[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ 58 18 ดอกไลแลคสีม่วง

Now you are reading [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ Chapter 58 18 ดอกไลแลคสีม่วง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 18 ดอกไลแลคสีม่วง

(ดอกไลแลคสีม่วง ภาษาดอกไม้ ความรักครั้งแรกที่หวานฉ่ำ)

 

“ยังไงดี ฉันร้องเพลงได้ แต่……..”

 

ฉันสงบลมหายใจตัวเอง และทำให้คอชุ่มชื่นด้วยน้ำผลไม้สด ถึงจะบอกว่าเป็นวันหยุดแต่ฉันก็ตื่นแต่เช้า ฉันกำลังฝึก”เพลง”ของอลิซที่เสร็จภายในสองวันหลังจากนั้นอย่างขยันขันแข็ง ฉันประทับใจในฝีมือการแปลวงบทกวีที่แสนเศร้าและทรมานใจให้กลายเป็นเพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่สอดคล้องกับบทกวีอย่างแน่นแฟ้น

 

“อืม ยากจริงน๊า”

 

แต่ ใช่ มีปัญหาประการหนึ่งคือ ยาก โดยรวมแล้วท่วงทำนวงไม่ได้หนักหน่วงและลึกซึ้ง แต่เพราะเป็นเพลงใหม่ที่ตรงไหนสักแห่งให้ความรู้สึกทรมานใจและสิ้นหวังอย่างแท้จริง และเนื่องจากเป็นเพลงใหม่ จึงเป็นเรื่องยากสำหรับฉันซึ่งไม่ใช่ผู้สร้างจะสามารถร้องเพลงออกมาได้อย่างง่ายดาย เสียงไม่สูงไม่ต่ำ แต่ทว่ามีความหนักหน่วงที่เหนือความคาดหมายอยู่ในความไม่ช้าไม่เร็ว บางครั้งต้องร้องให้เร็วที่สุดเท่าที่จะกัดฟันได้ และยังมีส่วนอื่น ๆ ที่จะได้ยินเสียงที่ยืดออกและก้องกังวานอีกด้วย เป็นการยากที่จะเปลี่ยน เพราะมีการกำหนดให้มีทวนซ้ำสลับกัน จะเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมหรือไม่ขึ้นอยู่กับการไหลตามกระแสและจดจำเนื้อเพลงได้หรือไม่

 

“ยังไงก็ตาม”

 

อา อริซ เธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของฉันที่แสนวิเศษเหลือเกิน แม้ว่าฉันจะได้ยินมาว่าเธอมีพรสรรค์ในการแต่งเพลงด้วย แต่ฉันก็ไม่คาดคิดเลยว่าเธอมีพรสรรค์ที่จะสามารถสร้างสรรค์เพลงใหม่ได้ทั้งหมดแบบนี้ ดูเหมือนว่าฉันจะยังเป็นผู้นำในการศึกษาเวทมนตร์และประวัติศาสตร์ แต่ไม่รวมคณิตศาสตร์ และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเข้าสังคม แต่ว่านั้นก็เป็นเรื่องของเวลา อาณาจักรจะวิเศษขนาดไหนหากได้เธอเป็นราชินี ฉันรู้สึกเหมือนกอดความรู้สึกที่ด้อยกว่าเอาไว้ ช่างซับซ้อนอะไรเช่นนี้

 

…..แต่ฉันรู้ดีว่าอริซมีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่จุดหนึ่ง

 

“ฉันต้องปกป้องเธอ”

 

นั่นคือ “ความใจดี” ไม่สิ หากกล่าวให้ชัดเจนกว่านั้น ความหมายของความใจดีได้ถูกเข้าใจผิดไป ความใจดีของอริซอยู่ในขอบเขตของการปฏิเสธตนเองไปแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ตามท้ายสุดดูเหมือนเธอจะเชื่อว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีเสมอ ฉันไม่รู้ว่าเธอเติบโตที่ไหนและอย่างไรจึงเป็นเช่นนั้นได้ นั้นเป็นวิธีคิดที่ระงับความรู้สึกต่อต้านผู้อื่นโดยสิ้นเชิง ตอนแรกฉันคิดว่ามีปัญหาในตระกูลแฟร์มีล แต่เมื่อมองไปที่สถานะของข้ารับใช้และการเอาใจใส่ของทั้งสองคนแล้ว ค่อนข้างที่จะเต็มไปด้วยความรักที่เต็มพิกัด

 

“ฉันสงสัยจริงว่านั่นเป็นบุคลิกภายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติอย่างงั้นเหรอ”

 

เมื่อคาดการณ์ข้อสมมุติฐานว่าเป็นเช่นนั้น ก็พอจะสงบใจกับคำนั้นลงได้บ้าง ฉันเดาจากสถานการณ์ปกติว่าปกติเธอเป็นเด็กที่มักจะเก็บตัวอยู่ภายในตัวเอง แต่ทว่าในการซ้อมละครที่เกิดขึ้นครั้งนี้ได้เปลี่ยนเป็นความเชื่อมั่น ในเวลานั้น ฉันได้ขอให้เธอยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมขึ้นมาให้กับฉัน สิ่งที่ฉันคิดว่าจะได้กลับมาคือท่าทางพอประมาณที่มีการโปกไม้โปกมืออย่างเต็มที่เล็กน้อย ฉันที่กำลังคิดว่าเธอที่ขี้อายอยู่เสมอคงไม่ทำอะไรที่มากไปกว่านั่นแน่นอน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อริซทำคือการแสดงที่กระตือรือร้นในระดับที่ทำให้เกิดภาพมายาที่ราวกับว่าเธอยืนอยู่ในโลกของเรื่องราวที่มองแล้วผู้ใหญ่ยังต้องอาย อริซในเวลานั้นดูเหมือนจะมองไม่เห็นสิ่งรอบข้าง แม้แต่ฉันก็ไม่อยู่ในสายตา ดื่มดำกับโลกภายในตนเอง กลายเป็นตัวละครอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่สิ เรียกว่าถูกครอบงำจะถูกว่า พรสวรรค์ ไม่ว่าจะพูดยังไงก็คือพรสวรรค์ แต่รู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อยที่คิดออกได้แค่คำเดียว มีบรรยากาศที่ราวกับจะคุ้นเคยกับการทำเช่นนั้นมาก่อน ว่าแล้ว ฉันรู้ว่าเป็นเรื่องเสียมารยาท แต่บางทีฉันควรจะสำรวจอดีตของเธอให้มากกว่านี้อีกสักเล็กน้อย โชคดีที่ฉันมีทั้งตำแหน่งและข้ารับใช้ที่ยอดเยี่ยมที่สามารถทำได้

 

“…..ฉัน ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเด็กคนนั้นเลย”

 

วันนี้ยังเช้าเกินกว่าที่จะพบกัน นั่นเป็นเรื่องพื้นฐานที่รู้กัน แต่ถึงกระนั้น ฉันรู้สึกผิดหวังที่ไม่สามารถเข้าใจอริซได้อย่างลึกซึ้งได้มากกว่านี้ เพราะฉันไม่รู้จักเธอดีพอ ….ดูเหมือนฉันค่อนข้างหลงใหลในตัวเธอ

 

“ไม่ใช่ว่าพลัง「เสน่ห์」แรงมากทีเดียวเลยเหรอ”

 

ฉันหัวเราะ ฟุๆๆ ให้กับใบหน้าที่แสดงออกทางอารมณ์อย่างซับซ้อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะลบออกไปให้ลืมไปก่อน ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามากพอที่จะหมกมุ่น ฉันต้องฝึกฝนเพลงนี้จนกว่าจะร้องได้จนจบซ้ำ ๆ โดยไม่ต้องดู ฉันหลับตา และครุ่นคิดเนื้อเพลงในหัว

 

“อือ ฟูฟู๊ อืมอืม~”

 

ร้องและยืนยันเนื้อเพลงในหัว ขณะที่ฮัมท่อนที่ตื่นเต้นที่สุดของเพลงที่อริซบอกว่าเป็น “คอรัส” พยายามจดจำในจุดที่ลืม หรือยังติดขัดอยู่ เน้นร้องซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วร้องวนซ้ำอีกรอบอย่างต่อเนื่อง หากทำซ้ำ ๆ เรื่อย ๆ ในที่สุดก็จะสามารถร้องเพลงได้โดยไม่ติดขัด อันที่จริงนับจากนี้ ฉันอยากจะร้องเพลงจนสามารถถอดและประสานเสียงได้อย่างอิสระเพิ่มขึ้นอีก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีเวลาพอที่จะไปถึงจุดนั้นได้ ไม่ว่าจะอยากแค่ไหน เทศกาลงานโรงเรียนก็จะมาถึงในวันพรุ่งนี้แล้ว จริง ๆ แล้ว ฉันรู้สึกว่าแค่ฝึกขั้นต่ำก็แทบไม่ทันแล้ว ตั้งแต่แรกแล้ว ก็ไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะสร้างเพลงและรวมเข้ากับบทละครในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ภายในเจ็ดวันเช่นนี้ สิ่งนี้จะเป็นไปไม่ได้แน่นอนถ้าเพื่อนของอริซเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน

 

“ฉันพบอีกสิ่งหนึ่งแล้ว”

 

จุดอ่อนที่สองของอริซ มีส่วนของสามัญสำนึกบางอย่างที่ขาดหายไป …..ฉันเขียนข้อมูลนั้นลงบนชั้นเก็บอริซในสมองของฉัน ปิดอย่างทะนุถนอม และเริ่มร้องเพลงอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ

 

เพลงนี้แบ่งเป็นสามบทคร่าว ๆ โดยกำหนดเอาไว้ว่า บทแรกเป็นของฉัน บทที่สองเป็นของอริซ และในบทสุดท้ายคือพวกเราร้องด้วยกัน แน่นอนบทส่วนที่ฉันร้องมีเนื้อเพลงมาจากมุมมองของนักกวี เนื้อเพลงแสดงถึงความรู้สึกรักที่แสนเศร้า ประเดี๋ยวประด๋าว และร้อนรนของเขา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าอริซจะเป็นคู่ที่ได้รับเนื้อเพลงนี้ไป อาจเป็นเพราะว่าเธอคือคนเดียวที่อยู่ข้าง ๆ ฉัน ไม่ได้อยู่เหนือหรือต่ำกว่า แน่นอนว่าเป็นเพราะมีความประทับใจในเพลงที่อริซแต่งขึ้น …….แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันไม่ได้รู้สึกว่ามีเพียงแค่นั้น มีความรู้สึกลึกลับที่ฉันรู้ตัวตนที่แท้จริง

 

“มะ ไม่มีทาง ระ เรื่องนั้น………”

 

จู่ ๆ ฉากต่อหลังจากร้องเพลงเสร็จแล้วก็แล่นผ่านเข้ามาในหัวของฉัน จุดสิ้นสุดของละคร เป็นการแสดงปิดท้ายที่จะส่งผลกระทบมากที่สุดให้กับผู้ชมในวันนั้น แน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่าจะทำกันจริง ๆ ทางโรงเรียนคงไม่อนุญาตให้เจ้าหญิงทำสิ่งนั้นในที่สาธารณะอย่างแน่นอน แค่ทำให้ดูเหมือนว่าทำก็เป็นอันเสร็จ และไม่มีการสัมผัสกันจริง ๆ ถึงจะดูมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ เพราะทั้งฉากทั้งคู่แสดงก็เป็นฉันที่เลือกเอง ………ใช่ หรือก็คือ”การแลกเปลี่ยนริมฝีปาก”ซึ่งกันและกันในฉากที่ต้องแสดงรวมกัน

 

“……อริซ”

 

ราวกับจะสลัดสิ่งที่ค่อย ๆ กัดเซาะผิวของหัวใจออกไป เสียงเพลงเริ่มเล่นอีกครั้งเพื่อไม่ให้ตนเองเปลี่ยนแปลงไป

……ท้ายที่สุด เสียงร้องเพลงของฉันก็ถูกมอบให้กับ”สโนว์ไวท์แองเจิล”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“อู…….”

 

ฉันว้าวุ่นใจ ไม่สิ เป็นความกลัวมากกว่าความกังวล แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็มาจากเทศกาลงานโรงเรียนที่กำลังใกล้เข้ามาในวันพรุ่งนี้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการแสดงในบางฉาก สำหรับบทเพลงนั้นไม่มีปัญหา ยังไงซะก็เป็นเพลงที่ฉันทำขึ้นมาเองอย่างเต็มที่ แน่นอนว่าฉันจำเนื้อเพลงได้ดีกว่าใคร ๆ แต่เดิมตัวเสียงเพลงก็เป็นเวอร์ชันดัดแปลงจากทำนองเพลงโปรดของฉันหลาย ๆ เพลงประกอบเข้าด้วยกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้าใจ

สิ่งที่ค่อนข้างเป็นคำสั่งที่ไม่สมเหตุสมผลยิ่งกว่าที่ฉันมารู้ตัวหลังทำงานแล้วคือ การให้สามารถร้องเพลงนี้ได้โดยไม่มองตัวช่วยอะไรเลยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ฉันก็หวังว่ารูนไฮม์ซังจะสามารถเคลียร์คำร้องขอที่ไม่มีเหตุผลนี้ให้ผ่านไปได้ และเพราะพรสวรรค์และความพยายามที่ไม่ธรรมดาของเธอถึงทำให้ฉันกล้าใช้แผนของตัวเอง วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ฉันสอนเธอร้องเพลง ฉันก็ได้ยินว่าเธอสามารถร้องเพลงได้ในระดับหนึ่งแล้ว ฉันแสดงความขอโทษและขอบคุณอย่างสุดซึ้งอีกครั้ง

 

“กะ ก็ไม่ได้รังเกียจ ล่ะมั้ง”

 

ใช่ ไม่มีปัญหาเกือบทุกส่วนรวมทั้งเพลง ทั้งระหว่างช่วงซ้อมในคาบเรียนและ ตั้งแต่ช่วงบ่ายหลังจากนั้น ฝึกปรับแนวทางและการเคลื่อนไหวซ้ำแล้วซ้ำอีกใน “บทที่หก” ที่สร้างขึ้นโดยพวกเราทั้งสองคนจนได้เป็นในแบบของตัวเอง ความรู้สึกต่าง ๆ ที่ลอยอยู่รอบตัวฉัน เช่น ความวิตกกังวล ทั้งหมดมาจากฉากคู่สุดท้ายของตอบจบอย่างแท้จริง นั่นคือ ฉากจูบ

 

“รูนไฮม์ซัง……จู~”

 

ทันทีที่ออกปาก หน้าอกของฉันก็เริ่มกรีดร้อง ฉันส่ายหน้าให้สงบใจลง ไม่ นี่คือการแสดง การแสดง นอกจากนี้ ไม่ได้หมายความว่าต้องทำจริง ๆ สักหน่อย แค่แกล้งทำเป็นให้เสร็จเท่านั้นเอง ยังไงก็ตามทางโรงเรียนมีความใจกว้างอย่างไม่คาดคิด แม้จะเป็นหนึ่งในการแสดงละคร แต่ว่ากันว่าฉากดังกล่าวจะได้รับการยอมรับในงานที่จัดโดยฝ่ายโรงเรียน

 

“ต้องการที่จะซ้อมการแสดงกับข้าหรือไม่คะ?”

 

“มิแรนด้าซัง?”

 

“ค่ะ”

 

ฉันไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าเบลล์ซังกับมิร่าซังที่อยู่ใกล้ ๆ คุยอะไรกัน ความนึกคิดของฉันวิ่งออกไปจนมีอาการเหมือนเหม่อลอยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฉัน”รัก”รูนไฮม์ซัง เรื่องนั้นไม่ผิดแน่นอน แต่ยังไงก็ตาม ฉันไม่สามารถตัดสินด้วยตัวเองได้ว่านั้นเป็นเวกเตอร์ของความรักจริง ๆ ไหม เพราะตั้งแต่แรกแล้วฉันก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เลย ความรักของฉันประกอบด้วยความรู้สึกที่รักในระดับที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องที่คลุมเครือที่ไม่มีทั้งทิศทางหรือแนวคิดอยู่ในนั้น พูดง่าย ๆ เช่น ความรักที่มีให้กับมิร่าซัง และ ความรักที่มีให้กับรูนไฮม์ซัง เป็นสิ่งเดียวกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่สามารถแยกแยะความรักของตัวเองได้………

 

“อริซซามะ จะคุยกับดิฉันก็ได้นะคะ ถ้าหากต้องการ”

 

…….ไม่ อาจมีอยู่ โฉมหน้าของคนใกล้ตัวที่ปรากฎขึ้นมาในใจล้วนอยู่ในแนวเดียวกัน แต่มีอยู่หนึ่งคน หนึ่งคนที่แตกต่าง ใช่ ใบหน้าที่โอบกอดส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจของฉันไว้

 

“――――เบลล์”

 

นั่นคือ เบลล์ซัง จะบอกว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วก็อาจจะใช่ แต่ฉันรู้สึกว่าความรักที่ฉันมีให้เบลล์ซัง ทั้งทิศทาง ทั้งน้ำหนัก และทุกอย่างล้วนแตกต่างจากคนอื่น ไม่เคยมีวันที่พวกเราไม่ได้เจอกัน หากจะมีก็คงเป็นตอนที่ฉันหลับไปสอง-สามวันจากอาการบาดเจ็บที่หลัง เข้าใจล่ะ แม้จะไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่อย่างน้อยความรักที่มีให้เบลล์ซังก็พิเศษกว่านิดหน่อย จนถึงตอนนี้ฉันคิดว่านี่เป็นระดับที่แตกต่างกัน แต่ที่จริงก็เป็นแค่ความรู้สึกไม่สนิทใจเท่านั้น ฉันรู้สึกบางสิ่งบางอย่างแตกต่างออกไป และไม่มีทางเลือกนอกจากลองในระดับสัมผัสจริง

 

“เบลล์ จะว่าอะไรไหม ถ้าจูบกับหนู?”

 

“เอ๊ะ”

 

เบลล์ซังยิ้มค้างทั้งอย่างงั้น ด้วยเหตุผลบางอย่าง สีหน้าซึ่งไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง กลับดูเหมือนมีใบหน้านับร้อยวาดลงไปในครั้งเดียว คำถามนี่กระทันหันเกินไปหน่อยรึเปล่าน่ะ เมื่อมิร่าซังจิ้มไปที่เบลล์ซัง เธอก็ผงะและลืมตาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเริ่มต้นเดินเครื่องใหม่

 

“ม๊ายเป็นร๊ายใช่ไหม?”

 

“คะ ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ขออภัยด้วยนะคะ”

 

ฉันเอียงหัว ขณะที่รับรู้ได้ถึงการแสดงออกที่แตกต่างจากปกติจนเหมือนกำลังกลบเกลื่อนบางอย่าง ไม่สิ ฉันเสียใจที่ถามคำถามแปลก ๆ ออกไป ฉันถามคำถามที่พึ่งนึกได้ออกไป แต่ฉันเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองถามออกไปด้วยเหตุผลแบบไหน ยังไงก็ดี ฉันก็รู้สึกอยากได้ยินคำตอบ

 

……ม๊า แต่ยังไงก็ตาม นั่นไม่ใช่คำตอบที่ฉันอยากได้ยินในตอนนี้ ถึงจะเป็นแค่การแสร้งทำ แต่ฉันก็กังวล และสงสัยว่า รูนไฮม์ซังจะรู้สึกรังเกียจการแสดงฉากจูบกับขุนนางอ่อนหัดแบบฉันไหม หรือบางทีอาจจะเป็นการเสียมารยาทต่อสถานะของเธอตั้งแต่แรก ฉันกระแอมไอล้างคอหนึ่งทีเพื่อเปลี่ยนความรู้สึก ก่อนถามคำถามอีกครั้ง

 

“เอ๋โตะเนะ คือ…..แสดงเลียบแบบ จูบ หนูคิดว่า…….รูนไฮม์ซัง จะรังเกียจรึเปล่า”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ คิดว่าจะโดนเกลียดรึเปล่าแบบนั้นสินะคะ”

 

“อืม”

 

แล้วเบลล์ซังก็ถอนหายใจเหมือนโล่งใจตรงไหนสักแห่ง ก่อนที่จะวางนิ้วลงบนคางครุ่นคิด หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงไม่กี่วินาที เธอก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มร่าเริง

 

“ค่ะ ดิฉันไม่คิดว่าจะโดนเกลียดแน่นอนค่ะ”

 

“ฟุ๊”

 

เธอยืนยันด้วยความมั่นใจมาก ๆ ฉันสงสัยว่าทำไม จึงพยายามมองหาหลักฐานด้วยสายตา แม้จะโดนมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยเช่นนี้ เบลล์ซังก็ไม่ได้มีสีหน้ารังเกียจแต่อย่างใด แต่นั่นเป็นเพียงความคิดของฉัน และเธอก็พูดคำแนะนำหนึ่งประโยค

 

“อริซซามะ ใครคือผู้ที่เลือกอริซซามะเข้าแสดงฉากสุดท้ายคู่กับเจ้าหญิงล่ะคะ?”

 

“เอ๊ะ? เอ๊ะโตะ รูนไฮม์ซัง ไงกะ”

 

“ค่ะ ถูกต้องแล้ว …..นั่นก็คือคำตอบของความกังวลของอริซซามะแล้วจริงไหมคะ?”

 

ก่อนที่ฉันจะได้ถามว่าหมายความว่ายังไง เบลล์ซังก็พูดเพิ่มเติม

 

“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าหญิงเป็นผู้ที่ได้เลือกด้วยตนเอง ทั้งฉากที่แสดงและคู่ที่จะแสดงด้วย”

 

คำพูดที่ต่อเนื่องมา ในที่สุดฉันก็เข้าใจความหมายของเบลล์ซัง ฉันกำลังคิดมากเกินไป คำตอบที่เรียบง่าย จนเรียกว่าง่ายมาก ๆ อยู่ตรงหน้าฉันมาตลอดไม่ใช่รึไงกัน

 

“…..ถึงไม่ชอบ ก็เลือกไม่ได้”

 

“ค่ะ เพราะเช่นนั้น อริซซามะก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเช่นนั้นหรอกนะคะ”

 

ใช่แล้ว คิดสิว่าอีกฝั่งคือใคร รูนไฮม์ซังไงล่ะ เธอมีทั้งอำนาจ และความกล้าหาญที่จะพูดอย่างชัดเจนว่าเธอไม่ชอบสิ่งไหน อย่างที่เบลล์ซังบอก รูนไฮม์ซังเป็นคนที่เลือกทั้งฉากสุดท้าย บทที่หก และเลือกให้ฉันแสดงด้วยกัน แน่นอนว่ารูนไฮม์ซังต้องรู้เรื่องตำนานดอกหยาดหิมะอย่างละเอียด และรู้ว่ามีฉากนั้นอยู่แล้ว ถึงอย่างงั้น เธอก็ยังเลือกแสดงฉากนั้น และเลือกฉันเป็นคู่แสดง นี่ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ถึงความโปรดปรานของรูนไฮม์ซังหรอกหรือ

 

“ใช่แล้ว …..อืม เป็นแบบนั้น”

 

“ค่ะ ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาค่ะ”

 

ทำตัวอ้อนรับไออุ่นจากมือของเบลล์ซังที่ลูบหัวฉันให้อุ่นใจ ฉันอาจจะยังคงดึงความรู้สึกจากคดีที่โรงอาหารมาผสมโดยไม่รู้ตัว เมื่อไร้เดียงสาต่ออารมณ์ที่มาจากผู้คน เมื่อสงสัยอะไรบางอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูน่าสงสัย

 

“ฮิเมะ”

 

“……มิร่า”

 

ฉันนึกขึ้นได้ จึงจับมือมิร่าซังที่ล่วงลงโดยความหดหู่อย่างอ่อนโยน ดวงตาที่จ้องมาที่ฉันมีสีของความสบายใจและความชื่นชอบ และฉันนึกถึงเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ที่ดังกึกก้องได้ในทันใด ใช่แล้ว ไม่เป็นไร แม้แต่เพื่อนร่วมชั้นของฉันที่เคยเย็นชานิดหน่อย ตอนนี้ทุกคนก็ใจดี ใจคนเปลี่ยนได้ ฉันเองก็เปลี่ยนได้

เบลล์ซังเช็ดหยดน้ำตาของฉันที่เอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัวโดยไม่พูดอะไรเลย ฉันหลับตาให้สนิทแล้วเปิดออกอีกครั้ง ก่อนลุกขึ้นจากตักที่ฉันชื่นชอบ ใกล้ได้เวลาที่ห้องอาหารจะเปิดแล้ว

 

“…..ฉันต้องไปหารูนไฮม์ซัง”

 

“วันนี้ก็ไปพบกันที่ห้องอาหารนะคะ”

 

“เช่นนั้น ไปกันเถอะค่ะ ฮิเมะ!”

 

เตรียมตัวให้พร้อม สวมส้นสูงคู่เล็กแล้วกระโดดย่างก้าวออกจากห้อง

 

“รูนไฮม์ซัง อรุณสวั……. !”

 

“อืม อรุณสวัสดิ์ อริซ”

 

――――ฉันมั่นใจกว่าก่อนหน้านี้ โดยไม่ลังเล ความคุ้นเคยอยู่ที่เท้าของฉันแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด