สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! 138.1 เล่อเหยาเหยาบาดเจ็บ (1)

Now you are reading สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! Chapter 138.1 เล่อเหยาเหยาบาดเจ็บ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเพลงจบลง สายลมพัดพุ่มดอกไม้ หอบเอากลิ่นน่าหลงใหลเข้ามา

และพัดพาเอาน้ำในฤดูใบไม้ผลิไป ทำให้ผิวน้ำแวววาวระยิบระยับ ปรากฏแสงทองอันเลือนรางขึ้น

เสียงพิณดึงดูดใจเมื่อครู่ทำให้หัวใจเต้นไม่เสื่อมคลาย เมื่อถึงท่อนสุดท้ายของเพลง เล่อเหยาเหยาจึงตื่นขึ้นมา ก่อนอดปรบมือขึ้นไม่ได้

“อา พิณอันยอดเยี่ยม!”

ใจเต้นไม่เสื่อมคลาย ตื่นเต้นในใจ ดุจเสียงพิณปลุกระดมความฮึกเหิมในสงคราม ทำให้คนฟังยากที่จะลืมเลือน

ใจเวลานี้ยังเต้นระรัวไม่หยุด เลือดก็ยังเดือดพล่าน!

ก่อนหน้านี้ เล่อเหยาเหยาไม่รู้เลยว่าพิณ จะทำให้คนตื่นเต้นได้เช่นนี้

ตอนนี้เธอจึงได้รับรู้

หากให้เปรียบเทียบพิณของตงฟางไป๋และพญายม ความจริงก็ไม่มีสิ่งใดให้นำมาเปรียบเทียบ

เพราะพวกเขาสองคนบุคลิกแตกต่างกัน เพลงพิณที่บรรเลงก็แตกต่างกัน แต่ละคนต่างมีดีเฉพาะตัว ไม่เหมาะจะเปรียบเทียบกันแม้แต่นิดเดียว

ขณะที่เล่อเหยาเหยายังสับสนในใจ กลับเห็นชายหนุ่มที่เดิมทีก้มหน้าหลุบสายตา สะบัดชายเสื้อก่อนเงยหน้าหล่อเหลาขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเย็นชาดุจจักรวาลอันกว้างใหญ่ มองมาที่ใบหน้าของเธอ แล้วเอ่ยปากขึ้นว่า

“มานั่งตรงนี้”

เอ่ยจบ ตบลงที่ว่างข้างกายตน

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยา พลันตะลึงในใจ

เพราะตำแหน่งที่นั่งของพญายมเวลานี้ คือเก้าอี้กว้างเพียงเล็กน้อย นั่งสองคนต้องอึดอัดแน่

แต่ตอนนี้พญายมกลับต้องการให้เธอไปนั่งลงข้างกายเขา เรื่องนี้…

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยากังวลตื่นตระหนกในใจ สองเท้ากลับไม่ขยับ เห็นชัดว่าถูกทำให้ตกตะลึง

เมื่อเห็นชัดว่าเล่อเหยาเหยาแข็งทื่อดุจหุ่นไก่ และท่าทางยังไม่ได้สติ เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับไม่โมโห เพียงเอ่ยปากขึ้นเบาๆ ว่า

“นั่งด้วยกัน เจ้าไม่เข้าใจหรือ ข้าจะได้ช่วยชี้แนะเจ้าได้สะดวก”

เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋มีแววตาเคร่งเครียด สีหน้าจริงจัง

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยากลับรู้สึกว่าตนคิดมากไป

เขาที่มีฐานะสูงศักดิ์ลดตัวลงมาชี้แนะบ่าวผู้หนึ่งเช่นเธอ เธอยังต้องสนใจสิ่งใดอีก!

พอคิดถึงตรงนี้ แล่อเหยาเหยาเอ่ยตกลง ทันใดนั้น ก็เดินตรงเข้าไปข้างกายชายหนุ่ม

นี่เป็นครั้งแรกที่นั่งใกล้ชิดกับพญายมเช่นนี้

เมื่อครู่เห็นเก้าอี้ตัวนี้กว้างขวาง คิดไม่ถึงหลังจากนั่งลง พลันพบว่าเก้าอี้ตัวนี้หดตัวได้

 บั้นท้ายของพวกเขาแทบชิดติดกัน และกลิ่นหอมของอำพันทะเลที่น่าดมนั้น หลังเธอนั่งลง ก็แผ่กระจายมายังตัวเธออย่างรวดเร็ว จนปกคลุมไปรอบตัวเธอ

หลังได้กลิ่นอำพันที่คุ้นเคยนี้ ใจของเล่อเหยาเหยาอดเต้นระรัวไม่ได้ ร่างกายก็อดเกร็งไม่ได้

เธอกำลังวิตกกังวล

อาจเพราะรับรู้ถึงความขัดเขินของเธอ ชายหนุ่มเพียงชำเลืองมอง ก่อนพลันเอ่ยเสียงเบาขึ้น

“ผ่อนคลาย การเรียนพิณ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีสมาธิ หากเจ้ากังวลตลอดเวลา เมื่อใดจะเล่นพิณได้!”

น้ำเสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำอย่างยิ่ง ทว่ากลับแฝงเสน่ห์เจ็ดส่วน ดึงดูดใจสามส่วน ไพเราะจับใจยิ่งนัก

และหลังฟังคำพูดนี้ของชายหนุ่มจบ เล่อเหยาเหยาขบคิดในใจ รู้สึกมีเหตุผลหลายส่วน ดังนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งรอบ ก่อนจัดการความกังวลอยู่ครู่หนึ่ง หลังสงบใจลง จึงหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้เธอ

“ได้ ท่านอ๋อง ตอนนี้เรามาเริ่มกันเถิด!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ดวงตาเย็นชาของชายหนุ่มเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงหลุบสายตา เริ่มชี้แนะอย่างละเอียดขึ้น

สมกับเป็นพญายม ไม่ว่าเมื่อใดที่ใด ใบหน้ายังคงเย็นชาเช่นนี้

เวลานี้ภายในความเย็นชานั้น มีความจริงจังเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน

แม้ตอนเริ่มแรก เพราะรู้ว่าพญายมจะสอนตนด้วยตนเอง เล่อเหยาเหยาจึงตกใจแทบหยุดหายใจ แต่ว่าสุดท้ายเมื่อได้ยินคำพูดของพญายม เล่อเหยาเหยาจึงพบว่า ความจริงพญายมก็มีความละเอียดจริงจังเช่นนี้ด้วย

ดังนั้น พวกเขาเพียงนั่งอยู่ภายในศาลาพักร้อนหยกขาว เวลาช่วงเช้าก็หมดไป

กระทั่งใกล้เวลาเที่ยง พญายมยมจึงถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าเฝ้าในวังหลวง ส่วนเล่อเหยาเหยาที่เหนื่อยมาทั้งเช้า หลังจากพญายมจากไป จึงยืดแขนบิดเอวอย่างเกียจคร้าน ก่อนไปทานอาหารที่โรงอาหาร

เพราะพญายมถูกเรียกตัวเข้าวังหลวง และไม่รู้จะกลับมาเวลาใด เล่อเหยาเหยาหลังทานอาหารและปัดกวาดตำหนักหย่าเฟิงเสร็จแล้วจึงรู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นจึงกลับมาที่ห้องพักของตน คิดจะแอบงีบหลับตลอดทั้งบ่าย

ทว่าเมื่อกลับมาถึงที่ห้อง จึงฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงรีบปิดประตูหน้าต่างลง จากนั้นก็คุกเข่าลงด้านหน้าเตียงนอน ก่อนลากกล่องไม้ออกมาจากใต้เตียง

เห็นเพียงกล่องไม้นี้ ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ดูธรรมดาอย่างยิ่ง ทว่าภายในกลับบรรจุเงินพันตำลึงและของมีค่าจำนวนไม่น้อยที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้และไทเฮา ในวันงานประสูติกาล

นี่คือที่พึ่งพิงในชีวิตที่เหลือของเธอ

ก่อนหน้านี้ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เพราะมีบิดาที่ร่ำรวย ปกป้องดูแลเธอทุกด้านจึงไร้กังวล ดังนั้นสำหรับเรื่องเงินทอง เธอจึงไม่ได้คิดให้ความสำคัญ

แต่หลังมาถึงวังรุ่ยอ๋อง เธอจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำพูดทั้งหมดบนหนังสือที่ว่า เงินหนึ่งเหมานำพาวีรบุรุษไปสู่ความตายได้

ดังนั้นเงินภายในกล่องนี้  ถือเป็นชีวิตของเธอ ชีวิตในวันข้างหน้าที่มีความสุข ต่างต้องพึ่งมันทั้งหมด

น่าเสียดาย ตอนนี้เธอมีเงินแล้ว แต่บนสัญญาไถ่ถอนตัวระบุไว้ว่า ต้องหลังจากครบกำหนดสามปีจึงจะสามารถไถ่ถอนตัวได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาจึงสับสนอย่างยิ่ง

เมื่อคิดว่าเวลาสามปีน่าจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอจึงต้องอดทนเอาไว้ก่อน!

แต่เงินนี้เธอเพียงซ่อนไว้ที่ใต้เตียง เช่นไรก็ล้วนไม่ปลอดภัย

แม้ที่นี่จะเป็นตำหนักหย่าเฟิงที่คาดว่าเหล่าหัวขโมยจะไม่กล้าเข้ามาก่อเรื่อง แต่คนที่รอบคอบจะผิดพลาดได้ยาก   เธอยังต้องนำเงินนี้ไปเก็บไว้ที่ร้านฝากเงินจึงจะเป็นเรื่องเป็นงานเป็นการ

หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยามองสีท้องฟ้าด้านนอก เมื่อเห็นยังคงเป็นช่วงบ่าย ดังนั้นเธอจึงคิดใช้โอกาสนี้ทำเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ วันหน้าจะได้ไม่ต้องกังวลนอนตาหลับ

คิดแล้วลงมือทันที เล่อเหยาเหยาจึงหยิบกล่องไม้นั้นออกมาวางลงบนโต๊ะ พลันหยิบผ้าผืนใหญ่ออกมา ก่อนนำเงินและของมีค่าพวกนั้นมาห่อรวมกัน แล้วยัดเข้าไปในอกเสื้อ

หลังบอกกล่าวกับหัวหน้าขันทีลี่ว่าต้องการป้ายออกจากวัง เล่อเหยาเหยาก็รีบร้อนตรงไปที่ร้านฝากเงินทันที

ไม่รู้เพราะเงินจำนวนมหาศาลอยู่ในอ้อมอกหรือไม่ ขณะที่เล่อเหยาเหยาเดินอยู่บนถนน ยังคงระวังเป็นพิเศษ

ดวงตากลมโตสดใสคู่นั้น กวาดมองรอบด้านอย่างระมัดระวังตลอดเวลา ราวกลัวว่าตนจะถูกเหล่าอันธพาลจับตามอง ก่อนเข้ามาชิงของมีค่าบนตัวเธอไป

โชคดีที่เวลานี้ยังสว่าง คิดดูแล้วตอนกลางวันเช่นนี้ เหล่าอันธพาลคงไม่กล้าก่อเรื่อง

อีกทั้งที่นี่อยู่ใต้การปกครองของโอรสสวรรค์!

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ผู้คนกระทำมิอาจสู้ฟ้าลิขิต

สิ่งที่เล่อเหยาเหยาคิดไม่ถึงเด็ดขาดคือ หลังเดินไปได้ครึ่งกลาง พลันเกิดเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าขึ้นกลางท้องฟ้า นั่นคือ…

ฝนตกลงมา!

อีกทั้งนี้ยังไม่ใช่ฝนตกธรรมดา

พายุฝนอันบ้าคลั่ง ฟ้าร้องฟ้าแลบนี้ ดังกังวานทั่วท้องฟ้า

ฟ้าแลบดุจมังกรไฟที่คล้ายผ่าท้องฟ้าแยกออกเป็นสองส่วน ทำให้ผู้คนตกตะลึงอย่างหนัก

เมื่อถูกพายุฝนที่จู่ๆ ตกลงมาทำลายแผนการ เล่อเหยาเหยาก็ไม่ได้ล่าถอย เพียงรีบร้อนหาที่หลบฝน

ดวงตาคู่งามมองไปด้านหน้า เห็นเพียงถนนใหญ่ที่เดิมทีคึกคักไม่หยุด ก็ถูกพายุฝนที่พลันตกลงมาทำให้รับมือไม่ทันเช่นกัน

เห็นเพียงผู้คนบนถนนต่างแตกฮือราวนกแตกรัง วิ่งไปคนละทิศละทาง

ผ่านไปไม่นาน เดิมทีบนถนนที่คึกคัก ก็เปลี่ยนไปเป็นไร้เงาผู้คน

เมื่อเกิดพายุฝน ยังมีสายลมเย็นพัดโชยมา

พูดตามความจริง ตอนนี้แม้จะเป็นฤดูร้อน บนร่างของเล่อเหยาเหยาจึงสวมเสื้อผ้าบางเบา รวมทั้งเมื่อครู่ตั้งตัวไม่ทัน จึงถูกฝนสาดเปียกไปครึ่งตัว ตอนนี้ยังถูกสายลมพัดผ่านมา ทำให้เธอหนาวเย็นอย่างมาก

เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงขนลุกชันไปทั้งตัว เมื่อสายลมเย็นพัดโชยมา ดังนั้น จึงอดใช้สองมือดึงปกเสื้อให้แน่น ก่อนกอดหน้าอกเพื่อเพิ่มความอบอุ่น

ส่วนดวงตาคู่งามแฝงความจนใจมองสังเกตที่ท้องฟ้า ในใจคาดหวังให้พายุฝนที่ตกผิดเวลานี้หยุดลง!

น่าเสียดายสวรรค์กลับไม่ปราณีเธอ พายุฝนนี้ตกอย่างหนักไปหลายชั่วยามก่อนค่อยๆ หยุดลง และเวลานี้ท้องฟ้าก็มืดมิดแล้ว

แม้ฝนจะหยุดตกแล้ว แต่ท้องฟ้ากลับปกคลุมด้วยชั้นเมฆหนาแน่นเช่นเดิม คล้ายน้ำวนสีเทาที่กดทับจนทำให้คนหายใจแทบไม่ออก

เวลานี้น่าจะเป็นยามซวี โคมไฟจึงถูกแขวนขึ้น

แต่เพราะเมื่อครู่เกิดพายุฝน บนถนนจึงมีน้ำนอง กลายเป็นแอ่งน้ำ เป็นหลุมเป็นบ่อ

ดังนั้นจึงมีผู้คนออกจากบ้านจำนวนน้อย เพราะทุกคนต่างไม่อยากให้รองเท้าเปียกชุ่ม

เมื่อเล่อเหยาเหยาเห็นสีท้องฟ้า และมองคนสองสามคนบนถนน ในใจกลับลังเลขึ้นมา ตอนนี้เธอควรย้อนกลับวังอ๋อง หรือไปที่ร้านฝากเงินเช่นเดิม

เพราะตำแหน่งที่เธอยืนอยู่เวลานี้ เป็นตรงกลางระหว่างวังรุ่ยอ๋องและร้านฝากเงิน ไม่ว่าไปที่ใด ระยะทางไม่แตกต่างกัน

หลังลังเลอยู่สามครั้ง เล่อเหยาเหยายังคงมุ่งหน้าไปสู่ร้านฝากเงิน

เพราะวันนี้ที่เธอออกมา เพื่อทำเรื่องนี้ให้เสร็จเรียบร้อย

ถึงอย่างไรเงินนี้ จะช้าหรือเร็วก็ต้องถูกฝากไว้ที่ร้านฝากเงิน เธอจึงจะวางใจได้

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงรีบเดินไปยังร้านฝากเงิน

เวลานี้โคมไฟถูกแขวนขึ้นแล้ว ผู้คนเบาบาง สายลมเย็นที่พัดผ่านแฝงไปด้วยไอเย็นอันหนาวเหน็บ

เล่อเหยาเหยาเดินมาไม่ถึงนาที เห็นว่าใกล้ถึงร้านฝากเงินแล้ว เพียงผ่านตรอกขนาดเล็กนี้ไป

คิดไม่ถึง เธอเพิ่งเดินเข้าไปในตรอกเล็กได้ไม่กี่ก้าว เห็นเลือนลางว่าภายในตรอกเล็กคล้ายมีเงาคนยืนและนั่งแกร่วอยู่

เดิมทีคิดว่า พวกนั้นเป็นเพียงคนเดินผ่านทาง เล่อเหยาเหยาจึงไม่ได้ใส่ใจ คิดไม่ถึง เมื่อเธอยิ่งเดินเข้าไปในตรอกเล็กนั้น เสียงภายในตรอกเล็กก็ดังก้องเข้ามาที่หูเธอ

“นี่ อาหู่ ด้านหน้ามีคนมา”

“อืม ข้าเห็นแล้ว”

“พี่ใหญ่ เราไม่ได้กินอาหารมื้อใหญ่มาหลายวันแล้ว ไปจับคนตัวเล็กมา ดูว่ามีเงินติดตัวหรือไม่ ดีไหม”

“ฮ่าๆ ยังต้องให้สั่งอีกหรือ ไปจับตัวคนตัวเล็กนั้นมา!”

คำพูดที่ดังออกมาในตรอกเล็ก ทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงหนาวเย็นจากฝีเท้าพุ่งสู่เหนือศีรษะ

ตกตะลึงในใจ

ซวยแล้ว!

เจออันธพาลเจ้าถิ่นเข้าแล้ว!

วันนี้เธอควรดูฤกษ์งามยามดีก่อนออกมาถึงจะถูก ทว่าตอนนี้เธอคิดเรื่องอื่นก็ไร้ประโยชน์ สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือ…

หนี!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด