สตรีแกร่งตระกูลไป๋ 151 ปล้น

Now you are reading สตรีแกร่งตระกูลไป๋ Chapter 151 ปล้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 151 ปล้น
ไป๋จิ่นซิ่วมองดูบุตรอนุของบิดาตัวเองอยู่พักหนึ่ง รู้สึกสะอิดสะเอียนมาก นางหันกลับไปสั่ง “กรอกยา!”

เห็นองครักษ์สองคนถือยาเดินเข้ามา ไป๋ชิงเสวียนถอยหลังหนีโดยไม่รู้ตัว “พวกเจ้ากล้าหรือ! ข้าเป็นบุรุษคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลไป๋นะ ท่านย่าจะปล่อยให้ข้าตายได้อย่างไร คนสารเลวอย่างพวกเจ้าต้องลอบทำร้ายข้าลับหลังท่านย่าแน่ๆ !”

องครักษ์คนหนึ่งจับตัวไป๋ชิงเสวียนที่พยายามดิ้นรนเอาไว้ องครักษ์อีกคนง้างปากของไป๋ชิงเสวียนออกแล้วกรอกยาที่ทำให้คนเป็นใบ้ลงไปในปากของไป๋ชิงเสวียนจนหมด จากนั้นบีบปากของเขา บังคับให้กลืนยาเหล่านั้นลงไป

ไป๋ชิงเสวียนเข่าอ่อนล้มพับลงบนพื้น ไอออกมาอย่างรุนแรง พยายามโก่งคออาเจียนเพื่อคายยาขมเหล่านั้นออกมา แต่ไม่ว่าจะพยายามอาเจียนสักเพียงใดก็ไม่สามารถคายสิ่งใดออกมาได้ ลำคอรู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปหมด ไป๋ชิงเสวียนเจ็บปวดจนกลิ้งไปกองกับพื้นอย่างทรมาน พยายามตะโกนร้องขอชีวิต แต่เสียงกลับเบาลงเรื่อยๆ แหบลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใดออกมาได้อีก

“ตัดแขนและขาทั้งสองข้างทิ้ง ห้ามเลือดให้หยุดไหล ระวังอย่าให้โดนใบหน้า จากนั้นนำตัวไปทิ้งไว้ที่ซอยจิ่วฉวี่ คุณชายตระกูลหวังเห็นชายหนุ่มที่ใบหน้านุ่มนวลผิวละเอียดอ่อนเช่นนี้ต้องดูแลเขาเป็นอย่างดีแน่นอน!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีก หญิงสาวหมุนตัวเดินจากไปทันที

คุณชายน้อยตระกูลหวังแห่งซอยจิ่วฉวี่ขึ้นชื่อเรื่องการใช้ความรุนแรง เขาหลงใหลบุรุษรูปงามเป็นอย่างมาก หลายปีมานี้บุรุษที่เสียชีวิตเพราะโดนคุณชายหวังทรมานมีมากมายจนแทบนับไม่ถ้วน ไป๋ชิงเสวียนตกอยู่ในกำมือของคุณชายหวังคงรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น

ไป๋จิ่นซิ่วเห็นไป๋จิ่นถงยังคงมองดูไป๋ชิงเสวียนที่นอนทรมานอยู่บนพื้นนิ่งจึงหันกลับไปเรียกน้องสาว

“จิ่นถง?!”

ไป๋จิ่นถงเดินออกมาจากห้องเก็บฟืนด้วยสีหน้าเย็นชา กล่าวกับองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตู “ลูกอนุผู้นี้ใช้ดาบชำแหละร่างของจี้หลิ่วซื่อแล้วโยนให้สุนัขกิน เช่นนั้นก็จงทำแบบเดียวกัน ตัดแขนและขาของเขา ให้เขาได้เห็นกับตาของตัวเองว่าการโดนสุนัขกินมันเป็นอย่างไร!”

องครักษ์นิ่งงันไป นึกถึงสิ่งที่บุตรอนุผู้นี้ทำกับภรรยาของจี้ถิงอวี๋ เขาขบกรามแน่น “คุณหนูสามวางใจได้ขอรับ!”

ไป๋จิ่นถงพยักหน้า เงยหน้ามองไปทางพี่สาวทั้งสองคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางโคมไฟและผ้าไหมที่แกว่งไปมาตามลมตรงอยู่ตรงระเบียงทางเดิน นางเร่งฝีเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว

ไป๋ชิงเหยียนกำลังหันหน้าสนทนากับไป๋จิ่นซิ่วอย่างไม่รีบร้อน “เด็กอิ๋นซวงนั่นแม้ดูเหมือนไม่ค่อยฉลาดสักเท่าใด แต่นางมีพละกำลังแข็งแรง เป็นคนซื่อสัตย์ ยามปกติชอบกินลูกอมเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อถงหมัวมัวสอนกฎระเบียบให้นางแล้วพี่จะให้นางไปคอยรับใช้เจ้า พี่รู้ว่าเจ้าฝีมือดี ทว่าหากมีอิ๋นซวงอยู่ด้วยจะได้วางใจขึ้นอีกเปราะหนึ่ง เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงคนเดียว พี่จะได้สบายใจ อีกอย่างที่หนานเจียงมีแต่อันตรายเต็มไปหมด พี่ไม่อาจพาอิ๋นซวงไปด้วยได้”

ไป๋จิ่นซิ่วพยักหน้า “พี่หญิงใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะดูแลอิ๋นซวงให้ดี เมื่อออกไปนอกจวนจะพานางไปด้วยเจ้าค่ะ”

“มีอิ๋นซวงอยู่ก็พอช่วยแบ่งเบาภาระเจ้าไปได้สักระยะหนึ่ง เจ้าจะได้มีเวลาฝึกอบรมคนของเจ้าไว้ใช้งานเอง”

“พี่หญิงใหญ่ไปหนานเจียงก็พาเสี่ยวซื่อไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นถงเดินไปหยุดอยู่ข้างกาย

ไป๋ชิงเหยียน นางกลัวว่าพี่หญิงใหญ่ไปหนานเจียงแล้วข้างกายจะไม่มีคนไว้ใช้งานจึงกล่าวขึ้น “วันนี้เสี่ยวซื่อนำหอกเงินที่ท่านปู่มอบให้นางออกมาแล้วเจ้าค่ะ หากพี่หญิงใหญ่ไม่อนุญาต นางก็คงลอบตามไปอยู่ดีเจ้าค่ะ เด็กนั่นใจกล้าจะตายไป”

ไป๋ชิงเหยียนชะงักไปเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวออกมา “พี่ขอคิดดูก่อนแล้วกัน”

เมื่อสามพี่น้องเดินไปถึงเรือนฉางโซ่ว ต่งซื่อและฮูหยินห้าฉีซื่อยังมาไม่ถึง

เจี่ยงหมัวมัวให้คนนำนมแพะและของว่างมาให้บรรดาคุณหนู ไม่นานต่งซื่อและฮูหยินห้าฉีซื่อก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกัน

เตาผิงในห้องลุกโชน เจี่ยงหมัวมัวรู้ว่าคุณหนูใหญ่ทนหนาวไม่ได้จึงสั่งให้สาวใช้คีบถ่านเติมลงไปในเตาเพื่อเพิ่มเชื้อเพลิง ใช้ฝาแกะสลักลายดอกไม้โปร่งแสงครอบปิดเตาเอาไว้ จากนั้นย้ายเตาผิงไปวางไว้ใกล้ๆ ไป๋ชิงเหยียน เสร็จแล้วจึงพาบรรดาบ่าวรับใช้ออกไปด้านนอก

องค์หญิงใหญ่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งแผ่นนุ่มลายดอกบัวมงคล เอนกายพิงหมอนลายเมฆมงคลที่ปักด้วยด้ายสีทอง นางกล่าวเสียงแผ่วเบา “พิธีศพของตระกูลไป๋เสร็จสิ้นลงแล้ว ข้าทูลขอสละตำแหน่งกับฝ่าบาทแล้ว สตรีตระกูลไป๋จะย้ายกลับไปอยู่ที่ซั่วหยาง วันที่สิบห้าข้าจะออกเดินทางไปบำเพ็ญเพียรที่วัดของราชวงศ์ ยายหนูสามจิ่นถงจะคอยอยู่ดูแลรับใช้ข้า พรุ่งนี้ลูกสะใภ้ใหญ่จงส่งผู้ดูแลฝีมือดีกลับไปซ่อมแซมจวนบรรพบุรุษที่ซั่วหยางก่อน กว่าจะซ่อมแซมเสร็จจนย้ายเข้าไปอยู่ได้ก็น่าจะเป็นเดือนห้าเดือนหกโน่น ถึงเวลานั้นลูกสะใภ้ห้าคลอดบุตรและอยู่ไฟเสร็จ พวกเจ้าค่อยเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดที่ซั่วหยางพร้อมกับลูกสะใภ้ใหญ่”

องค์หญิงใหญ่เคยเกริ่นเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว ต่งซื่อ ฮูหยินสองหลิวซื่อ ฮูหยินสามหลี่ซื่อ ฮูหยินสี่หวังซื่อและฮูหยินห้าฉีซื่อต่างรับรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอันใด

อีกอย่าง หากตระกูลไป๋ยังอยู่ที่เมืองหลวง คงถูกคนจ้องหาเรื่องอยู่ตลอดเวลา

โชคดีที่วันนี้เหลียงอ๋องวางแผนใส่ร้ายว่าจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกบฏไม่สำเร็จ มิเช่นนั้นตระกูลไป๋คงไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว

“หรือว่า…พวกเจ้าคนใดอยากกลับไปตระกูลฝั่งมารดาของพวกเจ้าหรือไม่” องค์หญิงใหญ่ลืมตาถามด้วยเสียงอ่อนโยน ไม่ได้มีแววตำหนิแม้แต่น้อย

ภายในห้องไม่มีคนนอก เจี่ยงหมัวมัวเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก องค์หญิงใหญ่อยากไว้หน้าลูกสะใภ้ที่อยากไปจากตระกูลไป๋

“ท่านแม่…” ฮูหยินสองหลิวซื่อขยำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นด้วยดวงตาที่แดงก่ำ กล่าวอย่างสะอึกสะอื้น “ข้ามิเคยคิดอยากจะไปจากตระกูลไป๋เจ้าค่ะ ทว่า จิ่นซิ่วอยู่ที่เมืองหลวง ข้าไม่อยากจากเมืองหลวงไป ข้าไปบำเพ็ญเพียรที่วัดกับท่านแม่ได้หรือไม่เจ้าคะ!”

สามี บุตรชายรวมถึงบุตรอนุของหลิวซื่อเสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียงหมดแล้ว ตอนนี้นางเหลือเพียง

ไป๋จิ่นซิ่วคนเดียวเท่านั้น ไม่อาจพบหน้าได้ทุกเวลาที่คิดถึง ไม่อาจรู้ได้ว่านางสุขสบายดีหรือไม่ หลิวซื่อจะทำใจได้อย่างไรกัน!

ไป๋จิ่นซิ่วกุมมือมารดาแน่น เอ่ยกล่อมเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ ที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งท่านปู่เป็นเจิ้นกั๋วอ๋องก็เพราะว่าตระกูลไป๋แสดงให้เห็นว่าพวกเรายอมถอย ท่านย่าเป็นองค์หญิงใหญ่ ท่านอยู่ที่เมืองหลวงก็สมควรแล้ว ข้าแต่งงานเป็นสะใภ้ของตระกูลฉินแล้วย่อมไปจากเมืองหลวงไม่ได้ ทว่า ท่านแม่ไม่เหมือนกัน อย่างน้อยตอนนี้ท่านแม่ต้องกลับไปที่ซั่วหยางกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก่อน ยังมีเวลาอีกหลายเดือน ท่านแม่มิได้ต้องจากไปตอนนี้เสียหน่อยเจ้าค่ะ!”

“ท่านป้าสะใภ้รองมิต้องร้อนใจไปเจ้าค่ะ ภายภาคหน้าไม่มีสิ่งใดแน่นอน ไม่แน่พวกเราตระกูลไป๋อาจได้กลับมาที่นี่อีกก็ได้เจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นถงรับรู้แผนการของไป๋ชิงเหยียนดี นางจึงเอ่ยปลอบหลิวซื่อ

หลิวซื่อกุมมือบุตรสาวแน่น ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น หากกลับไปอยู่ซั่วหยางแล้วจะกลับมาเมืองหลวงได้อีกอย่างนั้นหรือ

“ลูกสะใภ้รอง เจ้ากลับไปที่ซั่วหยางกับลูกสะใภ้ใหญ่ก่อน หากเจ้าอดเป็นห่วงจิ่นซิ่วไม่ได้จริงๆ เมื่อไว้ทุกข์ครบสามปี ข้าจะเจรจากับตระกูลมารดาของเจ้าแล้วมอบหนังสือหย่าให้กับเจ้า เจ้าจะได้กลับไปอยู่กับตระกูลฝั่งมารดาของเจ้าดีหรือไม่”

องค์หญิงใหญ่ลดความน่าเกรงขามลง ปรึกษากับหลิวซื่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

แม่สามีกล่าวกับนางด้วยท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้ หลิวซื่อรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก นางกล่าวทั้งน้ำตา “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ต้องการหนังสือหย่าจริงๆ เจ้าค่ะ ข้าแค่อดเป็นห่วงจิ่นซิ่วไม่ได้ คิดแค่ว่าหากกลับไปอยู่ที่ซั่วหยางคงต้องอยู่ห่างไกลกับซิ่นจิ่วมาก! ช่างเถิดเจ้าค่ะ! กลับซั่วหยางก็กลับเถิดเจ้าค่ะ ดังที่ยายหนูสามกล่าว ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีโอกาสกลับมาที่เมืองหลวงอีกเสียหน่อย!”

สิ้นเสียงของหลิวซื่อ เจี่ยงหมัวมัวแหวกม่านเดินเข้ามา นางยืนอยู่ด้านหลังฉากกั้นหยกซึ่งประดับด้วยอัญมณีทั้งแปดไม่ได้เดินเข้ามาด้านใน กล่าวเสียงแผ่วเบา “องค์หญิงใหญ่ ท่านชายไป๋ฉีอวิ๋นจากตระกูลบรรพบุรุษที่ซั่วหยางถูกปล้นกลางทางเจ้าค่ะ เขาเดินทางกลับมาเมืองหลวงอย่างสะบักสะบอม บาดเจ็บทั้งร่าง กล่าวว่าเงินที่จวนเจิ้นกั๋วกงมอบให้เขาถูกปล้นไปหมดแล้ว อ้อนวอนขอให้จวนเจิ้นกั๋วกงช่วยจัดการให้เขาเจ้าค่ะ”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *