สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! 201 พบเจอนักเลงเจ้าถิ่น (1)

Now you are reading สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! Chapter 201 พบเจอนักเลงเจ้าถิ่น (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่งถือว่าดึกมากแล้ว

ทุกคนต่างเหนื่อยล้า ดังนั้นหลังกลับมาจึงแยกย้ายกลับเรือนพักของตน เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนเข้านอนพักผ่อน

แต่จนกระทั่งนอนอยู่บนเตียงกว่าสองชั่วยาม มองแสงจันทร์ใสกระจ่างด้านนอก ราตรีอันละมุนละไมงดงาม เล่อเหยาเหยายังพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ยากที่จะหลับตาลง

เห็นชัดว่าเหนื่อยล้าอย่างหนัก จนปวดเมื่อยร่างกาย แต่เหตุใดกลับนอนไม่หลับ

เพียงหลับตาลง เธอมักคิดถึงความฝันเปื้อนเลือดนั้น และเงาร่างสูงใหญ่ที่เห็นบนถนนใหญ่ตอนกลางวัน

เธอมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด แม้คนผู้นั้นจะสวมหมวกคลุมหน้าสีดำปิดบังหน้าตา แต่ร่างกายแสนคุ้นตานั้น แม้จะอยู่ในท่ามกลางฝูงชน เธอมองออกว่าคือเขาตั้งแต่แวบแรก

เธอในตอนนั้นที่เห็นเขาแวบแรก ก็ไม่สนสิ่งใดออกตามหาเขา แต่ตอนนี้คิดดูแล้ว เล่อเหยาเหยากลับพบว่ามีสิ่งที่น่าสงสัยมากมาย

หากเมื่อครู่สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่ภาพหลอนของตน คือเขาจริงๆ แต่เหตุใดเขากลับมาแล้ว เพียงยืนอยู่เงียบๆ ไกลออกไปตรงนั้นไม่เข้ามาหาเธอ!

หรือเขาไม่รู้ว่าห้าปีมานี้ เธอคิดถึงเขามากเพียงใด คิดถึงจนเจ็บปวดใจ!

และความฝันเปื้อนเลือดนั้น คือลางสังหรณ์!

พักนี้ในใจเธอมักรู้สึกร้อนรน นั่นคืออวี๋ยังไม่ตาย เพียงตกอยู่ในความลำบาก

หากเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นเธอต้องตามหาเขา

ไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟ เธอต้องตามหาเขา ช่วยเหลือเขาให้ได้

พวกเธอคือภรรยาสามี แม้จะไม่ได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แต่ชั่วชีวิตนี้เธอมีเพียงเขาคนเดียว

ดังนั้นเมื่อเป็นสามีภรรยา ย่อมร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน!

หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันลุกขึ้นนั่งบนเตียง

ดวงตาคู่งามกวาดมองไปเห็นเหลิ่งอวี้เซวียนยังคงหลับใหลเช่นเดิมจึงลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะฝนหมึกเพื่อเขียนอักษรที่โต๊ะหนังสือ

หลังจากเขียนอยู่นานจนเสร็จ เล่อเหยาเหยาสอดลงในซองจดหมาย ก่อนวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นจัดเก็บเสื้อผ้าหลายชุดและหยิบตั๋วแลกเงิน

หลังจัดเก็บทุกอย่างเสร็จ เล่อเหยาเหยาเดินไปยังหน้าต่างอย่างช้าๆ มองแสงจันทร์ทางด้านนอก

คืนนี้พระจันทร์ลอยเด่น ดวงดาวระยิบระยับ ทิวทัศน์สวยงาม จับใจ

แต่คืนนี้ เธอตัดสินใจไปจากที่นี่

แม้การเลือกไปโดยไม่บอกลาจะดูเห็นแก่ตัว แต่เธอไร้หนทางจริงๆ

ในใจเธอมั่นใจว่าอวี๋ยังไม่ตาย แต่นี่เป็นเพียงความคิดของเธอฝ่ายเดียว ผู้อื่นต้องไม่คิดเช่นนี้แน่นอน

หากเธอเอ่ยบอกเรื่องนี้แก่ผู้อื่น ทุกคนต่างคิดว่าเธอเสียสติ และไม่ให้เธอไปจากที่นี่เพื่อตามหาอวี๋

ดังนั้นวันนี้ ตอนนี้เธอจึงไปโดยไม่บอกลา

แม้ในใจจะยังตัดใจไม่ได้

คิดดูแล้ว หลังเธอข้ามเวลามาถึงที่นี่ ไปใช้ชีวิตอยู่ในวังรุ๋ยอ๋องหรือไม่ก็ต้าเซี่ย สำหรับชีวิตในโลกภายนอก เธอกลับไม่เคยก้าวออกไปเหยียบแม้แต่ก้าวเดียว

ดูแล้วตอนนี้ถึงเวลาที่เธอควรจะออกไปแล้ว

แม้อวี๋จะเป็นภาพลวงตาที่เธอคิดออกมาจริง เพราะเขา…

เช่นนั้นเธอจะถือเป็นการท่องเที่ยวไปทั่วหล้า ไม่ให้เสียเปล่าที่ข้ามเวลามาถึงที่นี่

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงตัดสินใจได้ อารมณ์ดูดีขึ้นไม่น้อย

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงแบกสัมภาระและอุ้มคนตัวเล็กที่ยังคงหลับใหลขึ้นมา ก่อนคลุมเสื้อกันลมลงบนตัวเขาอย่างใส่ใจอ่อนโยน แล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นบนหลังคา หายไปท่ามกลางความมืด

แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่รู้ตัวเลยว่าหลังจากเธอไปไม่นาน เงาร่างสูงใหญ่สีดำดุจปีศาจกลับแทรกตัวเข้ามาในหมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่ง

เงาร่างนั้นไร้สุ้มเสียง วิทยายุทธ์ลึกล้ำเกินคาดเดา

สุดท้ายเงาร่างนั้นหลบเลี่ยงบ่าวไพร่ ก่อนค่อยๆ มาหยุดที่เรือนหิมะ

เวลานี้เป็นยามดึกเงียบงันไร้ผู้คน เรือนหิมะที่ดับไฟลงจึงมืดสนิท เหลือเพียงแสงสลัวจากโคมไฟทำจากหนังวัวที่แขวนอยู่ด้านนอก

คนชุดดำร่างสูงใหญ่นั้นเมื่อมาถึงหน้าประตูเรือนหิมะ เพียงยืนนิ่งอยู่ด้านนอก ไม่นาน ประตูไม้ลายสลักที่ปิดแน่นพลันถูกเปิดออกมา จากนั้นก็มีเสียงที่ระแวดระวังดังขึ้น

“เจ้าเป็นใคร!”

คนที่พูดคือตงฟางไป๋ที่เพิ่งลุกจากเตียง หลังจากพักผ่อน

ทว่าตงฟางไป๋เป็นคนหลับไม่ลึกมาตลอด หลังรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวด้านนอกเรือนของตน พลันลุกขึ้น ก่อนจะออกมาด้านนอก

เมื่อเห็นเงาสีดำสูงใหญ่ยืนอยู่เงียบๆ กลางแสงจันทร์นั้น ทำให้ตงฟางไป๋ตกใจ พลันไม่ขยับเขยื้อน และยืนอยู่ที่เดิมเงียบๆ

เพราะเงาร่างนี้คุ้นตา คล้ายกับเงาร่างของบางคน

แต่จะเป็นไปได้เช่นไร!

ขณะตงฟางไป๋สงสัยและตกตะลึง ชายชุดดำที่ยืนหันหลังให้ตงฟางไป๋พลันหมุนกายกลับมา จากนั้นเปิดหมวกคลุมสีดำที่ปิดบังใบหน้าออกอย่างช้าๆ

แสงจันทร์ใสกระจ่าง สาดส่องลงมาบนพื้นทำให้มองชัดเจนกว่าเจ็ดแปดส่วน

เมื่อเห็นใบหน้าที่ถูกซ่อนอยู่ในหมวกคลุมหน้าสีดำชัดเจน ตงฟางไป๋ดุจถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ตะลึงแข็งทื่อดุจหิน!

หลังผ่านไปนาน ตงฟางไป๋พึมพำอย่างไม่เชื่อสายตาขึ้น

“ที่แท้คือเจ้าจริงๆ”

ต้าหลี่ คือเมืองที่งดงามที่สุดในแคว้นเทียนหยวน

ที่นี่ทัศนียภาพสวยงาม บุปผานานาพันธ์บานสะพรั่ง ไม่ว่าร้านค้าโรงเตี๊ยมบนถนนใหญ่ หรือบนถนนเล็กธรรมดาเต็มไปด้วยดอกไม้ชนิดต่างๆ

เวลานี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ทุกสรรพสิ่งฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบาน ชูช่อหลากสีสัน แข่งขันกันอวดโฉม

แดงดุจเปลวไฟ น้ำเงินดุจท้องฟ้า สีม่วงโรแมนติก สีขาวงามสง่า สีดำลึกลับ

ดังนั้นเมื่อเล่อเหยาเหยาพาเหลิ่งอวี้เซวียนมาถึงที่นี่ ก็หลงรักเมืองที่เต็มไปด้วยดอกไม้รอบด้านนี้ตั้งแต่แวบแรก

เพราะสามารถลืมตาตื่นขึ้นมาเห็น และดมกลิ่นดอกไม้อันสดชื่นน่าประทับใจทุกวันนี้ได้ ถือเป็นความสุขประเภทหนึ่งจริงๆ

ทำให้ผู้คนง่ายต่อการลืมเลือนเรื่องไม่มีความสุข

ฤดูใบไม้ผลิในแต่ละปี เมื่อดอกไม้เริ่มเบ่งบานสามารถดึงดูดผู้คนเข้ามาท่องเที่ยวชื่นชมดอกไม้มากมาย ดังนั้นทุกปีในช่วงนี้จึงถือเป็นช่วงคึกคักที่สุดของต้าหลี่

เห็นเพียงบนถนนใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นั้น ผู้คนล้นหลาม เบียดเสียดแน่นขนัด เจริญรุ่งเรืองเทียบเท่ากับเมืองหลวง

ต้าหลี่นอกจากดอกไม้โด่งดังไปทั่วใต้หล้าแล้ว สิ่งที่มีชื่อเสียงของที่นี่ยังมีรสชาติของอาหารว่างประจำถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์

บะหมี่ท่วมฟ้าท่วมดิน เกี๊ยวร้อนเดือดพล่าน หวานเผ็ดเปรี้ยวขม ต่างมีครบครัน

และช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี ต้าหลี่จะจัดการแข่งขันการทำอาหารขึ้นหนึ่งครั้ง เวลานั้นพ่อครัวมีชื่อในต้าหลี่จะมารวมตัวกัน ก่อนจะแสดงฝีมือการทำอาหารอันยอดเยี่ยมและโอชะ

พ่อครัวที่ชนะเลิศจะถูกโรงเตี๊ยมใหญ่หรูหราเชิญตัวไป ได้ทั้งประโยชน์และชื่อเสียงคู่กัน!

เมื่อเล่อเหยาเหยาพาลูกของตนมาถึงต้าหลี่ ก็ทันกับช่วงเวลานี้พอดี

วันนี้คือวันแข่งขันทำอาหารที่หนึ่งปีมีครั้งเดียวของต้าหลี่

และสถานที่แข่งขันคือลานชุมนุมของต้าหลี่

ดังนั้นวันนี้ตอนเช้า ภายในลานชุมนุมจึงเริ่มคึกคักขึ้นมา

เห็นเพียงตรงกลางของลานชุมนุม ได้จัดเตรียมโต๊ะยาวเรียงแถวไว้ บนโต๊ะวางพวกเครื่องครัว และโต๊ะทุกตัวล้วนเว้นระยะห่างกัน

ตอนเที่ยงเสียงฆ้องเริ่มการแข่งขันก็ดังขึ้น บนลานชุมนุมพลันมีควันล่องลอย เสียงผัด เสียงหั่นดังขึ้นไม่หยุด

เวลานี้เล่อเหยาเหยากำลังแต่งกายเป็นบุรุษ สะพายสัมภาระไว้ด้านหลัง อุ้มเหลิ่งอวี้เซวียนยืนอยู่ภายในกลุ่มฝูงชนที่มุงดูความคึกคัก

หลายวันมานี้เธอเดินทางไปสถานที่มากมาย

จุดประสงค์เดิมทีคือเพื่อตามหาอวี๋ แต่ท่ามกลางฝูงชนเธอกลับไม่รู้ควรไปตามหาที่ใด

ดังนั้นสุดท้ายจุดประสงค์ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นท่องเที่ยวอย่างไร้จุดหมาย

ทุกสถานที่ที่ไปถึง จะพาเหลิ่งอวี้เซวียนเล่นอย่างสนุกสนาน

เรียนรู้ขนบธรรมเนียมพื้นถิ่น

เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอออกหมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่งจากมากว่าหนึ่งเดือนโดยไม่รู้ตัว

เมื่อวานเธอเพิ่งมาถึงต้าหลี่ จึงได้ยินคำแนะนำจากเสี่ยวเอ้อร์ ดังนั้นวันนี้จึงตามเหล่าฝูงชนมาที่ลานชุมนุมอันคึกคักแห่งนี้

สำหรับเรื่องพวกนี้ เหลิ่งอวี้เซวียนดีใจเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัด

เพราะตั้งแต่เด็กเหลิ่งอวี้เซวียนเกิดอยู่ในวังหลวงอันหรูหรา มีผู้คุ้มกันตั้งแต่วันแรก จะเคยเห็นการใช้ชีวิตของเหล่าราษฎรธรรมดาเช่นไร

ตอนนี้เล่อเหยาเหยาจึงให้บุตรชายของตนได้เรียนรู้

เมื่อเห็นเหล่าพ่อครัวประชันฝีมืออยู่ในลานชุมนุม และกลิ่นหอมของอาหารที่ทำให้ผู้คนน้ำลายไหล เหลิ่งอวี้เซวียนกลืนน้ำลายอยู่ที่ข้างหูเล่อเหยาเหยาไม่หยุด เล่อเหยาเหยาได้ยินอดยิ้มพลางเขี่ยจมูกเล็กของคนตัวเล็กไม่ได้ ก่อนเอ่ยว่า

“เซวียนเอ๋อร์หิวแล้วหรือ หรือว่าพวกเราไปทานอาหารกันดีหรือไม่!”

“ไม่เสด็จแม่ ลูกยังไม่หิว ทว่าอาหารที่พวกท่านลุงผัด ช่างหอมเสียจริง น่าทานกว่าในวังหลวง”

เหลิ่งอวี้เซวียนเพิ่งเอ่ยจบ ก็ถูกเล่อเหยาเหยาใช้มือปิดปากเล็กทันที

“เซวียนเอ๋อร์ แม่บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ อยู่ข้างนอกห้ามเอ่ยถึงเรื่องในวังหลวง หากมีคนได้ยินเข้าจะไม่ดี เข้าใจหรือไม่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด