เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด

Now you are reading เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) Chapter 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด

ไห่หลาน “คุณจะบอกว่าปีศาจร้ายนั่นตายแล้วงั้นเหรอ”

เจิ้งเต้าพยักหน้า “ตายแล้วแน่ๆ ตอนนี้ผมรับรู้ถึงมันไม่ได้”

ไห่หลานไม่สงสัย ก่อนหน้านี้เธอได้ยินจากปากคนอื่นว่าอัศวิน A แปลงร่างเป็นมังกรกลืนกินปีศาจร้ายแล้ว เช่นนั้นความตายของมันก็เป็นเพียงเรื่องเวลา ตอนนี้ผ่านไปครึ่งวัน เวลาในพื้นที่ปีศาจร้ายน่าจะผ่านไปครึ่งปี เทียบเวลาสอดรับกัน มันน่าจะตายแล้ว

เธอพยักหน้าให้พี่น้องตระกูลเฉียวที่อยู่ข้างๆ “ดูท่าอัศวิน A จะใกล้ปรากฏตัวแล้ว”

เจิ้งเต้าสงสัย “อัศวิน A คือใคร”

ไห่หลานตอบ “ก็คือคนที่ฆ่าปีศาจร้าย”

แววตาของเจิ้งเต้าเปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง ที่แท้คนนี้เองที่ช่วยเหลือตัวเองจากฝันร้าย เขาจะต้องตอบแทนอีกฝ่ายให้เต็มที่

เจิ้งเต้า “ในเมื่อปีศาจร้ายตายแล้ว ผมก็ออกไปได้แล้วใช่ไหม”

ไห่หลานส่ายหน้า “แม้จากการสอบถามคนอื่น พวกเราจะทราบว่าคุณเป็นโฮสต์ของปีศาจร้าย ไม่มีความผิดและยังทำความดี หลายครั้งที่สกัดแรงจูงใจสังหารของปีศาจร้ายได้ ช่วยให้ผู้บริสุทธิ์หลายคนรอดพ้นความตาย แต่ตามขั้นตอนแล้วจะยืนยันง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้ ต้องรออีกพักหนึ่งให้จัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อย เราถึงจะปล่อยคุณออกไปได้”

เจิ้งเต้าอายุสี่สิบกว่าแล้ว เขาเข้าใจดีว่านี่เป็นกระบวนการปกติจึงไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ

เขาเพียงแต่พยักหน้า “งั้นก่อนปล่อยผมออกไป อย่างน้อยช่วยย้ายผมไปอยู่ห้องเดี่ยวที่มีห้องน้ำได้ไหม”

ไห่หลานได้ยินก็สงสัย “แน่นอนว่าต้องเปลี่ยนห้อง แต่ทำไมต้องมีห้องน้ำล่ะ”

เจิ้งเต้าหัวเราะขมขื่น พูดอย่างลำบากใจมาก “หลายวันมานี้ ผมถูกปีศาจร้ายนั่นคอยใช้สารพัด ภาพหลอนสยองขวัญคอยหลอกหลอนผมไม่หยุด ทำให้ตอนนี้ผมปวดปัสสาวะบ่อยๆ”

“ฮ่าๆ คุณเจิ้งลำบากแย่เลย” เฉียวจื่อซานได้ยินก็หัวเราะก่อน

ไห่หลานสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่เฉียวจื่อเจียงกลับหน้าแดง

ไห่หลานเอ่ยเสียงเรียบ “จะเปลี่ยนห้องให้คุณทันที”

…………

คืนวันต่อมา ไห่หลานนำพี่น้องตระกูลเฉียวและเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งมาจัดงานเลี้ยงกลางแจ้งบนยอดเขาในวิลล่า ช่วยสมาชิกสโมสรคลายความตื่นตกใจ แน่นอนว่าสำคัญที่สุดคือแก้ไขผลกระทบที่ตามมาหลังเกิดเรื่องนี้

เพื่อให้งานเลี้ยงครั้งนี้จัดออกมาได้ดี ไห่หลานตั้งใจปรึกษากับทีมหลังบ้านเพื่อแสดงความจริงใจต่อคำขอโทษ จัดสรรวัตถุดิบอาหารชั้นเลิศเป็นพิเศษ มันเพาะปลูกเป็นพิเศษในสถานที่มีพลังชีวิตเข้มข้น ช่วงนี้พลังชีวิตฟื้นตัวขึ้นรวดเร็วและเพิ่งเก็บเกี่ยวได้เป็นจำนวนมาก จึงแบ่งมาที่นี่ได้ หากเป็นไม่กี่เดือนก่อน แม้แต่คนในองค์กรก็ไม่อาจได้กิน

การบริโภคในระยะยาวนั้นดีต่อร่างกายและกินครั้งเดียวก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณ เมื่อเทียบกับอาหารชั้นเลิศทั่วไปแล้วแตกต่างกันมาก อีกทั้งยังสามารถให้พวกเศรษฐีกลุ่มนี้ได้สัมผัสกับคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของมัน ดึงดูดพวกเขาให้ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้

ด้าน ‘ฟางหนิง’ กำลังจัดงานเลี้ยงและตั้งใจกล่าวว่าเขานั้นเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและควรจะจัดเตรียมสมุนไพรมา แต่ราคาอาหารเทียบไม่ได้กับสมุนไพรเลย ไห่หลานนึกถึงพวกเศรษฐีที่ใช้ชีวิตเหมือนเศรษฐี รสนิยมอาหารของพวกเขาจะสูงถึงขนาดไหนกันนะ

สุดท้ายอาหารที่ปรุงด้วยยาส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าปากของเธอและเจ้าหน้าที่พวกนั้น เพราะถึงอย่างไรพวกเขาฝึกฝนมานาน ร่างกายใช้พลังงานสูงและความอยากอาหารมาก คนเดียวกินเท่ากับเศรษฐีห้าคนก็ไม่เกินจริง

เธอได้รับความเห็นชอบจากเบื้องบนในโรงเรียนแล้ว จึงรีบจัดสรรสมุนไพรจากคลัง สินค้าตามท้องถนนในตลาดภายนอกย่อมเทียบไม่ได้ การเพาะปลูกไม่ใช่แค่ต้องการพลังชีวิตเข้มข้น แต่ยังต้องการผู้ฝึกฝนเข้าร่วมด้วย

วัตถุดิบอื่นๆ เตรียมง่ายกว่านี้มากเพราะโรงอาหารของโรงเรียนมีแบบสำเร็จรูป “ฟางหนิง” ต้องการอีกยี่สิบกว่าคนมาเป็นผู้ช่วยเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยง

ไห่หลานที่ใส่ใจฝีมือทำอาหารของฟางหนิงมาก ย่อมแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องการคนมากขนาดนี้ ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงแค่สามสิบกว่าคนรวมกับคนติดตามอย่างมากก็สี่สิบกว่าคน มีพ่อครัวสี่ห้าคนก็เพียงพอแล้ว

แต่บางทีอีกฝ่ายอาจต้องการแสดงทักษะเต็มที่ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เคยทำอาหารมาก่อน ย่อมไม่รู้ว่าที่จริงแล้วต้องใช้คนกี่คนในด้านต่างๆ

ช่วงระหว่างปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาว ในภาคเหนือกลางคืนจะมืดเร็วและหนาวมาก เวลานี้การจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำกลางแจ้ง จึงอาจหนาวจนแข็งได้…

ทว่าเมื่อทุกคนพกพาความสงสัยขึ้นไปบนยอดเขาที่จัดงานเลี้ยงตามสถานที่และเวลาที่ระบุไว้ในบัตรเชิญ กลับพบว่ามันอบอุ่นราวกับอยู่ในอาคาร เหมือนมีระบบทำความร้อนใต้พื้น

เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้ายังเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ากะพริบส่องแสงและมีต้นไม้สูงอยู่ใกล้ๆ มากมาย ทุกคนอดตื่นตะลึงไม่ได้กับพลังแฝงของสำนักสัจธรรม

บนยอดเขามีพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง ในเวลานี้แสงไฟสว่างจ้า พื้นปูด้วยพรมสีเขียวมรกต ให้ความรู้สึกของฤดูใบไม้ผลิขึ้นมาทีเดียว

บนพรมนั้นวางโต๊ะรับประทานอาหารเรียงเป็นระเบียบ ด้านหน้าตั้งเวทีสีแดง บางคนยืนอยู่บนนั้นรอคอยพวกเขา

ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบบัตรเชิญ แล้วนำผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงไปนั่งยังโต๊ะที่เตรียมไว้

ไห่หลานยืนบนเวที หลังจากที่ทุกคนยืนขึ้น เธอก็แนะนำชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเธอ เขามีร่างกายกำยำและท่าทางหยาบกระด้าง “เรียนสมาชิกกลุ่มแรกของสโมสรฝึกบำเพ็ญ เนื่องจากเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ดิฉันในฐานะหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยของโรงเรียน ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและขออภัยอย่างจริงใจที่เกิดเหตุเช่นนี้ ท่านนี้คือเฉียวอันผิงรองผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกพิเศษของเรา เขาเร่งรีบมาที่นี่และจะเป็นตัวแทนของโรงเรียนจัดการเรื่องนี้เอง”

สองวันมานี้ทุกคนรู้จักไห่หลานแล้ว ผู้หญิงสวยสง่าและเย็นชาคนนี้ตรงไปตรงมากับทุกคน แต่เวลานี้ ทุกคนกลับรับรู้ได้จากสายตาและการกระทำของเธอที่ดูเหมือนว่าเธอจะปฏิบัติกับรองผู้อำนวยการคนนี้แตกต่างจากคนอื่น

รองผู้อำนวยการเฉียวไม่ต้องการไมโครโฟน เพียงแค่กำมือทำท่าคำนับให้ ยังไม่ทันพูดอะไรก็โค้งให้ทุกคนก่อนแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ผมเฉียวอันผิงขอโทษทุกท่าน หลายวันนี้ผมร่วมกับผู้อาวุโสสวี่จัดการปัญหาหนูยักษ์ที่บ้าคลั่งอยู่ข้างนอก ไม่ได้นั่งที่โรงเรียนฝึกพิเศษมาสักพัก ถึงได้ปล่อยให้เจ้าหมาบ้าใช้ประโยชน์จากมัน ทำให้ทุกคนตกใจแล้ว

อีกสักครู่เชิญทุกท่านรับประทานอาหาร และผ่อนคลายจิตใจเต็มที่ หลังรับประทานอาหารผมจะมอบยันต์คุ้มครองแก่ทุกท่านนำไปบูชาที่บ้านได้ รับประกันต่อไปทุกท่านและครอบครัวจะไม่ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ทำนองนี้อีก”

ในตอนแรกเริ่มทุกคนต่างประหลาดใจที่รองประธานท่าทางเหมือนชาวยุทธ์ แต่เมื่อฟังถึงตอนท้ายก็อดดีใจไม่ได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้รับของล้ำค่าที่ปกป้องครอบครัวได้ ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าค่าชดเชยที่หลายคนคิดก่อนหน้านี้มากทีเดียว

เขาพูดจบแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนยืนขึ้น เป็นผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบกว่าซึ่งก็คือคนที่จัดการทุกคนและแก้ไขปัญหาหลายครั้งในพื้นที่ปีศาจร้ายนั่นเอง

ผู้เฒ่า “ในเมื่อรองผู้อำนวยการเฉียวพูดอย่างนี้ คนมิใช่เทพย่อมเคยทำผิดพลาด ผู้น้อยเว่ยไม่เอาความ รองผู้อำนวยการเฉียวเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ผู้น้อยเว่ยนับถือๆ”

เมื่อคนอื่นเห็นอย่างนี้ ในโอกาสเช่นนี้ หากพวกเขาต้องการขอผลประโยชน์เพิ่มเติมเห็นได้ชัดว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว พวกเขาทั้งหมดมีอาชีพการงานใหญ่โต โอกาสที่จะเกิดเรื่องก็สูงมาก

ในอนาคตอาจกล่าวได้ว่าพวกเขายังต้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานกิจการพิเศษอีกมาก อีกอย่างก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจริงๆ แม้ว่าบางคนอาจยังไม่พอใจ อย่างน้อยทุกคนก็ทยอยแสดงความเห็นด้วยกับการชดเชยนี้

เมื่อเห็นว่าแก้ไขปัญหาได้ราบรื่น รองผู้อำนวยการเฉียวที่ดูภายนอกหยาบกระด้างก็พอใจมาก หลังจากที่เขาถามเจ้าหน้าที่ข้างๆ ก็ยกแก้วขึ้น “อาหารเตรียมพร้อมแล้วจะเสิร์ฟให้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ผมขอประกาศเริ่มงานเลี้ยง เชิญทุกท่านกินดื่มให้อิ่มหนำสำราญ…”

เขาเพิ่งพูดจบก็เห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งขึ้นมาบนเวทีรายงานกับเขา

“มีเรื่องอะไร ทำไมตื่นตกใจขนาดนี้”

“รายงานรองผู้อำนวยการเฉียว อัศวิน A จู่ๆ ก็มาที่หน้าประตูวิลล่า แจ้งว่าจะมาพบคนครับ”

เฉียวอันผิงพอได้ยินก็ดีใจยกใหญ่ “พอดีเลย ฉันกำลังกลุ้มใจจะขอบคุณท่านอัศวินอย่างไรดี ถ้าไม่ได้เขาออกหน้าช่วยเหลือผดุงคุณธรรมละก็ ครั้งนี้ฉันกับผู้อาวุโสสวี่สั่นคลอนแน่ ฉันลงชื่อตรงนี้ พวกเธอรีบไปเรียกเขามา ช่างเถอะ ฉันไปเองจะดีกว่า”

พอเขาพูดจบก็ขยับตัว หายวับไปจากบนเวทีทันที

คนที่อยู่ด้านล่างเวทีไม่แปลกใจที่รองผู้อำนวยการสวี่ทำเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ เพราะสองวันมานี้พวกเขาเจอเหตุการณ์ใหญ่มามากแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นเหตุการณ์เล็กๆ…

หลังจากเฉียวอันผิงออกไป ไห่หลานที่ก่อนหน้านี้ยืนด้านหลังเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เขาจะมาก็มาเถอะ เธอจะถือโอกาสขอคำแนะนำหลังงานเลี้ยง ดูว่าห่างกับอีกฝ่ายแค่ไหนกันแน่ เรียนรู้จากผู้แข็งแกร่งความสามารถพิเศษของเธอก็ยิ่งก้าวหน้าเร็ว

เฉียวจื่อเจียงที่ยืนข้างเธอตลอดตอนนี้กลับสะกิดเธอพลางกระซิบถาม “คุณน้าไห่ น้าเตรียมอาหารไว้เท่าไหร่คะ”

ไห่หลานงงงวย “จื่อเจียงทำไมจู่ๆ ถามอย่างนี้ล่ะ ฉันเตรียมอาหารสำหรับหกสิบคนไว้ ในเมื่อคุณอาของเธอกลับมาปลอดภัย เขากินเยอะแต่ไหนแต่ไร ถือโอกาสนี้เลี้ยงต้อนรับให้เขากินหรูหน่อยเถอะ ออกไปแล้วไม่มีของอร่อยกินมากขนาดนี้หรอก ฉันตั้งใจเชิญฟางหนิงที่ร่ำลือกันว่าฝีมือทำอาหารขั้นเทพมาลงครัวทำอาหารเอง ให้เขาได้ชิมซะหน่อย”

เฉียวจื่อเจียงสีหน้ายุ่งยากใจ “อ๋อ หนูไม่กังวลอะไรหรอกถ้าคุณอาไม่มา แต่น้าเชิญพ่อครัวเทพคนนั้นมา แล้วเชิญอากลับมา อัศวิน A ก็มาอีก ถ้าอย่างนั้นก็ปัญหาใหญ่แล้ว”

ไห่หลานสงสัย “เธอหมายความว่ายังไง อาของเธอเป็นคนกระตือรือร้นตรงไปตรงมาและกล้าหาญ ส่วนอัศวิน A นั่นก็เห็นว่าตนเองเป็นคนมีคุณธรรมมาตลอด ฟางหนิงก็ยังเกี่ยวข้องกันบ้าง พวกเขาสามคนไม่มีทางขัดแย้งกันเด็ดขาด”

เฉียวจื่อเจียงกระซิบ “หนูไม่ได้กลัวพวกเขาสามคนจะขัดแย้งอะไรกัน กลัวแต่…”

พูดถึงตอนนี้เธอก็หยุดพูดเพราะมีคนสองคนขึ้นมาบนเวทีพร้อมกันแล้ว คนหนึ่งคือเฉียวอันผิงที่รูปร่างใหญ่โตกำยำ และอีกคนก็คืออัศวิน A ที่ทำให้ทุกคนแววตาเป็นประกาย

คนนี้รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา มีชีวิตชีวา พอเห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนราชาผู้สูงศักดิ์ ดูน่าประทับใจมาก

เมื่อเทียบกับเขาแล้ว คนที่อยู่รอบๆ ทั้งเฉียวจื่อซาน เฉียวอันผิง และไห่หลานต่างกลายเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์

เฉียวจื่อเจียงพูดไม่ออก ได้แต่มองสายตาทุกคู่ที่ต่างจ้องมองอัศวิน A ส่วนพี่ชายและคุณอาของตัวเองที่ยืนอยู่ด้วยกันกลับเป็นแค่ตัวประกอบ ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก

เธอแอบคิดในใจ ‘พวกเธอตาสว่างเถอะ อีกเดี๋ยวได้สว่างจนตาบอดแน่…’

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด

Now you are reading เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) Chapter 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด

ไห่หลาน “คุณจะบอกว่าปีศาจร้ายนั่นตายแล้วงั้นเหรอ”

เจิ้งเต้าพยักหน้า “ตายแล้วแน่ๆ ตอนนี้ผมรับรู้ถึงมันไม่ได้”

ไห่หลานไม่สงสัย ก่อนหน้านี้เธอได้ยินจากปากคนอื่นว่าอัศวิน A แปลงร่างเป็นมังกรกลืนกินปีศาจร้ายแล้ว เช่นนั้นความตายของมันก็เป็นเพียงเรื่องเวลา ตอนนี้ผ่านไปครึ่งวัน เวลาในพื้นที่ปีศาจร้ายน่าจะผ่านไปครึ่งปี เทียบเวลาสอดรับกัน มันน่าจะตายแล้ว

เธอพยักหน้าให้พี่น้องตระกูลเฉียวที่อยู่ข้างๆ “ดูท่าอัศวิน A จะใกล้ปรากฏตัวแล้ว”

เจิ้งเต้าสงสัย “อัศวิน A คือใคร”

ไห่หลานตอบ “ก็คือคนที่ฆ่าปีศาจร้าย”

แววตาของเจิ้งเต้าเปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง ที่แท้คนนี้เองที่ช่วยเหลือตัวเองจากฝันร้าย เขาจะต้องตอบแทนอีกฝ่ายให้เต็มที่

เจิ้งเต้า “ในเมื่อปีศาจร้ายตายแล้ว ผมก็ออกไปได้แล้วใช่ไหม”

ไห่หลานส่ายหน้า “แม้จากการสอบถามคนอื่น พวกเราจะทราบว่าคุณเป็นโฮสต์ของปีศาจร้าย ไม่มีความผิดและยังทำความดี หลายครั้งที่สกัดแรงจูงใจสังหารของปีศาจร้ายได้ ช่วยให้ผู้บริสุทธิ์หลายคนรอดพ้นความตาย แต่ตามขั้นตอนแล้วจะยืนยันง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้ ต้องรออีกพักหนึ่งให้จัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อย เราถึงจะปล่อยคุณออกไปได้”

เจิ้งเต้าอายุสี่สิบกว่าแล้ว เขาเข้าใจดีว่านี่เป็นกระบวนการปกติจึงไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ

เขาเพียงแต่พยักหน้า “งั้นก่อนปล่อยผมออกไป อย่างน้อยช่วยย้ายผมไปอยู่ห้องเดี่ยวที่มีห้องน้ำได้ไหม”

ไห่หลานได้ยินก็สงสัย “แน่นอนว่าต้องเปลี่ยนห้อง แต่ทำไมต้องมีห้องน้ำล่ะ”

เจิ้งเต้าหัวเราะขมขื่น พูดอย่างลำบากใจมาก “หลายวันมานี้ ผมถูกปีศาจร้ายนั่นคอยใช้สารพัด ภาพหลอนสยองขวัญคอยหลอกหลอนผมไม่หยุด ทำให้ตอนนี้ผมปวดปัสสาวะบ่อยๆ”

“ฮ่าๆ คุณเจิ้งลำบากแย่เลย” เฉียวจื่อซานได้ยินก็หัวเราะก่อน

ไห่หลานสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่เฉียวจื่อเจียงกลับหน้าแดง

ไห่หลานเอ่ยเสียงเรียบ “จะเปลี่ยนห้องให้คุณทันที”

…………

คืนวันต่อมา ไห่หลานนำพี่น้องตระกูลเฉียวและเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งมาจัดงานเลี้ยงกลางแจ้งบนยอดเขาในวิลล่า ช่วยสมาชิกสโมสรคลายความตื่นตกใจ แน่นอนว่าสำคัญที่สุดคือแก้ไขผลกระทบที่ตามมาหลังเกิดเรื่องนี้

เพื่อให้งานเลี้ยงครั้งนี้จัดออกมาได้ดี ไห่หลานตั้งใจปรึกษากับทีมหลังบ้านเพื่อแสดงความจริงใจต่อคำขอโทษ จัดสรรวัตถุดิบอาหารชั้นเลิศเป็นพิเศษ มันเพาะปลูกเป็นพิเศษในสถานที่มีพลังชีวิตเข้มข้น ช่วงนี้พลังชีวิตฟื้นตัวขึ้นรวดเร็วและเพิ่งเก็บเกี่ยวได้เป็นจำนวนมาก จึงแบ่งมาที่นี่ได้ หากเป็นไม่กี่เดือนก่อน แม้แต่คนในองค์กรก็ไม่อาจได้กิน

การบริโภคในระยะยาวนั้นดีต่อร่างกายและกินครั้งเดียวก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณ เมื่อเทียบกับอาหารชั้นเลิศทั่วไปแล้วแตกต่างกันมาก อีกทั้งยังสามารถให้พวกเศรษฐีกลุ่มนี้ได้สัมผัสกับคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของมัน ดึงดูดพวกเขาให้ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้

ด้าน ‘ฟางหนิง’ กำลังจัดงานเลี้ยงและตั้งใจกล่าวว่าเขานั้นเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและควรจะจัดเตรียมสมุนไพรมา แต่ราคาอาหารเทียบไม่ได้กับสมุนไพรเลย ไห่หลานนึกถึงพวกเศรษฐีที่ใช้ชีวิตเหมือนเศรษฐี รสนิยมอาหารของพวกเขาจะสูงถึงขนาดไหนกันนะ

สุดท้ายอาหารที่ปรุงด้วยยาส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าปากของเธอและเจ้าหน้าที่พวกนั้น เพราะถึงอย่างไรพวกเขาฝึกฝนมานาน ร่างกายใช้พลังงานสูงและความอยากอาหารมาก คนเดียวกินเท่ากับเศรษฐีห้าคนก็ไม่เกินจริง

เธอได้รับความเห็นชอบจากเบื้องบนในโรงเรียนแล้ว จึงรีบจัดสรรสมุนไพรจากคลัง สินค้าตามท้องถนนในตลาดภายนอกย่อมเทียบไม่ได้ การเพาะปลูกไม่ใช่แค่ต้องการพลังชีวิตเข้มข้น แต่ยังต้องการผู้ฝึกฝนเข้าร่วมด้วย

วัตถุดิบอื่นๆ เตรียมง่ายกว่านี้มากเพราะโรงอาหารของโรงเรียนมีแบบสำเร็จรูป “ฟางหนิง” ต้องการอีกยี่สิบกว่าคนมาเป็นผู้ช่วยเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยง

ไห่หลานที่ใส่ใจฝีมือทำอาหารของฟางหนิงมาก ย่อมแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องการคนมากขนาดนี้ ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงแค่สามสิบกว่าคนรวมกับคนติดตามอย่างมากก็สี่สิบกว่าคน มีพ่อครัวสี่ห้าคนก็เพียงพอแล้ว

แต่บางทีอีกฝ่ายอาจต้องการแสดงทักษะเต็มที่ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เคยทำอาหารมาก่อน ย่อมไม่รู้ว่าที่จริงแล้วต้องใช้คนกี่คนในด้านต่างๆ

ช่วงระหว่างปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาว ในภาคเหนือกลางคืนจะมืดเร็วและหนาวมาก เวลานี้การจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำกลางแจ้ง จึงอาจหนาวจนแข็งได้…

ทว่าเมื่อทุกคนพกพาความสงสัยขึ้นไปบนยอดเขาที่จัดงานเลี้ยงตามสถานที่และเวลาที่ระบุไว้ในบัตรเชิญ กลับพบว่ามันอบอุ่นราวกับอยู่ในอาคาร เหมือนมีระบบทำความร้อนใต้พื้น

เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้ายังเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ากะพริบส่องแสงและมีต้นไม้สูงอยู่ใกล้ๆ มากมาย ทุกคนอดตื่นตะลึงไม่ได้กับพลังแฝงของสำนักสัจธรรม

บนยอดเขามีพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง ในเวลานี้แสงไฟสว่างจ้า พื้นปูด้วยพรมสีเขียวมรกต ให้ความรู้สึกของฤดูใบไม้ผลิขึ้นมาทีเดียว

บนพรมนั้นวางโต๊ะรับประทานอาหารเรียงเป็นระเบียบ ด้านหน้าตั้งเวทีสีแดง บางคนยืนอยู่บนนั้นรอคอยพวกเขา

ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบบัตรเชิญ แล้วนำผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงไปนั่งยังโต๊ะที่เตรียมไว้

ไห่หลานยืนบนเวที หลังจากที่ทุกคนยืนขึ้น เธอก็แนะนำชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเธอ เขามีร่างกายกำยำและท่าทางหยาบกระด้าง “เรียนสมาชิกกลุ่มแรกของสโมสรฝึกบำเพ็ญ เนื่องจากเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ดิฉันในฐานะหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยของโรงเรียน ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและขออภัยอย่างจริงใจที่เกิดเหตุเช่นนี้ ท่านนี้คือเฉียวอันผิงรองผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกพิเศษของเรา เขาเร่งรีบมาที่นี่และจะเป็นตัวแทนของโรงเรียนจัดการเรื่องนี้เอง”

สองวันมานี้ทุกคนรู้จักไห่หลานแล้ว ผู้หญิงสวยสง่าและเย็นชาคนนี้ตรงไปตรงมากับทุกคน แต่เวลานี้ ทุกคนกลับรับรู้ได้จากสายตาและการกระทำของเธอที่ดูเหมือนว่าเธอจะปฏิบัติกับรองผู้อำนวยการคนนี้แตกต่างจากคนอื่น

รองผู้อำนวยการเฉียวไม่ต้องการไมโครโฟน เพียงแค่กำมือทำท่าคำนับให้ ยังไม่ทันพูดอะไรก็โค้งให้ทุกคนก่อนแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ผมเฉียวอันผิงขอโทษทุกท่าน หลายวันนี้ผมร่วมกับผู้อาวุโสสวี่จัดการปัญหาหนูยักษ์ที่บ้าคลั่งอยู่ข้างนอก ไม่ได้นั่งที่โรงเรียนฝึกพิเศษมาสักพัก ถึงได้ปล่อยให้เจ้าหมาบ้าใช้ประโยชน์จากมัน ทำให้ทุกคนตกใจแล้ว

อีกสักครู่เชิญทุกท่านรับประทานอาหาร และผ่อนคลายจิตใจเต็มที่ หลังรับประทานอาหารผมจะมอบยันต์คุ้มครองแก่ทุกท่านนำไปบูชาที่บ้านได้ รับประกันต่อไปทุกท่านและครอบครัวจะไม่ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ทำนองนี้อีก”

ในตอนแรกเริ่มทุกคนต่างประหลาดใจที่รองประธานท่าทางเหมือนชาวยุทธ์ แต่เมื่อฟังถึงตอนท้ายก็อดดีใจไม่ได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้รับของล้ำค่าที่ปกป้องครอบครัวได้ ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าค่าชดเชยที่หลายคนคิดก่อนหน้านี้มากทีเดียว

เขาพูดจบแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนยืนขึ้น เป็นผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบกว่าซึ่งก็คือคนที่จัดการทุกคนและแก้ไขปัญหาหลายครั้งในพื้นที่ปีศาจร้ายนั่นเอง

ผู้เฒ่า “ในเมื่อรองผู้อำนวยการเฉียวพูดอย่างนี้ คนมิใช่เทพย่อมเคยทำผิดพลาด ผู้น้อยเว่ยไม่เอาความ รองผู้อำนวยการเฉียวเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ผู้น้อยเว่ยนับถือๆ”

เมื่อคนอื่นเห็นอย่างนี้ ในโอกาสเช่นนี้ หากพวกเขาต้องการขอผลประโยชน์เพิ่มเติมเห็นได้ชัดว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว พวกเขาทั้งหมดมีอาชีพการงานใหญ่โต โอกาสที่จะเกิดเรื่องก็สูงมาก

ในอนาคตอาจกล่าวได้ว่าพวกเขายังต้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานกิจการพิเศษอีกมาก อีกอย่างก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจริงๆ แม้ว่าบางคนอาจยังไม่พอใจ อย่างน้อยทุกคนก็ทยอยแสดงความเห็นด้วยกับการชดเชยนี้

เมื่อเห็นว่าแก้ไขปัญหาได้ราบรื่น รองผู้อำนวยการเฉียวที่ดูภายนอกหยาบกระด้างก็พอใจมาก หลังจากที่เขาถามเจ้าหน้าที่ข้างๆ ก็ยกแก้วขึ้น “อาหารเตรียมพร้อมแล้วจะเสิร์ฟให้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ผมขอประกาศเริ่มงานเลี้ยง เชิญทุกท่านกินดื่มให้อิ่มหนำสำราญ…”

เขาเพิ่งพูดจบก็เห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งขึ้นมาบนเวทีรายงานกับเขา

“มีเรื่องอะไร ทำไมตื่นตกใจขนาดนี้”

“รายงานรองผู้อำนวยการเฉียว อัศวิน A จู่ๆ ก็มาที่หน้าประตูวิลล่า แจ้งว่าจะมาพบคนครับ”

เฉียวอันผิงพอได้ยินก็ดีใจยกใหญ่ “พอดีเลย ฉันกำลังกลุ้มใจจะขอบคุณท่านอัศวินอย่างไรดี ถ้าไม่ได้เขาออกหน้าช่วยเหลือผดุงคุณธรรมละก็ ครั้งนี้ฉันกับผู้อาวุโสสวี่สั่นคลอนแน่ ฉันลงชื่อตรงนี้ พวกเธอรีบไปเรียกเขามา ช่างเถอะ ฉันไปเองจะดีกว่า”

พอเขาพูดจบก็ขยับตัว หายวับไปจากบนเวทีทันที

คนที่อยู่ด้านล่างเวทีไม่แปลกใจที่รองผู้อำนวยการสวี่ทำเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ เพราะสองวันมานี้พวกเขาเจอเหตุการณ์ใหญ่มามากแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นเหตุการณ์เล็กๆ…

หลังจากเฉียวอันผิงออกไป ไห่หลานที่ก่อนหน้านี้ยืนด้านหลังเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เขาจะมาก็มาเถอะ เธอจะถือโอกาสขอคำแนะนำหลังงานเลี้ยง ดูว่าห่างกับอีกฝ่ายแค่ไหนกันแน่ เรียนรู้จากผู้แข็งแกร่งความสามารถพิเศษของเธอก็ยิ่งก้าวหน้าเร็ว

เฉียวจื่อเจียงที่ยืนข้างเธอตลอดตอนนี้กลับสะกิดเธอพลางกระซิบถาม “คุณน้าไห่ น้าเตรียมอาหารไว้เท่าไหร่คะ”

ไห่หลานงงงวย “จื่อเจียงทำไมจู่ๆ ถามอย่างนี้ล่ะ ฉันเตรียมอาหารสำหรับหกสิบคนไว้ ในเมื่อคุณอาของเธอกลับมาปลอดภัย เขากินเยอะแต่ไหนแต่ไร ถือโอกาสนี้เลี้ยงต้อนรับให้เขากินหรูหน่อยเถอะ ออกไปแล้วไม่มีของอร่อยกินมากขนาดนี้หรอก ฉันตั้งใจเชิญฟางหนิงที่ร่ำลือกันว่าฝีมือทำอาหารขั้นเทพมาลงครัวทำอาหารเอง ให้เขาได้ชิมซะหน่อย”

เฉียวจื่อเจียงสีหน้ายุ่งยากใจ “อ๋อ หนูไม่กังวลอะไรหรอกถ้าคุณอาไม่มา แต่น้าเชิญพ่อครัวเทพคนนั้นมา แล้วเชิญอากลับมา อัศวิน A ก็มาอีก ถ้าอย่างนั้นก็ปัญหาใหญ่แล้ว”

ไห่หลานสงสัย “เธอหมายความว่ายังไง อาของเธอเป็นคนกระตือรือร้นตรงไปตรงมาและกล้าหาญ ส่วนอัศวิน A นั่นก็เห็นว่าตนเองเป็นคนมีคุณธรรมมาตลอด ฟางหนิงก็ยังเกี่ยวข้องกันบ้าง พวกเขาสามคนไม่มีทางขัดแย้งกันเด็ดขาด”

เฉียวจื่อเจียงกระซิบ “หนูไม่ได้กลัวพวกเขาสามคนจะขัดแย้งอะไรกัน กลัวแต่…”

พูดถึงตอนนี้เธอก็หยุดพูดเพราะมีคนสองคนขึ้นมาบนเวทีพร้อมกันแล้ว คนหนึ่งคือเฉียวอันผิงที่รูปร่างใหญ่โตกำยำ และอีกคนก็คืออัศวิน A ที่ทำให้ทุกคนแววตาเป็นประกาย

คนนี้รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา มีชีวิตชีวา พอเห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนราชาผู้สูงศักดิ์ ดูน่าประทับใจมาก

เมื่อเทียบกับเขาแล้ว คนที่อยู่รอบๆ ทั้งเฉียวจื่อซาน เฉียวอันผิง และไห่หลานต่างกลายเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์

เฉียวจื่อเจียงพูดไม่ออก ได้แต่มองสายตาทุกคู่ที่ต่างจ้องมองอัศวิน A ส่วนพี่ชายและคุณอาของตัวเองที่ยืนอยู่ด้วยกันกลับเป็นแค่ตัวประกอบ ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก

เธอแอบคิดในใจ ‘พวกเธอตาสว่างเถอะ อีกเดี๋ยวได้สว่างจนตาบอดแน่…’

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด

Now you are reading เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) Chapter 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด

ไห่หลาน “คุณจะบอกว่าปีศาจร้ายนั่นตายแล้วงั้นเหรอ”

เจิ้งเต้าพยักหน้า “ตายแล้วแน่ๆ ตอนนี้ผมรับรู้ถึงมันไม่ได้”

ไห่หลานไม่สงสัย ก่อนหน้านี้เธอได้ยินจากปากคนอื่นว่าอัศวิน A แปลงร่างเป็นมังกรกลืนกินปีศาจร้ายแล้ว เช่นนั้นความตายของมันก็เป็นเพียงเรื่องเวลา ตอนนี้ผ่านไปครึ่งวัน เวลาในพื้นที่ปีศาจร้ายน่าจะผ่านไปครึ่งปี เทียบเวลาสอดรับกัน มันน่าจะตายแล้ว

เธอพยักหน้าให้พี่น้องตระกูลเฉียวที่อยู่ข้างๆ “ดูท่าอัศวิน A จะใกล้ปรากฏตัวแล้ว”

เจิ้งเต้าสงสัย “อัศวิน A คือใคร”

ไห่หลานตอบ “ก็คือคนที่ฆ่าปีศาจร้าย”

แววตาของเจิ้งเต้าเปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง ที่แท้คนนี้เองที่ช่วยเหลือตัวเองจากฝันร้าย เขาจะต้องตอบแทนอีกฝ่ายให้เต็มที่

เจิ้งเต้า “ในเมื่อปีศาจร้ายตายแล้ว ผมก็ออกไปได้แล้วใช่ไหม”

ไห่หลานส่ายหน้า “แม้จากการสอบถามคนอื่น พวกเราจะทราบว่าคุณเป็นโฮสต์ของปีศาจร้าย ไม่มีความผิดและยังทำความดี หลายครั้งที่สกัดแรงจูงใจสังหารของปีศาจร้ายได้ ช่วยให้ผู้บริสุทธิ์หลายคนรอดพ้นความตาย แต่ตามขั้นตอนแล้วจะยืนยันง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้ ต้องรออีกพักหนึ่งให้จัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อย เราถึงจะปล่อยคุณออกไปได้”

เจิ้งเต้าอายุสี่สิบกว่าแล้ว เขาเข้าใจดีว่านี่เป็นกระบวนการปกติจึงไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ

เขาเพียงแต่พยักหน้า “งั้นก่อนปล่อยผมออกไป อย่างน้อยช่วยย้ายผมไปอยู่ห้องเดี่ยวที่มีห้องน้ำได้ไหม”

ไห่หลานได้ยินก็สงสัย “แน่นอนว่าต้องเปลี่ยนห้อง แต่ทำไมต้องมีห้องน้ำล่ะ”

เจิ้งเต้าหัวเราะขมขื่น พูดอย่างลำบากใจมาก “หลายวันมานี้ ผมถูกปีศาจร้ายนั่นคอยใช้สารพัด ภาพหลอนสยองขวัญคอยหลอกหลอนผมไม่หยุด ทำให้ตอนนี้ผมปวดปัสสาวะบ่อยๆ”

“ฮ่าๆ คุณเจิ้งลำบากแย่เลย” เฉียวจื่อซานได้ยินก็หัวเราะก่อน

ไห่หลานสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่เฉียวจื่อเจียงกลับหน้าแดง

ไห่หลานเอ่ยเสียงเรียบ “จะเปลี่ยนห้องให้คุณทันที”

…………

คืนวันต่อมา ไห่หลานนำพี่น้องตระกูลเฉียวและเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งมาจัดงานเลี้ยงกลางแจ้งบนยอดเขาในวิลล่า ช่วยสมาชิกสโมสรคลายความตื่นตกใจ แน่นอนว่าสำคัญที่สุดคือแก้ไขผลกระทบที่ตามมาหลังเกิดเรื่องนี้

เพื่อให้งานเลี้ยงครั้งนี้จัดออกมาได้ดี ไห่หลานตั้งใจปรึกษากับทีมหลังบ้านเพื่อแสดงความจริงใจต่อคำขอโทษ จัดสรรวัตถุดิบอาหารชั้นเลิศเป็นพิเศษ มันเพาะปลูกเป็นพิเศษในสถานที่มีพลังชีวิตเข้มข้น ช่วงนี้พลังชีวิตฟื้นตัวขึ้นรวดเร็วและเพิ่งเก็บเกี่ยวได้เป็นจำนวนมาก จึงแบ่งมาที่นี่ได้ หากเป็นไม่กี่เดือนก่อน แม้แต่คนในองค์กรก็ไม่อาจได้กิน

การบริโภคในระยะยาวนั้นดีต่อร่างกายและกินครั้งเดียวก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณ เมื่อเทียบกับอาหารชั้นเลิศทั่วไปแล้วแตกต่างกันมาก อีกทั้งยังสามารถให้พวกเศรษฐีกลุ่มนี้ได้สัมผัสกับคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของมัน ดึงดูดพวกเขาให้ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้

ด้าน ‘ฟางหนิง’ กำลังจัดงานเลี้ยงและตั้งใจกล่าวว่าเขานั้นเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและควรจะจัดเตรียมสมุนไพรมา แต่ราคาอาหารเทียบไม่ได้กับสมุนไพรเลย ไห่หลานนึกถึงพวกเศรษฐีที่ใช้ชีวิตเหมือนเศรษฐี รสนิยมอาหารของพวกเขาจะสูงถึงขนาดไหนกันนะ

สุดท้ายอาหารที่ปรุงด้วยยาส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าปากของเธอและเจ้าหน้าที่พวกนั้น เพราะถึงอย่างไรพวกเขาฝึกฝนมานาน ร่างกายใช้พลังงานสูงและความอยากอาหารมาก คนเดียวกินเท่ากับเศรษฐีห้าคนก็ไม่เกินจริง

เธอได้รับความเห็นชอบจากเบื้องบนในโรงเรียนแล้ว จึงรีบจัดสรรสมุนไพรจากคลัง สินค้าตามท้องถนนในตลาดภายนอกย่อมเทียบไม่ได้ การเพาะปลูกไม่ใช่แค่ต้องการพลังชีวิตเข้มข้น แต่ยังต้องการผู้ฝึกฝนเข้าร่วมด้วย

วัตถุดิบอื่นๆ เตรียมง่ายกว่านี้มากเพราะโรงอาหารของโรงเรียนมีแบบสำเร็จรูป “ฟางหนิง” ต้องการอีกยี่สิบกว่าคนมาเป็นผู้ช่วยเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยง

ไห่หลานที่ใส่ใจฝีมือทำอาหารของฟางหนิงมาก ย่อมแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องการคนมากขนาดนี้ ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงแค่สามสิบกว่าคนรวมกับคนติดตามอย่างมากก็สี่สิบกว่าคน มีพ่อครัวสี่ห้าคนก็เพียงพอแล้ว

แต่บางทีอีกฝ่ายอาจต้องการแสดงทักษะเต็มที่ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เคยทำอาหารมาก่อน ย่อมไม่รู้ว่าที่จริงแล้วต้องใช้คนกี่คนในด้านต่างๆ

ช่วงระหว่างปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาว ในภาคเหนือกลางคืนจะมืดเร็วและหนาวมาก เวลานี้การจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำกลางแจ้ง จึงอาจหนาวจนแข็งได้…

ทว่าเมื่อทุกคนพกพาความสงสัยขึ้นไปบนยอดเขาที่จัดงานเลี้ยงตามสถานที่และเวลาที่ระบุไว้ในบัตรเชิญ กลับพบว่ามันอบอุ่นราวกับอยู่ในอาคาร เหมือนมีระบบทำความร้อนใต้พื้น

เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้ายังเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ากะพริบส่องแสงและมีต้นไม้สูงอยู่ใกล้ๆ มากมาย ทุกคนอดตื่นตะลึงไม่ได้กับพลังแฝงของสำนักสัจธรรม

บนยอดเขามีพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง ในเวลานี้แสงไฟสว่างจ้า พื้นปูด้วยพรมสีเขียวมรกต ให้ความรู้สึกของฤดูใบไม้ผลิขึ้นมาทีเดียว

บนพรมนั้นวางโต๊ะรับประทานอาหารเรียงเป็นระเบียบ ด้านหน้าตั้งเวทีสีแดง บางคนยืนอยู่บนนั้นรอคอยพวกเขา

ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบบัตรเชิญ แล้วนำผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงไปนั่งยังโต๊ะที่เตรียมไว้

ไห่หลานยืนบนเวที หลังจากที่ทุกคนยืนขึ้น เธอก็แนะนำชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเธอ เขามีร่างกายกำยำและท่าทางหยาบกระด้าง “เรียนสมาชิกกลุ่มแรกของสโมสรฝึกบำเพ็ญ เนื่องจากเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ดิฉันในฐานะหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยของโรงเรียน ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและขออภัยอย่างจริงใจที่เกิดเหตุเช่นนี้ ท่านนี้คือเฉียวอันผิงรองผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกพิเศษของเรา เขาเร่งรีบมาที่นี่และจะเป็นตัวแทนของโรงเรียนจัดการเรื่องนี้เอง”

สองวันมานี้ทุกคนรู้จักไห่หลานแล้ว ผู้หญิงสวยสง่าและเย็นชาคนนี้ตรงไปตรงมากับทุกคน แต่เวลานี้ ทุกคนกลับรับรู้ได้จากสายตาและการกระทำของเธอที่ดูเหมือนว่าเธอจะปฏิบัติกับรองผู้อำนวยการคนนี้แตกต่างจากคนอื่น

รองผู้อำนวยการเฉียวไม่ต้องการไมโครโฟน เพียงแค่กำมือทำท่าคำนับให้ ยังไม่ทันพูดอะไรก็โค้งให้ทุกคนก่อนแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ผมเฉียวอันผิงขอโทษทุกท่าน หลายวันนี้ผมร่วมกับผู้อาวุโสสวี่จัดการปัญหาหนูยักษ์ที่บ้าคลั่งอยู่ข้างนอก ไม่ได้นั่งที่โรงเรียนฝึกพิเศษมาสักพัก ถึงได้ปล่อยให้เจ้าหมาบ้าใช้ประโยชน์จากมัน ทำให้ทุกคนตกใจแล้ว

อีกสักครู่เชิญทุกท่านรับประทานอาหาร และผ่อนคลายจิตใจเต็มที่ หลังรับประทานอาหารผมจะมอบยันต์คุ้มครองแก่ทุกท่านนำไปบูชาที่บ้านได้ รับประกันต่อไปทุกท่านและครอบครัวจะไม่ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ทำนองนี้อีก”

ในตอนแรกเริ่มทุกคนต่างประหลาดใจที่รองประธานท่าทางเหมือนชาวยุทธ์ แต่เมื่อฟังถึงตอนท้ายก็อดดีใจไม่ได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้รับของล้ำค่าที่ปกป้องครอบครัวได้ ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าค่าชดเชยที่หลายคนคิดก่อนหน้านี้มากทีเดียว

เขาพูดจบแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนยืนขึ้น เป็นผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบกว่าซึ่งก็คือคนที่จัดการทุกคนและแก้ไขปัญหาหลายครั้งในพื้นที่ปีศาจร้ายนั่นเอง

ผู้เฒ่า “ในเมื่อรองผู้อำนวยการเฉียวพูดอย่างนี้ คนมิใช่เทพย่อมเคยทำผิดพลาด ผู้น้อยเว่ยไม่เอาความ รองผู้อำนวยการเฉียวเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ผู้น้อยเว่ยนับถือๆ”

เมื่อคนอื่นเห็นอย่างนี้ ในโอกาสเช่นนี้ หากพวกเขาต้องการขอผลประโยชน์เพิ่มเติมเห็นได้ชัดว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว พวกเขาทั้งหมดมีอาชีพการงานใหญ่โต โอกาสที่จะเกิดเรื่องก็สูงมาก

ในอนาคตอาจกล่าวได้ว่าพวกเขายังต้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานกิจการพิเศษอีกมาก อีกอย่างก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจริงๆ แม้ว่าบางคนอาจยังไม่พอใจ อย่างน้อยทุกคนก็ทยอยแสดงความเห็นด้วยกับการชดเชยนี้

เมื่อเห็นว่าแก้ไขปัญหาได้ราบรื่น รองผู้อำนวยการเฉียวที่ดูภายนอกหยาบกระด้างก็พอใจมาก หลังจากที่เขาถามเจ้าหน้าที่ข้างๆ ก็ยกแก้วขึ้น “อาหารเตรียมพร้อมแล้วจะเสิร์ฟให้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ผมขอประกาศเริ่มงานเลี้ยง เชิญทุกท่านกินดื่มให้อิ่มหนำสำราญ…”

เขาเพิ่งพูดจบก็เห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งขึ้นมาบนเวทีรายงานกับเขา

“มีเรื่องอะไร ทำไมตื่นตกใจขนาดนี้”

“รายงานรองผู้อำนวยการเฉียว อัศวิน A จู่ๆ ก็มาที่หน้าประตูวิลล่า แจ้งว่าจะมาพบคนครับ”

เฉียวอันผิงพอได้ยินก็ดีใจยกใหญ่ “พอดีเลย ฉันกำลังกลุ้มใจจะขอบคุณท่านอัศวินอย่างไรดี ถ้าไม่ได้เขาออกหน้าช่วยเหลือผดุงคุณธรรมละก็ ครั้งนี้ฉันกับผู้อาวุโสสวี่สั่นคลอนแน่ ฉันลงชื่อตรงนี้ พวกเธอรีบไปเรียกเขามา ช่างเถอะ ฉันไปเองจะดีกว่า”

พอเขาพูดจบก็ขยับตัว หายวับไปจากบนเวทีทันที

คนที่อยู่ด้านล่างเวทีไม่แปลกใจที่รองผู้อำนวยการสวี่ทำเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ เพราะสองวันมานี้พวกเขาเจอเหตุการณ์ใหญ่มามากแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นเหตุการณ์เล็กๆ…

หลังจากเฉียวอันผิงออกไป ไห่หลานที่ก่อนหน้านี้ยืนด้านหลังเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เขาจะมาก็มาเถอะ เธอจะถือโอกาสขอคำแนะนำหลังงานเลี้ยง ดูว่าห่างกับอีกฝ่ายแค่ไหนกันแน่ เรียนรู้จากผู้แข็งแกร่งความสามารถพิเศษของเธอก็ยิ่งก้าวหน้าเร็ว

เฉียวจื่อเจียงที่ยืนข้างเธอตลอดตอนนี้กลับสะกิดเธอพลางกระซิบถาม “คุณน้าไห่ น้าเตรียมอาหารไว้เท่าไหร่คะ”

ไห่หลานงงงวย “จื่อเจียงทำไมจู่ๆ ถามอย่างนี้ล่ะ ฉันเตรียมอาหารสำหรับหกสิบคนไว้ ในเมื่อคุณอาของเธอกลับมาปลอดภัย เขากินเยอะแต่ไหนแต่ไร ถือโอกาสนี้เลี้ยงต้อนรับให้เขากินหรูหน่อยเถอะ ออกไปแล้วไม่มีของอร่อยกินมากขนาดนี้หรอก ฉันตั้งใจเชิญฟางหนิงที่ร่ำลือกันว่าฝีมือทำอาหารขั้นเทพมาลงครัวทำอาหารเอง ให้เขาได้ชิมซะหน่อย”

เฉียวจื่อเจียงสีหน้ายุ่งยากใจ “อ๋อ หนูไม่กังวลอะไรหรอกถ้าคุณอาไม่มา แต่น้าเชิญพ่อครัวเทพคนนั้นมา แล้วเชิญอากลับมา อัศวิน A ก็มาอีก ถ้าอย่างนั้นก็ปัญหาใหญ่แล้ว”

ไห่หลานสงสัย “เธอหมายความว่ายังไง อาของเธอเป็นคนกระตือรือร้นตรงไปตรงมาและกล้าหาญ ส่วนอัศวิน A นั่นก็เห็นว่าตนเองเป็นคนมีคุณธรรมมาตลอด ฟางหนิงก็ยังเกี่ยวข้องกันบ้าง พวกเขาสามคนไม่มีทางขัดแย้งกันเด็ดขาด”

เฉียวจื่อเจียงกระซิบ “หนูไม่ได้กลัวพวกเขาสามคนจะขัดแย้งอะไรกัน กลัวแต่…”

พูดถึงตอนนี้เธอก็หยุดพูดเพราะมีคนสองคนขึ้นมาบนเวทีพร้อมกันแล้ว คนหนึ่งคือเฉียวอันผิงที่รูปร่างใหญ่โตกำยำ และอีกคนก็คืออัศวิน A ที่ทำให้ทุกคนแววตาเป็นประกาย

คนนี้รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา มีชีวิตชีวา พอเห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนราชาผู้สูงศักดิ์ ดูน่าประทับใจมาก

เมื่อเทียบกับเขาแล้ว คนที่อยู่รอบๆ ทั้งเฉียวจื่อซาน เฉียวอันผิง และไห่หลานต่างกลายเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์

เฉียวจื่อเจียงพูดไม่ออก ได้แต่มองสายตาทุกคู่ที่ต่างจ้องมองอัศวิน A ส่วนพี่ชายและคุณอาของตัวเองที่ยืนอยู่ด้วยกันกลับเป็นแค่ตัวประกอบ ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก

เธอแอบคิดในใจ ‘พวกเธอตาสว่างเถอะ อีกเดี๋ยวได้สว่างจนตาบอดแน่…’

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด

Now you are reading เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) Chapter 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 77 อีกเดี๋ยวจะสว่างจนตาบอด

ไห่หลาน “คุณจะบอกว่าปีศาจร้ายนั่นตายแล้วงั้นเหรอ”

เจิ้งเต้าพยักหน้า “ตายแล้วแน่ๆ ตอนนี้ผมรับรู้ถึงมันไม่ได้”

ไห่หลานไม่สงสัย ก่อนหน้านี้เธอได้ยินจากปากคนอื่นว่าอัศวิน A แปลงร่างเป็นมังกรกลืนกินปีศาจร้ายแล้ว เช่นนั้นความตายของมันก็เป็นเพียงเรื่องเวลา ตอนนี้ผ่านไปครึ่งวัน เวลาในพื้นที่ปีศาจร้ายน่าจะผ่านไปครึ่งปี เทียบเวลาสอดรับกัน มันน่าจะตายแล้ว

เธอพยักหน้าให้พี่น้องตระกูลเฉียวที่อยู่ข้างๆ “ดูท่าอัศวิน A จะใกล้ปรากฏตัวแล้ว”

เจิ้งเต้าสงสัย “อัศวิน A คือใคร”

ไห่หลานตอบ “ก็คือคนที่ฆ่าปีศาจร้าย”

แววตาของเจิ้งเต้าเปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง ที่แท้คนนี้เองที่ช่วยเหลือตัวเองจากฝันร้าย เขาจะต้องตอบแทนอีกฝ่ายให้เต็มที่

เจิ้งเต้า “ในเมื่อปีศาจร้ายตายแล้ว ผมก็ออกไปได้แล้วใช่ไหม”

ไห่หลานส่ายหน้า “แม้จากการสอบถามคนอื่น พวกเราจะทราบว่าคุณเป็นโฮสต์ของปีศาจร้าย ไม่มีความผิดและยังทำความดี หลายครั้งที่สกัดแรงจูงใจสังหารของปีศาจร้ายได้ ช่วยให้ผู้บริสุทธิ์หลายคนรอดพ้นความตาย แต่ตามขั้นตอนแล้วจะยืนยันง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้ ต้องรออีกพักหนึ่งให้จัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อย เราถึงจะปล่อยคุณออกไปได้”

เจิ้งเต้าอายุสี่สิบกว่าแล้ว เขาเข้าใจดีว่านี่เป็นกระบวนการปกติจึงไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ

เขาเพียงแต่พยักหน้า “งั้นก่อนปล่อยผมออกไป อย่างน้อยช่วยย้ายผมไปอยู่ห้องเดี่ยวที่มีห้องน้ำได้ไหม”

ไห่หลานได้ยินก็สงสัย “แน่นอนว่าต้องเปลี่ยนห้อง แต่ทำไมต้องมีห้องน้ำล่ะ”

เจิ้งเต้าหัวเราะขมขื่น พูดอย่างลำบากใจมาก “หลายวันมานี้ ผมถูกปีศาจร้ายนั่นคอยใช้สารพัด ภาพหลอนสยองขวัญคอยหลอกหลอนผมไม่หยุด ทำให้ตอนนี้ผมปวดปัสสาวะบ่อยๆ”

“ฮ่าๆ คุณเจิ้งลำบากแย่เลย” เฉียวจื่อซานได้ยินก็หัวเราะก่อน

ไห่หลานสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่เฉียวจื่อเจียงกลับหน้าแดง

ไห่หลานเอ่ยเสียงเรียบ “จะเปลี่ยนห้องให้คุณทันที”

…………

คืนวันต่อมา ไห่หลานนำพี่น้องตระกูลเฉียวและเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งมาจัดงานเลี้ยงกลางแจ้งบนยอดเขาในวิลล่า ช่วยสมาชิกสโมสรคลายความตื่นตกใจ แน่นอนว่าสำคัญที่สุดคือแก้ไขผลกระทบที่ตามมาหลังเกิดเรื่องนี้

เพื่อให้งานเลี้ยงครั้งนี้จัดออกมาได้ดี ไห่หลานตั้งใจปรึกษากับทีมหลังบ้านเพื่อแสดงความจริงใจต่อคำขอโทษ จัดสรรวัตถุดิบอาหารชั้นเลิศเป็นพิเศษ มันเพาะปลูกเป็นพิเศษในสถานที่มีพลังชีวิตเข้มข้น ช่วงนี้พลังชีวิตฟื้นตัวขึ้นรวดเร็วและเพิ่งเก็บเกี่ยวได้เป็นจำนวนมาก จึงแบ่งมาที่นี่ได้ หากเป็นไม่กี่เดือนก่อน แม้แต่คนในองค์กรก็ไม่อาจได้กิน

การบริโภคในระยะยาวนั้นดีต่อร่างกายและกินครั้งเดียวก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณ เมื่อเทียบกับอาหารชั้นเลิศทั่วไปแล้วแตกต่างกันมาก อีกทั้งยังสามารถให้พวกเศรษฐีกลุ่มนี้ได้สัมผัสกับคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของมัน ดึงดูดพวกเขาให้ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้

ด้าน ‘ฟางหนิง’ กำลังจัดงานเลี้ยงและตั้งใจกล่าวว่าเขานั้นเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและควรจะจัดเตรียมสมุนไพรมา แต่ราคาอาหารเทียบไม่ได้กับสมุนไพรเลย ไห่หลานนึกถึงพวกเศรษฐีที่ใช้ชีวิตเหมือนเศรษฐี รสนิยมอาหารของพวกเขาจะสูงถึงขนาดไหนกันนะ

สุดท้ายอาหารที่ปรุงด้วยยาส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าปากของเธอและเจ้าหน้าที่พวกนั้น เพราะถึงอย่างไรพวกเขาฝึกฝนมานาน ร่างกายใช้พลังงานสูงและความอยากอาหารมาก คนเดียวกินเท่ากับเศรษฐีห้าคนก็ไม่เกินจริง

เธอได้รับความเห็นชอบจากเบื้องบนในโรงเรียนแล้ว จึงรีบจัดสรรสมุนไพรจากคลัง สินค้าตามท้องถนนในตลาดภายนอกย่อมเทียบไม่ได้ การเพาะปลูกไม่ใช่แค่ต้องการพลังชีวิตเข้มข้น แต่ยังต้องการผู้ฝึกฝนเข้าร่วมด้วย

วัตถุดิบอื่นๆ เตรียมง่ายกว่านี้มากเพราะโรงอาหารของโรงเรียนมีแบบสำเร็จรูป “ฟางหนิง” ต้องการอีกยี่สิบกว่าคนมาเป็นผู้ช่วยเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยง

ไห่หลานที่ใส่ใจฝีมือทำอาหารของฟางหนิงมาก ย่อมแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องการคนมากขนาดนี้ ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงแค่สามสิบกว่าคนรวมกับคนติดตามอย่างมากก็สี่สิบกว่าคน มีพ่อครัวสี่ห้าคนก็เพียงพอแล้ว

แต่บางทีอีกฝ่ายอาจต้องการแสดงทักษะเต็มที่ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เคยทำอาหารมาก่อน ย่อมไม่รู้ว่าที่จริงแล้วต้องใช้คนกี่คนในด้านต่างๆ

ช่วงระหว่างปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาว ในภาคเหนือกลางคืนจะมืดเร็วและหนาวมาก เวลานี้การจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำกลางแจ้ง จึงอาจหนาวจนแข็งได้…

ทว่าเมื่อทุกคนพกพาความสงสัยขึ้นไปบนยอดเขาที่จัดงานเลี้ยงตามสถานที่และเวลาที่ระบุไว้ในบัตรเชิญ กลับพบว่ามันอบอุ่นราวกับอยู่ในอาคาร เหมือนมีระบบทำความร้อนใต้พื้น

เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้ายังเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ากะพริบส่องแสงและมีต้นไม้สูงอยู่ใกล้ๆ มากมาย ทุกคนอดตื่นตะลึงไม่ได้กับพลังแฝงของสำนักสัจธรรม

บนยอดเขามีพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง ในเวลานี้แสงไฟสว่างจ้า พื้นปูด้วยพรมสีเขียวมรกต ให้ความรู้สึกของฤดูใบไม้ผลิขึ้นมาทีเดียว

บนพรมนั้นวางโต๊ะรับประทานอาหารเรียงเป็นระเบียบ ด้านหน้าตั้งเวทีสีแดง บางคนยืนอยู่บนนั้นรอคอยพวกเขา

ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบบัตรเชิญ แล้วนำผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงไปนั่งยังโต๊ะที่เตรียมไว้

ไห่หลานยืนบนเวที หลังจากที่ทุกคนยืนขึ้น เธอก็แนะนำชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเธอ เขามีร่างกายกำยำและท่าทางหยาบกระด้าง “เรียนสมาชิกกลุ่มแรกของสโมสรฝึกบำเพ็ญ เนื่องจากเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ดิฉันในฐานะหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยของโรงเรียน ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและขออภัยอย่างจริงใจที่เกิดเหตุเช่นนี้ ท่านนี้คือเฉียวอันผิงรองผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกพิเศษของเรา เขาเร่งรีบมาที่นี่และจะเป็นตัวแทนของโรงเรียนจัดการเรื่องนี้เอง”

สองวันมานี้ทุกคนรู้จักไห่หลานแล้ว ผู้หญิงสวยสง่าและเย็นชาคนนี้ตรงไปตรงมากับทุกคน แต่เวลานี้ ทุกคนกลับรับรู้ได้จากสายตาและการกระทำของเธอที่ดูเหมือนว่าเธอจะปฏิบัติกับรองผู้อำนวยการคนนี้แตกต่างจากคนอื่น

รองผู้อำนวยการเฉียวไม่ต้องการไมโครโฟน เพียงแค่กำมือทำท่าคำนับให้ ยังไม่ทันพูดอะไรก็โค้งให้ทุกคนก่อนแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ผมเฉียวอันผิงขอโทษทุกท่าน หลายวันนี้ผมร่วมกับผู้อาวุโสสวี่จัดการปัญหาหนูยักษ์ที่บ้าคลั่งอยู่ข้างนอก ไม่ได้นั่งที่โรงเรียนฝึกพิเศษมาสักพัก ถึงได้ปล่อยให้เจ้าหมาบ้าใช้ประโยชน์จากมัน ทำให้ทุกคนตกใจแล้ว

อีกสักครู่เชิญทุกท่านรับประทานอาหาร และผ่อนคลายจิตใจเต็มที่ หลังรับประทานอาหารผมจะมอบยันต์คุ้มครองแก่ทุกท่านนำไปบูชาที่บ้านได้ รับประกันต่อไปทุกท่านและครอบครัวจะไม่ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ทำนองนี้อีก”

ในตอนแรกเริ่มทุกคนต่างประหลาดใจที่รองประธานท่าทางเหมือนชาวยุทธ์ แต่เมื่อฟังถึงตอนท้ายก็อดดีใจไม่ได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้รับของล้ำค่าที่ปกป้องครอบครัวได้ ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าค่าชดเชยที่หลายคนคิดก่อนหน้านี้มากทีเดียว

เขาพูดจบแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนยืนขึ้น เป็นผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบกว่าซึ่งก็คือคนที่จัดการทุกคนและแก้ไขปัญหาหลายครั้งในพื้นที่ปีศาจร้ายนั่นเอง

ผู้เฒ่า “ในเมื่อรองผู้อำนวยการเฉียวพูดอย่างนี้ คนมิใช่เทพย่อมเคยทำผิดพลาด ผู้น้อยเว่ยไม่เอาความ รองผู้อำนวยการเฉียวเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ผู้น้อยเว่ยนับถือๆ”

เมื่อคนอื่นเห็นอย่างนี้ ในโอกาสเช่นนี้ หากพวกเขาต้องการขอผลประโยชน์เพิ่มเติมเห็นได้ชัดว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว พวกเขาทั้งหมดมีอาชีพการงานใหญ่โต โอกาสที่จะเกิดเรื่องก็สูงมาก

ในอนาคตอาจกล่าวได้ว่าพวกเขายังต้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานกิจการพิเศษอีกมาก อีกอย่างก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจริงๆ แม้ว่าบางคนอาจยังไม่พอใจ อย่างน้อยทุกคนก็ทยอยแสดงความเห็นด้วยกับการชดเชยนี้

เมื่อเห็นว่าแก้ไขปัญหาได้ราบรื่น รองผู้อำนวยการเฉียวที่ดูภายนอกหยาบกระด้างก็พอใจมาก หลังจากที่เขาถามเจ้าหน้าที่ข้างๆ ก็ยกแก้วขึ้น “อาหารเตรียมพร้อมแล้วจะเสิร์ฟให้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ผมขอประกาศเริ่มงานเลี้ยง เชิญทุกท่านกินดื่มให้อิ่มหนำสำราญ…”

เขาเพิ่งพูดจบก็เห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งขึ้นมาบนเวทีรายงานกับเขา

“มีเรื่องอะไร ทำไมตื่นตกใจขนาดนี้”

“รายงานรองผู้อำนวยการเฉียว อัศวิน A จู่ๆ ก็มาที่หน้าประตูวิลล่า แจ้งว่าจะมาพบคนครับ”

เฉียวอันผิงพอได้ยินก็ดีใจยกใหญ่ “พอดีเลย ฉันกำลังกลุ้มใจจะขอบคุณท่านอัศวินอย่างไรดี ถ้าไม่ได้เขาออกหน้าช่วยเหลือผดุงคุณธรรมละก็ ครั้งนี้ฉันกับผู้อาวุโสสวี่สั่นคลอนแน่ ฉันลงชื่อตรงนี้ พวกเธอรีบไปเรียกเขามา ช่างเถอะ ฉันไปเองจะดีกว่า”

พอเขาพูดจบก็ขยับตัว หายวับไปจากบนเวทีทันที

คนที่อยู่ด้านล่างเวทีไม่แปลกใจที่รองผู้อำนวยการสวี่ทำเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ เพราะสองวันมานี้พวกเขาเจอเหตุการณ์ใหญ่มามากแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นเหตุการณ์เล็กๆ…

หลังจากเฉียวอันผิงออกไป ไห่หลานที่ก่อนหน้านี้ยืนด้านหลังเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เขาจะมาก็มาเถอะ เธอจะถือโอกาสขอคำแนะนำหลังงานเลี้ยง ดูว่าห่างกับอีกฝ่ายแค่ไหนกันแน่ เรียนรู้จากผู้แข็งแกร่งความสามารถพิเศษของเธอก็ยิ่งก้าวหน้าเร็ว

เฉียวจื่อเจียงที่ยืนข้างเธอตลอดตอนนี้กลับสะกิดเธอพลางกระซิบถาม “คุณน้าไห่ น้าเตรียมอาหารไว้เท่าไหร่คะ”

ไห่หลานงงงวย “จื่อเจียงทำไมจู่ๆ ถามอย่างนี้ล่ะ ฉันเตรียมอาหารสำหรับหกสิบคนไว้ ในเมื่อคุณอาของเธอกลับมาปลอดภัย เขากินเยอะแต่ไหนแต่ไร ถือโอกาสนี้เลี้ยงต้อนรับให้เขากินหรูหน่อยเถอะ ออกไปแล้วไม่มีของอร่อยกินมากขนาดนี้หรอก ฉันตั้งใจเชิญฟางหนิงที่ร่ำลือกันว่าฝีมือทำอาหารขั้นเทพมาลงครัวทำอาหารเอง ให้เขาได้ชิมซะหน่อย”

เฉียวจื่อเจียงสีหน้ายุ่งยากใจ “อ๋อ หนูไม่กังวลอะไรหรอกถ้าคุณอาไม่มา แต่น้าเชิญพ่อครัวเทพคนนั้นมา แล้วเชิญอากลับมา อัศวิน A ก็มาอีก ถ้าอย่างนั้นก็ปัญหาใหญ่แล้ว”

ไห่หลานสงสัย “เธอหมายความว่ายังไง อาของเธอเป็นคนกระตือรือร้นตรงไปตรงมาและกล้าหาญ ส่วนอัศวิน A นั่นก็เห็นว่าตนเองเป็นคนมีคุณธรรมมาตลอด ฟางหนิงก็ยังเกี่ยวข้องกันบ้าง พวกเขาสามคนไม่มีทางขัดแย้งกันเด็ดขาด”

เฉียวจื่อเจียงกระซิบ “หนูไม่ได้กลัวพวกเขาสามคนจะขัดแย้งอะไรกัน กลัวแต่…”

พูดถึงตอนนี้เธอก็หยุดพูดเพราะมีคนสองคนขึ้นมาบนเวทีพร้อมกันแล้ว คนหนึ่งคือเฉียวอันผิงที่รูปร่างใหญ่โตกำยำ และอีกคนก็คืออัศวิน A ที่ทำให้ทุกคนแววตาเป็นประกาย

คนนี้รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา มีชีวิตชีวา พอเห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนราชาผู้สูงศักดิ์ ดูน่าประทับใจมาก

เมื่อเทียบกับเขาแล้ว คนที่อยู่รอบๆ ทั้งเฉียวจื่อซาน เฉียวอันผิง และไห่หลานต่างกลายเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์

เฉียวจื่อเจียงพูดไม่ออก ได้แต่มองสายตาทุกคู่ที่ต่างจ้องมองอัศวิน A ส่วนพี่ชายและคุณอาของตัวเองที่ยืนอยู่ด้วยกันกลับเป็นแค่ตัวประกอบ ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก

เธอแอบคิดในใจ ‘พวกเธอตาสว่างเถอะ อีกเดี๋ยวได้สว่างจนตาบอดแน่…’

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+