สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! 116 ฮ่องเต้เหลิ่งจวิ้นเทียน

Now you are reading สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! Chapter 116 ฮ่องเต้เหลิ่งจวิ้นเทียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ใช่ คุณชายอีกสองคนก็หล่อเหลายิ่ง คนหนึ่งสง่างามดื้อรั้น คนหนึ่งสุภาพอ่อนโยน สวรรค์ เห็นแล้วข้าล้วนใจเต้นแรง”

“เฮอะ เจ้าช่างหน้าไม่อายเสียจริง”

“เจ้าก็เหมือนกันมิใช่หรือ!”

“…”

บทสนทนาของเหล่าคุณหนูสูงศักดิ์นั้น เล่อเหยาเหยาได้ยินอย่างชัดเจน จนอดคิดในใจไม่ได้

พวกเธอพูดได้ไม่เลวเลย ชายหนุ่มสามคนนี้ คือมังกรในหมู่หงส์!

คนหนึ่งเย็น คนหนึ่งร้อน คนหนึ่งอบอุ่น

คนหนึ่งดุดัน คนหนึ่งสง่างาม คนหนึ่งอ่อนโยน

ตอนนี้พวกเขาสามคนรวมตัวกัน ทำให้ทุกคนได้ชื่นชมความงาม!

ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ ด้านนอกพลันมีเสียงเสียงแหลมดังเข้ามา

“ฮ่องเต้เสด็จ! ไทเฮาเสด็จ!ฮองเฮาเสด็จ!”

หลังเสียงแหลมนั้น ตำหนักหลงเทียนที่เดิมทีคึกคัก พลันเปลี่ยนไปเงียบสงบ ทันใดนั้นทุกคนต่างคุกเข่าทำความเคารพไปที่ด้านนอกประตู เล่อเหยาเหยาก็เช่นกัน

“ขอฮ่องเต้ทรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆปี!”

“ขอไทเฮาทรงอายุยืนพันปี พันปี!”

“ขอฮองเฮาทรงอายุยืนพันปี!”

หลังเสียงอวยพรที่พร้อมเพรียงจบลง เสียงทุ้มต่ำทว่าไม่ปิดบังความไพเราะก็ดังขึ้น

“ลุกขึ้น”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

หลังคุกเข่ากล่าวขอบพระทัย ทุกคนต่างแยกย้ายนั่งประจำที่ แต่เพราะบุคคลสำคัญอย่าง ฮ่องเต้ ไทเฮา และฮองเฮาเข้ามา ทั่วตำหนักหลงเทียนจึงไม่ได้คึกคักดังตลาดสดเช่นเมื่อครู่ ทุกคนก็เปลี่ยนไปเป็นขัดเขินไม่น้อย

เล่อเหยาเหยาที่หันกลับมายังตำแหน่งเดิม สงบปากสงบคำ ทว่าในใจกลับแปลกใจไม่หยุด

เพราะเธอไม่เคยเห็นโอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์เทียนหยวนมาก่อน จึงแปลกใจกับโอรสสวรรค์องค์นี้เป็นธรรมดา ดังนั้นจึงใช้โอกาสที่ตนอยู่ในมุมเล็กลับตาคน ไม่มีคนพบเห็น เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แอบมองไปยังเงาร่างสีทองที่เวลานี้กำลังอยู่บนบัลลังก์สีทองอร่ามเรืองรองนั้น

แม้โอรสสวรรค์องค์นี้และรุ่ยอ๋องจะไม่ได้เกิดจากพระมารดาคนเดียวกัน แต่เติบโตมาด้วยกันและมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน หากพูดว่ารุ่ยอ๋องคล้ายพญายมที่มาจากนรกขุมที่สิบแปด ยโสโอหัง เย็นชาดุจน้ำแข็ง เช่นนั้นโอรสสวรรค์องค์นี้ คือกระบี่โบราณที่เหนือกว่าสิ่งใดบนโลกนี้!

เห็นเพียงเสื้อคลุมมังกรสีทองนั้น ทำให้พระองค์ดูสง่าดุจวีรบุรุษ องอาจน่าเกรงขาม

ยังมีรูปร่างสูงเพรียว ขาตรงยาว ไหล่กว้างเอวคอดนั้น ดุจรูปร่างของนายแบบที่แข็งแรงสมบูรณ์แบบ!

เมื่อเล่อเหยาเหยามองจากรูปร่างสูงเพรียวนั้นขึ้นไป ดวงตางดงามที่เดิมทีแอบมองสำรวจพลันเบิกกว้าง

เพราะตอนนี้เธอพบว่า ฮ่องเต้พระองค์นี้ช่างอ่อนเยาว์ยิ่งนัก

รุ่ยอ๋องปีนี้อายุเพียงสิบแปดปี ส่วนฮ่องเต้พระองค์นี้ ดูแล้วน่าจะประมาณยี่สิบปี

ใบหน้านั้น ไม่คล้ายพญายม ตงฟางไป๋และหนานกงจวิ้นซีที่พอเห็นแล้วตกตะลึงจำพวกนั้น กลับดูเป็นผู้ใหญ่รูปโฉมหมดจด

หน้าผากเอิบอิ่ม คิ้วกระบี่โก่งยาวไปถึงจอนผม ดวงตาหงส์แคบยาวนั้น เวลานี้กำลังยิ้มแย้ม ทำให้คนมองพลันรู้สึกสนิทใจ

แต่กลิ่นอายสูงศักดิ์ที่กระจายออกมาจากตัวพระองค์ กลับทำให้คนกล้าเพียงมองอยู่ในระยะไกล และไม่อาจดูหมิ่น!

นี่คือชายหนุ่มที่รวบรวมความเป็นกันเองและอ่อนโยน ทว่ากลับดุดันสูงส่งเอาไว้

ครั้งแรกที่เห็นรับรู้ถึงความสูงส่ง แต่ยิ่งมองกลับยิ่งงดงาม และทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้!

เมื่อเล่อเหยาเหยาสำรวจโอรสสวรรค์เสร็จ ดวงตางดงามย้ายมองไปยังฮองเฮาที่นั่งอยู่ด้านข้าง

เห็นเพียงฮองเฮาน่าจะมีอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปโฉมสง่าอ่อนช้อย อิริยาบถหลากหลาย ผิวขาวผ่องดุจหิมะ เครื่องหน้าประณีต บุคลิกสูงส่ง ถือเป็นสาวงามอันดับหนึ่ง!

บรรยากาศที่กระจายออกมาจากตัว กลับมีความอ่อนโยนของมารดาแห่งแผ่นดิน!

เมื่อเห็นหญิงชราที่อยู่อีกด้านของฮ่องเต้ หญิงชราผู้นี้น่าจะเป็นไทเฮาเจ้าของงานวันเกิดในวันนี้

ไทเฮาองค์นี้ แม้จะอายุไม่น้อยแล้ว แต่เพราะบำรุงรักษาร่างกายเป็นอย่างดี จากรูปโฉมและเสน่ห์ของพระองค์ต่างมองออกว่าตอนนั้นต้องเป็นสาวงามล่มเมืองแน่นอน

วันนี้ไทเฮาสวมเสื้อคลุมสีสันสดใสปักลายหงส์ เข้ากับรูปลักษณ์ท้วม

ใบหน้านั้น แม้จะไม่งดงามเช่นเดิม ทว่ากลับดูมีเมตตา

มองไปคล้ายหญิงชราที่อ่อนโยนน่าเคารพนับถือ

แต่คนที่รอดชีวิตอยู่ในวัง ที่กลืนกินความเป็นคนโดยไม่กระพริบตานี้ จะเรียบง่ายได้เช่นไร!

รัศมีจากดวงตาของพระองค์ ทำให้คนมิอาจละสายตาได้!

ขณะที่เล่อเหยาเหยาสำรวจด้านบนเวทีสูงเหล่านั้น บนเวทีมีเสียงเพลงที่ถูกบรรเลงดังขึ้นมาไม่ขาดสาย

ทุกคนหลังเอ่ยอวยพรไทเฮาที่น่าเคารพนับถือเสร็จแล้ว ต่างก็พากันกลับเข้าที่นั่ง

เวลานี้งานเลี้ยงได้เริ่มขึ้น เหล่านางกำนัลยกอาหารอันโอชะหลากหลายเป็นแถวเรียงรายเข้ามา วางลงบนโต๊ะด้านหน้าของทุกคน

หลังฮ่องเต้ตรัสเสร็จ และยกสุราดื่มแสดงความเคารพ ทุกคนก็เริ่มทานอาหาร

งานเลี้ยงในวังหลวง มักหรูหราและน่าเบื่ออย่างยิ่ง หลังทุกคนทานเสร็จ ก็จะมีขนมหวานถูกยกขึ้นโต๊ะ

เวลานี้หลังทุกคนกินดื่มอย่างอิ่มหน่ำ ดื่มชาหลังอาหารเพื่อผ่อนคลาย จะขาดการแสดงที่มีสีสันไม่ได้

เล่อเหยาเหยาที่กังวล เหน็ดเหนื่อยกับการแสดงงิ้วมายาวนาน เวลานี้กำลังจะเริ่มแสดงแล้ว

แม้จะพูดว่างิ้วเหล่านี้ เธอไม่ได้ประพันธ์ด้วยตนเอง แต่เครื่องมือหลากหลายในนี้ เธอต่างตกแต่งทำขึ้นอย่างตั้งใจ

ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงทั้งตื่นเต้นและกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของไทเฮา เล่อเหยาเหยาจึงเลือกบทประพันธ์《อวยพรแปดประการ》มาอวยพรแก่ไทเฮา

เป็นดังที่คาดไว้ หลังแสดง《อวยพรแปดประการ》จบลง สีหน้าไทเฮาดูพอใจอย่างมาก เล่อเหยาเหยาจึงมองดูอย่างมีความสุข

ต่อมาเป็นการแสดงบทประพันธ์《อู่ซงตีเสือ》

คณะละครหมิงเฉิงไม่เพียงเป็นโรงละครอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง สร้างคนที่มีพรสวรรค์ขึ้นมามากมาย นักแสดงที่รับบทเป็นอู่ซง แสดงได้อย่างสมบทบาท เข้าถึงได้อย่างถ่องแท้  เห็นชัดว่าฝีมือการแสดงนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด

และเรื่องอู่ซงตีเสือ กล่าวกันว่าอู่ซงกลับบ้านมาเยี่ยมเยียนพี่ชาย ระหว่างทางผ่านเนินจิ่งหยางกัง จึงดื่มเหล้ามากมายในโรงเตี๊ยมจนเมามาย กระทั่งเดินเหินก็แทบทรงตัวไม่ได้

และนักแสดงที่รับบทอู่ซงบนเวที ในมือยังถือกาเหล้า เดินโอนเอนไปมา ทำให้ผู้ชมกังวลว่าเขาจะหกล้มลงไป

ที่ทำให้คนกังวลที่สุดคือ เมื่อแสดงถึงตอนที่เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมเอ่ยเตือนว่ามีเสือบนเนินเขา ห้ามไม่ให้เขาเดินทางไปคนเดียว อยู่พักแรมที่โรงเตี๊ยมสักคืน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทาง แต่ถูกอู่ซงปฏิเสธ

เมื่อแสดงถึงตรงนี้ ผู้ชมด้านล่างเวทีต่างซับเหงื่อแทนอู่ซงที่บ้าบิ่นผู้นี้

เวลานี้สายตาของผู้ชมด้านล่างเวทีต่างตกอยู่บนการแสดงบนเวที ไม่เว้นแม้กระทั่งสายตาของพญายมที่มองบนเวทีโดยไม่กระพริบ

และไทเฮาที่อยู่บนเวทีสูงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง

ไทเฮาชื่นชอบความสนุก ชอบชมการแสดงงิ้ว แต่ในเทียนหยวน การแสดงงิ้วที่น่าสนใจเธอชมดูแทบทุกเรื่องแล้ว ขณะรู้สึกหดหู่ไม่มีงิ้วที่น่าสนใจให้ชม ตอนนี้การแสดงเรื่อง《อวยพรแปดประการ》และ《อู่ซงตีเสือ》แสดงได้อย่างมีสีสัน จึงทำให้เธอชื่นชอบอย่างมาก

สายตานั้นไม่ละจากเวทีเลย

อีกทั้งสีหน้าของพระองค์ ก็คล้อยตามอู่ซงที่รู้ชัดว่าบนภูเขามีเสือ ทว่ากลับกลัวเสี่ยวเอ้อร์จะหัวเราะเยาะเอา ก่อนจะออกเดินไป บนเวที ไทเฮายังร้อง ‘ไอ๊หยา’ ออกมาพร้อมตบต้นขา นั่งอารมณ์เสียกับท่าทางอันบ้าบิ่นของอู่ซง ซึ่งถูกเล่อเหยาเหยาเห็นเข้าพอดี จนอดแอบหัวเราะออกมาไม่ได้

ในใจคิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะน่ารักเช่นนี้

ท่าทางในตอนนี้ คล้ายคลึงกับย่าของเธออย่างมาก

ดูดื้อรั้น และตรงไปตรงมา

เรื่องนี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาประทับใจไทเฮามากขึ้นหนึ่งส่วน

การแสดงบนเวทียังคงดำเนินต่อไป กระทั่งผ่านไปเป็นเวลานาน ในที่สุด《อู่ซงตีเสือ》ก็จบลง

ด้านล่างเวทีต่างปรบมือดังสนั่นดุจฟ้าคำราม เสียงชื่นชมดังขึ้นไม่หยุด

เพราะไทเฮาชื่นชอบ ฮ่องเต้จึงมีสีหน้าพอพระทัย รีบพระราชทานรางวัลให้กับคณะละครหมิงเฉิงอย่างหนัก และเอ่ยปากมอบป้าย《คณะละครอันดับหนึ่ง》ให้แก่คณะละครหมิงเฉิง

หัวหน้าคณะละครหมิงเฉิงเห็นเช่นนั้น ดีใจจนแทบน้ำตาไหล

เพราะตั้งแต่เริ่มแสดงมาจนถึงวันนี้ ยังไม่ได้รับรางวัลที่มากมายเช่นนี้มาก่อน วันนี้คณะละครหมิงเฉิงของเขาโด่งดังแล้ว!เขาจะไม่ดีใจได้เช่นไร!

หลังจากหัวหน้าคณะละครรับป้ายรางวัลพร้อมกล่าวขอบพระทัยเตรียมถอยหลังไป ฮ่องเต้ทรงฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา พลันเอ่ยถามว่า

“จริงสิ ละครสองเรื่องนี้ เจิ้นไม่เคยได้ยินมาก่อน นี่ผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์ออกมาหรือ”

เมื่อได้ยินคำตรัสของฮ่องเต้ เล่อเหยาเหยาที่ดีใจอยู่ด้านข้าง พลันตกตะลึง

เพราะวันนี้ เธอเพียงอยากให้ไทเฮาและทุกคนชื่นชอบการแสดงงิ้วที่เธอประพันธ์ออกมาอย่างตั้งใจ โดยคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะทรงตรัสถามเช่นนี้ ในใจพลันเป็นกังวล

ส่วนหัวหน้าคณะละครที่ถูกฮ่องเต้ตรัสถาม เมื่อได้ยิน จึงกราบทูลตามความจริงอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

“ทูลฝ่าบาท เรื่อง《อวยพรแปดประการ》และ《อู่ซงตีเสือ》เมื่อครู่นั้น ต่างเป็นเหยากงกงในวังรุ่ยอ๋องประพันธ์ออกมา เหยากงกงมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมมากพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม เหยากงกงแห่งวังรุ่ยอ๋องหรือ”

หลังได้ยินคำพูดของหัวหน้าคณะละคร ฮ่องเต้เหลิ่งจวิ้นเทียน อดมองไปยังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่กำลังจิบชาอย่างสง่างามไม่ได้ พลันยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า

“น้องรอง ในวังของเจ้ามีคนที่มีความสามารถมากจริงๆ!”

หลังเหลิ่งจวิ้นเทียนเอ่ยจบ คล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า

“เหยากงกง คือผู้ใด”

เมื่อได้ยินฮ่องเต้ตรัสชื่อ เล่อเหยาเหยาหลังหายตกตะลึง พลันได้สติ จากนั้นรีบเดินออกไป คุกเข่าลงพลางเอ่ยขึ้นว่า

“ทู…ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”

เพราะกังวล ดังนั้นน้ำเสียงของเล่อเหยาเหยาจึงดูวิตกและติดขัด

ไม่มีทางเลือก เพราะเธอไม่คิดว่าหลังแสดงสองเรื่องนี้ออกไป จะถูกฮ่องเต้ตรัสชื่อออกมา

รวมทั้งเวลานี้ ในตำหนักหลงเทียนที่สว่างเรืองรอง แม้เธอจะก้มศีรษะลงต่ำ แต่ยังรับรู้ถึงสายตาของทุกคนที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ตนเช่นเดิม

โดยเฉพาะสายตาสำรวจตรวจตราของคนบนเวทีสูงนั้น ทำให้เธออดกังวลไม่ได้

เพราะเมื่อครู่ที่สำรวจฮ่องเต้องค์นี้อยู่ไกลๆ เธอรู้สึกเพียงพระองค์อ่อนโยนและเป็นกันเอง แต่ตอนนี้สายตาที่พระองค์มองมายังเธอ แฝงด้วยการหาความจริง ร้อนแรง และคมกริบหลายส่วน คล้ายสามารถมองทะลุร่างกายเธอไปได้ ทำให้เธออดหนังศีรษะชาวาบ ใจเต้นระรัวไม่ได้!

………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! 116 ฮ่องเต้เหลิ่งจวิ้นเทียน

Now you are reading สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! Chapter 116 ฮ่องเต้เหลิ่งจวิ้นเทียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ใช่ คุณชายอีกสองคนก็หล่อเหลายิ่ง คนหนึ่งสง่างามดื้อรั้น คนหนึ่งสุภาพอ่อนโยน สวรรค์ เห็นแล้วข้าล้วนใจเต้นแรง”

“เฮอะ เจ้าช่างหน้าไม่อายเสียจริง”

“เจ้าก็เหมือนกันมิใช่หรือ!”

“…”

บทสนทนาของเหล่าคุณหนูสูงศักดิ์นั้น เล่อเหยาเหยาได้ยินอย่างชัดเจน จนอดคิดในใจไม่ได้

พวกเธอพูดได้ไม่เลวเลย ชายหนุ่มสามคนนี้ คือมังกรในหมู่หงส์!

คนหนึ่งเย็น คนหนึ่งร้อน คนหนึ่งอบอุ่น

คนหนึ่งดุดัน คนหนึ่งสง่างาม คนหนึ่งอ่อนโยน

ตอนนี้พวกเขาสามคนรวมตัวกัน ทำให้ทุกคนได้ชื่นชมความงาม!

ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ ด้านนอกพลันมีเสียงเสียงแหลมดังเข้ามา

“ฮ่องเต้เสด็จ! ไทเฮาเสด็จ!ฮองเฮาเสด็จ!”

หลังเสียงแหลมนั้น ตำหนักหลงเทียนที่เดิมทีคึกคัก พลันเปลี่ยนไปเงียบสงบ ทันใดนั้นทุกคนต่างคุกเข่าทำความเคารพไปที่ด้านนอกประตู เล่อเหยาเหยาก็เช่นกัน

“ขอฮ่องเต้ทรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆปี!”

“ขอไทเฮาทรงอายุยืนพันปี พันปี!”

“ขอฮองเฮาทรงอายุยืนพันปี!”

หลังเสียงอวยพรที่พร้อมเพรียงจบลง เสียงทุ้มต่ำทว่าไม่ปิดบังความไพเราะก็ดังขึ้น

“ลุกขึ้น”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

หลังคุกเข่ากล่าวขอบพระทัย ทุกคนต่างแยกย้ายนั่งประจำที่ แต่เพราะบุคคลสำคัญอย่าง ฮ่องเต้ ไทเฮา และฮองเฮาเข้ามา ทั่วตำหนักหลงเทียนจึงไม่ได้คึกคักดังตลาดสดเช่นเมื่อครู่ ทุกคนก็เปลี่ยนไปเป็นขัดเขินไม่น้อย

เล่อเหยาเหยาที่หันกลับมายังตำแหน่งเดิม สงบปากสงบคำ ทว่าในใจกลับแปลกใจไม่หยุด

เพราะเธอไม่เคยเห็นโอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์เทียนหยวนมาก่อน จึงแปลกใจกับโอรสสวรรค์องค์นี้เป็นธรรมดา ดังนั้นจึงใช้โอกาสที่ตนอยู่ในมุมเล็กลับตาคน ไม่มีคนพบเห็น เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แอบมองไปยังเงาร่างสีทองที่เวลานี้กำลังอยู่บนบัลลังก์สีทองอร่ามเรืองรองนั้น

แม้โอรสสวรรค์องค์นี้และรุ่ยอ๋องจะไม่ได้เกิดจากพระมารดาคนเดียวกัน แต่เติบโตมาด้วยกันและมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน หากพูดว่ารุ่ยอ๋องคล้ายพญายมที่มาจากนรกขุมที่สิบแปด ยโสโอหัง เย็นชาดุจน้ำแข็ง เช่นนั้นโอรสสวรรค์องค์นี้ คือกระบี่โบราณที่เหนือกว่าสิ่งใดบนโลกนี้!

เห็นเพียงเสื้อคลุมมังกรสีทองนั้น ทำให้พระองค์ดูสง่าดุจวีรบุรุษ องอาจน่าเกรงขาม

ยังมีรูปร่างสูงเพรียว ขาตรงยาว ไหล่กว้างเอวคอดนั้น ดุจรูปร่างของนายแบบที่แข็งแรงสมบูรณ์แบบ!

เมื่อเล่อเหยาเหยามองจากรูปร่างสูงเพรียวนั้นขึ้นไป ดวงตางดงามที่เดิมทีแอบมองสำรวจพลันเบิกกว้าง

เพราะตอนนี้เธอพบว่า ฮ่องเต้พระองค์นี้ช่างอ่อนเยาว์ยิ่งนัก

รุ่ยอ๋องปีนี้อายุเพียงสิบแปดปี ส่วนฮ่องเต้พระองค์นี้ ดูแล้วน่าจะประมาณยี่สิบปี

ใบหน้านั้น ไม่คล้ายพญายม ตงฟางไป๋และหนานกงจวิ้นซีที่พอเห็นแล้วตกตะลึงจำพวกนั้น กลับดูเป็นผู้ใหญ่รูปโฉมหมดจด

หน้าผากเอิบอิ่ม คิ้วกระบี่โก่งยาวไปถึงจอนผม ดวงตาหงส์แคบยาวนั้น เวลานี้กำลังยิ้มแย้ม ทำให้คนมองพลันรู้สึกสนิทใจ

แต่กลิ่นอายสูงศักดิ์ที่กระจายออกมาจากตัวพระองค์ กลับทำให้คนกล้าเพียงมองอยู่ในระยะไกล และไม่อาจดูหมิ่น!

นี่คือชายหนุ่มที่รวบรวมความเป็นกันเองและอ่อนโยน ทว่ากลับดุดันสูงส่งเอาไว้

ครั้งแรกที่เห็นรับรู้ถึงความสูงส่ง แต่ยิ่งมองกลับยิ่งงดงาม และทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้!

เมื่อเล่อเหยาเหยาสำรวจโอรสสวรรค์เสร็จ ดวงตางดงามย้ายมองไปยังฮองเฮาที่นั่งอยู่ด้านข้าง

เห็นเพียงฮองเฮาน่าจะมีอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปโฉมสง่าอ่อนช้อย อิริยาบถหลากหลาย ผิวขาวผ่องดุจหิมะ เครื่องหน้าประณีต บุคลิกสูงส่ง ถือเป็นสาวงามอันดับหนึ่ง!

บรรยากาศที่กระจายออกมาจากตัว กลับมีความอ่อนโยนของมารดาแห่งแผ่นดิน!

เมื่อเห็นหญิงชราที่อยู่อีกด้านของฮ่องเต้ หญิงชราผู้นี้น่าจะเป็นไทเฮาเจ้าของงานวันเกิดในวันนี้

ไทเฮาองค์นี้ แม้จะอายุไม่น้อยแล้ว แต่เพราะบำรุงรักษาร่างกายเป็นอย่างดี จากรูปโฉมและเสน่ห์ของพระองค์ต่างมองออกว่าตอนนั้นต้องเป็นสาวงามล่มเมืองแน่นอน

วันนี้ไทเฮาสวมเสื้อคลุมสีสันสดใสปักลายหงส์ เข้ากับรูปลักษณ์ท้วม

ใบหน้านั้น แม้จะไม่งดงามเช่นเดิม ทว่ากลับดูมีเมตตา

มองไปคล้ายหญิงชราที่อ่อนโยนน่าเคารพนับถือ

แต่คนที่รอดชีวิตอยู่ในวัง ที่กลืนกินความเป็นคนโดยไม่กระพริบตานี้ จะเรียบง่ายได้เช่นไร!

รัศมีจากดวงตาของพระองค์ ทำให้คนมิอาจละสายตาได้!

ขณะที่เล่อเหยาเหยาสำรวจด้านบนเวทีสูงเหล่านั้น บนเวทีมีเสียงเพลงที่ถูกบรรเลงดังขึ้นมาไม่ขาดสาย

ทุกคนหลังเอ่ยอวยพรไทเฮาที่น่าเคารพนับถือเสร็จแล้ว ต่างก็พากันกลับเข้าที่นั่ง

เวลานี้งานเลี้ยงได้เริ่มขึ้น เหล่านางกำนัลยกอาหารอันโอชะหลากหลายเป็นแถวเรียงรายเข้ามา วางลงบนโต๊ะด้านหน้าของทุกคน

หลังฮ่องเต้ตรัสเสร็จ และยกสุราดื่มแสดงความเคารพ ทุกคนก็เริ่มทานอาหาร

งานเลี้ยงในวังหลวง มักหรูหราและน่าเบื่ออย่างยิ่ง หลังทุกคนทานเสร็จ ก็จะมีขนมหวานถูกยกขึ้นโต๊ะ

เวลานี้หลังทุกคนกินดื่มอย่างอิ่มหน่ำ ดื่มชาหลังอาหารเพื่อผ่อนคลาย จะขาดการแสดงที่มีสีสันไม่ได้

เล่อเหยาเหยาที่กังวล เหน็ดเหนื่อยกับการแสดงงิ้วมายาวนาน เวลานี้กำลังจะเริ่มแสดงแล้ว

แม้จะพูดว่างิ้วเหล่านี้ เธอไม่ได้ประพันธ์ด้วยตนเอง แต่เครื่องมือหลากหลายในนี้ เธอต่างตกแต่งทำขึ้นอย่างตั้งใจ

ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงทั้งตื่นเต้นและกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของไทเฮา เล่อเหยาเหยาจึงเลือกบทประพันธ์《อวยพรแปดประการ》มาอวยพรแก่ไทเฮา

เป็นดังที่คาดไว้ หลังแสดง《อวยพรแปดประการ》จบลง สีหน้าไทเฮาดูพอใจอย่างมาก เล่อเหยาเหยาจึงมองดูอย่างมีความสุข

ต่อมาเป็นการแสดงบทประพันธ์《อู่ซงตีเสือ》

คณะละครหมิงเฉิงไม่เพียงเป็นโรงละครอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง สร้างคนที่มีพรสวรรค์ขึ้นมามากมาย นักแสดงที่รับบทเป็นอู่ซง แสดงได้อย่างสมบทบาท เข้าถึงได้อย่างถ่องแท้  เห็นชัดว่าฝีมือการแสดงนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด

และเรื่องอู่ซงตีเสือ กล่าวกันว่าอู่ซงกลับบ้านมาเยี่ยมเยียนพี่ชาย ระหว่างทางผ่านเนินจิ่งหยางกัง จึงดื่มเหล้ามากมายในโรงเตี๊ยมจนเมามาย กระทั่งเดินเหินก็แทบทรงตัวไม่ได้

และนักแสดงที่รับบทอู่ซงบนเวที ในมือยังถือกาเหล้า เดินโอนเอนไปมา ทำให้ผู้ชมกังวลว่าเขาจะหกล้มลงไป

ที่ทำให้คนกังวลที่สุดคือ เมื่อแสดงถึงตอนที่เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมเอ่ยเตือนว่ามีเสือบนเนินเขา ห้ามไม่ให้เขาเดินทางไปคนเดียว อยู่พักแรมที่โรงเตี๊ยมสักคืน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทาง แต่ถูกอู่ซงปฏิเสธ

เมื่อแสดงถึงตรงนี้ ผู้ชมด้านล่างเวทีต่างซับเหงื่อแทนอู่ซงที่บ้าบิ่นผู้นี้

เวลานี้สายตาของผู้ชมด้านล่างเวทีต่างตกอยู่บนการแสดงบนเวที ไม่เว้นแม้กระทั่งสายตาของพญายมที่มองบนเวทีโดยไม่กระพริบ

และไทเฮาที่อยู่บนเวทีสูงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง

ไทเฮาชื่นชอบความสนุก ชอบชมการแสดงงิ้ว แต่ในเทียนหยวน การแสดงงิ้วที่น่าสนใจเธอชมดูแทบทุกเรื่องแล้ว ขณะรู้สึกหดหู่ไม่มีงิ้วที่น่าสนใจให้ชม ตอนนี้การแสดงเรื่อง《อวยพรแปดประการ》และ《อู่ซงตีเสือ》แสดงได้อย่างมีสีสัน จึงทำให้เธอชื่นชอบอย่างมาก

สายตานั้นไม่ละจากเวทีเลย

อีกทั้งสีหน้าของพระองค์ ก็คล้อยตามอู่ซงที่รู้ชัดว่าบนภูเขามีเสือ ทว่ากลับกลัวเสี่ยวเอ้อร์จะหัวเราะเยาะเอา ก่อนจะออกเดินไป บนเวที ไทเฮายังร้อง ‘ไอ๊หยา’ ออกมาพร้อมตบต้นขา นั่งอารมณ์เสียกับท่าทางอันบ้าบิ่นของอู่ซง ซึ่งถูกเล่อเหยาเหยาเห็นเข้าพอดี จนอดแอบหัวเราะออกมาไม่ได้

ในใจคิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะน่ารักเช่นนี้

ท่าทางในตอนนี้ คล้ายคลึงกับย่าของเธออย่างมาก

ดูดื้อรั้น และตรงไปตรงมา

เรื่องนี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาประทับใจไทเฮามากขึ้นหนึ่งส่วน

การแสดงบนเวทียังคงดำเนินต่อไป กระทั่งผ่านไปเป็นเวลานาน ในที่สุด《อู่ซงตีเสือ》ก็จบลง

ด้านล่างเวทีต่างปรบมือดังสนั่นดุจฟ้าคำราม เสียงชื่นชมดังขึ้นไม่หยุด

เพราะไทเฮาชื่นชอบ ฮ่องเต้จึงมีสีหน้าพอพระทัย รีบพระราชทานรางวัลให้กับคณะละครหมิงเฉิงอย่างหนัก และเอ่ยปากมอบป้าย《คณะละครอันดับหนึ่ง》ให้แก่คณะละครหมิงเฉิง

หัวหน้าคณะละครหมิงเฉิงเห็นเช่นนั้น ดีใจจนแทบน้ำตาไหล

เพราะตั้งแต่เริ่มแสดงมาจนถึงวันนี้ ยังไม่ได้รับรางวัลที่มากมายเช่นนี้มาก่อน วันนี้คณะละครหมิงเฉิงของเขาโด่งดังแล้ว!เขาจะไม่ดีใจได้เช่นไร!

หลังจากหัวหน้าคณะละครรับป้ายรางวัลพร้อมกล่าวขอบพระทัยเตรียมถอยหลังไป ฮ่องเต้ทรงฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา พลันเอ่ยถามว่า

“จริงสิ ละครสองเรื่องนี้ เจิ้นไม่เคยได้ยินมาก่อน นี่ผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์ออกมาหรือ”

เมื่อได้ยินคำตรัสของฮ่องเต้ เล่อเหยาเหยาที่ดีใจอยู่ด้านข้าง พลันตกตะลึง

เพราะวันนี้ เธอเพียงอยากให้ไทเฮาและทุกคนชื่นชอบการแสดงงิ้วที่เธอประพันธ์ออกมาอย่างตั้งใจ โดยคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะทรงตรัสถามเช่นนี้ ในใจพลันเป็นกังวล

ส่วนหัวหน้าคณะละครที่ถูกฮ่องเต้ตรัสถาม เมื่อได้ยิน จึงกราบทูลตามความจริงอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

“ทูลฝ่าบาท เรื่อง《อวยพรแปดประการ》และ《อู่ซงตีเสือ》เมื่อครู่นั้น ต่างเป็นเหยากงกงในวังรุ่ยอ๋องประพันธ์ออกมา เหยากงกงมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมมากพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม เหยากงกงแห่งวังรุ่ยอ๋องหรือ”

หลังได้ยินคำพูดของหัวหน้าคณะละคร ฮ่องเต้เหลิ่งจวิ้นเทียน อดมองไปยังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่กำลังจิบชาอย่างสง่างามไม่ได้ พลันยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า

“น้องรอง ในวังของเจ้ามีคนที่มีความสามารถมากจริงๆ!”

หลังเหลิ่งจวิ้นเทียนเอ่ยจบ คล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า

“เหยากงกง คือผู้ใด”

เมื่อได้ยินฮ่องเต้ตรัสชื่อ เล่อเหยาเหยาหลังหายตกตะลึง พลันได้สติ จากนั้นรีบเดินออกไป คุกเข่าลงพลางเอ่ยขึ้นว่า

“ทู…ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”

เพราะกังวล ดังนั้นน้ำเสียงของเล่อเหยาเหยาจึงดูวิตกและติดขัด

ไม่มีทางเลือก เพราะเธอไม่คิดว่าหลังแสดงสองเรื่องนี้ออกไป จะถูกฮ่องเต้ตรัสชื่อออกมา

รวมทั้งเวลานี้ ในตำหนักหลงเทียนที่สว่างเรืองรอง แม้เธอจะก้มศีรษะลงต่ำ แต่ยังรับรู้ถึงสายตาของทุกคนที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ตนเช่นเดิม

โดยเฉพาะสายตาสำรวจตรวจตราของคนบนเวทีสูงนั้น ทำให้เธออดกังวลไม่ได้

เพราะเมื่อครู่ที่สำรวจฮ่องเต้องค์นี้อยู่ไกลๆ เธอรู้สึกเพียงพระองค์อ่อนโยนและเป็นกันเอง แต่ตอนนี้สายตาที่พระองค์มองมายังเธอ แฝงด้วยการหาความจริง ร้อนแรง และคมกริบหลายส่วน คล้ายสามารถมองทะลุร่างกายเธอไปได้ ทำให้เธออดหนังศีรษะชาวาบ ใจเต้นระรัวไม่ได้!

………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+