เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) บทที่ 163 คุณเคยถูกขอถอนหมั้นเหรอ

Now you are reading เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) Chapter บทที่ 163 คุณเคยถูกขอถอนหมั้นเหรอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 163 คุณเคยถูกขอถอนหมั้นเหรอ

เฉียวจื่อเจียงพยักหน้า “ถ้าอาพูดอย่างนั้น พี่ชายใกล้จะฝ่าด่านได้แล้ว เขาจะทำงานแทนได้ทันทีค่ะ ไม่นานมานี้เขาฝึกฝนปราณแท้สำเร็จและดูเหมือนจะรู้แจ้งแล้ว”

เฉียวอันผิง “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ปราณแท้ของจื่อซานเหมาะกับการรับมือสัตว์ปีศาจบ้าเลือดมากกว่า แค่จำไว้ว่าอย่าให้เขาทะลวงขั้นต่อไปที่นี่ก็พอ”

เฉียวจื่อเจียงเข้าใจโดยทันทีว่าสำนักสัจธรรมได้หยั่งรากที่นี่มาสิบกว่าปีแล้ว มองออกมานานแล้วว่ามันง่ายที่จะผ่านด่านที่นี่ แต่ก็สร้างปีศาจในใจมนุษย์ได้ง่าย

เธอพยักหน้าตอบและกล่าวถึงอีกเรื่องหนึ่ง “ตอนหลังมีนกอินทรียักษ์นำพวกสัตว์ปีศาจใหญ่มาช่วยพวกเรา น่าจะเป็นท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณเรียกมาแน่ๆ ทั้งสองฝ่ายคงจะมีข้อตกลงอะไรบางอย่าง”

เวลานั้นเฉียวอันผิงอยู่ในอาการโคม่าและเขาไม่รู้เรื่องที่นกอินทรียักษ์ปรากฏตัว เขาขมวดคิ้วเมื่อหลานสาวพูดถึงเรื่องนี้

เขาพูดว่า “เรื่องนี้อาคิดว่าผู้อาวุโสไห่น่าจะมีวิธีจัดการ ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม”

เฉียวจื่อเจียงเล่าอีกว่างูจงอางตัวนั้นเอ่ยคำสาปวิญญาณทุกปีจะมีปีศาจโจมตีค่ายในหุบเขา

อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเฉียวอันผิงยินดี “ถูกต้องแล้ว อาห่วงว่าตอนนี้จะไม่มีที่ฝึกซ้อมที่เหมาะสมอีก โลกภายนอกมีกฎเกณฑ์มากเกินไป ต้องพิจารณามากเกินไป ฆ่าไม่สนุกมือ ไม่สั่งให้อาทำร้ายได้แค่บาดเจ็บสาหัสแต่ฆ่าไม่ได้ ก็สั่งให้อาปล่อยอีกฝ่ายไป

“ที่นี่ไม่มีเรื่องยุ่งยากขนาดนั้น ถึงแม้ว่าสัตว์ปีศาจบ้าเลือดจะไม่โจมตีปีศาจในท้องถิ่น สร้างความลำบากให้แค่คนนอกอย่างพวกเรา แต่ปีศาจในท้องถิ่นเป็นมิตรกับเราในตอนนี้ ไม่สนใจพวกมันเป็นหรือตาย อีกทั้งพวกมันไม่มีสติปัญญา ฆ่าพวกมันได้พอดี”

เฉียวจื่อเจียงรู้สึกหมดหนทาง “คุณอาไม่ลองคิดดูหน่อย ถ้าอย่างนั้น ทุกสิ้นปีอาต้องลงทุนสรรพกำลังจำนวนมากเพื่อปกป้องเมืองนี้

“การสร้างค่ายกลการป้องกันที่ทรงพลังต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล เวลาปกติหยุดใช้งานได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้วิธีการสร้างแล้วรื้อ รื้อแล้วสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของสัตว์ปีศาจทุกสิ้น”

เฉียวอันผิงเกาหัวพลางพูดว่า “ฉันไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยจริงๆ ผู้อาวุโสสวี่เคยพูดก่อนหน้านี้ว่าที่นี่จะเปิดให้หน่วยความร่วมมือเข้ามา เมื่อถึงเวลาผู้เชี่ยวชาญจะได้รับเชิญให้ช่วยเหลือ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบมากเกินไป แค่พึ่งพารูปแบบแนวป้องกันเพื่อต้านทานเท่านั้น”

เฉียวจื่อเจียงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ถ้าอาต้องการแก้ปัญหานี้ที่ต้นตอ อาควรแก้ไขที่มาของสัตว์ปีศาจบ้าเลือดก่อนถึงจะได้”

เฉียวอันผิงกลับส่ายหน้า “เธอเธอไม่ต้องคิดแล้ว อาเคยตรวจสอบที่มาของพวกสัตว์ปีศาจบ้าเลือดชัดเจนแล้ว มันมีสองแหล่งที่มา อย่างแรก อย่างที่เธอเธอรู้ก็คือปีศาจอัจฉริยะบางตัวล้มเหลวในเรื่องของการก้าวผ่านด้านจิตใจและกลายเป็นปีศาจบ้าเลือด

“ส่วนแหล่งที่สอง สัตว์ปีศาจไม่มีทางพูด เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างทั้งสองฝ่าย ผู้อาวุโสสวี่ บอกอาว่าไม่ต้องบอกพกเธอ แค่รักษาสถานการณ์ไป ทั้งสองแหล่งที่มานี้ไม่มีทางจัดการได้ นอกจากนี้ พวกมันยังเป็นคู่ฝึกฝนทางทหารที่ดีที่สุด ทรัพยากรผลิตออกมาได้ คู่ฝึกทหารระดับนี้หาไม่ได้จากโลกภายนอก”

เมื่อเฉียวจื่อเจียงได้ยินเช่นนี้ก็คาดเดาในใจได้ มันสามารถผลิตยาได้ ฝึกฝนอย่างรวดเร็ว และยังมีสัตว์ปีศาจบ้าเลือดจำนวนมาก ได้ยินมาว่ามีหุบเขาดินแดนมรดกที่ลึกลับมาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหน คิดว่ามันต้องเป็นสถานที่แบบนั้น …

แค่เธอไม่พูดการคาดเดานี้ออกไป ความจริงเบื้องหลังการคาดเดานี้น่ากลัวเกินไป

เธอไม่อยากทำให้อาที่ยังบาดเจ็บต้องกังวล เธอเพียงแต่คิดเงียบๆ เธอจะต้องรีบฝึกฝน ทะลวงไปถึงระดับเดียวกับอาให้เร็วที่สุด และเมื่อนั้นเธอถึงจะมีคุณสมบัติที่จะสืบหาความจริงที่อยู่เบื้องหลัง

ในพื้นที่ราบกลางเมืองหุบเขา ลมพัดเบาๆ และหญ้าอ่อนพริ้วไหว อินทรีสวรรค์ที่เฉียวจื่อเจียงพูดถึงกำลังคุยกับอัศวิน A

“หลังศึกครั้งนี้ พี่มังกรจะกลับโลกภายนอกเมื่อไหร่”

ระบบกำลังเก็บตัวฝึกฝน จึงปล่อยร่างของเขาให้ฟางหนิงจัดการ

ฟางหนิงเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที เขาพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เมื่อคนจากสำนักงานสัจธรรมทำความสะอาดฐานบัญชาการและช่องทางอากาศเสร็จแล้ว ข้าก็จะกลับไป ถึงเวลานั้นข้าจะเชิญสหายไปด้วย ข้างนอกมีที่พักดีๆ อยู่ที่หนึ่ง”

อินทรีสวรรรค์ดีใจมาก “ขอบคุณพี่มังกรที่พิจารณาให้รอบด้าน ถือโอกาสนี้ช่วยอธิบายกฎเกณฑ์ให้น้องชายฟังหน่อย ถึงเวลานั้นจะได้ไม่ทำให้พี่มังกรลำบาก”

ฟางหนิงก็คิดเช่นกัน อินทรีสวรรค์เป็นผู้แข็งแกร่งระดับบ่อน้ำและเป็นสัตว์ปีก ถ้าไม่บอกก่อนล่วงหน้าจะมีปัญหาได้ง่ายๆ

เขาอธิบายถึงกฎเกณฑ์อย่างละเอียด แต่อินทรีสวรรค์ฟังจนปวดหัวมาก ทำไมถึงห้ามบินต่ำเหนือเมืองของมนุษย์ อย่าทำให้เด็กตกใจ อย่าจับสัตว์ปีกและปศุสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยง อย่าทำร้ายดอกไม้และพืช…

อินทรีสวรรค์ส่ายหัว “ดูเหมือนว่าฉันอยู่ได้แค่ในป่าและภูเขาสูงเท่านั้น พี่มังกรอาจลำบากหน่อยหากต้องการติดต่อฉัน”

ฟางหนิงเอ่ย “ไม่เป็นไร มนุษย์มีช่องทางการติดต่อที่สะดวกมาก เดี๋ยวข้าจะส่งโทรศัพท์ดาวเทียมให้ทีหลัง…”

อินทรีสวรรค์ “ถ้าเป็นอย่างนั้น น้องชายก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”

สามวันต่อมาฟางหนิง พาอินทรีสวรรค์ผ่านช่องทางข้ามมิติของฐานบัญชาการสำนักงานสัจธรรมเพื่อออกจากดินแดนมรดก

ในหมู่พวกเขานั้น การรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด กระบวนการที่ซับซ้อน และขั้นตอนที่ยุ่งยากใช้เวลาทั้งวัน ถ้าฟางหนิงไม่ได้ดูแลร่างกายของเขา เขาคงจะใจร้อนและบินกลับไปที่บ้านเกิดของเขาด้วย “การช่วยเหลือจากพันลี้”

อินทรีสวรรค์ค่อนข้างอดทน ในฐานะผู้แข็งแกร่งระดับบ่อน้ำ มันไม่ได้แสดงความหงุดหงิดออกมา ในเมื่อมันสามารถแกะสลักก้อนหินได้นานถึงสิบปี สุดท้ายก็แกะสลักนกอินทรีกลายเป็นไก่ย่าง…

ออกจากฐานทางเข้าเสินโจวไปยังดินแดนมรดก หนึ่งคนและนกอินทรีหนึ่งตัวปฏิเสธไม่ให้คนของสำนักงานสัจธรรมไปส่งพวกเขา ออกเดินทางไปยังถิ่นทุรกันดารที่ไม่ไกลนักเพียงลำพัง

“ปราณกำเนิดที่หายากมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ปีศาจตัวใหญ่ตัวอื่นๆ จะไม่มา ดูปรับตัวยาก โชคดีที่ฉันจะเปลี่ยนไปอยู่ลัทธิชินโตในอนาคต ความต้องการของข้าไม่ได้สูงมากนัก ที่นี่ก็กว้างใหญ่เพียงพอแล้ว” หลังจากพูดจบ อินทรีสวรรค์ก็บินขึ้นไปในอากาศ ไม่นานก็เหลือเพียงจุดดำเล็กๆ และจากนั้นก็มีเสียงมาจากไกลๆ “พี่มังกร ลาก่อน”

ฟางหนิงมองอย่างตกตะลึง “ข้ายังไม่ได้ให้โทรศัพท์ดาวเทียมเจ้าเลย ความอดทนของเจ้าเมื่อกี้หายไปไหนแล้ว การบินนี้ดูเหมือนจะใจร้อนเกินไปแล้ว… ”

มันเป็นนกอินทรีที่ชอบโบยบินอย่างอิสระจริงๆ ดูท่ากระบวนการตรวจสอบที่ยุ่งยากเมื่อครู่ทำให้มันอึดอัดแย่แล้ว…

ฟางหนิงถอนหายใจ เขาไม่ได้กังวลว่าจะติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ ในเมื่อเขายังติดต่อผ่านม้วนภาพนั้นได้เพราะมีตราพลังจิตของมันอยู่ในนั้น

เรียกระบบให้ออกมาพาร่างของอัศวิน A กลับบ้าน ฟางหนิงก็เข้าห้องรับรองระบบเพื่อนอนพักผ่อนก่อน…

เขาไม่ได้ผล็อยหลับไปชั่วขณะและเริ่มทบทวนความคิดของเขา เป็นไปไม่ได้ที่ระบบจะไม่สนใจสัตว์ปีศาจบ้าเลือด เพียงแต่ตอนนี้มันไม่มีพลังโจมตีเพียงพอ การจับปีศาจอย่างเดียวไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ กองทัพต่างถูกพิษแห่งความสับสนและมีปัญหาด้านความคิด ไม่รู้ว่าจะปรับได้เมื่อไหร่

แม้ว่าจะปรับความคิดสำเร็จ กองทัพไม่ใช่ลูกน้องของอัศวิน A การออกค่าใช้จ่ายหนึ่งครั้งนั้นแพงมาก หากต้องการใช้อีกฝ่ายจับปีศาจ ต้องคำนึงถึงการจัดการของอีกฝ่าย แต่ไหนแต่ไรมาตนเองไม่ชอบขอความช่วยเหลือจากใคร

สู้รอให้ฝูงสัตว์ปีศาจโจมตีเมืองตอนสิ้นปีไม่ได้ ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายจะมาถึงที่เพื่อขออัศวิน A ให้ช่วยเหลือและตนเองจะจัดการได้ตามใจต้องการ

การกลับมาสู่โลกภายนอกอย่างที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ เรื่องของการได้อาวุธทรงพลังควรเป็นอันดับหนึ่ง ระบบจับปีศาจได้ไม่มีปัญหา ตนเองก็นอนหลับสนิทและเล่นได้อย่างสบายใจ…

มันสบายมากที่มีคนมาครองร่าง เมื่อเขาตื่นขึ้น ฟางหนิงต้องการกลับไปที่ร่างของเขาและพบว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากฟาร์มวิลล่าในเขตชานเมืองฉี

ยังเดินไปไม่ถึงประตูฟาร์ม ไกลออกไปฟางหนิงเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ที่นั่น

เกิดอะไรขึ้น ฟางหนิงงงมาก แม้ว่าฟาร์มของเขาไม่ได้ปิดจากโลกภายนอก แต่ก็มีผู้มาเยือนน้อยมาก เขาจำได้ว่ามีผู้อาวุโสหวงและเซี่ยตงจากสำนักงานสัจธรรมที่เคยมาเยือนที่นี่

คนที่รู้ว่าอัศวิน A อยู่ที่นี่ล้วนแต่มีสถานะสูงส่ง ชายหนุ่มคนนี้มาจากไหนกันนะ

ในขณะที่ฟางหนิงสงสัย สุนัขดำไป๋หลี่เท่อก็เห่า ’โฮ่งโฮ่ง’ ทักทายเขาจากไกลๆ

มันเอ่ยประจบสอพลอ “เจ้านาย ครั้งนี้ท่านหายไปนานมาก หนึ่งเดือนกับสามวันแล้ว ท่านไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรใช่ไหม”

ฟางหนิงพยักหน้าพลางเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คนที่คุกเข่าหน้าประตูของเราเป็นใครกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เจ้าสุนัขดำก็รีบพูดว่า “อ๋อ ฉันกำลังจะบอกเจ้านายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายผู้คุกเข่าชื่อเสิ่นซิงเฉินเขาอยากจะมาขอฝากตัวเป็นศิษย์ของเจ้านาย เขามานั่งคุกเข่าที่นี่ทุกวัน ไม่กินไม่ดื่ม เขาคุกเข่าตั้งแต่เช้าจรดค่ำมาครึ่งเดือนแล้ว ฉันบอกเขาแล้วเจ้านายไม่อยู่ที่นี่ ขอให้เขากลับมาวันหลัง แต่เขาไม่ยอมฟัง ทุกวันตอนเที่ยงฉันได้แต่ให้คนงานเอาอาหารให้เขากิน”

ฟางหนิงตกใจ เขาอ่านนิยายมามาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนคนนี้เป็นคนประเภทที่มีความพากเพียรและปณิธานแรงกล้า

คนในสมัยนี้นอกจากคุกเข่าเคารพพ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่ตามเทศกาลหรือคุกเข่าในงานศพ น้อยมากที่จะเห็นคนคุกเข่าอีก ทุกคนทราบดีคุกเข่าทั้งวันขนาดนี้คงเหนื่อยมาก เหลือเชื่อคนนี้คุกเข่านานตั้งครึ่งเดือน แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่มั่นคงแน่วแน่

ในสมัยใหม่นี้ มีโอกาสมากมาย ชื่อเสียงของอัศวิน A เองก็โด่งดัง ชื่อเสียงอัศวินเป็น ’ชื่อเสียงตำนานโลก’ แล้ว ปกติแล้วความสำเร็จในสงครามมักจะแพร่ไปถึงหูคนที่สนใจ

เป็นเรื่องปกติที่จะมีคนมาขอเป็นลูกศิษย์ถึงหน้าประตูบ้าน แต่ฟางหนิงไม่ต้องการสอนลูกศิษย์คนไหนทั้งนั้น…

ประการแรก เขาขี้เกียจเกินกว่าจะกังวลเรื่องนี้ และประการที่สอง เขาไม่อยากให้วันหน้าเกิดมุกซ้ำซากลูกศิษย์ทรยศต่ออาจารย์และความขัดแย้งภายในเพื่ออำนาจของลูกศิษย์สำนักเดียวกันเหมือนในนิยาย กับคนที่ชื่นชอบอ่านนิยายอย่างเขา มันน่าขันมาก

ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ระะบบที่ยุ่งกับการจับปีศาจและฝึกวิทยายุทธ์จะเสียเวลาสอนลูกศิษย์ จนถึงตอนนี้เขาแค่ถ่ายทอดวรยุทธ์ระดับต่ำหนึ่งเล่มและหนังสือ “คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล” ถ่ายทอดให้เฉพาะผู้ติดตามที่ผ่านกฎของระบบยืนยันความภักดีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าไม่อาจเพิกเฉยต่อชายคนนี้ได้ เรื่องนี้ต้องพูดคุยกันให้ชัดเจน

ด้วยเหตุนี้ ฟางหนิงจึงนำสุนัขดำไป๋หลี่เท่อไปที่ประตูฟาร์ม

ชายหนุ่มที่กำลังคุกเข่าคนนี้มีคิ้วคิ้วโค้งเรียวเหมือนกระบี่และดวงตาที่เปล่งประกายดุจดวงดาว ร่างกายของเขาเปรอะเปื้อนฝุ่นไม่น้อย และความดื้อรั้นฉายบนใบหน้าของเขา

ฟางหนิงเดินไปข้างเขาแต่ไม่ได้เดินไปเผชิญหน้าทางที่เขาคุกเข่าแล้วพูดว่า “ลุกขึ้น พ่อหนุ่ม ฉันเป็นท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณ คุณมาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ได้ยินมาว่าอยากฝากตัวเป็นศิษย์เหรอ”

ชายหนุ่มยืนขึ้นประสานมือโค้งคำนับ “ท่านอัศวิน ผมชื่อเสิ่นซิงเฉิน ผมชื่นชมชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของอัศวินมานาน อยากคำนับท่านอัศวินเป็นอาจารย์ หลังจากนี้ผมจะเชื่อฟังอาจารย์เพียงคนเดียว”

ฟางหนิงไม่ตอบ เมื่อเห็นการแสดงออกของเสิ่นซิงเฉินเขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ฟางหนิงถึงค่อยส่ายหัว “งั้นคุณก็ไม่ต้องเสียเวลา ไปหาคนอื่นเป็นอาจารย์ให้คุณได้เถอะ ฉันไม่รับลูกศิษย์”

ฟางหนิงเด็ดขาดมากเพราะเขาเพิ่งเห็นแผนที่ระบบ อีกฝ่ายปากบอกว่ามาฝากตัวเป็นศิษย์และจะเชื่อฟังเขาในอนาคต…

แต่สีบนแผนที่ยังคงเป็นสีเหลืองและไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียวเลย เห็นได้ว่าคนนี้ปากกับใจไม่ตรงกัน

เขาอยู่กับระบบมาเป็นเวลานานและมีประสบการณ์มาแล้ว สุนัขเหลืองและสุนัขดำทั้งสองตัวปากกับใจตรงกัน ครั้งแรกที่พบกันและทั้งสองกลายเป็นสีเขียวโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายคิดในใจคือการภักดีอย่างจริงใจ

เสิ่นซิงเฉินสีหน้าผิดหวังเมื่อถูกปฏิเสธ เขาก็คุกเข่าลงทันทีอีกครั้ง “ได้โปรดรับผมเป็นลูกศิษย์ด้วย ไม่เช่นนั้นซิงเฉินจะคุกเข่าอยู่ที่นี่ตลอดไป”

ให้ตายเถอะ นี่พยายามหาจุดอ่อนของฉันเหรอ

ฟางหนิงอารมณ์เสียกับเรื่องนี้มาก ทุกคนเป็นคนสมัยใหม่ ใครจะไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างหน้าที่และอำนาจ ฉันไม่ใช่พ่อแม่ของคุณและไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับเก้าปี มีหน้าที่รับลูกศิษย์เสียเวลามากมายสอนคุณตอนไหนกัน

เอาแต่คุกเข่าอย่างนี้อาจเป็นเพราะเขาศึกษาพฤติกรรมของอัศวิน A แล้ว นึกว่าเขาเป็นเหมือนอัศวินยุคโบราณจะหลงกลมุกนี้เหรอ

น่าเสียดายที่เขาคิดผิด…

ฟางหนิงยังคงระงับอารมณ์และถามอย่างระมัดระวัง “คุณต้องรับภาระความแค้นบัญชีเลือดเหรอ”

เสิ่นซิงเฉินตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ไม่มีครับ”

ฟางหนิงถามว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณเคยถูกถอนหมั้นเหรอ”

เสิ่นซิงเฉินตกตะลึงอีกครั้ง “ไม่ใช่ครับ”

ฟางหนิงลังเล “แล้วทำไมคุณถึงคุกเข่าล่ะ ถ้าอยากจะเรียนรู้วิธีการฝึกฝนว่าไม่มีที่ให้ฝึก คุณฝึกฝน “หลักสูตรการฝึกฝนจิตวิญญาณขั้นพื้นฐาน” ให้ดี พัฒนาสติปัญญาแล้วสอบเข้าหน่วยกิจการพิเศษในท้องถิ่นไปเรียนกับพวกเขา พวกเขาจะไม่ปฏิเสธ ตราบใดที่คุณสาบานว่าจะรับใช้เสินโจว คุณไม่จำเป็นต้องคุกเข่าและไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังฉัน”

เสิ่นซิงเฉินส่ายหัวพลางเอ่ย “พวกเขาเป็นเพียงสำนักที่มีวิธีการฝึกฝนเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น พวกเขาจะเปรียบเทียบกับท่านอัศวินใหญ่ได้ยังไง”

ฟางหนิงคิดในใจเขาฉลาดจริงๆ และยังรู้จักเลือกมาก

………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) บทที่ 163 คุณเคยถูกขอถอนหมั้นเหรอ

Now you are reading เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) Chapter บทที่ 163 คุณเคยถูกขอถอนหมั้นเหรอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 163 คุณเคยถูกขอถอนหมั้นเหรอ

เฉียวจื่อเจียงพยักหน้า “ถ้าอาพูดอย่างนั้น พี่ชายใกล้จะฝ่าด่านได้แล้ว เขาจะทำงานแทนได้ทันทีค่ะ ไม่นานมานี้เขาฝึกฝนปราณแท้สำเร็จและดูเหมือนจะรู้แจ้งแล้ว”

เฉียวอันผิง “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ปราณแท้ของจื่อซานเหมาะกับการรับมือสัตว์ปีศาจบ้าเลือดมากกว่า แค่จำไว้ว่าอย่าให้เขาทะลวงขั้นต่อไปที่นี่ก็พอ”

เฉียวจื่อเจียงเข้าใจโดยทันทีว่าสำนักสัจธรรมได้หยั่งรากที่นี่มาสิบกว่าปีแล้ว มองออกมานานแล้วว่ามันง่ายที่จะผ่านด่านที่นี่ แต่ก็สร้างปีศาจในใจมนุษย์ได้ง่าย

เธอพยักหน้าตอบและกล่าวถึงอีกเรื่องหนึ่ง “ตอนหลังมีนกอินทรียักษ์นำพวกสัตว์ปีศาจใหญ่มาช่วยพวกเรา น่าจะเป็นท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณเรียกมาแน่ๆ ทั้งสองฝ่ายคงจะมีข้อตกลงอะไรบางอย่าง”

เวลานั้นเฉียวอันผิงอยู่ในอาการโคม่าและเขาไม่รู้เรื่องที่นกอินทรียักษ์ปรากฏตัว เขาขมวดคิ้วเมื่อหลานสาวพูดถึงเรื่องนี้

เขาพูดว่า “เรื่องนี้อาคิดว่าผู้อาวุโสไห่น่าจะมีวิธีจัดการ ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม”

เฉียวจื่อเจียงเล่าอีกว่างูจงอางตัวนั้นเอ่ยคำสาปวิญญาณทุกปีจะมีปีศาจโจมตีค่ายในหุบเขา

อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเฉียวอันผิงยินดี “ถูกต้องแล้ว อาห่วงว่าตอนนี้จะไม่มีที่ฝึกซ้อมที่เหมาะสมอีก โลกภายนอกมีกฎเกณฑ์มากเกินไป ต้องพิจารณามากเกินไป ฆ่าไม่สนุกมือ ไม่สั่งให้อาทำร้ายได้แค่บาดเจ็บสาหัสแต่ฆ่าไม่ได้ ก็สั่งให้อาปล่อยอีกฝ่ายไป

“ที่นี่ไม่มีเรื่องยุ่งยากขนาดนั้น ถึงแม้ว่าสัตว์ปีศาจบ้าเลือดจะไม่โจมตีปีศาจในท้องถิ่น สร้างความลำบากให้แค่คนนอกอย่างพวกเรา แต่ปีศาจในท้องถิ่นเป็นมิตรกับเราในตอนนี้ ไม่สนใจพวกมันเป็นหรือตาย อีกทั้งพวกมันไม่มีสติปัญญา ฆ่าพวกมันได้พอดี”

เฉียวจื่อเจียงรู้สึกหมดหนทาง “คุณอาไม่ลองคิดดูหน่อย ถ้าอย่างนั้น ทุกสิ้นปีอาต้องลงทุนสรรพกำลังจำนวนมากเพื่อปกป้องเมืองนี้

“การสร้างค่ายกลการป้องกันที่ทรงพลังต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล เวลาปกติหยุดใช้งานได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้วิธีการสร้างแล้วรื้อ รื้อแล้วสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของสัตว์ปีศาจทุกสิ้น”

เฉียวอันผิงเกาหัวพลางพูดว่า “ฉันไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยจริงๆ ผู้อาวุโสสวี่เคยพูดก่อนหน้านี้ว่าที่นี่จะเปิดให้หน่วยความร่วมมือเข้ามา เมื่อถึงเวลาผู้เชี่ยวชาญจะได้รับเชิญให้ช่วยเหลือ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบมากเกินไป แค่พึ่งพารูปแบบแนวป้องกันเพื่อต้านทานเท่านั้น”

เฉียวจื่อเจียงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ถ้าอาต้องการแก้ปัญหานี้ที่ต้นตอ อาควรแก้ไขที่มาของสัตว์ปีศาจบ้าเลือดก่อนถึงจะได้”

เฉียวอันผิงกลับส่ายหน้า “เธอเธอไม่ต้องคิดแล้ว อาเคยตรวจสอบที่มาของพวกสัตว์ปีศาจบ้าเลือดชัดเจนแล้ว มันมีสองแหล่งที่มา อย่างแรก อย่างที่เธอเธอรู้ก็คือปีศาจอัจฉริยะบางตัวล้มเหลวในเรื่องของการก้าวผ่านด้านจิตใจและกลายเป็นปีศาจบ้าเลือด

“ส่วนแหล่งที่สอง สัตว์ปีศาจไม่มีทางพูด เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างทั้งสองฝ่าย ผู้อาวุโสสวี่ บอกอาว่าไม่ต้องบอกพกเธอ แค่รักษาสถานการณ์ไป ทั้งสองแหล่งที่มานี้ไม่มีทางจัดการได้ นอกจากนี้ พวกมันยังเป็นคู่ฝึกฝนทางทหารที่ดีที่สุด ทรัพยากรผลิตออกมาได้ คู่ฝึกทหารระดับนี้หาไม่ได้จากโลกภายนอก”

เมื่อเฉียวจื่อเจียงได้ยินเช่นนี้ก็คาดเดาในใจได้ มันสามารถผลิตยาได้ ฝึกฝนอย่างรวดเร็ว และยังมีสัตว์ปีศาจบ้าเลือดจำนวนมาก ได้ยินมาว่ามีหุบเขาดินแดนมรดกที่ลึกลับมาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหน คิดว่ามันต้องเป็นสถานที่แบบนั้น …

แค่เธอไม่พูดการคาดเดานี้ออกไป ความจริงเบื้องหลังการคาดเดานี้น่ากลัวเกินไป

เธอไม่อยากทำให้อาที่ยังบาดเจ็บต้องกังวล เธอเพียงแต่คิดเงียบๆ เธอจะต้องรีบฝึกฝน ทะลวงไปถึงระดับเดียวกับอาให้เร็วที่สุด และเมื่อนั้นเธอถึงจะมีคุณสมบัติที่จะสืบหาความจริงที่อยู่เบื้องหลัง

ในพื้นที่ราบกลางเมืองหุบเขา ลมพัดเบาๆ และหญ้าอ่อนพริ้วไหว อินทรีสวรรค์ที่เฉียวจื่อเจียงพูดถึงกำลังคุยกับอัศวิน A

“หลังศึกครั้งนี้ พี่มังกรจะกลับโลกภายนอกเมื่อไหร่”

ระบบกำลังเก็บตัวฝึกฝน จึงปล่อยร่างของเขาให้ฟางหนิงจัดการ

ฟางหนิงเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที เขาพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เมื่อคนจากสำนักงานสัจธรรมทำความสะอาดฐานบัญชาการและช่องทางอากาศเสร็จแล้ว ข้าก็จะกลับไป ถึงเวลานั้นข้าจะเชิญสหายไปด้วย ข้างนอกมีที่พักดีๆ อยู่ที่หนึ่ง”

อินทรีสวรรรค์ดีใจมาก “ขอบคุณพี่มังกรที่พิจารณาให้รอบด้าน ถือโอกาสนี้ช่วยอธิบายกฎเกณฑ์ให้น้องชายฟังหน่อย ถึงเวลานั้นจะได้ไม่ทำให้พี่มังกรลำบาก”

ฟางหนิงก็คิดเช่นกัน อินทรีสวรรค์เป็นผู้แข็งแกร่งระดับบ่อน้ำและเป็นสัตว์ปีก ถ้าไม่บอกก่อนล่วงหน้าจะมีปัญหาได้ง่ายๆ

เขาอธิบายถึงกฎเกณฑ์อย่างละเอียด แต่อินทรีสวรรค์ฟังจนปวดหัวมาก ทำไมถึงห้ามบินต่ำเหนือเมืองของมนุษย์ อย่าทำให้เด็กตกใจ อย่าจับสัตว์ปีกและปศุสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยง อย่าทำร้ายดอกไม้และพืช…

อินทรีสวรรค์ส่ายหัว “ดูเหมือนว่าฉันอยู่ได้แค่ในป่าและภูเขาสูงเท่านั้น พี่มังกรอาจลำบากหน่อยหากต้องการติดต่อฉัน”

ฟางหนิงเอ่ย “ไม่เป็นไร มนุษย์มีช่องทางการติดต่อที่สะดวกมาก เดี๋ยวข้าจะส่งโทรศัพท์ดาวเทียมให้ทีหลัง…”

อินทรีสวรรค์ “ถ้าเป็นอย่างนั้น น้องชายก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”

สามวันต่อมาฟางหนิง พาอินทรีสวรรค์ผ่านช่องทางข้ามมิติของฐานบัญชาการสำนักงานสัจธรรมเพื่อออกจากดินแดนมรดก

ในหมู่พวกเขานั้น การรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด กระบวนการที่ซับซ้อน และขั้นตอนที่ยุ่งยากใช้เวลาทั้งวัน ถ้าฟางหนิงไม่ได้ดูแลร่างกายของเขา เขาคงจะใจร้อนและบินกลับไปที่บ้านเกิดของเขาด้วย “การช่วยเหลือจากพันลี้”

อินทรีสวรรค์ค่อนข้างอดทน ในฐานะผู้แข็งแกร่งระดับบ่อน้ำ มันไม่ได้แสดงความหงุดหงิดออกมา ในเมื่อมันสามารถแกะสลักก้อนหินได้นานถึงสิบปี สุดท้ายก็แกะสลักนกอินทรีกลายเป็นไก่ย่าง…

ออกจากฐานทางเข้าเสินโจวไปยังดินแดนมรดก หนึ่งคนและนกอินทรีหนึ่งตัวปฏิเสธไม่ให้คนของสำนักงานสัจธรรมไปส่งพวกเขา ออกเดินทางไปยังถิ่นทุรกันดารที่ไม่ไกลนักเพียงลำพัง

“ปราณกำเนิดที่หายากมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ปีศาจตัวใหญ่ตัวอื่นๆ จะไม่มา ดูปรับตัวยาก โชคดีที่ฉันจะเปลี่ยนไปอยู่ลัทธิชินโตในอนาคต ความต้องการของข้าไม่ได้สูงมากนัก ที่นี่ก็กว้างใหญ่เพียงพอแล้ว” หลังจากพูดจบ อินทรีสวรรค์ก็บินขึ้นไปในอากาศ ไม่นานก็เหลือเพียงจุดดำเล็กๆ และจากนั้นก็มีเสียงมาจากไกลๆ “พี่มังกร ลาก่อน”

ฟางหนิงมองอย่างตกตะลึง “ข้ายังไม่ได้ให้โทรศัพท์ดาวเทียมเจ้าเลย ความอดทนของเจ้าเมื่อกี้หายไปไหนแล้ว การบินนี้ดูเหมือนจะใจร้อนเกินไปแล้ว… ”

มันเป็นนกอินทรีที่ชอบโบยบินอย่างอิสระจริงๆ ดูท่ากระบวนการตรวจสอบที่ยุ่งยากเมื่อครู่ทำให้มันอึดอัดแย่แล้ว…

ฟางหนิงถอนหายใจ เขาไม่ได้กังวลว่าจะติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ ในเมื่อเขายังติดต่อผ่านม้วนภาพนั้นได้เพราะมีตราพลังจิตของมันอยู่ในนั้น

เรียกระบบให้ออกมาพาร่างของอัศวิน A กลับบ้าน ฟางหนิงก็เข้าห้องรับรองระบบเพื่อนอนพักผ่อนก่อน…

เขาไม่ได้ผล็อยหลับไปชั่วขณะและเริ่มทบทวนความคิดของเขา เป็นไปไม่ได้ที่ระบบจะไม่สนใจสัตว์ปีศาจบ้าเลือด เพียงแต่ตอนนี้มันไม่มีพลังโจมตีเพียงพอ การจับปีศาจอย่างเดียวไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ กองทัพต่างถูกพิษแห่งความสับสนและมีปัญหาด้านความคิด ไม่รู้ว่าจะปรับได้เมื่อไหร่

แม้ว่าจะปรับความคิดสำเร็จ กองทัพไม่ใช่ลูกน้องของอัศวิน A การออกค่าใช้จ่ายหนึ่งครั้งนั้นแพงมาก หากต้องการใช้อีกฝ่ายจับปีศาจ ต้องคำนึงถึงการจัดการของอีกฝ่าย แต่ไหนแต่ไรมาตนเองไม่ชอบขอความช่วยเหลือจากใคร

สู้รอให้ฝูงสัตว์ปีศาจโจมตีเมืองตอนสิ้นปีไม่ได้ ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายจะมาถึงที่เพื่อขออัศวิน A ให้ช่วยเหลือและตนเองจะจัดการได้ตามใจต้องการ

การกลับมาสู่โลกภายนอกอย่างที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ เรื่องของการได้อาวุธทรงพลังควรเป็นอันดับหนึ่ง ระบบจับปีศาจได้ไม่มีปัญหา ตนเองก็นอนหลับสนิทและเล่นได้อย่างสบายใจ…

มันสบายมากที่มีคนมาครองร่าง เมื่อเขาตื่นขึ้น ฟางหนิงต้องการกลับไปที่ร่างของเขาและพบว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากฟาร์มวิลล่าในเขตชานเมืองฉี

ยังเดินไปไม่ถึงประตูฟาร์ม ไกลออกไปฟางหนิงเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ที่นั่น

เกิดอะไรขึ้น ฟางหนิงงงมาก แม้ว่าฟาร์มของเขาไม่ได้ปิดจากโลกภายนอก แต่ก็มีผู้มาเยือนน้อยมาก เขาจำได้ว่ามีผู้อาวุโสหวงและเซี่ยตงจากสำนักงานสัจธรรมที่เคยมาเยือนที่นี่

คนที่รู้ว่าอัศวิน A อยู่ที่นี่ล้วนแต่มีสถานะสูงส่ง ชายหนุ่มคนนี้มาจากไหนกันนะ

ในขณะที่ฟางหนิงสงสัย สุนัขดำไป๋หลี่เท่อก็เห่า ’โฮ่งโฮ่ง’ ทักทายเขาจากไกลๆ

มันเอ่ยประจบสอพลอ “เจ้านาย ครั้งนี้ท่านหายไปนานมาก หนึ่งเดือนกับสามวันแล้ว ท่านไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรใช่ไหม”

ฟางหนิงพยักหน้าพลางเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คนที่คุกเข่าหน้าประตูของเราเป็นใครกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เจ้าสุนัขดำก็รีบพูดว่า “อ๋อ ฉันกำลังจะบอกเจ้านายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายผู้คุกเข่าชื่อเสิ่นซิงเฉินเขาอยากจะมาขอฝากตัวเป็นศิษย์ของเจ้านาย เขามานั่งคุกเข่าที่นี่ทุกวัน ไม่กินไม่ดื่ม เขาคุกเข่าตั้งแต่เช้าจรดค่ำมาครึ่งเดือนแล้ว ฉันบอกเขาแล้วเจ้านายไม่อยู่ที่นี่ ขอให้เขากลับมาวันหลัง แต่เขาไม่ยอมฟัง ทุกวันตอนเที่ยงฉันได้แต่ให้คนงานเอาอาหารให้เขากิน”

ฟางหนิงตกใจ เขาอ่านนิยายมามาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนคนนี้เป็นคนประเภทที่มีความพากเพียรและปณิธานแรงกล้า

คนในสมัยนี้นอกจากคุกเข่าเคารพพ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่ตามเทศกาลหรือคุกเข่าในงานศพ น้อยมากที่จะเห็นคนคุกเข่าอีก ทุกคนทราบดีคุกเข่าทั้งวันขนาดนี้คงเหนื่อยมาก เหลือเชื่อคนนี้คุกเข่านานตั้งครึ่งเดือน แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่มั่นคงแน่วแน่

ในสมัยใหม่นี้ มีโอกาสมากมาย ชื่อเสียงของอัศวิน A เองก็โด่งดัง ชื่อเสียงอัศวินเป็น ’ชื่อเสียงตำนานโลก’ แล้ว ปกติแล้วความสำเร็จในสงครามมักจะแพร่ไปถึงหูคนที่สนใจ

เป็นเรื่องปกติที่จะมีคนมาขอเป็นลูกศิษย์ถึงหน้าประตูบ้าน แต่ฟางหนิงไม่ต้องการสอนลูกศิษย์คนไหนทั้งนั้น…

ประการแรก เขาขี้เกียจเกินกว่าจะกังวลเรื่องนี้ และประการที่สอง เขาไม่อยากให้วันหน้าเกิดมุกซ้ำซากลูกศิษย์ทรยศต่ออาจารย์และความขัดแย้งภายในเพื่ออำนาจของลูกศิษย์สำนักเดียวกันเหมือนในนิยาย กับคนที่ชื่นชอบอ่านนิยายอย่างเขา มันน่าขันมาก

ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ระะบบที่ยุ่งกับการจับปีศาจและฝึกวิทยายุทธ์จะเสียเวลาสอนลูกศิษย์ จนถึงตอนนี้เขาแค่ถ่ายทอดวรยุทธ์ระดับต่ำหนึ่งเล่มและหนังสือ “คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล” ถ่ายทอดให้เฉพาะผู้ติดตามที่ผ่านกฎของระบบยืนยันความภักดีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าไม่อาจเพิกเฉยต่อชายคนนี้ได้ เรื่องนี้ต้องพูดคุยกันให้ชัดเจน

ด้วยเหตุนี้ ฟางหนิงจึงนำสุนัขดำไป๋หลี่เท่อไปที่ประตูฟาร์ม

ชายหนุ่มที่กำลังคุกเข่าคนนี้มีคิ้วคิ้วโค้งเรียวเหมือนกระบี่และดวงตาที่เปล่งประกายดุจดวงดาว ร่างกายของเขาเปรอะเปื้อนฝุ่นไม่น้อย และความดื้อรั้นฉายบนใบหน้าของเขา

ฟางหนิงเดินไปข้างเขาแต่ไม่ได้เดินไปเผชิญหน้าทางที่เขาคุกเข่าแล้วพูดว่า “ลุกขึ้น พ่อหนุ่ม ฉันเป็นท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณ คุณมาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ได้ยินมาว่าอยากฝากตัวเป็นศิษย์เหรอ”

ชายหนุ่มยืนขึ้นประสานมือโค้งคำนับ “ท่านอัศวิน ผมชื่อเสิ่นซิงเฉิน ผมชื่นชมชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของอัศวินมานาน อยากคำนับท่านอัศวินเป็นอาจารย์ หลังจากนี้ผมจะเชื่อฟังอาจารย์เพียงคนเดียว”

ฟางหนิงไม่ตอบ เมื่อเห็นการแสดงออกของเสิ่นซิงเฉินเขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ฟางหนิงถึงค่อยส่ายหัว “งั้นคุณก็ไม่ต้องเสียเวลา ไปหาคนอื่นเป็นอาจารย์ให้คุณได้เถอะ ฉันไม่รับลูกศิษย์”

ฟางหนิงเด็ดขาดมากเพราะเขาเพิ่งเห็นแผนที่ระบบ อีกฝ่ายปากบอกว่ามาฝากตัวเป็นศิษย์และจะเชื่อฟังเขาในอนาคต…

แต่สีบนแผนที่ยังคงเป็นสีเหลืองและไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียวเลย เห็นได้ว่าคนนี้ปากกับใจไม่ตรงกัน

เขาอยู่กับระบบมาเป็นเวลานานและมีประสบการณ์มาแล้ว สุนัขเหลืองและสุนัขดำทั้งสองตัวปากกับใจตรงกัน ครั้งแรกที่พบกันและทั้งสองกลายเป็นสีเขียวโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายคิดในใจคือการภักดีอย่างจริงใจ

เสิ่นซิงเฉินสีหน้าผิดหวังเมื่อถูกปฏิเสธ เขาก็คุกเข่าลงทันทีอีกครั้ง “ได้โปรดรับผมเป็นลูกศิษย์ด้วย ไม่เช่นนั้นซิงเฉินจะคุกเข่าอยู่ที่นี่ตลอดไป”

ให้ตายเถอะ นี่พยายามหาจุดอ่อนของฉันเหรอ

ฟางหนิงอารมณ์เสียกับเรื่องนี้มาก ทุกคนเป็นคนสมัยใหม่ ใครจะไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างหน้าที่และอำนาจ ฉันไม่ใช่พ่อแม่ของคุณและไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับเก้าปี มีหน้าที่รับลูกศิษย์เสียเวลามากมายสอนคุณตอนไหนกัน

เอาแต่คุกเข่าอย่างนี้อาจเป็นเพราะเขาศึกษาพฤติกรรมของอัศวิน A แล้ว นึกว่าเขาเป็นเหมือนอัศวินยุคโบราณจะหลงกลมุกนี้เหรอ

น่าเสียดายที่เขาคิดผิด…

ฟางหนิงยังคงระงับอารมณ์และถามอย่างระมัดระวัง “คุณต้องรับภาระความแค้นบัญชีเลือดเหรอ”

เสิ่นซิงเฉินตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ไม่มีครับ”

ฟางหนิงถามว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณเคยถูกถอนหมั้นเหรอ”

เสิ่นซิงเฉินตกตะลึงอีกครั้ง “ไม่ใช่ครับ”

ฟางหนิงลังเล “แล้วทำไมคุณถึงคุกเข่าล่ะ ถ้าอยากจะเรียนรู้วิธีการฝึกฝนว่าไม่มีที่ให้ฝึก คุณฝึกฝน “หลักสูตรการฝึกฝนจิตวิญญาณขั้นพื้นฐาน” ให้ดี พัฒนาสติปัญญาแล้วสอบเข้าหน่วยกิจการพิเศษในท้องถิ่นไปเรียนกับพวกเขา พวกเขาจะไม่ปฏิเสธ ตราบใดที่คุณสาบานว่าจะรับใช้เสินโจว คุณไม่จำเป็นต้องคุกเข่าและไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังฉัน”

เสิ่นซิงเฉินส่ายหัวพลางเอ่ย “พวกเขาเป็นเพียงสำนักที่มีวิธีการฝึกฝนเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น พวกเขาจะเปรียบเทียบกับท่านอัศวินใหญ่ได้ยังไง”

ฟางหนิงคิดในใจเขาฉลาดจริงๆ และยังรู้จักเลือกมาก

………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) บทที่ 163 คุณเคยถูกขอถอนหมั้นเหรอ

Now you are reading เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) Chapter บทที่ 163 คุณเคยถูกขอถอนหมั้นเหรอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 163 คุณเคยถูกขอถอนหมั้นเหรอ

เฉียวจื่อเจียงพยักหน้า “ถ้าอาพูดอย่างนั้น พี่ชายใกล้จะฝ่าด่านได้แล้ว เขาจะทำงานแทนได้ทันทีค่ะ ไม่นานมานี้เขาฝึกฝนปราณแท้สำเร็จและดูเหมือนจะรู้แจ้งแล้ว”

เฉียวอันผิง “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ปราณแท้ของจื่อซานเหมาะกับการรับมือสัตว์ปีศาจบ้าเลือดมากกว่า แค่จำไว้ว่าอย่าให้เขาทะลวงขั้นต่อไปที่นี่ก็พอ”

เฉียวจื่อเจียงเข้าใจโดยทันทีว่าสำนักสัจธรรมได้หยั่งรากที่นี่มาสิบกว่าปีแล้ว มองออกมานานแล้วว่ามันง่ายที่จะผ่านด่านที่นี่ แต่ก็สร้างปีศาจในใจมนุษย์ได้ง่าย

เธอพยักหน้าตอบและกล่าวถึงอีกเรื่องหนึ่ง “ตอนหลังมีนกอินทรียักษ์นำพวกสัตว์ปีศาจใหญ่มาช่วยพวกเรา น่าจะเป็นท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณเรียกมาแน่ๆ ทั้งสองฝ่ายคงจะมีข้อตกลงอะไรบางอย่าง”

เวลานั้นเฉียวอันผิงอยู่ในอาการโคม่าและเขาไม่รู้เรื่องที่นกอินทรียักษ์ปรากฏตัว เขาขมวดคิ้วเมื่อหลานสาวพูดถึงเรื่องนี้

เขาพูดว่า “เรื่องนี้อาคิดว่าผู้อาวุโสไห่น่าจะมีวิธีจัดการ ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม”

เฉียวจื่อเจียงเล่าอีกว่างูจงอางตัวนั้นเอ่ยคำสาปวิญญาณทุกปีจะมีปีศาจโจมตีค่ายในหุบเขา

อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเฉียวอันผิงยินดี “ถูกต้องแล้ว อาห่วงว่าตอนนี้จะไม่มีที่ฝึกซ้อมที่เหมาะสมอีก โลกภายนอกมีกฎเกณฑ์มากเกินไป ต้องพิจารณามากเกินไป ฆ่าไม่สนุกมือ ไม่สั่งให้อาทำร้ายได้แค่บาดเจ็บสาหัสแต่ฆ่าไม่ได้ ก็สั่งให้อาปล่อยอีกฝ่ายไป

“ที่นี่ไม่มีเรื่องยุ่งยากขนาดนั้น ถึงแม้ว่าสัตว์ปีศาจบ้าเลือดจะไม่โจมตีปีศาจในท้องถิ่น สร้างความลำบากให้แค่คนนอกอย่างพวกเรา แต่ปีศาจในท้องถิ่นเป็นมิตรกับเราในตอนนี้ ไม่สนใจพวกมันเป็นหรือตาย อีกทั้งพวกมันไม่มีสติปัญญา ฆ่าพวกมันได้พอดี”

เฉียวจื่อเจียงรู้สึกหมดหนทาง “คุณอาไม่ลองคิดดูหน่อย ถ้าอย่างนั้น ทุกสิ้นปีอาต้องลงทุนสรรพกำลังจำนวนมากเพื่อปกป้องเมืองนี้

“การสร้างค่ายกลการป้องกันที่ทรงพลังต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล เวลาปกติหยุดใช้งานได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้วิธีการสร้างแล้วรื้อ รื้อแล้วสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของสัตว์ปีศาจทุกสิ้น”

เฉียวอันผิงเกาหัวพลางพูดว่า “ฉันไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยจริงๆ ผู้อาวุโสสวี่เคยพูดก่อนหน้านี้ว่าที่นี่จะเปิดให้หน่วยความร่วมมือเข้ามา เมื่อถึงเวลาผู้เชี่ยวชาญจะได้รับเชิญให้ช่วยเหลือ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบมากเกินไป แค่พึ่งพารูปแบบแนวป้องกันเพื่อต้านทานเท่านั้น”

เฉียวจื่อเจียงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ถ้าอาต้องการแก้ปัญหานี้ที่ต้นตอ อาควรแก้ไขที่มาของสัตว์ปีศาจบ้าเลือดก่อนถึงจะได้”

เฉียวอันผิงกลับส่ายหน้า “เธอเธอไม่ต้องคิดแล้ว อาเคยตรวจสอบที่มาของพวกสัตว์ปีศาจบ้าเลือดชัดเจนแล้ว มันมีสองแหล่งที่มา อย่างแรก อย่างที่เธอเธอรู้ก็คือปีศาจอัจฉริยะบางตัวล้มเหลวในเรื่องของการก้าวผ่านด้านจิตใจและกลายเป็นปีศาจบ้าเลือด

“ส่วนแหล่งที่สอง สัตว์ปีศาจไม่มีทางพูด เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างทั้งสองฝ่าย ผู้อาวุโสสวี่ บอกอาว่าไม่ต้องบอกพกเธอ แค่รักษาสถานการณ์ไป ทั้งสองแหล่งที่มานี้ไม่มีทางจัดการได้ นอกจากนี้ พวกมันยังเป็นคู่ฝึกฝนทางทหารที่ดีที่สุด ทรัพยากรผลิตออกมาได้ คู่ฝึกทหารระดับนี้หาไม่ได้จากโลกภายนอก”

เมื่อเฉียวจื่อเจียงได้ยินเช่นนี้ก็คาดเดาในใจได้ มันสามารถผลิตยาได้ ฝึกฝนอย่างรวดเร็ว และยังมีสัตว์ปีศาจบ้าเลือดจำนวนมาก ได้ยินมาว่ามีหุบเขาดินแดนมรดกที่ลึกลับมาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหน คิดว่ามันต้องเป็นสถานที่แบบนั้น …

แค่เธอไม่พูดการคาดเดานี้ออกไป ความจริงเบื้องหลังการคาดเดานี้น่ากลัวเกินไป

เธอไม่อยากทำให้อาที่ยังบาดเจ็บต้องกังวล เธอเพียงแต่คิดเงียบๆ เธอจะต้องรีบฝึกฝน ทะลวงไปถึงระดับเดียวกับอาให้เร็วที่สุด และเมื่อนั้นเธอถึงจะมีคุณสมบัติที่จะสืบหาความจริงที่อยู่เบื้องหลัง

ในพื้นที่ราบกลางเมืองหุบเขา ลมพัดเบาๆ และหญ้าอ่อนพริ้วไหว อินทรีสวรรค์ที่เฉียวจื่อเจียงพูดถึงกำลังคุยกับอัศวิน A

“หลังศึกครั้งนี้ พี่มังกรจะกลับโลกภายนอกเมื่อไหร่”

ระบบกำลังเก็บตัวฝึกฝน จึงปล่อยร่างของเขาให้ฟางหนิงจัดการ

ฟางหนิงเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที เขาพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เมื่อคนจากสำนักงานสัจธรรมทำความสะอาดฐานบัญชาการและช่องทางอากาศเสร็จแล้ว ข้าก็จะกลับไป ถึงเวลานั้นข้าจะเชิญสหายไปด้วย ข้างนอกมีที่พักดีๆ อยู่ที่หนึ่ง”

อินทรีสวรรรค์ดีใจมาก “ขอบคุณพี่มังกรที่พิจารณาให้รอบด้าน ถือโอกาสนี้ช่วยอธิบายกฎเกณฑ์ให้น้องชายฟังหน่อย ถึงเวลานั้นจะได้ไม่ทำให้พี่มังกรลำบาก”

ฟางหนิงก็คิดเช่นกัน อินทรีสวรรค์เป็นผู้แข็งแกร่งระดับบ่อน้ำและเป็นสัตว์ปีก ถ้าไม่บอกก่อนล่วงหน้าจะมีปัญหาได้ง่ายๆ

เขาอธิบายถึงกฎเกณฑ์อย่างละเอียด แต่อินทรีสวรรค์ฟังจนปวดหัวมาก ทำไมถึงห้ามบินต่ำเหนือเมืองของมนุษย์ อย่าทำให้เด็กตกใจ อย่าจับสัตว์ปีกและปศุสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยง อย่าทำร้ายดอกไม้และพืช…

อินทรีสวรรค์ส่ายหัว “ดูเหมือนว่าฉันอยู่ได้แค่ในป่าและภูเขาสูงเท่านั้น พี่มังกรอาจลำบากหน่อยหากต้องการติดต่อฉัน”

ฟางหนิงเอ่ย “ไม่เป็นไร มนุษย์มีช่องทางการติดต่อที่สะดวกมาก เดี๋ยวข้าจะส่งโทรศัพท์ดาวเทียมให้ทีหลัง…”

อินทรีสวรรค์ “ถ้าเป็นอย่างนั้น น้องชายก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”

สามวันต่อมาฟางหนิง พาอินทรีสวรรค์ผ่านช่องทางข้ามมิติของฐานบัญชาการสำนักงานสัจธรรมเพื่อออกจากดินแดนมรดก

ในหมู่พวกเขานั้น การรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด กระบวนการที่ซับซ้อน และขั้นตอนที่ยุ่งยากใช้เวลาทั้งวัน ถ้าฟางหนิงไม่ได้ดูแลร่างกายของเขา เขาคงจะใจร้อนและบินกลับไปที่บ้านเกิดของเขาด้วย “การช่วยเหลือจากพันลี้”

อินทรีสวรรค์ค่อนข้างอดทน ในฐานะผู้แข็งแกร่งระดับบ่อน้ำ มันไม่ได้แสดงความหงุดหงิดออกมา ในเมื่อมันสามารถแกะสลักก้อนหินได้นานถึงสิบปี สุดท้ายก็แกะสลักนกอินทรีกลายเป็นไก่ย่าง…

ออกจากฐานทางเข้าเสินโจวไปยังดินแดนมรดก หนึ่งคนและนกอินทรีหนึ่งตัวปฏิเสธไม่ให้คนของสำนักงานสัจธรรมไปส่งพวกเขา ออกเดินทางไปยังถิ่นทุรกันดารที่ไม่ไกลนักเพียงลำพัง

“ปราณกำเนิดที่หายากมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ปีศาจตัวใหญ่ตัวอื่นๆ จะไม่มา ดูปรับตัวยาก โชคดีที่ฉันจะเปลี่ยนไปอยู่ลัทธิชินโตในอนาคต ความต้องการของข้าไม่ได้สูงมากนัก ที่นี่ก็กว้างใหญ่เพียงพอแล้ว” หลังจากพูดจบ อินทรีสวรรค์ก็บินขึ้นไปในอากาศ ไม่นานก็เหลือเพียงจุดดำเล็กๆ และจากนั้นก็มีเสียงมาจากไกลๆ “พี่มังกร ลาก่อน”

ฟางหนิงมองอย่างตกตะลึง “ข้ายังไม่ได้ให้โทรศัพท์ดาวเทียมเจ้าเลย ความอดทนของเจ้าเมื่อกี้หายไปไหนแล้ว การบินนี้ดูเหมือนจะใจร้อนเกินไปแล้ว… ”

มันเป็นนกอินทรีที่ชอบโบยบินอย่างอิสระจริงๆ ดูท่ากระบวนการตรวจสอบที่ยุ่งยากเมื่อครู่ทำให้มันอึดอัดแย่แล้ว…

ฟางหนิงถอนหายใจ เขาไม่ได้กังวลว่าจะติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ ในเมื่อเขายังติดต่อผ่านม้วนภาพนั้นได้เพราะมีตราพลังจิตของมันอยู่ในนั้น

เรียกระบบให้ออกมาพาร่างของอัศวิน A กลับบ้าน ฟางหนิงก็เข้าห้องรับรองระบบเพื่อนอนพักผ่อนก่อน…

เขาไม่ได้ผล็อยหลับไปชั่วขณะและเริ่มทบทวนความคิดของเขา เป็นไปไม่ได้ที่ระบบจะไม่สนใจสัตว์ปีศาจบ้าเลือด เพียงแต่ตอนนี้มันไม่มีพลังโจมตีเพียงพอ การจับปีศาจอย่างเดียวไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ กองทัพต่างถูกพิษแห่งความสับสนและมีปัญหาด้านความคิด ไม่รู้ว่าจะปรับได้เมื่อไหร่

แม้ว่าจะปรับความคิดสำเร็จ กองทัพไม่ใช่ลูกน้องของอัศวิน A การออกค่าใช้จ่ายหนึ่งครั้งนั้นแพงมาก หากต้องการใช้อีกฝ่ายจับปีศาจ ต้องคำนึงถึงการจัดการของอีกฝ่าย แต่ไหนแต่ไรมาตนเองไม่ชอบขอความช่วยเหลือจากใคร

สู้รอให้ฝูงสัตว์ปีศาจโจมตีเมืองตอนสิ้นปีไม่ได้ ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายจะมาถึงที่เพื่อขออัศวิน A ให้ช่วยเหลือและตนเองจะจัดการได้ตามใจต้องการ

การกลับมาสู่โลกภายนอกอย่างที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ เรื่องของการได้อาวุธทรงพลังควรเป็นอันดับหนึ่ง ระบบจับปีศาจได้ไม่มีปัญหา ตนเองก็นอนหลับสนิทและเล่นได้อย่างสบายใจ…

มันสบายมากที่มีคนมาครองร่าง เมื่อเขาตื่นขึ้น ฟางหนิงต้องการกลับไปที่ร่างของเขาและพบว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากฟาร์มวิลล่าในเขตชานเมืองฉี

ยังเดินไปไม่ถึงประตูฟาร์ม ไกลออกไปฟางหนิงเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ที่นั่น

เกิดอะไรขึ้น ฟางหนิงงงมาก แม้ว่าฟาร์มของเขาไม่ได้ปิดจากโลกภายนอก แต่ก็มีผู้มาเยือนน้อยมาก เขาจำได้ว่ามีผู้อาวุโสหวงและเซี่ยตงจากสำนักงานสัจธรรมที่เคยมาเยือนที่นี่

คนที่รู้ว่าอัศวิน A อยู่ที่นี่ล้วนแต่มีสถานะสูงส่ง ชายหนุ่มคนนี้มาจากไหนกันนะ

ในขณะที่ฟางหนิงสงสัย สุนัขดำไป๋หลี่เท่อก็เห่า ’โฮ่งโฮ่ง’ ทักทายเขาจากไกลๆ

มันเอ่ยประจบสอพลอ “เจ้านาย ครั้งนี้ท่านหายไปนานมาก หนึ่งเดือนกับสามวันแล้ว ท่านไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรใช่ไหม”

ฟางหนิงพยักหน้าพลางเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คนที่คุกเข่าหน้าประตูของเราเป็นใครกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เจ้าสุนัขดำก็รีบพูดว่า “อ๋อ ฉันกำลังจะบอกเจ้านายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายผู้คุกเข่าชื่อเสิ่นซิงเฉินเขาอยากจะมาขอฝากตัวเป็นศิษย์ของเจ้านาย เขามานั่งคุกเข่าที่นี่ทุกวัน ไม่กินไม่ดื่ม เขาคุกเข่าตั้งแต่เช้าจรดค่ำมาครึ่งเดือนแล้ว ฉันบอกเขาแล้วเจ้านายไม่อยู่ที่นี่ ขอให้เขากลับมาวันหลัง แต่เขาไม่ยอมฟัง ทุกวันตอนเที่ยงฉันได้แต่ให้คนงานเอาอาหารให้เขากิน”

ฟางหนิงตกใจ เขาอ่านนิยายมามาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนคนนี้เป็นคนประเภทที่มีความพากเพียรและปณิธานแรงกล้า

คนในสมัยนี้นอกจากคุกเข่าเคารพพ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่ตามเทศกาลหรือคุกเข่าในงานศพ น้อยมากที่จะเห็นคนคุกเข่าอีก ทุกคนทราบดีคุกเข่าทั้งวันขนาดนี้คงเหนื่อยมาก เหลือเชื่อคนนี้คุกเข่านานตั้งครึ่งเดือน แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่มั่นคงแน่วแน่

ในสมัยใหม่นี้ มีโอกาสมากมาย ชื่อเสียงของอัศวิน A เองก็โด่งดัง ชื่อเสียงอัศวินเป็น ’ชื่อเสียงตำนานโลก’ แล้ว ปกติแล้วความสำเร็จในสงครามมักจะแพร่ไปถึงหูคนที่สนใจ

เป็นเรื่องปกติที่จะมีคนมาขอเป็นลูกศิษย์ถึงหน้าประตูบ้าน แต่ฟางหนิงไม่ต้องการสอนลูกศิษย์คนไหนทั้งนั้น…

ประการแรก เขาขี้เกียจเกินกว่าจะกังวลเรื่องนี้ และประการที่สอง เขาไม่อยากให้วันหน้าเกิดมุกซ้ำซากลูกศิษย์ทรยศต่ออาจารย์และความขัดแย้งภายในเพื่ออำนาจของลูกศิษย์สำนักเดียวกันเหมือนในนิยาย กับคนที่ชื่นชอบอ่านนิยายอย่างเขา มันน่าขันมาก

ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ระะบบที่ยุ่งกับการจับปีศาจและฝึกวิทยายุทธ์จะเสียเวลาสอนลูกศิษย์ จนถึงตอนนี้เขาแค่ถ่ายทอดวรยุทธ์ระดับต่ำหนึ่งเล่มและหนังสือ “คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล” ถ่ายทอดให้เฉพาะผู้ติดตามที่ผ่านกฎของระบบยืนยันความภักดีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าไม่อาจเพิกเฉยต่อชายคนนี้ได้ เรื่องนี้ต้องพูดคุยกันให้ชัดเจน

ด้วยเหตุนี้ ฟางหนิงจึงนำสุนัขดำไป๋หลี่เท่อไปที่ประตูฟาร์ม

ชายหนุ่มที่กำลังคุกเข่าคนนี้มีคิ้วคิ้วโค้งเรียวเหมือนกระบี่และดวงตาที่เปล่งประกายดุจดวงดาว ร่างกายของเขาเปรอะเปื้อนฝุ่นไม่น้อย และความดื้อรั้นฉายบนใบหน้าของเขา

ฟางหนิงเดินไปข้างเขาแต่ไม่ได้เดินไปเผชิญหน้าทางที่เขาคุกเข่าแล้วพูดว่า “ลุกขึ้น พ่อหนุ่ม ฉันเป็นท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณ คุณมาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ได้ยินมาว่าอยากฝากตัวเป็นศิษย์เหรอ”

ชายหนุ่มยืนขึ้นประสานมือโค้งคำนับ “ท่านอัศวิน ผมชื่อเสิ่นซิงเฉิน ผมชื่นชมชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของอัศวินมานาน อยากคำนับท่านอัศวินเป็นอาจารย์ หลังจากนี้ผมจะเชื่อฟังอาจารย์เพียงคนเดียว”

ฟางหนิงไม่ตอบ เมื่อเห็นการแสดงออกของเสิ่นซิงเฉินเขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ฟางหนิงถึงค่อยส่ายหัว “งั้นคุณก็ไม่ต้องเสียเวลา ไปหาคนอื่นเป็นอาจารย์ให้คุณได้เถอะ ฉันไม่รับลูกศิษย์”

ฟางหนิงเด็ดขาดมากเพราะเขาเพิ่งเห็นแผนที่ระบบ อีกฝ่ายปากบอกว่ามาฝากตัวเป็นศิษย์และจะเชื่อฟังเขาในอนาคต…

แต่สีบนแผนที่ยังคงเป็นสีเหลืองและไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียวเลย เห็นได้ว่าคนนี้ปากกับใจไม่ตรงกัน

เขาอยู่กับระบบมาเป็นเวลานานและมีประสบการณ์มาแล้ว สุนัขเหลืองและสุนัขดำทั้งสองตัวปากกับใจตรงกัน ครั้งแรกที่พบกันและทั้งสองกลายเป็นสีเขียวโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายคิดในใจคือการภักดีอย่างจริงใจ

เสิ่นซิงเฉินสีหน้าผิดหวังเมื่อถูกปฏิเสธ เขาก็คุกเข่าลงทันทีอีกครั้ง “ได้โปรดรับผมเป็นลูกศิษย์ด้วย ไม่เช่นนั้นซิงเฉินจะคุกเข่าอยู่ที่นี่ตลอดไป”

ให้ตายเถอะ นี่พยายามหาจุดอ่อนของฉันเหรอ

ฟางหนิงอารมณ์เสียกับเรื่องนี้มาก ทุกคนเป็นคนสมัยใหม่ ใครจะไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างหน้าที่และอำนาจ ฉันไม่ใช่พ่อแม่ของคุณและไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับเก้าปี มีหน้าที่รับลูกศิษย์เสียเวลามากมายสอนคุณตอนไหนกัน

เอาแต่คุกเข่าอย่างนี้อาจเป็นเพราะเขาศึกษาพฤติกรรมของอัศวิน A แล้ว นึกว่าเขาเป็นเหมือนอัศวินยุคโบราณจะหลงกลมุกนี้เหรอ

น่าเสียดายที่เขาคิดผิด…

ฟางหนิงยังคงระงับอารมณ์และถามอย่างระมัดระวัง “คุณต้องรับภาระความแค้นบัญชีเลือดเหรอ”

เสิ่นซิงเฉินตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ไม่มีครับ”

ฟางหนิงถามว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณเคยถูกถอนหมั้นเหรอ”

เสิ่นซิงเฉินตกตะลึงอีกครั้ง “ไม่ใช่ครับ”

ฟางหนิงลังเล “แล้วทำไมคุณถึงคุกเข่าล่ะ ถ้าอยากจะเรียนรู้วิธีการฝึกฝนว่าไม่มีที่ให้ฝึก คุณฝึกฝน “หลักสูตรการฝึกฝนจิตวิญญาณขั้นพื้นฐาน” ให้ดี พัฒนาสติปัญญาแล้วสอบเข้าหน่วยกิจการพิเศษในท้องถิ่นไปเรียนกับพวกเขา พวกเขาจะไม่ปฏิเสธ ตราบใดที่คุณสาบานว่าจะรับใช้เสินโจว คุณไม่จำเป็นต้องคุกเข่าและไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังฉัน”

เสิ่นซิงเฉินส่ายหัวพลางเอ่ย “พวกเขาเป็นเพียงสำนักที่มีวิธีการฝึกฝนเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น พวกเขาจะเปรียบเทียบกับท่านอัศวินใหญ่ได้ยังไง”

ฟางหนิงคิดในใจเขาฉลาดจริงๆ และยังรู้จักเลือกมาก

………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+