สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! 138.2 เล่อเหยาเหยาบาดเจ็บ (2)

Now you are reading สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! Chapter 138.2 เล่อเหยาเหยาบาดเจ็บ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่ใหญ่ คนตัวเล็กนั่นหนีไปแล้ว”

“วิ่งไปแล้ว ก็รีบไล่ตามไปสิ”

“ตามไป”

เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาวิ่งหนี กลุ่มคนที่พักอยู่ในตรอกเล็ก ยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนวิ่งไล่ตามเล่อเหยาเหยาที่วิ่งหนีไป

เสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้นจากด้านหลัง เห็นชัดว่ามีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งไล่ตามมา และยิ่งไล่เข้าใกล้มาเรื่อยๆ

เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยากลัวจนไม่กล้าหันกลับไปมอง

เธอเวลานี้อกสั่นขวัญแขวน ในใจก็กังวลไม่หยุด

หากรู้เร็วกว่านี้ วันนี้เธอจะไม่ออกมาด้านนอก

ในอ้อมอกเธอ มีเงินและของมีค่าที่ได้มาอย่างยากลำบาก นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องพึ่งพิงอีกครึ่งชีวิตที่เหลือ ดังนั้นเธอจะหยุดไม่ได้ และจะให้พวกเขาแย่งชิงเงินบนตัวไปไม่ได้เด็ดขาด

พอคิดถึงตรงนี้ หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในที่สุดเล่อเหยาเหยาก็อดทนไม่ไหว ร้องตะโกนเสียงดังขึ้น

“ช่วยด้วย มีโจรปล้น”

ขณะเดียวกัน บนถนนใหญ่ในเมืองหลวง มีรถม้าคันหนึ่งกำลังขับมาอย่างช้าๆ

หลังจากได้ยินเสียงร้องตะโกนจากด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกล เหม่ยและซิงที่นั่งอยู่บนรถม้ามองหน้ากัน ก่อนเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งอยู่ในรถม้าก้มหน้าจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มหนึ่งว่า

“ท่านอ๋อง มีคนร้องขอความช่วยเหลือ”

เหม่ยเอ่ยอย่างเย็นชาขึ้น

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยิน ก็ไม่เงยศีรษะขึ้นมา เพียงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า

“เช่นนั้นเจ้าไปจัดการเถิด”

เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยจบ เห็นซิงเลิกผ้าม่านขึ้นมองออกไปด้านนอก เมื่อเห็นเงาเล็กที่ล้มอยู่บนพื้นมีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งล้อมเอาไว้ ดวงตาซิงอดเป็นประกายไม่ได้ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างคาดไม่ถึงว่า

“เอ๊ะ ร่างเล็กนั้น เหตุใดจึงคล้ายเสี่ยวเหยาจื่อยิ่งนัก”

ซิงเอ่ยจบ รู้สึกเพียงมีลมพายุพัดผ่านด้านหน้าไป ชายหนุ่มที่เดิมทีนั่งอยู่ภายในรถม้า พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“เอ๊ะ ท่านอ๋องล่ะ!”

เห็นเช่นนั้น ซิงสงสัย เหม่ยเพียงมองเขาแวบหนึ่ง เสียง ‘เพี๊ยะ’ ก็ดังขึ้น ก่อนกระโดดลงจากรถม้า

เล่อเหยาเหยาเวลานี้ วิ่งอย่างกระหืดกระหอบ สุดท้ายเรี่ยวแรงบนตัวคล้ายถูกสูบจนแห้ง ขณะเดียวกันก็มีคนกระโจนเข้ามาจากด้านหลัง เธอจึงล้มตกลงไปในบ่อน้ำขังที่ลึก

เสียง “ตูม” ดังขึ้นพร้อมละอองน้ำกระเซ็น ใบหน้าเธอมุดเข้าไปในน้ำสกปรกนั้น พร้อมกับสำลักน้ำและโคลนเข้าไป จนเธอหายใจกระหืดกระหอบ

“แค่กๆ”

“ฮึ เจ้าหน้าเหม็น ผู้ใดใช้ให้เจ้าวิ่งหนี เจ้าวิ่งหนีต่อสิ”

คนที่ตามมาทันคนแรกคือชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง

เห็นเพียงชายฉกรรจ์ผู้นี้แต่งตัวเช่นอันธพาล เหมือนกับกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง อีกทั้งใบหน้ายังดูมุ่งร้าย

หลังพวกเขาไล่ติดตามมา อาจเพราะเห็นเล่อเหยาเหยาที่หวาดกลัว วิ่งหนีพวกเขาอยู่นาน ในใจต่างเต็มไปด้วยความโมโห

ดังนั้นหลังจากไล่ตามทัน ก็ลงมือทำร้ายเล่อเหยาเหยาทันทีโดยไม่เอ่ยสิ่งใด

“ฮึ ผู้ใดบอกให้เจ้าหนี ทำให้ข้าต้องเหนื่อยไล่ตามอยู่นานเช่นนี้”

“ใช่ ไม่สั่งสอนเจ้าสักหมัด คงคิดว่าพวกเราไร้น้ำยา”

“แค่กๆ”

เล่อเหยาเหยาเพิ่งล้มลงบนพื้น จึงรู้สึกเพียงเรี่ยวแรงในร่างกายถูกสูบไปจนหมด แต่ว่าเธอยังไม่ทันลุกขึ้นจากพื้น ก็ต้องต้อนรับหมัดและเท้าที่หนักแน่น

พูดไปแล้ว เธออยู่มาจนอายุเท่านี้ ยังไม่เคยถูกคนทุบตีอย่างหนัก อีกทั้งคนมีจำนวนมากเช่นนี้มาก่อน

ตอนนี้แม้เธอจะมีเรี่ยวแรง ก็สู้พวกเขาไม่ได้ เพราะสองหมัดยากที่จะสู้สี่ฝ่ามือได้

ดังนั้น เวลานี้เล่อเหยาเหยาคล้ายตุ๊กตาผ้านอนคว่ำไร้เรี่ยวแรง ถูกคนปิดล้อมทุบตี

หมัดดุจฝนแน่นขนัดกระแทกลงมาบนร่างกายเธอไม่หยุด เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย กระทั่งยังไร้เรี่ยวแรงในการร้องตะโกนออกมา รู้สึกเพียงภาพตรงหน้าค่อยๆ พร่ามัวลง

สวรรค์ เธอใกล้จะตายแล้วใช่หรือไม่!

หากเป็นเช่นนั้น เธอต้องตายอย่างไม่เป็นธรรมแน่

แต่ขณะที่เล่อเหยาเหยาสลดใจ พลันมีเสียงเย็นชาที่คุ้นหูดังขึ้นมา ทำให้ใจที่สิ้นหวังของเล่อเหยาเหยา ปรากฏความหวังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้า กล้าทำร้าย ‘เขา’ เชียวหรือ!”

น้ำเสียงเย็นชาทุ้มต่ำ ดุจสายลมเย็นอันหนาวเหน็บในเดือนสิบสอง ทำให้คนหนาวเย็นจนสั่นเทิ้มทั่วร่าง

เสียงเย็นชาหนาวเย็นไปถึงกระดูกนั้น ทำให้เหล่าอันธพาลท้องถิ่นที่ห้อมล้อมลงมือทำร้ายเล่อเหยาเหยา หันกลับไปมองต้นตอของน้ำเสียงนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ไม่รู้ปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่เวลาใด ทุกคนต่างตกใจอย่างหนัก บนใบหน้าต่างปรากฎความขลาดกลัวออกมา

เห็นเพียงชายหนุ่มตรงหน้านี้ ดุจพญายมจากนรกขุมที่สิบแปด รอบกายคล้ายล้อมรอบด้วยกลุ่มไอโหดเหี้ยมที่หนาวเหน็บ

และใบหน้านั้น เห็นชัดว่าหล่อเหลาดุจเทพเจ้าสร้างสรรค์ขึ้นมา แต่เวลานี้กลับดุร้ายเพราะโมโห ดูแล้วจึงน่าหวาดกลัวเป็นพิเศษ

บนหน้าผากอิ่มนั้นเส้นเลือดปูดนูนขึ้น ปีกจมูกโด่งเพราะหายใจติดขัดจึงเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ ริมฝีปากกระจับเม้มเป็นเส้นตรงนั้น แสดงให้เห็นถึงความโมโหของเจ้าของออกมา

ทว่าสิ่งที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนที่สุดคือ ดวงตาของชายหนุ่ม!

สวรรค์!

นี่มันคือดวงตาอันใดกันแน่!

ลูกตาดำขลับนั้น เย็นชาลึกล้ำดุจบ่อน้ำแข็งที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ยังมีไอสังหารที่พุ่งออกมาจากแววตาของเขาที่ผิดธรรมชาติเช่นนี้ นั่นคือไอโหดเหี้ยมของผู้ที่ผ่านสงครามการเข่นฆ่ามาเท่านั้นถึงจะมีได้ ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน เย็นเฉียบทั่วแผ่นหลัง

แม้ชายหนุ่มจะยังไม่ลงมือ เพียงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ แต่บรรยากาศเต็มไปด้วยไอสังหารนั้น เพียงพอที่จะทำให้คนรู้ว่าเขามิใช่คนจะยุ่งเกี่ยวได้ง่าย

แม้เหล่าอันธพาลเจ้าถิ่นกลุ่มนี้จะเชี่ยวชาญเพียงออกปล้นสะดมภ์ชาวบ้านในท้องที่ แต่เมื่อพบกับคนที่ยากจะต่อกร ก็รู้จักหนีเอาตัวรอด

พอคิดถึงตรงนี้ เหล่าอันธพาลเจ้าถิ่นมองหน้าสบตากันหนึ่งรอบ คิดแยกย้ายหนีไป

แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มและเอ่ยอย่างเย็นชาขึ้น

“กล้าลงมือกับคนของเปิ่นหวาง แล้วคิดหนีหรือ พวกเจ้านี้จริงๆ เลย ช่างบังอาจยิ่งนัก”

ชายหนุ่มกำลังยิ้ม แต่รอยยิ้มกลับไม่ถึงดวงตา น้ำเสียงเย็นชานั้น คล้ายกระบี่ที่พร้อมถูกชักออกจากฝัก เผยความสามารถออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม เหล่ากลุ่มอันธพาลที่ปกติกล้าหาญชาญชัยนั้นก็มิใช่คนโง่เขลา หลังได้ยินชายหนุ่มแทนตนว่า ‘เปิ่นหวาง’ ใจของทุกคนต่างเกิดเสียง ‘ตูม’ ขึ้นก่อนตกลงสู่ถ้ำน้ำแข็งที่มิอาจถอนตัวขึ้นมาได้

เพราะคนในแคว้นเทียนหยวนที่สามารถเรียกตนว่า ‘เปิ่นหวาง’ ได้ มีเพียงพญายมที่สังหารคนไม่กระพริบตาผู้นั้น!

“ขะ…เขา”

“คะ…คือ”

“พะ…พญายม”

หลังนึกถึงเรื่องนี้ เหล่ากลุ่มอันธพาลก็ตื่นตระหนกตกใจ จนแทบขาอ่อนแรงล้มลงบนพื้น

ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น เพียงส่งเสียงฮึเย็นชาอย่างดูถูก ทันใดนั้น เงาร่างดุจลูกธนูพุ่งตรงเข้าใส่เหล่าอันธพาลเจ้าถิ่นที่ตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่างนั้น

จากนั้นเสียงราวสุกรถูกเชือดก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเลือดที่สาดกระเซ็นไปรอบด้าน

เดิมทีเหล่ากลุ่มคนที่โอหังนั้น ล้มกองกันอยู่ท่ามกลางกองเลือด

ครั้งนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ได้สังหารพวกเขา เพียงหักแขนขาของพวกเขา

ไม่สังหารพวกเขา มิได้หมายความว่าจะปล่อยให้พวกเขามีความสุข

“เหม่ย ส่งคนมาเฝ้าพวกมันไว้ ให้พวกมันทำงานทุกวัน ยังมีห้ามไม่ให้พวกมันตายเด็ดขาด”

เพราะกล้าแตะต้องคนของเขา ต้องได้รับสิ่งตอบแทนที่เหมาะสม

เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยกำชับเหม่ยที่อยู่ข้างกายอย่างเย็นชา

เหม่ยเมื่อได้ยิน พลันตอบรับทันที

“พ่ะย่ะค่ะ บ่าวรู้ว่าต้องทำเช่นไร”

เหม่ยเอ่ยจบ ซิงที่อยู่ด้านข้างได้ยิน ส่ายหน้าไปมาพลางใช้เท้าคร่อมตัวเหล่าอันธพาลที่หมดสติไปบนพื้น

แสร้งทำใบหน้าเห็นใจพลางเอ่ยว่า

“จุ๊ๆ ช่างไม่ดูตาม้าตาเรือจริงๆ กล้ากระทั่งลงมือกับคนของวังรุ่ยอ๋อง สมน้ำหน้าเสียจริง ถุย”

เอ่ยจบ ซิงยังเตะพวกเขาอย่างโมโหอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายระบายความโกรธแทนเสี่ยวเหยาจื่อ

เพราะเสี่ยวเหยาจื่อถือเป็นสหายของพวกเขา! สหายตนถูกคนรังแก จะให้เขาอดทนได้เช่นไร

สำหรับท่าทางคล้ายเด็กของซิง เหม่ยเพียงยิ้มมุมปาก และไม่ใส่ใจ พลันกวาดสายตาไปด้านหน้า

เห็นเพียงชายหนุ่มด้านหน้า กำลังพุ่งเข้าไปหาคนตัวเล็กอย่างรวดเร็ว

เพราะพายุฝนเพิ่งผ่านไป บนพื้นจึงเจิ่งนอง เต็มไปด้วยน้ำฝน

ส่วนคนบนพื้นไม่ไหวติง  กระทั่งนิ้วมือเล็กยังขยับไม่ได้

บนร่างกายก็เต็มไปด้วยคราบโคลนและเลือด ทำให้คนที่เห็นหวาดกลัว

ยังมีใบในหน้าเล็กขนาดเท่าฝ่ามือนั้น เวลานี้กลับซีดขาวดุจกระดาษ ผมเปียกชื้นทั่วศีรษะ เปื้อนไปด้วยน้ำและโคลนตม จากหน้าผากจนเลื่อนมาถึงแก้มสองข้างของ ‘เขา’ ทำให้ ‘เขา’ ดูลำบากและน่าสงสาร

สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงที่สุดคือ มุมปาก ‘เขา’ ยังมีเลือดไหลซึมออกมา

แม้เลือดนั้นจะไม่มากมาย แต่กลับทำให้ชายหนุ่มที่เห็นพลันปวดใจ

ทันใดนั้น ไม่สนว่าคนบนพื้นจะสกปรกทั้งตัว พลันอุ้มตัวเขาขึ้นมา

“ทะ…ท่านอ๋อง ในที่สุดท่าน…ก็มาแล้ว”

เมื่อพลันถูกชายหนุ่มอุ้มขึ้นมา เล่อเหยาเหยาที่เดิมทีสติกระเจิดกระเจิง พลันร้อง ‘โอ๊ย’ ขึ้นมา ก่อนรู้สึกเพียงด้านหน้าพลันมืดลง หมดสติไป

เมื่อเห็นคนในอ้อมกอดหมดสติ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแดงชั่วขณะ ดวงตาเย็นชาน่าหวาดกลัวหนาวเหน็บคู่นั้น พรั่งพรูความสงสารและปวดใจขึ้นมา

สุดท้ายเขาเพียงกัดกระพุ้งแก้มแน่นครู่หนึ่ง จากนั้นหมุนตัวตรงไปที่รถม้า หลังกระโดดขึ้นรถม้า พลันเอ่ยสั่งคนขับรถม้าว่า

“ไปที่โรงหมออันดับหนึ่งให้เร็วที่สุด”

หลังเล่อเหยาเหยาที่บาดเจ็บไปทั่วร่างปรากฏตัวขึ้นที่โรงหมออันดับหนึ่ง ทำให้ตงฟางไป๋ตกใจอย่างหนัก

เพราะเมื่อวานยังเห็นเขาสบายดีอยู่ วันนี้พอปรากฏตัว กลับบาดเจ็บทั่วร่างกาย

ใบหน้าเล็กที่สดใสซุกซนก่อนหน้านี้ วันนี้กลับเปลี่ยนไปหายใจแผ่วเบา ทำให้คนที่เห็นกังวลใจไม่หยุดเสียจริง

โชคดีที่หลังจากตงฟางไป๋จับชีพจรให้เล่อเหยาเหยาเสร็จ พบว่าเธอบาดเจ็บเพียงภายนอก จึงผ่อนลมหายใจลง

กลับเป็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่อยู่ด้านข้าง เวลานี้สีหน้าสงสัยอย่างหนัก จับไหล่ของตงฟางไป๋เอาไว้ ก่อนเอ่ยปากถามขึ้น

“ ‘เขา’ เป็นเช่นใดบ้าง”

แม้น้ำเสียงของเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะเย็นชาดังเดิม แต่ดูกังวลร้อนใจอย่างสุดที่จะบรรยายได้

……………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด