูด

 

“รักที่สุด”

 

” ――――っ、…… “

 

ドクン ไม่ใช่ความผิดของฉันนะที่ทำให้เบลล์ซังใจเต้นแรงแบบนั้น แก้มของเธอถูกย้อมเป็นสีแดงอย่างรวดเร็วราวกับแสงที่ถูกจุด แรงที่ใช้กอดฉันเพิ่มมากขึ้น

ใบหน้าของฉันถูกฝังลงที่หน้าอกนุ่มนิ่ม

 

“ฟุกิ๊ว”

 

“อริซซามะ ไม่เอาสิคะ”

 

“อู…………?”

 

ฉันไม่ได้ยินคำห้ามที่พูดออกมา เพราะฉันกำลังพยายามเอาตัวรอดจากการขาดอากาศอย่างเต็มที่

เพราะมือของเธออยู่รอบเอวของฉัน ทำให้เมื่อเบลล์ซังเพิ่มแรงกอดขึ้น ก็ทำให้กลายเป็นท่าทางการกอดยกขึ้นในแนวเฉียงขึ้นเข้าหาหน้าอกอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ยากต่อการเอาหน้าออก

หลังพยายามต่อสู้กับการถูกหน้าอกหนีบหน้าเป็นแซนวิช ในที่สุดฉันก็ยกหัวขึ้นได้

 

“ฟู๊ว…….”

 

“วะๆๆๆ ขอประทานโทษด้วยค่ะ เจ็บตรงไหนรึเปล่าคะ?”

 

ในที่สุดเบลล์ซังก็สังเกตเห็นอาการไม่สู้ดีของฉันที่คอถูกหนีบไว้ด้วยหน้าอกของเธอ เธอฝืนยิ้มแล้วหัวเราะ อะฮะๆๆ 

ฉันทำปากพองประท้วง และจ้องหน้าเธอด้วยดวงตาที่ชุ่มชื้นเล็กน้อย

 

“ไม่”

 

“กู๊ว……. !? “

 

ฉันพูดสั้นๆออกไประหว่างหอบหายใจ ทันใดนั้นเบลล์ซังก็จับจมูกแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดาน

 

“โอ้ พระเจ้า”

 

“เบลล์………..?”

 

“อย่างที่ดิฉันคิดเสมอ เวทมนตร์ที่แท้จริงของอริซซามะคือ〝มนตร์เสน่ห์〟อย่างแน่นอน เฮะๆๆๆ”

 

“เอ่อ?”

 

ใบหน้าที่พึมพำบางอย่างราวกับเสียงกระซิบ ดูราวกำลังลอยไปมีความสุขอยู่ที่ไหนสักแห่ง

ฉันยอมแพ้ทันทีหลังเรียกไปแล้วเธอไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ ฉันทำได้แต่เอาคางวางไว้บนหน้าอกรอเบลล์ซังกลับมาที่โลกใบนี้

 

“…….ฮะแอม”

 

“ยินดีต้อนรับกลับ”

 

“ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ อริซซามะ”

 

“ไปที่ไหนมาเหรอ”

 

“ค่ะ น่าจะสรวงสวรรค์เล็กๆค่ะ”

 

“สรวงสรววค์?”

 

“ดิฉันเห็นนางฟ้าด้วยค่ะ”

 

เบลล์ซังพยักหน้าแรงๆพูดอะไรแปลกๆด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาของเธอดูจริงจังจนฉันต้องบอกตัวเองว่าอย่าไปแตะต้อง

ในที่สุดเธอก็คลายแขนที่กอดอยู่ออก แต่ฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนท่าทางของตัวเอง ไม่มีคำพูดใดๆ พวกเราแค่นั่งจ้องหน้ากัน

 

“อริซซามะ”

 

“กะ”

 

ทันใดนั้นเบลล์ซังก็มองไปที่หน้าต่างที่มีแสงอันอบอุ่นสาดส่องเข้ามา ฉันเองก็ถูกดึงดูดให้มองตามไป และมองเห็นท้องฟ้าใสผ่านกรอบหน้าต่างที่เปิดอยู่

วันนี้ข้างนอก ก็มีแดดสดใส

เบลล์ซังพูดต่อขณะมองท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มที่ถูกตัดผ่านด้วยกลุ่มเมฆหลายชั้นที่ไม่สม่ำเสมอและดูยาวไม่มีที่สิ้นสุด

 

“……พรุ่งนี้ อยากจะออกไปเดินเล่นกันสักหน่อยไหมคะ”

 

“เดินเล่น?”

 

“ค่ะ นั้นสินะคะ พาคาลเมียร์ไปที่สวนแมเรียนด้วย”

 

“แมเรียน”

 

ฉันตอบสนองต่อคีย์เวิร์ดมหัศจรรย์จนเกือบจะบอกว่าไปในทันที แต่ก็กลืนไว้ได้ทันก่อน

เดินเล่น เป็นคำชวนที่กะทันหันมากๆ โดยพื้นฐานแล้ว เบลล์ซังไม่ค่อยได้เดินจูงมือฉันข้างนอก กาทำเช่นนั้น จากจุดยืนของข้ารับใช้เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ อย่างเช่นตอนที่คุณตามาเยี่ยมฉันเมื่อวันก่อนเองก็เช่นกัน

ดังนั้นจึงค่อนข้างหายากที่เธอจะแนะนำอย่างยินดีให้ฉันออกไปเดินเล่น

 

“……เดินเล่น”

 

“ใช่ค่ะ ถึงจะไม่ควรทำนิดหน่อย แต่การได้นอนกลิ้งบนทุ่งหญ้าใกล้ๆสวน และมองไปยังท้องฟ้า ก็ทำให้รู้สึกดีมากๆเลยค่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

เสียงที่มาจากความรู้สึกที่แท้จริง ชวนให้ฉันลอกนึกภาพถึงฉากที่ว่า

อย่าง วางตะกร้าใส่อาหารเบาๆไว้ข้างๆ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีเบลล์ซังกับคาลเมียร์ซัง พวกเราสามคนนอนเคียงกัน มองขึ้นไปยังท้องฟ้า ทิ้งตัวลงในทะเลทุ่งหญ้าที่พลิ้วไหวตามสายลม

……..เข้าใจแล้ว นั่นดูสบายมากๆ

 

“…….อืม”

 

อาจเป็นความคิดที่ดีที่จะออกไปข้างนอกสักครั้งเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ นอกจากนี้ฉันรู้สึกว่าท้องฟ้าที่ฉันมองขึ้นไปจะทำให้ฉันลืมความกังวลและความกลัวไปได้

 

“……แต่ ทำไม?”

 

แล้วเบลล์ซังก็เกาแก้มโดยไม่รู้ตัว เหมือนที่คุณพ่อชอบทำ

 

“ดิฉันแค่อยากให้อริซซามะได้เห็นทิวทัษน์ที่ดิฉันรักค่ะ”

 

“…….ของเบลล์?”

 

“ค่ะ …….นี่เป็นการพูดกับตัวเองนะคะ”

 

เบลล์ซังพูดเกริ่นเอาไว้กิ่น แล้วในที่สุดก็เริ่มเล่า

ฉันเลือกที่จะไม่พูดขัด ทำเพียงแต่ฟังอย่างเงียบๆ

 

“ดิฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้จักหน้าตาพ่อแม่ของตัวเอง ตั้งแต่ที่จำความได้ดิฉันก็ทำงายอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งในเมืองที่เหมือนเป็นจุดรวมตัวของคนเร่ร่อน”

 

“อืม”

 

“…….วันหนึ่งดิฉันก็ทนไม่ไหวกับชีวิตแบบนั้น จึงตัดสินใจวิ่งหนีออกมาจากที่นั่น เงินกับอาหารก็หมดลงในไม่ช้า และมีคนจำนวนไม่มากที่จะช่วยเหลือเด็กกำพร้า สุดท้าย ดิฉันก็มาล้มลงที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่”

 

ที่กำลังเล่าอยู่คืออดีตของเธอ ประวัติของเบลล์ซังที่ฉันไม่เคยรู้จนกระทั้งถึงตอนนี้

ฉันไม่แม้แต่จะแปลกใจหรือพยักหน้า

 

“……คฤหาสน์”

 

“ค่ะ นั่นคือที่นี่ ที่พักอาศัยของตระกูลแฟร์มีล และ…….อลิเซียซามะก็เป็นผู้ที่มาพบดิฉัน และรับดิฉันเข้ามาดูแล ฮัททีเรียซามะและอลิเซียซามะได้ดูแลดิฉันเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่ง”

 

เบลล์ซังได้มาถึงที่นี่ด้วยผลลัพธ์ของเหตุการณ์ที่ซ้อนทับกันโดยบังเอิญ

แต่แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“ในช่วงนั้น ดิฉันก็ได้รับการสอนงานของข้ารับใช้ทีละเล็กทีละน้อย แต่ก็มีหลายช่วงเวลาที่ทำได้ไม่ดีนัก”

 

“อืม”

 

ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำทุกอย่างได้ตั้งแต่เริ่มต้น

ต้องมีสะดุดบ้างอย่างแน่นอน

 

“ตอนนั้น อลิเซียซามะได้พาดิฉันไปที่สวนแมเรียนเพื่อเดินเล่น ……ณ ที่แห่งนั้น พวกเราไม่ได้พูดอะไรกันเลย ทำเพียงนอนมองท้องฟ้า”

 

“อืม”

 

เมื่อพูดถึงตรงนั้น เบลล์ซังก็เบนสายตาจากหน้าต่างกลับมามองที่ฉัน

ทันใดนั้นฉันรู้สึกว่ารูปลักษณ์ของคุณแม่ที่ฉันไม่ควรรู้จักได้ซ้อนทับกันกับเธอ

 

“จากนั้นระหว่างการเดินทางกลับที่ดิฉันเดินอยู่ถัดจากอลิเซียซามะ ด้วยเหตุผลบางอย่างดิฉันรู้สึกสดชื่นมากๆ”

 

แผ่นหลังทั้งสองที่ปรากฏมารางๆให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหงาเล็กๆนิดๆหน่อยๆ

เบลล์ซังลูบผมของฉันเพื่อปลอบใจ

 

“――――ดิฉันอยากให้อริซซามะเป็นกังวลในตอนนี้ได้เป็นทิวทัศน์เดียวกันกับที่อลิเซียซามะเคยใช้สอนดิฉันค่ะ”

 

นั่นเป็นคำพูดของเบลล์ซัง ในขณะเดียวกันก็เป็นคำพูดของคุณแม่

ฉันเงยหน้าขึ้นมองเบลล์ซังที่กำลังเช็ดน้ำตาที่ไหลทะลักของเธอ

 

“อืม”

 

“……ขอบพระคุณมากค่ะ อริซซามะ”

 

คำพูดที่หนักแน่นและเข้าใจ ไม่เพียงพอเหมือนอย่างเคย

จากนั้นเบลล์ซังก็ออกห้องไปโดยบอกว่าจะไปเอาผ้าสำหรับเปลี่ยนที่หลังมาให้ ฉันกังวลมากจนสงสัยว่าเธออาจจะเป็นเอสเปอร์จริงๆ

เมื่อฉันอยู่คนเดียวได้สักพัก”

 

“อึก……ท่านแม่…….ท่านแม่…….. !”

 

ฉันร้องไห้โดยกอดเงาของคุณแม่ที่ “ ไม่ได้รักษาเอาไว้ ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+